เขาล้วงกล่องไม้กล่องเล็กออกมาจากสาบเสื้อ เมื่อเปิดออกพบว่าด้านในมียาก้อนกลมสีเหลืองทองอร่ามก้อนหนึ่ง เขาใช้สองนิ้วเรียวบีบปากของนางให้อ้าออกแล้วยัดเม็ดยาเม็ดนั้นเข้าปากของนางอย่างอ่อนโยน
"รบกวนเจ้าค่อย ๆ ป้อนน้ำใส่ปากนางทีละช้อน ทำช้า ๆ จนกว่ายาในปากจะละลายจนหมด คืนนี้เหงื่อของนางจะออกมากเสียหน่อยให้คนคอยเฝ้าให้ดีคอยเช็ดเหงื่อให้นางและคอยเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่าให้อับชื้น"
"หมายความว่านางจะไม่ตายแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ"
อ้ายเจิงพยักหน้า
"ท่านหมอที่เจ้าพามารักษานางเองก็นับว่าเก่งมาก หากไม่มีเขาก่อนพบข้านางคงสิ้นลมแล้ว"
"ขอบคุณใต้เท้าเจ้าค่ะ ขอบคุณใต้เท้า"
นางเหมยเซียงรู้สึกโล่งอก ไม่คิดว่าเพียงไม่กี่ชั่วยามที่นางก้าวเข้ามาในหอนางโลมจะทำให้คนที่ไม่เกรงกลัวฟ้าดินเช่นนางจะตกที่นั่งลำบากได้เพียงนี้
"ดูแลนางให้ดี หากนางฟื้นให้คนของข้ารีบไปแจ้งข่าว"
"เจ้าค่ะ น้อมส่งใต้เท้าเจ้าค่ะ"
ก่อนกลับอ้ายเจิงสั่งให้ทหารคอยเฝ้านางเอาไว้ให้ดี เขากลับไปที่จวนอ๋องทันที เมื่อไปถึงพบว่าท่านอ๋องทั้งสองอยู่ที่ลานฝึกกระบี่เขาจึงเข้าไปรายงาน
"ทูลท่านอ๋อง ข้าน้อยมีเรื่องต้องรายงานขอรับ"
ลู่หนิงหวังรับดาบของหานเซียวแล้วโต้กลับทันควัน เสียงดาบปะทะกันดังสนั่นไปทั้งลาน พวกเขาเหมือนไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อยแม้จะเดินทางมาไกลเพียงนั้น
อ้ายเจิงเองก็รออย่างใจเย็น รู้ว่าพวกเขาได้ยินแล้วว่าเขามีเรื่องจะรายงานแต่ยังไม่เสร็จธุระ และหากเป็นเรื่องเร่งด่วนอ้ายเจิงย่อมบอกแล้ว
รออยู่นานราวหนึ่งก้านธูปคนทั้งสองที่ผลัดกันรุกผลัดกันลับก็วางกระบี่ลง ทหารรับกระบี่ของสองอ๋องพวกเขาเดินมาที่โต๊ะไม้ใกล้ลานฝึก อ้ายเจิงเดินตามไปรอจนกระทั่งพวกเขาดื่มชาดับกระหายจนเรียบร้อย
"ท่านเลขาเจ้ามีเรื่องอันใดอีกเล่า สงครามก็สงบแล้วเจ้าไม่สมควรมีเรื่องมารายงานข้าแล้ว"
ลู่หนิงหวังเอนกายพิงเก้าอี้เขาหลับตาเล็กหน้า ใบหน้าคมของเขาถูกแสงแดดกระทบบางส่วนช่างดูงดงามองอาจคล้ายกับเทพสงครามที่หลุดออกมาจากภาพวาด
"เรื่องแรกยาคืนชีพของพวกท่านข้าใช้รักษาคนไปแล้ว ต่อไปพวกท่านต้องระวังตัวให้ดีหากมีเรื่องอันใดถึงชีวิตก็ไม่มียาช่วยรักษาอีก ตายสถานเดียว"
