น้ำอุ่นเข้ามาแล้ว แม่เล้าปล่อยให้บ่าวเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้หนานอิง บ่าวเหล่านี้ล้วนชำนาญยิ่งพวกนางเคยผ่านการดูแลสาวบริสุทธิ์หลังผ่านคืนแรกมานับครั้งไม่ถ้วนมือจึงเบาเป็นพิเศษ
เพียงไม่นานเนื้อตัวของหนานอิงก็สะอาดสะอ้านเผยให้เห็นผิวเนื้อนวลขาวผ่องและใบหน้างดงามไร้ที่ติ ปากที่แห้งผากบัดนี้ดูชุ่มชื้นขึ้นเล็กน้อย แผลที่ประตูหลังและช่องทางรักของนางถูกป้ายด้วยขี้ผึ้งของหอนางโลมเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ
แน่นอนว่ายานี้ย่อมเป็นยาวิเศษเฉพาะที่ใช้กับสตรีหลังจากผ่านคืนแรกมาเพื่อสมานแผลให้หายเพียงข้ามวันเพื่อกลับมารับแขกได้เร็วที่สุด
ถึงจะได้รับการดูแลร่างกายอย่างดีแล้วแต่อาการของหนานอิงกลับไม่ดีขึ้นจนบ่าวผู้นั้นมือสั่น
"นายหญิง ลมหายใจของนางเบายิ่ง เบาจนข้าเกือบจะสัมผัสไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ"
"ห๊ะ เจ้าว่าอย่างไรนะ ไม่ได้นางจะตายไม่ได้ ท่านหมอเล่ามาถึงหรือยัง รีบไปเร่งเร็วเข้าก่อนที่พวกเราจะซวยกันหมด"
แม่เล้าใบหน้าซีดเผือดเดินวนไปมาเหมือนก้นเป็นฝีไม่อาจนั่งได้แม้เพียงชั่วลมหายใจ กระทั่งเสียงสวรรค์ของบ่าวผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
"นายหญิงมาแล้วขอรับท่านหมอเจิ้งมาแล้ว"
หมอเจิ้งเป็นลูกค้าที่แวะเวียนมาใช้บริการที่นี่เป็นประจำ ถึงเขาจะมีอนุในจวนอยู่ไม่น้อยแต่ก็ยังชื่นชอบการให้นางโลมปรนนิบัติ จึงทำให้คุ้นเคยกันดีกับแม่เล้าผู้นี้
"ท่านหมอท่านต้องช่วยข้า ครานี้หากรั้งนางไม่อยู่ข้าได้ตายแน่"
"ให้ข้าดูหน่อย"
หมอเจิ้งนั่งลงในขณะที่ผู้ช่วยจัดเตรียมเข็มทองให้เขา เขาตรวจชีพจรของหนานอิงท่ามกลางการลุ้นระทึกของแม่เล้านางนี้
หลังจากจับชีพจรของหนานอิงแล้วท่านหมอมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
"นางแทบจะไม่ไหวแล้ว ข้าจะทำอย่างเต็มที่จับนางหันหลังข้าจะฝังเข็มให้นางหากมีวาสนานางคงมีชีวิตอยู่"
"ข้าขอร้องท่าน ท่านต้องช่วยนางนะเจ้าคะ อย่างไรก็ต้องช่วยนาง"
แม่เล้าน้ำตาไหลพราก เป็นครั้งแรกที่คนแปลกหน้าผู้หนึ่งอาจทำให้นางถึงแก่ความตาย นางไม่น่ารับมาโดยเห็นแก่เงินทองและไม่ตรวจดูสินค้าก่อนเลย ไม่น่าเลย
"เข้าใจแล้ว ท่านออกไปก่อนเถิดข้าบอกแล้วจะทำอย่างเต็มที่"
แม่เล้าผู้นั้นออกไปแล้วแต่นางยังเดินวนไปเวียนมาอยู่ด้านนอก เวลานี้เป็นเวลาช่วงบ่ายหอนางโลมยังไม่เปิดรับแขก ภายในจึงเงียบเป็นอย่างยิ่ง
