Masukวันต่อมา
วันนี้มีการลงพื้นที่สำรวจหน้างานจริง ทั้งสภาพแวดล้อมและปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ รวมถึงการประชุมวางแผนร่วมกับตัวแทนจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ แต่ซีลีนไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อยว่าใครจะเป็นตัวแทนจากฝั่งนั้น เพราะเธอไม่ได้คิดจะไปประชุมอยู่แล้ว
หลังจากที่เมฆโทรมาเมื่อคืน เธอก็ได้ตกลงแบ่งหน้าที่กันเอาไว้แล้วว่าให้เขาเข้าประชุม ส่วนเธอขอออกมาสำรวจพื้นที่แทน และในเช้าวันนี้ เธอก็มาลงพื้นที่ด้วยตัวเองเพียงลำพัง เพราะเธอไม่อยากวุ่นวายกับใคร และการสำรวจพื้นที่จริงแบบนี้ เธอเชื่อว่ามันจะช่วยให้งานในส่วนของเธอสามารถมองภาพได้ชัดเจนและตรงตามความต้องการของคนในพื้นที่มากกว่า
“ร้อนชะมัด”
ร่างบางในชุดนักศึกษาพอดีตัวกับกระโปรงทรงเอสีดำยาวถึงข้อเท้าที่ดูเรียบร้อยหากมองผิวเผินจากทางด้านหลัง ทว่าหากหันกลับมา กลับเผยให้เห็นรอยผ่าแหวกสูงข้างลำตัวจนถึงต้นขาอ่อน อวดเรียวขาเรียวยาวทุกครั้งที่ก้าวเดิน
ซีลีนเดินสำรวจพื้นที่มาตั้งแต่เช้า จนถึงช่วงสายของวัน แสงแดดแรงจัดจนเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้า ผิวขาวเนียนของเธอเริ่มขึ้นสีชมพูระเรื่อตามอุณหภูมิที่พุ่งสูงขึ้น ร่างบางหยุดพักใต้ร่มไม้ใหญ่ริมคลองข้าง ๆ กับสะพานเก่าที่ทรุดโทรมจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม
ดวงตากลมโตของเธอกวาดมองไปรอบบริเวณ มันดูเงียบ ไม่มีเสียงรบกวน มีเพียงเสียงใบไม้เสียดสีกันเบา ๆ กับลมที่พัดผ่านร่างบางไปถึงแม้พื้นที่โดยรวมจะเต็มไปด้วยบ้านเรือน แต่การสัญจรกลับเงียบเหงา อาจจะเป็นเพราะสะพานตรงนี้ไม่สามารถใช้งานได้ปกติ ทำให้คนส่วนใหญ่ไปใช้สะพานข้ามคลองในจุดที่ไกลกว่าแทน
หญิงสาวล้วงสมุดสเก็ตซ์ในกระเป๋าผ้าใบเล็กออกมา เปิดหน้าว่างอย่างรวดเร็ว แล้วนั่งลงบนขอนไม้เก่า ๆ ใกล้สะพาน ก่อนจะเริ่มลงมือจดรายละเอียดและสเก็ตซ์ภาพด้วยความตั้งใจ
รอยยิ้มบางผุดขึ้นที่มุมปากในจังหวะที่เส้นดินสอเริ่มลากผ่านบนกระดาษ เพราะทันทีที่เหยียบยืนในพื้นที่ตรงนี้ เธอก็มองเห็นภาพของสะพานในแบบที่ต้องการอย่างชัดเจน
เสียงเครื่องยนต์ Porche Panamera AllBlack ของคันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาจอดในลานดินใกล้สะพานเก่า ตามมาด้วยรถบิ๊กไบค์สีดำ BMW R18 ROCTANE ที่ของเจ้าของร่างสูงกำลังขับเคลื่อนเข้ามา