อ้ายเจิงกล่าวเชิงข่มขู่ ยานั่นมีทั้งหมดสองเม็ด ก่อนกลับเขาฝากไว้กับนางเหมยเซียงให้ช่วยป้อนสตรีผู้นั้นในอีกสามชั่วยามเพื่อรั้งชีวิตของนางเอาไว้
หากเป็นบุรุษผู้แข็งแกร่งเช่นสองคนผู้นี้ใช้เม็ดเดียวก็เพียงพอ แต่สตรีผู้นั้นอ่อนแอยิ่งเขาจำเป็นต้องใช้ถึงสองเม็ดเพื่อยื้อชีวิตนาง
"ยาคืนชีพนั่นไม่ได้จำเป็นสำหรับข้า ชายชาตินักรบหากจะตายก็ต้องตายจะมัวมาเสียดายชีวิตหายารักษาให้วุ่นวายด้วยเหตุใด"
อ้ายเจิงหยั่งเชิง
"พวกท่านไม่เสียดายหรือ ยานั่นใช้โสมห้าร้อยปีที่นาน ๆ จะพบสักครั้งหรืออาจจะไม่พบตลอดชีวิตของพวกท่านเชียวนะ ข้าให้คนไปแล้วท่านทั้งสองไม่เสียดายเลยหรือ"
หานเซียวส่ายหน้า
"เจ้าก็รู้ว่าข้าและท่านพี่ไม่สนใจ เจ้าเป็นหมอจะใช้รักษาผู้ใดก็เรื่องของเจ้า"
ทหารนำธนูเข้ามา พวกเขายังต้องการฝึกยิงธนูต่อ อ้ายเจิงจึงรีบพูด
"ก็ได้เช่นนั้นข้าจะเก็บให้พวกท่านหนึ่งเม็ด หากผู้ใดตายก่อนก็จะให้คนผู้นั้นใช้ แต่ว่าเรื่องยังไม่จบเพียงนี้"
หานเซียวง้างสายธนูแล้ว ทำท่ารำคาญใจน้ำเสียงเย็นเยียบ
"อ้ายเจิงว่างมากหรืออย่างไร ถึงได้กวนใจพวกข้าทั้งวันเช่นนี้"
อ้ายเจิงยิ้มละไม
"ข้าจะขอหยกจากพวกท่านคนละชิ้น เป็นรางวัลให้สตรีนางหนึ่งจะได้หรือไม่"
เขาพูดเพียงเท่านั้นทั้งหานเซียวและลู่หนิงหวังต่างลุกขึ้น พวกเขาปลดหยกประจำกายให้อ้ายเจิง ทั้ง ๆ ที่เพิ่งกลับมาพกมันหลังจากไม่ได้พกมานับสิบปี จะมีสิ่งนี้หรือไม่พวกเขาก็ย่อมไม่สนใจ
"ข้าต้องการหยกธรรมดา มิใช่ป้ายหยกฐานะของท่านอ๋อง"
หานเซียวจึงเอ่ยขึ้น
"แล้วอย่างไรมันก็แค่หยกชิ้นหนึ่ง หากเจ้าต้องการมากกว่านี้ข้าก็ให้เจ้าได้ อย่ากวนใจข้าอีกไสหัวไปให้ไกลเลย"
อ้ายเจิงมองหยกขาวที่สลักนามเซียวอ๋องและอวิ๋นอ๋องเอาไว้ เขายกยิ้มแล้วเอ่ยเพียงลำพัง
"พวกท่านทำคนเกือบตายอย่างไรก็ต้องรับผิดชอบ ในเมื่อกล้าให้สิ่งนี้มาข้าก็จะใช้สิ่งนี้มัดตัวพวกท่านมิให้หนีไปที่ใด"
ราวครึ่งเดือนที่หนานอิงรักษาตัวอยู่ที่หอนางโลมจนกระทั่งนางคิดว่าตนเองสามารถเดินเหินได้คล่องแล้วจึงร้องขอต่อแม่นางเหมยเซียงว่านางต้องการกลับบ้าน นางไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองมาอยู่ที่นี่ถามสิ่งใดแม่นางเหมยเซียงก็ไม่ยินยอมปริปาก
สิ่งที่หนานอิงรู้จากแม่เล้าคือมีบุรุษสองคนช่วยนางไว้ พวกเขาคือผู้มีพระคุณไม่รู้บ้านช่องของนางจึงพามาส่งที่นี่มอบเงินให้จำนวนมากให้คอยดูแลจนกว่าหนานอิงจะหายดี