แต่ในใจของนางกลับมีเสียงดังรัวเร็วคล้ายกับมีผู้ใดกำลังตีกลองอยู่ด้านในนับร้อยตัว ทั้งตื่นตระหนกและหวาดกลัวจนตัวสั่น
ในขณะที่แม่เล้ากำลังอ้อนวอนฟ้าดินเพื่อให้หนานอิงมีชีวิตรอด สองอ๋องผู้ทรมานนางเจียนตายกลับไม่ใส่ใจว่าสตรีที่พวกเขาย่ำยีมาทั้งคืนจะเป็นเช่นไร
ณ จวนของสองอ๋องพวกเขากลับมีสีหน้าสบายทั้งยังดูคึกคักอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง
ซู่อ๋องกับอวิ๋นอ๋องกำลังเช็ดกระบี่พลางร่ำสุราอย่างมีความสุข ข้างกายของพวกเขายังมีบ่าวหน้าตาจิ้มลิ้มของจวนคอยปรนนิบัติให้อย่างเต็มที่
กระทั่งอ้ายเจิงผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีสำนักราชเลขาธิการที่ฝ่าบาทแต่งตั้งขึ้นมาเดินเข้ามาหาพวกเขาอย่างสนิทชิดเชื้อ
อ้ายเจิงมีนิสัยอ่อนโยนและเข้าใจคนเป็นอย่างยิ่งเขาเป็นคนเฉลียวฉลาดและเก่งกาจรอบตัวอย่างที่หาคนจับตัวได้ยากสมแล้วที่ฝ่าบาททรงไว้เนื้อเชื่อใจเป็นอย่างยิ่ง
เพราะเป็นคนเก่งเช่นนี้จึงทำให้สองคนพี่น้องต่างยอมรับเขาและได้รับความไว้วางใจคนทั้งสองจนกระทั่งยกตำแหน่งกุนซือใหญ่ในกองทัพให้อีกหนึ่งตำแหน่ง
"ท่านเลขาเจ้ามาแล้วหรือเข้าเมืองก่อนข้าเร่งมาหาสตรีใดกันเล่า"
ลู่หนิงหวังเอ่ยทักอย่างสนิทสนม ทั้งยังเรียกอ้ายเจิงเพียงคำว่าเลขาสั้นๆ ตามที่ฝ่าบาททรงเรียก แทนตำแหน่งอันยาวเหยียดที่จำยากของอ้ายเจิง เมื่อลู่หนิงหวังเรียกอ้ายเจิงเช่นนี้หานเซียวจึงเรียกอ้ายเจิงว่าท่านเลขาจนติดปากเช่นกัน
อ้ายเจิงนั่งลง บ่าวนำจอกสุรามาให้เขาอย่างรู้งานแล้วรินสุราลงจอกท่าทางอ่อนหวานเหมือนผู้ที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี อ้ายเจิ้งอดยิ้มให้นางผู้นั้นไม่ได้ เขายกสุราขึ้นเอ่ยขอบคุณท่านอ๋องแล้วเอ่ยเสียงเย็น
"ท่านอ๋องทั้งสองหัวหน้ากองเขามีเรื่องรายงานข้าเห็นเขารีรออยู่นานแล้วท่านก็ให้เขามารายงานเสียก่อนเถิด อย่าปล่อยให้เขายืนนานกว่านี้เลย"
ซู่อ๋องลู่หนิงหวังพยักหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้น
"มีเรื่องอันใดต้องรายงานอีก รีบพูดมาเจ้าอ้ำอึ้งอยู่นั่น"
เมื่อท่านแม่ทัพอนุญาตทหารผู้นั้นจึงเอ่ยทันใด
"เรียนท่านแม่ทัพ ข้าน้อยพาสตรีผู้นั้นนำส่งคืนหอนางโลมแล้วขอรับ แม่เล้านางนั้นได้รับนางไว้และข้าน้อยได้กำชับให้ดูแลนางอย่างดีขอรับ"
อ้ายเจิงกลับเอ่ยถามด้วยความสงสัย
"สตรีหรือ? ผู้ใดกันเหตุใดสำคัญจนถึงต้องมารายงาน นางเป็นบุตรสาวของกบฏ คนใดหรือ?"