“ไอ้ลม เร็วดิวะมันร้อน”
เสียงเครื่องยนต์ดับลงพร้อมประตูรถที่เปิดออก ตามมาด้วยเสียงของเดย์ที่ถูกเพื่อนสนิทลากมาอย่างไม่เต็มใจตะโกนให้ลมก้าวตามเขามาทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ถอดหมวกกันน๊อค
“ร้อนก็เหี้ยละ มึงขับรถยนต์”
ลมก้าวลงจากเบาะรถบิ๊กไบค์คันโปรดอย่างไม่รีบร้อน ก่อนจะถอดหมวกกันน๊อคออก แล้วกวาดสายตามองไปรอบพื้นที่เพื่อประเมินสภาพและทำเลเบื้องต้น เขาเอี้ยวคอมองสะพานเก่าที่ทรุดโทรม จนเหล็กโครงสร้างบางจุดโผล่พ้นผิวปูนออกมา
“เก่าฉิบหาย”
ลมพึมพำเบา ๆ เหมือนพูดกับตัวเอง แต่ดังพอที่ทุกคนจะได้ยิน กะว่าจะเริ่มจดรายละเอียดทันที แต่สายตากลับไปสะดุดเข้ากับร่างบางในชุดนักศึกษาและผมสีบอนด์สลวยเด่นที่นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้หัวสะพานแทน
ภาพของหญิงสาวที่เขาคุ้นตาดี เพราะช่วงนี้รู้สึกว่าจะได้เจอกันบ่อย ๆ กว่าปกติ สายตาคมมองหญิงสาวที่กำลังก้มสเก็ตซ์ภาพอย่างตั้งใจจนแทบจะไม่รู้สึกตัวเลยว่าตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ลำพัง ก่อนที่คิ้วเข้มจะขมวดเข้าหากันเพราะรอยผ่าแหวกของกระโปรงตัวยาวที่แหวกจนเผยให้เห็นเรียวขาขาวเนียนยามที่เธอขยับ ‘ถ้าจะแหวกขนาดนี้จะใส่กระโปรงยาวตั้งแต่แรกทำไมวะ’
“ซีลีน”
เมฆเอ่ยเรียกเพื่อนสนิทเสียงดังพอประมาณ ทำให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหันมองไปยังต้นเสียงแล้วกวาดสายตามองพวกเขาทีละคนพร้อมกับเก็บดินสอและสมุดร่างในมือ
“มากันตั้งแต่เมื่อไหร่”
เสียงหวานเอ่ยถามเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าทำเมฆถึงมากับคนพวกนี้ได้ โดยเฉพาะใครบางคนที่เธอไม่อยากเจอ แต่กลับเจอกันบ่อยเหลือเกิน
“พอดีเราประชุมทีมเสร็จเร็ว เลยแวะมาสำรวจพื้นที่ต่อ แล้วนี่ก็ลมกับเดย์ตัวแทนจากวิศวะ เขาอยากมาดูหน้างานเราเลยมากับพวกเขา”
ซีลีนพยักรับ ก่อนจะปรายตามองชายหนุ่มที่กำลังยืนพิงเสาเหล็กใกล้ ๆ พบว่าเขากำลังจ้องมองเธออยู่ แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร เสียงเครื่องยนต์รถบรรทุกคันเล็กก็ดังใกล้เข้ามา จนบทสนทนาระหว่างเธอกับเพื่อนต้องหยุดลง
“คุณซีลีนใช่มั้ยครับ! ผมเอาซุ้มคีออสมาส่ง ให้ตั้งตรงไหนดีครับ!”