นางเหมยเซียงได้มอบป้ายหยกสองชิ้นสลักนามอวิ๋นอ๋องและซู่อ๋องเพื่อมอบให้หนานอิงเมื่อนางฟื้นขึ้นมา นางเหมยเซียงตื่นเต้นยินดีจึงเก็บหยกเอาไว้ให้หนานอิงด้วยชีวิต ที่แท้สตรีผู้นี้มีวาสนาสูงส่งได้รับความโปรดปรานจากสองอ๋อง
บัดนี้หนานอิงจึงเป็นบ่อเงินบ่อทองของนางเหมยเซียงไปแล้ว นางกำชับหนานอิงครั้งแล้วครั้งเล่ามิให้หนานอิงลืมเรื่องนี้
"ท่านอ๋องทั้งสองคือผู้มีพระคุณ เก็บของชิ้นสำคัญเอาไว้ให้ดีเข้าใจหรือไม่ อย่าทำหายเด็ดขาด"
หนานอิงกำหยกเนื้อดีขาวบริสุทธิ์เอาไว้ในมือ ท่านอ๋องผู้ที่ช่วยเหลือนางมีพระคุณกับนางยิ่ง แม้ต้องตอบแทนด้วยชีวิตนางก็ไม่เสียดายเป็นอันขาด
หนานอิงป่วยหนักจึงจำเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ นางถูกวางยาและจำหน้าคนที่ย่ำยีนางไม่ได้แม้แต่น้อย เรื่องในคืนนั้นคล้ายเป็นฝันหวานและตามมาด้วยฝันร้ายอย่างที่สุดในคราเดียวกัน
นอกจากหยกที่ฝากเอาไว้ให้หนานอิงแล้ว ท่านเลขายังได้มอบทองก้อนใหญ่ให้นางเหมยเซียงอีกด้วย
"จงดูแลนางให้ดี หากนางตั้งครรภ์ให้รีบส่งข่าวนางไม่เคยดื่มยาป้องกันการตั้งครรภ์ อาจเกิดเรื่องมงคล อย่าให้ผิดพลาดเป็นอันขาด"
"ข้าน้อยทราบเจ้าค่ะ"
"ข้าจะให้คนกลับมารับนางเมื่อถึงเวลาเมื่อนางฟื้นจงถามชื่อแซ่และบ้านเดิมของนางเสีย หลังจากนั้นแจ้งคนของข้าพวกเขาจะคอยอยู่ที่นี่รอฟังข่าว"
"เจ้าค่ะ"
เมื่อหนานอิงฟื้นก็เร่งเร้าจะกลับบ้าน นางเหมยเซียงกลุ้มใจเป็นอย่างยิ่ง หากท่านแม่ทัพกลับมารับหนานอิง แล้วสตรีผู้นี้ยังไม่เป็นสตรีที่เพียบพร้อมปรนนิบัติ อาจารย์เช่นนางคงลำบากเป็นแน่ จะทำเช่นไรดีจึงจะยื้อหนานอิงเอาไว้ได้
"ได้โปรดเถิดเจ้าค่ะ ท่านป้าปล่อยข้ากลับบ้านเถิดข้าคิดถึงท่านแม่เหลือเกิน และท่านแม่เองก็คงคิดถึงข้ามากเช่นกันท่านแม่คงกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะคิดถึงข้าทั้งเป็นห่วงข้าเป็นแน่เจ้าค่ะ หรือท่านช่วยส่งข่าวให้ทางบ้านของข้าทราบแล้วมารับข้าได้หรือไม่เจ้าคะ"
ดูเหมือนว่านางเหมยเซียงจะอึกอักอยู่มาก หนานอิงสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุใดท่านป้าผู้นี้อย่างไรก็ไม่ยอมส่งนางกลับบ้าน ครั้นจะหนีก็ถูกกักขังไว้อย่างแน่นหนา
"เจ้าอย่ากลับไปเลย รอคนมารับที่นี่ดีกว่าหรือไม่ พวกเขาจะมารับเจ้าไปเงียบ ๆ แล้วเรื่องอื่นค่อยจัดการภายหลัง"