ลู่หนิงหวังทำท่ารำคาญเห็นอ้ายเจิงกล่าวถามยาวยืด หานเซียวกลับหัวเราะน้อย ๆ
"ข้าเองก็ไม่รู้ ถามเขาเองแล้วกัน"
กล่าวจบก็ผินหน้าไปมองทหารผู้นั้น
ท่าทางของทหารผู้นั้นอึกอักเป็นอย่างยิ่ง เขาประสานมือแล้วเอ่ยว่า
"หาไม่ขอรับ นางคือสตรีที่ปรนนิบัติท่านทั้งสองเมื่อราตรีที่ผ่านมาขอรับ"
"อ้อ นางนั่นเอง อืมนางกลับไปยังที่ของนางแล้วก็ช่างเถิดข้าหาได้สนใจแล้ว"
อวิ๋นอ๋องหานเซียวพยักหน้าเป็นการรับรู้ทั้งที่ในใจหาได้สนใจแม้แต่น้อย แต่ทหารผู้นั้นยังยืนอยู่ตรงนั้นท่าทางคล้ายกับยังพูดไม่จบ
"มีสิ่งใดอีก เหตุใดยังไม่ไปเล่า หมดเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ"
"นางเป็นสตรีของท่านแม่ทัพ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงท่านอ๋องทั้งสองท่าน หากท่านทั้งสองไม่ยินยอมนางไม่อาจร่วมเตียงกับผู้ใดได้อีกขอรับ ข้าน้อยจึงต้องการคำสั่งที่แน่ชัดเพื่อไม่ให้ผิดพลาด"
พวกเขาเป็นแม่ทัพใหญ่และรองแม่ทัพใหญ่ยังรั้งตำแหน่งท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ หากมีสิ่งใดผิดพลาดไม่มีผู้ใดกล้ารับประกันว่าหัวของเขาจะยังอยู่บนบ่า
ครานี้เป็นซู่อ๋องที่เริ่มรำคาญจึงต่อว่าทหารผู้นั้นทันใด
"ไสหัวไปได้แล้ว"
อ้ายเจิงได้ยินดังนั้นจึงรีบทัดทาน
"เขาพูดถูก ที่ผ่านมาข้าก็จัดการให้พวกท่านไม่น้อยนี่ คนนี้มีสิ่งใดพิเศษหรือไม่จะได้จัดการถูก"
ซู่อ๋องรู้สึกว่าเรื่องชักจะมากไป ก็แค่สตรีนางหนึ่งให้เงินแล้วก็ควรจบเหตุใดพวกนี้จึงวุ่นวายเช่นนี้
"ช่างเถิดจะทำสิ่งใดกับนางก็ตามแต่เจ้าเห็นสมควรก็แล้วกัน อย่าได้เอาเรื่องนี้มาให้ข้าวุ่นวายใจอีก"
อ้ายเจิงยกสุราขึ้นจิบพร้อมกับลุกขึ้น
"เช่นนั้นเจ้าไปกับข้า ข้าจะจัดการตามที่เห็นสมควรเอง"
เมื่ออ้ายเจิงออกไปพร้อมกับทหารผู้นั้นแล้ว อวิ๋นอ๋องจึงเอ่ยถามพี่ชาย
"อ้ายเจิงจะทำสิ่งใดกัน"
ซู่อ๋องใบหน้าเฉยชายิ่งเขายกดาบขึ้นมาขัดเช็ดต่อ เพียงเท่านี้อวิ๋นอ๋องก็รู้ว่าเขาหาได้สนใจจริง ๆ ในเมื่อพี่ชายไม่สนใจอวิ๋นอ๋องก็หาได้สนใจเช่นกัน