รถบรรทุกขนาดเล็กจอดเทียบตรงลานโล่งใกล้สะพาน ก่อนที่คนขับจะตะโกนถามเสียงดัง
“เธอสั่งตู้มาทำอะไร”
เมฆหันมามองเพื่อนสนิทตัวเองสลับกับตู้คีออสสีขาวขนาดประมาณสามคูณสี่เมตรอย่างงง ๆ
“ก็เอาไว้นั่งทำงานไง จะได้ไม่ต้องตากแดดตากลมอยู่แบบนี้ กว่างานจะเสร็จผิวเสียหมดก่อนพอดี”
คนตัวเล็กพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเหมือนเป็นเรื่องปกติสุด ๆ ทำเอาเดย์ที่มองเหตุการณ์อยู่หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
“เรื่องมาก ตั้งแต่ยังไม่เริ่มงาน”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอียงคอมองตู้ที่กำลังถูกยกลงจากรถ แล้วหันมาปรายตามองเธออีกครั้ง
“สั่งตู้มาขนาดนี้ คงคิดจะอยู่สร้างบ้านอยู่ที่นี่เลยหรือไง”
“แล้วไง ฉันแค่ใช้พื้นที่ว่างตรงนี้ เพื่อจะได้ทำงานสะดวกมากขึ้น”
ซีลีนยักไหล่ อย่างไม่คิดจะสนใจว่าใครจะว่าเธอเรื่องมากยังไง เพราะเธอยึดหลังเอาตัวเองสบายใจไว้ก่อน แล้วตู้นี้เธอใช้เงินตัวเองไม่ได้ใช้งบของมหาวิทยาลัยซื้อมาซะหน่อย
“พื้นที่ว่าง ก็ใช่จะเป็นสิทธิ์ของคุณคนเดียวหรือเปล่า”
“แล้วเป็นสิทธิ์ของคุณเหรอ?” เธอเลิกคิ้วขึ้น
“เหอะ! ให้งานมันออกมาดีจริงสมกับความเรื่องเยอะก็แล้วกัน ไม่ใช่มาเดินสวยไปวัน รำคาญตา!”
“ชิส์”
เมฆกับเดย์มองหน้ากันแบบกลั้นขำ ส่วนลมเพียงไหวไหล่อย่างไม่สะทกสะท้าน แต่ยังไม่ทันที่คนขับรถตู้จะขยับรถออกไป เสียงเครื่องยนต์ของรถบรรทุกอีกคันก็ดังเข้ามาแทน
ชายหนุ่มหันมองพร้อมกันอีกครั้ง ก่อนจะเห็นว่าด้านหลังกระบะมีแผ่นหินทางเดินเรียงซ้อนกันสูงหลายชั้นคล้ายจะเป็นทางเดิน
“คุณซีลีนใช่มั้ยครับ! หินทางเดินที่สั่งไว้มาส่งแล้ว”
คนขับตะโกนถามเหมือนกลัวส่งผิดคน ทุกคนหันขวับไปที่ซีลีนเกือบพร้อมกัน เมฆขมวดคิ้ว
“นี่เธอสั่งแผ่นหินมาด้วยเหรอ?”
ซีลีนก้าวเข้าไปดูด้วยสีหน้าเป็นปกติ ก่อนจะจรดปากกาเซ้นรับ ของที่กำลังทยอยมาส่ง
“ก็จะปูเป็นทางเดินจากตู้ไปถึงสะพานไง ฉันไม่เดินบนดินเลอะ ๆ แน่”
“นี่จะมาลงพื้นที่สร้างสะพานหรือเปิดรีสอร์ตกันแน่”
ลมยืนกอดอกมองเธออยู่ครู่หนึ่ง สายตาเหมือนกำลังประเมินว่าเธอพูดจริงหรือแค่เล่น แล้วก็ส่ายหัวไปมาช้า ๆ
“เรื่องของฉัน”
“เยอะ”
คำเดียวสั้น ๆ แต่ทำเอาร่างบางแทบอยากจะพุ่งไปหยุมหัวคนตรงหน้า ซีลีนเหลือบตามองคนตัวโตที่กำลังว่าเธอครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่ที่มาถึง
“เยอะแล้วไง”
“เปล่า” เขาตอบเรียบ ๆ
“แค่ไม่เคยเจอใครลงพื้นที่ทำงาน แต่เท้ากับแตะพื้นไม่ได้”
“ฉันมาออกแบบกับวาดแบบ ไม่ได้มาช่วยผู้ประสบภัยทำไมต้องทำตัวเองให้ลำบาก”