"เป็นผู้ใดหรือเจ้าคะ ท่านแม่ของข้าหรือ"
นางเหมยเซียงไม่สามารถบอกได้ จึงรับคำไปส่ง ๆ
"ใช่ ท่านแม่ของเจ้ากลัวว่าคนจะนินทาที่เจ้ามาอยู่ที่นี่บอกว่าเจ้ารักษาตัวให้ดีหายดีแล้วนางจะรีบมารับ"
หนานอิงไอออกมา นางเหมยเซียงจึงเอ็ดตะโรเสียงดัง
"เห็นหรือไม่ ข้าบอกแล้วว่าอยู่เฉย ๆ อย่าเพิ่งโวยวายเจ้าไม่คิดหรือว่าหากท่านแม่ของเจ้ามาพบเจ้าสภาพนี้เข้าจะตกใจเพียงใด เชื่อฟังข้าเถิดนะหนานอิง"
ตอนพิเศษ ลูกของข้า ความทรงจำของลู่หนิงหวังที่มีเกี่ยวกับบิดาของตนเองนั้นช่างเลือนลางจนจำไม่ได้ เขาไม่เคยรับรู้และเข้าใจความหมายของคำ ๆ นี้ จนกระทั่งเมื่อเขาได้พบเด็กชายสองคนที่มีใบหน้าคล้ายคลึงเขากับหานเซียวเป็นอย่างยิ่งเขาไม่รู้ว่าเด็กสองคนนี้เป็นบุตรของผู้ใดระหว่างเขาและหานเซียว ในยามนั้นเมื่อได้พบและคิดว่าใช่ใจของเขากลับหวาดหวั่นอย่างรุนแรง ว่าได้พบหนานอิงนั้นทำให้เขาหวาดกลัวแล้วการได้พบบุตรชายกลับทำให้ลู่หนิงหวังหวาดกลัวมากยิ่งกว่าลู่หนิงหวังรู้สึกสับสนเขากลัวว่าจะเป็นพ่อที่ไม่ดีพอให้เด็กรักใคร่และไม่รู้ต้องทำตัวเช่นไร เมื่อในยามนั้นหานเซียวส่งเด็กสองคนนี้มาสู่อ้อมแขนของเขา“หากอยากประลอง ก็ประลองกับองค์รักษ์ของข้า”ชั่วขณะนั้นที่หานเซียวชี้มาที่ตัวเขา ความรู้สึกหวาดหวั่นนั้นยิ่งรุนแรงมากขึ้นจนกระทั่งเด็กน้อยทั้งสองเดินอย่างองอาจมาหาเขาโดยไร้ความหวาดกลัวอย่างสิ้นเชิงกระทั่งมือเล็ก ๆ สองข้างกำลังจับจูงมือของเขาคนละข้าง ในยามนั้นพลันเกิดเหงื่อชื้นขึ้นที่ฝ่ามือ ความรู้สึกไหลเวียนไปจนทั่วร่าง แต่ที่แปลกประหลาดคือความรู้สึกสับสนนั้นกลับหายไปในที่สุดมือของเขาสั่นเทาอยู่
ตอนพิเศษ อยากมีอีกเยอะ ๆในตอนที่หนานอิงกำลังชงชาโดยมีอาโจวคอยช่วยเหลืออยู่นั้นขันทีก็รีบเดินกึ่งวิ่งเข้ามารายงาน“ทูลหนานเฟย ฝ่าบาททรงว่าราชการเสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”หนานอิงยิ้มแล้วกล่าวว่า“ดียิ่ง ว่าแต่ว่าเหตุใดเจ้าจึงดูร้อนรนยิ่งนัก”“ทูลพระหนานเฟย ท่านอาจารย์ให้กระหม่อมมาทูลว่ามีคนถวายฎีการ้องเรียนเกี่ยวกับองค์ชายทั้งสองที่ทรงแกล้งบุตรชายของท่านราชครูขอรับ แต่ฝ่าบาทเอาแต่เข้าข้างองค์ชายจึงอยากให้หนานเฟยช่วยทูลฝ่าบาทเรื่องนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”หนานอิงหุบยิ้มโดยทันใด