ตอนพิเศษ ลูกของข้า ความทรงจำของลู่หนิงหวังที่มีเกี่ยวกับบิดาของตนเองนั้นช่างเลือนลางจนจำไม่ได้ เขาไม่เคยรับรู้และเข้าใจความหมายของคำ ๆ นี้ จนกระทั่งเมื่อเขาได้พบเด็กชายสองคนที่มีใบหน้าคล้ายคลึงเขากับหานเซียวเป็นอย่างยิ่งเขาไม่รู้ว่าเด็กสองคนนี้เป็นบุตรของผู้ใดระหว่างเขาและหานเซียว ในยามนั้นเมื่อได้พบและคิดว่าใช่ใจของเขากลับหวาดหวั่นอย่างรุนแรง ว่าได้พบหนานอิงนั้นทำให้เขาหวาดกลัวแล้วการได้พบบุตรชายกลับทำให้ลู่หนิงหวังหวาดกลัวมากยิ่งกว่าลู่หนิงหวังรู้สึกสับสนเขากลัวว่าจะเป็นพ่อที่ไม่ดีพอให้เด็กรักใคร่และไม่รู้ต้องทำตัวเช่นไร เมื่อในยามนั้นหานเซียวส่งเด็กสองคนนี้มาสู่อ้อมแขนของเขา“หากอยากประลอง ก็ประลองกับองค์รักษ์ของข้า”ชั่วขณะนั้นที่หานเซียวชี้มาที่ตัวเขา ความรู้สึกหวาดหวั่นนั้นยิ่งรุนแรงมากขึ้นจนกระทั่งเด็กน้อยทั้งสองเดินอย่างองอาจมาหาเขาโดยไร้ความหวาดกลัวอย่างสิ้นเชิงกระทั่งมือเล็ก ๆ สองข้างกำลังจับจูงมือของเขาคนละข้าง ในยามนั้นพลันเกิดเหงื่อชื้นขึ้นที่ฝ่ามือ ความรู้สึกไหลเวียนไปจนทั่วร่าง แต่ที่แปลกประหลาดคือความรู้สึกสับสนนั้นกลับหายไปในที่สุดมือของเขาสั่นเทาอยู่
ตอนพิเศษ อยากมีอีกเยอะ ๆในตอนที่หนานอิงกำลังชงชาโดยมีอาโจวคอยช่วยเหลืออยู่นั้นขันทีก็รีบเดินกึ่งวิ่งเข้ามารายงาน“ทูลหนานเฟย ฝ่าบาททรงว่าราชการเสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”หนานอิงยิ้มแล้วกล่าวว่า“ดียิ่ง ว่าแต่ว่าเหตุใดเจ้าจึงดูร้อนรนยิ่งนัก”“ทูลพระหนานเฟย ท่านอาจารย์ให้กระหม่อมมาทูลว่ามีคนถวายฎีการ้องเรียนเกี่ยวกับองค์ชายทั้งสองที่ทรงแกล้งบุตรชายของท่านราชครูขอรับ แต่ฝ่าบาทเอาแต่เข้าข้างองค์ชายจึงอยากให้หนานเฟยช่วยทูลฝ่าบาทเรื่องนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”หนานอิงหุบยิ้มโดยทันใด บุตรชายของนางทั้งสองบัดนี้กลายเป็นองค์ชายใหญ่ลู่หานและองค์ชายรองลู่โหยวที่มีพระอาจารย์อ้ายเจิงเป็นคนลงมือสั่งสอนกับมือ เหตุใดจึงได้ไปกลั่นแกล้งบุตรชายของท่านราชครูซึ่งเป็นสหายเรียนด้วยกันได้อันที่จริงก็พี่น้องกันทั้งนั้น ด้วยบุตรชายของท่านราชครูก็คือหลานของนางเอง ด้วยภายหลังมานี้พี่สาวฝาแฝดของหนานอิงนั้นด้วยความรักตัวกลัวตายหลังจากสกุลหนานล่มสลาย นางทั้งสองก็รีบดีดตัวออกจากสกุลหนานโดยไม่คิดข้องเกี่ยวอีกกระทั่งการที่ฮูหยินใหญ่มารดาของพวกนางถูกหนานอิงจัดการพี่สาวทั้งสองก็ยังได้แต่เอ่ยคำว่าอมิตาพุทธไม่คิดแค้นก่อกรรมทำเข็ญต่อไป