“งั้นก็หวังว่าตู้เท่ารังหนูกับทางเดินนี่จะช่วยให้สะพานสร้างเสร็จเร็วขึ้นนะ”
“ช้าหรือเร็วไม่รู้ แต่มันช่วยให้ฉันทำงานได้โดยไม่อารมณ์เสีย แล้วก็ไม่ต้องเห็นหน้านาย ก็นับว่าคุ้ม”
เธอตอบทันควัน ก่อนจะหันไปบอกคนงานให้จัดการปูหินต่อ เมฆมองภาพตรงหน้าแล้วยิ้มบาง ๆ ส่วนเดย์กระซิบกับลมเบา ๆ
“มึงเจอของจริงแล้ววะ ฮ่า ๆ”
ลมทำเพียงไหวไหล่ แต่สายตายังจับอยู่ที่ซีลีนเหมือนอยากดูต่อว่าผู้หญิงแบบนี้จะไปสุดที่ตรงไหน
คนงานเริ่มยกแผ่นหินลงจากรถ เสียงกระทบกันดังเป็นจังหวะ ฝุ่นดินฟุ้งขึ้นเล็กน้อยตามแรง คนตัวเล็กรีบยกมือปิดจมูกก่อนจะเริ่มเดินหนีออกไป
“คงรอดหรอกสะพานกู แดดก็ไม่อยากโดน ฝุ่นก็ไม่เข้าใกล้”
ซีลีนเลือกจะไม่ตอบโต้ แค่เดินเลี่ยงไปอยู่ใต้ร่มไม้เพียงลำพัง มือหนึ่งกางสมุดสเก็ตซ์ที่วาดค้างทิ้งไว้ขึ้นมาร่างต่ออย่างตั้งใจ
“ถ้างั้นเดียวไปซื้อน้ำมาให้แล้วกัน”
“เดียวไปช่วย”
เมฆเดินออกไปยังร้านค้าในชุมชน พร้อมกับเดย์ที่เดินตามหลังมาไม่ห่างเพื่อไปช่วยกันซื้อน้ำมาให้อีกสองคนที่เหลือ
ลมที่ยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าวเหลือบเห็นว่าแดดบ่ายเริ่มแรงจนเส้นผมบลอนด์ของเธอสะท้อนแสงจ้า เขาหยุดมองเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะเดินอ้อมไปอีกฝั่งที่แสงแดดกำลังสาดส่องเข้าหน้าเธอ แล้วหยุดยืนซ้อนแผ่นหลังร่างบางให้เงาตัวเองบดบังแสงอาทิตย์ที่สาดลงบนกระดาษสเก็ตซ์ของเธอพอดี
“จะตามมาว่าอีกหรือไง”
ซีลีนเอ่ยเสียงนิ่งแต่ตาเหลือบมองเขา ก่อนจะก้มหน้าวาดแบบร่างของตัวเองออกไป
“เห็นปากเก่ง อยากรู้ว่างานจะออกดีเหมือนปากไหม”
เขาพูดเรียบ ๆ พลางกวาดตามองหน้ากระดาษ เหมือนจะสนใจงานในมือบางมากกว่า แม้งานร่างที่คนตัวเล็กวาดก็ยังมองไม่ออกเท่าไหร่ และถ้าดูจากรายละเอียดที่โน๊ตเอาไว้ก็นับว่าเธอเก็บรายละเอียดงานได้ดีมากทีเดียว
“จากขนาดของสะพานเดิม คิดว่าต้องปรับขนาดของสะพานให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและแข็งแรงขึ้น”
เสียงหวานเอ่ยออกมาแผ่วเบาโดยไม่ได้หันกลับมามองคู่สนทนา
“อืม”
เขาพยักหน้าช้า ๆ เหมือนไม่ใส่ใจนัก แต่ก็ไม่ได้ขยับหนีไปไหน ก่อนที่เพื่อน ๆ ของเขาจะเดินกลับมาพร้อมขวดน้ำยื่นให้
“น้ำเย็น ๆ คลายร้อน”
ซีลีนรับน้ำมาแล้วดื่ม แต่ก็อดเหลือบตากลับไปทางร่างสูงที่ยังยืนนิ่ง ๆ อยู่ข้าง ๆ ไม่ได้ ทั้งสี่คนเริ่มออกทำสำรวจความต้องการของคนในพื้นที่เพื่อเก็บมาเป็นข้อมูลในการเริ่มดำเนินโปรเจกต์ เพราะหากจะต้องสร้างสะพานก็ควรถามความต้องการของคนที่ใช้จริง