บุตรชายของนางทั้งสองบัดนี้กลายเป็นองค์ชายใหญ่ลู่หานและองค์ชายรองลู่โหยวที่มีพระอาจารย์อ้ายเจิงเป็นคนลงมือสั่งสอนกับมือ เหตุใดจึงได้ไปกลั่นแกล้งบุตรชายของท่านราชครูซึ่งเป็นสหายเรียนด้วยกันได้อันที่จริงก็พี่น้องกันทั้งนั้น ด้วยบุตรชายของท่านราชครูก็คือหลานของนางเอง ด้วยภายหลังมานี้พี่สาวฝาแฝดของหนานอิงนั้นด้วยความรักตัวกลัวตายหลังจากสกุลหนานล่มสลาย นางทั้งสองก็รีบดีดตัวออกจากสกุลหนานโดยไม่คิดข้องเกี่ยวอีกกระทั่งการที่ฮูหยินใหญ่มารดาของพวกนางถูกหนานอิงจัดการพี่สาวทั้งสองก็ยังได้แต่เอ่ยคำว่าอมิตาพุทธไม่คิดแค้นก่อกรรมทำเข็ญต่อไป
ตอนพิเศษ ยามเมื่อฟื้นคืนทุกอย่างเปลี่ยนผัน ดอกเหมยในลานกว้างเบ่งบานและร่วงหล่นตกกระทบร่างสูงของบุรุษกลุ่มหนึ่งที่เดินฝ่าความมืดมิดโดยมีเพียงแสงโคมนำทางเล็ก ๆ คอยส่องกระทบพื้นบุรุษผู้หนึ่งอยู่ในชุดคลุมยาวสีดำปักลายมังกร ใบหน้าคมคายหล่อเหลานัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้า แม้ว่าใบหน้านั้นคล้ายจะอมทุกข์และให้ความรู้สึกสูงส่งและเย็นเยียบ อีกทั้งให้กลิ่นอายของความเหี้ยมโหดเอาเสียดื้อ ๆบุรุษผู้นั้นสูดลมหายใจเข้าลึกสูดดมความหอมของกลิ่นบุปผาเข้าปอด นานแล้วที่เขาไม่เคยได้ทำเช่นนี้ คล้ายกลับว่าความหวังอันลางเลือนของเขาพลันกลับมาชัดเจนอีกครั้ง“ฝ่าบาทระวังพ่ะย่ะค่ะ”อดีตพ่อบ้านจวนอ๋องบัดนี้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งกงกงคนสนิทของเขา แม้จะไม่ได้ผ่านพิธีการตอนดั่งเช่นกงกงผู้อื่นแต่เมื่อเขาต้องการก็มิกล้ามีผู้ใดปริปากลู่หนิงหวังก้าวเท้าเร็วกระทั่งไปถึงหน้าตำหนักแห่งหนึ่ง เมื่อผลักประตูเข้าไปด้านในก็พบอ้ายเจิงและหมอหลวงหัตถ์เทวดาอ้ายเสิ่นบิดาของเขารออยู่ด้านในคนทั้งสองทำความเคารพเขา ลู่หนิงหวังยกมือขึ้นห้าม“ไม่ต้องมากพิธี ข้ากับพวกท่านข้าขอเถิด”ถึงเขาจะเป็นฮ่องเต้ของคนในใต้หล้า ลู่หนิงหวังก็ขอสักที่ท
หนานอิงพยักหน้า จุมพิตปลายคางของหานเซียวอย่างมีความสุขที่ผ่านมาล้วนเป็นนางที่เลี้ยงดูเด็กทั้งสองเพียงลำพัง การคิดตัดสินใจก็ล้วนเป็นนางที่ชี้นำ ในยามนี้การมีหานเซียวเคียงข้างทำให้หัวใจของหนานอิงอบอุ่นยิ่งกว่าจะออกจากห้องก็ฟ้ามืดแล้ว เด็กสองคนบัดนี้วิ่งเข้ามาหานางเหงื่อของพวกเขาโทรมกาย เสื้อผ้าเต็มไปด้วยฝุ่น