ตอนพิเศษ ยามเมื่อฟื้นคืนทุกอย่างเปลี่ยนผัน ดอกเหมยในลานกว้างเบ่งบานและร่วงหล่นตกกระทบร่างสูงของบุรุษกลุ่มหนึ่งที่เดินฝ่าความมืดมิดโดยมีเพียงแสงโคมนำทางเล็ก ๆ คอยส่องกระทบพื้นบุรุษผู้หนึ่งอยู่ในชุดคลุมยาวสีดำปักลายมังกร ใบหน้าคมคายหล่อเหลานัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้า แม้ว่าใบหน้านั้นคล้ายจะอมทุกข์และให้ความรู้สึกสูงส่งและเย็นเยียบ อีกทั้งให้กลิ่นอายของความเหี้ยมโหดเอาเสียดื้อ ๆบุรุษผู้นั้นสูดลมหายใจเข้าลึกสูดดมความหอมของกลิ่นบุปผาเข้าปอด นานแล้วที่เขาไม่เคยได้ทำเช่นนี้ คล้ายกลับว่าความหวังอันลางเลือนของเขาพลันกลับมาชัดเจนอีกครั้ง“ฝ่าบาทระวังพ่ะย่ะค่ะ”อดีตพ่อบ้านจวนอ๋องบัดนี้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งกงกงคนสนิทของเขา แม้จะไม่ได้ผ่านพิธีการตอนดั่งเช่นกงกงผู้อื่นแต่เมื่อเขาต้องการก็มิกล้ามีผู้ใดปริปากลู่หนิงหวังก้าวเท้าเร็วกระทั่งไปถึงหน้าตำหนักแห่งหนึ่ง เมื่อผลักประตูเข้าไปด้านในก็พบอ้ายเจิงและหมอหลวงหัตถ์เทวดาอ้ายเสิ่นบิดาของเขารออยู่ด้านในคนทั้งสองทำความเคารพเขา ลู่หนิงหวังยกมือขึ้นห้าม“ไม่ต้องมากพิธี ข้ากับพวกท่านข้าขอเถิด”ถึงเขาจะเป็นฮ่องเต้ของคนในใต้หล้า ลู่หนิงหวังก็ขอสักที่ท
หนานอิงพยักหน้า จุมพิตปลายคางของหานเซียวอย่างมีความสุขที่ผ่านมาล้วนเป็นนางที่เลี้ยงดูเด็กทั้งสองเพียงลำพัง การคิดตัดสินใจก็ล้วนเป็นนางที่ชี้นำ ในยามนี้การมีหานเซียวเคียงข้างทำให้หัวใจของหนานอิงอบอุ่นยิ่งกว่าจะออกจากห้องก็ฟ้ามืดแล้ว เด็กสองคนบัดนี้วิ่งเข้ามาหานางเหงื่อของพวกเขาโทรมกาย เสื้อผ้าเต็มไปด้วยฝุ่น ฝ่ามือห้อเลือดเล็กน้อยทั้งยังวิ่งเข้ามาร้องไห้โฮกอดขานางพลางฟ้องเสียงสั่น“ท่านแม่ท่านลุงผู้นั้นฝึกวรยุทธ์ให้ข้า ยังให้ข้านั่งท่าม้าอะไรก็ไม่รู้อยู่หลายชั่วยาม เขายังถือไม้จะตีข้าด้วย ป้ายของท่านพ่อเขาก็เอาไปบอกข้าและน้องชายอ่อนแอ ไม่คู่ควรที่จะห้อยมัน”คนผู้นั้นทำหน้าเย็นชา เอ่ยคำหนึ่ง“เป็นบุรุษเรื่องนี้เล็กน้อยยิ่ง ยังร้องไห้งอแงราวเด็กทารก