ฝ่ามือห้อเลือดเล็กน้อยทั้งยังวิ่งเข้ามาร้องไห้โฮกอดขานางพลางฟ้องเสียงสั่น“ท่านแม่ท่านลุงผู้นั้นฝึกวรยุทธ์ให้ข้า ยังให้ข้านั่งท่าม้าอะไรก็ไม่รู้อยู่หลายชั่วยาม เขายังถือไม้จะตีข้าด้วย ป้ายของท่านพ่อเขาก็เอาไปบอกข้าและน้องชายอ่อนแอ ไม่คู่ควรที่จะห้อยมัน”คนผู้นั้นทำหน้าเย็นชา เอ่ยคำหนึ่ง“เป็นบุรุษเรื่องนี้เล็กน้อยยิ่ง ยังร้องไห้งอแงราวเด็กทารก เป็นเช่นนี้จะปกป้องผู้ใดได้”หนานอิงได้ยินเช่นนั้นตกใจยิ่ง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันควัน"นายน้อยองครักษ์ของท่านผู้นี้ เหตุใดทำให้ลูกชายข้าเจ็บตัวเช่นนี้ การประลองกับเด็กท่านควรออมมือให้มากมิใช่ทำให้พวกเขาบาดเจ็บ ข้าไม่ยอมท่านต้องจัดการเขาให้ข้าด้วย"“อิงอิงเจ้าใจเย็น ๆ ก่อน เขาคงไม่ได้ตั้งใจ”หานเซียวทำท่าประหลาด ทั้งยังมองคนของตนด้วยสายต
หนานอิงน้ำตาไหลพราก เมื่อเห็นว่ามารดาร้องไห้เด็กทั้งสองรีบวิ่งเข้ามากอดหนานอิงกอดลูกร้องไห้ นานหลายปีแล้วตั้งแต่บุตรชายฝาแฝดเกิดมาที่นางไม่เคยหลั่งน้ำตาอีก"ท่านแม่ท่านร้องไห้ทำไม ท่านลุงหนวดยาวผู้นี้ทำร้ายท่านหรือ ข้าจะตีเขาให้อย่าร้องนะขอรับ"หนานอิงปาดน้ำตา หานเซียวชี้ที่ตัวเอง"ข้ามิได้รังแกแม่ของเจ้า ข้าไม่มีวันทำเช่นนั้น"หนานอิงยิ้มให้เด็กชายทั้งสอง ก่อนจะส่งเด็กน้อยให้แม่นางเหมยเซียง"ข้าไม่ไป ข้าจะสั่งสอนลุงหนวดยาวผู้นี้ที่กล้ารังแกท่าน"หานเซียวอยากจะหยิกแก้มเด็กน้อย อยากจะโอบกอดพวกเขาแต่สองคนนี้ถือตัวและเหย่อยิ่งเป็นอย่างยิ่ง"อย่ามาแตะข้า คนแปลกหน้ามาประลองกัน"หนานอิงเอ่ยเสียงดุ"ไปอยู่กับท่านยาย แม่มีธุระจะสนทนากับคนผู้นี้"ได้ยินเสียงดุของหนานอิงเด็กทั้งสองถึงกับคอตก"ขอรับ"รับคำพร้อมกันแล้วหันหลังเดินไปหาแม่นางเหมยเซียง หานเซียวจึงเอ่ยขึ้น"หากเจ้าอยากประลอง นั่นคือองครักษ์ของข้าเจ้าประลองกับเขาได้ หากชนะจะให้ข้าทำสิ่งใดก็ได้""จริงหรือขอรับ"เด็กสองคนหันมาแล้วเอ่ยพร้อมกันหานเซียวพยักหน้า องครักษ์ผู้นั้นจึงถูกเด็กถือตัวทั้งสองยอมแตะต้องตัวเขาแล้วลากจูงไปข้างนอกเพื่