เป็นเช่นนี้จะปกป้องผู้ใดได้”หนานอิงได้ยินเช่นนั้นตกใจยิ่ง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันควัน"นายน้อยองครักษ์ของท่านผู้นี้ เหตุใดทำให้ลูกชายข้าเจ็บตัวเช่นนี้ การประลองกับเด็กท่านควรออมมือให้มากมิใช่ทำให้พวกเขาบาดเจ็บ ข้าไม่ยอมท่านต้องจัดการเขาให้ข้าด้วย"“อิงอิงเจ้าใจเย็น ๆ ก่อน เขาคงไม่ได้ตั้งใจ”หานเซียวทำท่าประหลาด ทั้งยังมองคนของตนด้วยสายต
หนานอิงน้ำตาไหลพราก เมื่อเห็นว่ามารดาร้องไห้เด็กทั้งสองรีบวิ่งเข้ามากอดหนานอิงกอดลูกร้องไห้ นานหลายปีแล้วตั้งแต่บุตรชายฝาแฝดเกิดมาที่นางไม่เคยหลั่งน้ำตาอีก"ท่านแม่ท่านร้องไห้ทำไม ท่านลุงหนวดยาวผู้นี้ทำร้ายท่านหรือ ข้าจะตีเขาให้อย่าร้องนะขอรับ"หนานอิงปาดน้ำตา หานเซียวชี้ที่ตัวเอง"ข้ามิได้รังแกแม่ของเจ้า ข้าไม่มีวันทำเช่นนั้น"หนานอิงยิ้มให้เด็กชายทั้งสอง ก่อนจะส่งเด็กน้อยให้แม่นางเหมยเซียง"ข้าไม่ไป ข้าจะสั่งสอนลุงหนวดยาวผู้นี้ที่กล้ารังแกท่าน"หานเซียวอยากจะหยิกแก้มเด็กน้อย อยากจะโอบกอดพวกเขาแต่สองคนนี้ถือตัวและเหย่อยิ่งเป็นอย่างยิ่ง"อย่ามาแตะข้า คนแปลกหน้ามาประลองกัน"หนานอิงเอ่ยเสียงดุ"ไปอยู่กับท่านยาย แม่มีธุระจะสนทนากับคนผู้นี้"ได้ยินเสียงดุของหนานอิงเด็กทั้งสองถึงกับคอตก"ขอรับ"รับคำพร้อมกันแล้วหันหลังเดินไปหาแม่นางเหมยเซียง หานเซียวจึงเอ่ยขึ้น"หากเจ้าอยากประลอง นั่นคือองครักษ์ของข้าเจ้าประลองกับเขาได้ หากชนะจะให้ข้าทำสิ่งใดก็ได้""จริงหรือขอรับ"เด็กสองคนหันมาแล้วเอ่ยพร้อมกันหานเซียวพยักหน้า องครักษ์ผู้นั้นจึงถูกเด็กถือตัวทั้งสองยอมแตะต้องตัวเขาแล้วลากจูงไปข้างนอกเพื่
หานเซียวและองค์รักษ์ของเขาแอบตามเด็กน้อยอย่างเงียบเชียบ เห็นเด็กสองคนนี้ถูกแยกออกมาจากเด็กผู้อื่นและมีอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาคอยสอนให้เป็นพิเศษก็เกิดสงสัยเป็นอย่างยิ่งเป็นถึงหลานของแม่นางเหมยเซียง เหตุใดจึงไม่ให้มาเรียนที่สำนักศึกษาทั้งที่มีเงินทองมากมายปานนั้น เขารอจนกระทั่งเด็กทั้งสองออกมาแล้วจึงแสร้งไปตีสนิทเพื่อพูดคุยด้วย"ท่านแม่บอกว่าห้ามพูดกับคนแปลกหน้า ข้าไม่บอกท่านหรอกอย่ามาหลอกเด็กเลย"กล่าวจบพวกเขาก็วิ่งด้วยฝีเท้าที่เร็วยิ่ง