หานเซียวและองค์รักษ์ของเขาแอบตามเด็กน้อยอย่างเงียบเชียบ เห็นเด็กสองคนนี้ถูกแยกออกมาจากเด็กผู้อื่นและมีอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาคอยสอนให้เป็นพิเศษก็เกิดสงสัยเป็นอย่างยิ่งเป็นถึงหลานของแม่นางเหมยเซียง เหตุใดจึงไม่ให้มาเรียนที่สำนักศึกษาทั้งที่มีเงินทองมากมายปานนั้น เขารอจนกระทั่งเด็กทั้งสองออกมาแล้วจึงแสร้งไปตีสนิทเพื่อพูดคุยด้วย"ท่านแม่บอกว่าห้ามพูดกับคนแปลกหน้า ข้าไม่บอกท่านหรอกอย่ามาหลอกเด็กเลย"กล่าวจบพวกเขาก็วิ่งด้วยฝีเท้าที่เร็วยิ่ง องครักษ์ทั้งสองต่างมองหน้ากันเด็กสองคนนี้เป็นวรยุทธ์แต่ผู้ใดกันแน่ที่เป็นผู้สอนพวกเขาตามเด็กมาจนถึงหอนางโลมเด็กทั้งสองปีนกำแพงกลับเข้าไปดังเดิมมีบางสิ่งบางอย่างหล่นออกมาจากสาบเสื้อ ด้วยความเป็นเด็กจึงไม่ทันระวัง องครักษ์ผู้หนึ่งก้มลงเก็บของกำลังจะอ้าปากบอกพวกเขาแต่สิ่งที่อยู่ในมือช่างคุ้นตาเป็นอย่างยิ่งคนทั้งคู่ต่างตกตะลึงแล้วพวกเขาตามเด็กเข้าไปในหอนางโลม ขอพบแม่นางเหมยเซียงเป็นการด่วนและถามเรื่องเกี่ยวกับเด็กอย่างตรงไปตรงมาแม่นางเหมยเซียงคิดว่าคนพวกนี้ไม่กลับไปง่าย ๆ แน่ จนกว่าจะได้คำตอบจึงเอ่ยว่า"นายท่านองครักษ์อย่าได้คิดมากไปเจ้าค่ะ แม่ของเด็
หลายเดือนต่อมาคนของอ้ายเจิงเร่งรุดไปแจ้งว่าหนานอิงคลอดบุตรแล้วแต่เมื่ออ้ายเจิงเร่งออกมาพบนางเขากลับพบเพียงความว่างเปล่าอยู่ที่คฤหาสน์ที่เขาจัดเตรียมไว้ หนานอิงหายไปอย่างไร้ร่องรอยทิ้งเพียงจดหมายฉบับหนึ่งเอาไว้ข้ากับลูกที่ผ่านมาขอบคุณท่านมาก ต่อไปพวกเราขอใช้ชีวิตตามลำพังเถิด อ้ายเจิงปวดหัวเป็นอย่างยิ่ง เขาจะทำเช่นไรดีเล่าครานี้ ทำเมียกับลูกผู้อื่นหายเช่นนี้ครานี้แม้แต่หัวคงไม่อาจรักษาเอาไว้ได้ที่ผ่านมาหนานอิงเองก็เชื่อฟังมาตลอดมิใช่หรือ แต่เหตุใดครานี้จึงหายไปโดยไม่บอกกล่าวกันเช่นนี้กระทั่งหลานเป็นชายหรือหญิงเขาเองก็ยังไม่รู้ สตรีผู้นี้ทำให้อ้ายเจิงปวดหัวแล้วอ้ายเจิงออกติดตามหาหนานอิงแทบจะพลิกแผ่นดิน แต่กลับไม่พบแม้คนของเขาจะมีอยู่มากมายแต่เขาลืมไปว่ามือสังหารของเขาล้วนเป็นสตรีหนานอิงได้รับคำสั่งแต่งตั้งจากลู่หนิงหวังให้เป็นหัวหน้ามือสังหาร แน่นอนว่าคนพวกนั้นย่อมรับคำนั่งนางและไม่ยอมปริปากบอกที่ซ่อนของนางให้ผู้ใดรู้อ้ายเจิงจึงต้องคลำทางประดุจคนตาบอด ค้นหาตัวนางด้วยตนเอง ลู่หนิงหวังมีโทสะแล้ว เขาสั่งให้คนวาดภาพเหมือนหนานอิงประกาศหาตัวไปทั่วแคว้น หากผู้ใดจับได้จะมีรางวัลเพราะส