องครักษ์ทั้งสองต่างมองหน้ากันเด็กสองคนนี้เป็นวรยุทธ์แต่ผู้ใดกันแน่ที่เป็นผู้สอนพวกเขาตามเด็กมาจนถึงหอนางโลมเด็กทั้งสองปีนกำแพงกลับเข้าไปดังเดิมมีบางสิ่งบางอย่างหล่นออกมาจากสาบเสื้อ ด้วยความเป็นเด็กจึงไม่ทันระวัง องครักษ์ผู้หนึ่งก้มลงเก็บของกำลังจะอ้าปากบอกพวกเขาแต่สิ่งที่อยู่ในมือช่างคุ้นตาเป็นอย่างยิ่งคนทั้งคู่ต่างตกตะลึงแล้วพวกเขาตามเด็กเข้าไปในหอนางโลม ขอพบแม่นางเหมยเซียงเป็นการด่วนและถามเรื่องเกี่ยวกับเด็กอย่างตรงไปตรงมาแม่นางเหมยเซียงคิดว่าคนพวกนี้ไม่กลับไปง่าย ๆ แน่ จนกว่าจะได้คำตอบจึงเอ่ยว่า"นายท่านองครักษ์อย่าได้คิดมากไปเจ้าค่ะ แม่ของเด็
หลายเดือนต่อมาคนของอ้ายเจิงเร่งรุดไปแจ้งว่าหนานอิงคลอดบุตรแล้วแต่เมื่ออ้ายเจิงเร่งออกมาพบนางเขากลับพบเพียงความว่างเปล่าอยู่ที่คฤหาสน์ที่เขาจัดเตรียมไว้ หนานอิงหายไปอย่างไร้ร่องรอยทิ้งเพียงจดหมายฉบับหนึ่งเอาไว้ข้ากับลูกที่ผ่านมาขอบคุณท่านมาก ต่อไปพวกเราขอใช้ชีวิตตามลำพังเถิด อ้ายเจิงปวดหัวเป็นอย่างยิ่ง เขาจะทำเช่นไรดีเล่าครานี้ ทำเมียกับลูกผู้อื่นหายเช่นนี้ครานี้แม้แต่หัวคงไม่อาจรักษาเอาไว้ได้ที่ผ่านมาหนานอิงเองก็เชื่อฟังมาตลอดมิใช่หรือ แต่เหตุใดครานี้จึงหายไปโดยไม่บอกกล่าวกันเช่นนี้กระทั่งหลานเป็นชายหรือหญิงเขาเองก็ยังไม่รู้ สตรีผู้นี้ทำให้อ้ายเจิงปวดหัวแล้วอ้ายเจิงออกติดตามหาหนานอิงแทบจะพลิกแผ่นดิน แต่กลับไม่พบแม้คนของเขาจะมีอยู่มากมายแต่เขาลืมไปว่ามือสังหารของเขาล้วนเป็นสตรีหนานอิงได้รับคำสั่งแต่งตั้งจากลู่หนิงหวังให้เป็นหัวหน้ามือสังหาร แน่นอนว่าคนพวกนั้นย่อมรับคำนั่งนางและไม่ยอมปริปากบอกที่ซ่อนของนางให้ผู้ใดรู้อ้ายเจิงจึงต้องคลำทางประดุจคนตาบอด ค้นหาตัวนางด้วยตนเอง ลู่หนิงหวังมีโทสะแล้ว เขาสั่งให้คนวาดภาพเหมือนหนานอิงประกาศหาตัวไปทั่วแคว้น หากผู้ใดจับได้จะมีรางวัลเพราะส
หนานอิงเดินเหม่อลอยมาเรื่อย ๆ นางมิได้ใช้มีดสั้นที่ลู่หนิงหวังและหานเซียวแล้วจึงเก็บเอาไว้ในหีบอย่างดี แต่นางยังพกหยกติดกายอยู่ตลอดเวลาหนานอิงรู้สึกหิวเล็กน้อยพบร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ตรงหน้าจึงเดินเข้าไปสั่งก๋วยเตี๋ยวมาชามหนึ่ง กินอย่างซึมกะทือไร้ชีวิตจิตใจกินไปได้เพียงสองสามคำกลับรู้สึกอยากอาเจียนเป็นอย่างยิ่งหนานอิงจ่ายเงินวิ่งไปอาเจียนที่ข้างกำแพง ศีรษะมึนเล็กน้อยนางนั่งลงรอจนกระทั่งตนเองรู้สึกดีขึ้นจึงคิดว่าตนเองคงเครียดไปจึงเกิดอาการประหลาดหลายวันต่อมาอาการของหนานอิงกลับไม่หายไป แต่นางอดทนและฝืนตนเองเอาไว้นางพบลู่หนิงหวังในยามที่เขามาฝึกซ้อมยิงธนู หนานอิงกลายเป็นองครักษ์ของเขาเต็มตัวจึงต้องคอยอยู่ข้างเขาตั้งแต่เข้าวังมาลู่หนิงหวังเห็นใบหน้าของนางซีดเซียวแรงของลูกศรที่ปักลงตรงเป้าดูเบากว่าเดิมจึงเอ่ยเสียงเย็น"มีตำแหน่งเป็นถึงองครักษ์ของฮ่องเต้แต่กลับปล่อยให้ตนเองไม่สบาย มีโทษโบยสามสิบไม้"อ้ายเจิงถอนหายใจ เขาเอ่ยเบา ๆ "ฝ่าบาทอย่าทรงแกล้งนางเลย"ลู่หนิงหวังเพียงเอ่ยว่า"เห็นวาจาของฮ่องเต้เป็นคำล้อเล่นหรือ ชิชะท่านเสนาบดีผู้นี้คิดจะแข็งข้อกับข้าหรือ"อ้ายเจิงมิได้กลัวเขาอยู่แล้ว
บทที่ 140 ตอนพิเศษ เหตุการณ์หลังความตายของหานเซียวพิธีศพของหานเซียวถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายและยังถูกปิดบังมิให้ผู้ใดรู้กระทั่งฝ่าบาทเองด้วยบัดนี้ภายในวังยุ่งเหยิงเป็นอันมาก ลู่หนิงหวังหลังจากจัดการกับกบฏองค์รัชทายาทถูกขับออกไปยังชายแดนทั้ง ๆ ที่ร่างกายพิการแขนขาดตาบอดบัดนี้เหตุการณ์สงบสุข ลู่หนิงหวังเองได้กวาดล้างคนขององค์รัชทายาทจนไม่มีผู้ใดกล้าก่อความไม่สงบเพียงแต่ครานี้หาได้ฆ่าคนดั่งเช่นที่เคยเกิดขึ้นอย่างเช่นในรัชสมัยก่อน ขุนนางให้ปลดจากตำแหน่งส่งไปชายแดนอันกันดารเพื่อใช้แรงงานรวมทั้งเด็กชายอายุสิบสองขวบขึ้นไปสตรีและเด็กต่ำกว่าสิบสองขวบให้ไปเป็นชาวนาปลูกข้าวให้ราชสำนักห้ามมิให้ทายาทถัดไปอีกสิบรุ่นรับราชการหรือประกอบอาชีพอื่น แม้จะถูกคัดค้านว่าอาจทำให้คนพวกนี้หาทางกลับมาแก้แค้นลู่หนิงหวังกลับหาได้สนใจ"ไม่ว่าจะฆ่ามากเท่าใดคนคนพวกนี้คิดการใหญ่อย่างไรก็ต้องหาทางกลับมาล้างแค้น เขาสังหารคนมามากในสงครามย่อมรู้ดีว่าการฆ่ามิใช่ทางออกสำหรับผู้บริสุทธิ์"คนสกุลหนานที่ยังหลงเหลือบัดนี้มาคุกเข่าที่หน้าจวนขอร้องให้หนานอิงช่วยชีวิตพวกเขา บ่าวไพร่ที่เคยดีต่อหนานอิงอาฉีจัดการตามสัญญาปล่อยพวก