หนานอิงเดินเหม่อลอยมาเรื่อย ๆ นางมิได้ใช้มีดสั้นที่ลู่หนิงหวังและหานเซียวแล้วจึงเก็บเอาไว้ในหีบอย่างดี แต่นางยังพกหยกติดกายอยู่ตลอดเวลาหนานอิงรู้สึกหิวเล็กน้อยพบร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ตรงหน้าจึงเดินเข้าไปสั่งก๋วยเตี๋ยวมาชามหนึ่ง กินอย่างซึมกะทือไร้ชีวิตจิตใจกินไปได้เพียงสองสามคำกลับรู้สึกอยากอาเจียนเป็นอย่างยิ่งหนานอิงจ่ายเงินวิ่งไปอาเจียนที่ข้างกำแพง ศีรษะมึนเล็กน้อยนางนั่งลงรอจนกระทั่งตนเองรู้สึกดีขึ้นจึงคิดว่าตนเองคงเครียดไปจึงเกิดอาการประหลาดหลายวันต่อมาอาการของหนานอิงกลับไม่หายไป แต่นางอดทนและฝืนตนเองเอาไว้นางพบลู่หนิงหวังในยามที่เขามาฝึกซ้อมยิงธนู หนานอิงกลายเป็นองครักษ์ของเขาเต็มตัวจึงต้องคอยอยู่ข้างเขาตั้งแต่เข้าวังมาลู่หนิงหวังเห็นใบหน้าของนางซีดเซียวแรงของลูกศรที่ปักลงตรงเป้าดูเบากว่าเดิมจึงเอ่ยเสียงเย็น"มีตำแหน่งเป็นถึงองครักษ์ของฮ่องเต้แต่กลับปล่อยให้ตนเองไม่สบาย มีโทษโบยสามสิบไม้"อ้ายเจิงถอนหายใจ เขาเอ่ยเบา ๆ "ฝ่าบาทอย่าทรงแกล้งนางเลย"ลู่หนิงหวังเพียงเอ่ยว่า"เห็นวาจาของฮ่องเต้เป็นคำล้อเล่นหรือ ชิชะท่านเสนาบดีผู้นี้คิดจะแข็งข้อกับข้าหรือ"อ้ายเจิงมิได้กลัวเขาอยู่แล้ว
บทที่ 140 ตอนพิเศษ เหตุการณ์หลังความตายของหานเซียวพิธีศพของหานเซียวถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายและยังถูกปิดบังมิให้ผู้ใดรู้กระทั่งฝ่าบาทเองด้วยบัดนี้ภายในวังยุ่งเหยิงเป็นอันมาก ลู่หนิงหวังหลังจากจัดการกับกบฏองค์รัชทายาทถูกขับออกไปยังชายแดนทั้ง ๆ ที่ร่างกายพิการแขนขาดตาบอดบัดนี้เหตุการณ์สงบสุข ลู่หนิงหวังเองได้กวาดล้างคนขององค์รัชทายาทจนไม่มีผู้ใดกล้าก่อความไม่สงบเพียงแต่ครานี้หาได้ฆ่าคนดั่งเช่นที่เคยเกิดขึ้นอย่างเช่นในรัชสมัยก่อน ขุนนางให้ปลดจากตำแหน่งส่งไปชายแดนอันกันดารเพื่อใช้แรงงานรวมทั้งเด็กชายอายุสิบสองขวบขึ้นไปสตรีและเด็กต่ำกว่าสิบสองขวบให้ไปเป็นชาวนาปลูกข้าวให้ราชสำนักห้ามมิให้ทายาทถัดไปอีกสิบรุ่นรับราชการหรือประกอบอาชีพอื่น แม้จะถูกคัดค้านว่าอาจทำให้คนพวกนี้หาทางกลับมาแก้แค้นลู่หนิงหวังกลับหาได้สนใจ"ไม่ว่าจะฆ่ามากเท่าใดคนคนพวกนี้คิดการใหญ่อย่างไรก็ต้องหาทางกลับมาล้างแค้น เขาสังหารคนมามากในสงครามย่อมรู้ดีว่าการฆ่ามิใช่ทางออกสำหรับผู้บริสุทธิ์"คนสกุลหนานที่ยังหลงเหลือบัดนี้มาคุกเข่าที่หน้าจวนขอร้องให้หนานอิงช่วยชีวิตพวกเขา บ่าวไพร่ที่เคยดีต่อหนานอิงอาฉีจัดการตามสัญญาปล่อยพวก