“ข้อสรุปเบื้องต้น คือขนาดของสะพานที่สอดคล้องกับการใช้งานจริงให้เป็นขนาดมาตรฐานที่รถสามารถสัญจรไปมาได้สะดวก”
“งั้นเดียวสร้างไลน์กลุ่มไว้ มีอะไรจะได้คุยกันเรื่องความคืบหน้า”
“อืม”
หลังจากสำรวจพื้นที่และจัดการงานยิบย่อยกันเสร็จ ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกลับ เมฆกับเดย์ขับรถออกไปก่อน ส่วนซีลีนเก็บสมุดสเก็ตลงกระเป๋าแล้วเดินเลาะทางดินกลับไปที่รถของตัวเอง
ลมไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม เพียงยืนพิงเสาเหล็กมองตามร่างเล็กที่ก้าวขึ้นรถไปอย่างสบายใจ ริมฝีปากหยักเผยรอยยิ้มบาง ๆ ที่เจ้าตัวคงไม่มีทางเห็น ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาบริษัทรับติดตั้งตู้คอนเทนเนอร์ทันที
“เอาตู้ขนาด 20 ฟุต มาลงให้หน่อยเดียวส่งพิกัดให้อีกที ขอแบบติดตั้งแอร์พร้อมใช้งานนะครับ”
ฝ่ามือหนาที่กำลังจะกดวางสาย ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเดินเหยียบ บนแผ่นหินทางเดิน ก่อนจะลอบถอนหายใจเบา ๆ แล้วเอ่ยบอกกับปลายสายอีกครั้ง
“หาคนมาเทปูนทำพื้นทางเดินให้ผมด้วย ค่าใช้จ่ายเบิกมาได้เลย”
เสียงเครื่องยนต์ดังคำรามตลอดเส้นทาง ลมขับรถตรงดิ่งไปที่คณะ ใบใบหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์นัก แต่ความคิดในหัวกลับตีกันวุ่นวาย ต่าง ๆ นานา คิดถึงแต่ใครบางคนที่หายไปตั้งแต่เช้าไม่นาน แมคเคลเรล720S All Black คันคุ้นเคยก็เลี้ยวเข้าไปในลานจอดรถคณะวิศวะฯ ก่อนที่ร่างสูงจะเดินจากรถตรงไปยังกลุ่มเพื่อนที่กำลังนั่งรวมกันใต้ต้นไม้ใหญ่ทุกคนได้แต่ชะงักและหันมามองแทบพร้อมกัน เสียงฮือฮาของผู้คนรอบข้างดังขึ้นทันทีเมื่อเห็นหนุ่มฮอตปรากฏตัว โดยเฉพาะพวกสาว ๆ ที่ดูจะกรี้ดกร้าดเป็นพิเศษ เพราะตั้งแต่ที่มีโปรเจกต์ลมก็ไม่ค่อยได้เข้าคณะเลย“เฮ้ย ไอ้ลม! มาได้ไงวะ ปกติมึงน่าจะอยู่ที่ไซต์”“หน้าเครียดเชียว กูว่าต้องมีเรื่องแน่ ๆ”เสียงทุ้มของเดย์เอ่ยถามทันที เมื่อเห็นว่าใครกำลังเดินเข้ามา ตามด้วยเสียงของไนท์ที่หันไปมองตามเสียงของแฝดตัวเองลมเดินเข้ามาหย่อนตัวลงนั่งบนม้านั่งไม้ กวาดตามองพวกมันทีละคน เสยผมขึ้นด้วยท่าทีหงุดหงิด“กูมาหาพวกมึงไม่ได้หรือไง”เขาพูดเสียงเรียบ ก่อนเอนหลังพิงพนัก มือยกโทรศัพท์ขึ้นไถ่ฟีดเลื่อนไปมาอย่างหงุดหงิด เพราะไม่รู้จะไปตามหาอีกคนที่ไหน เขาเลยตัดสินใจขับรถมาหาเพื่อน ๆ ที่คณะแทน“สรุปว
แสงแดดในช่วงสายของวันที่ลอดผ่านผ้าม่านสีเข้มเข้ามา ทำให้ลมค่อย ๆ รู้สึกตัว ก่อนมือหนาจะคว้านหาร่างบางที่เขากอดมาตลอดทั้งคืน แต่ปรากฏว่าข้างกายเขากลับว่างเปล่า มีเพียงร่องรอยยับย่นบนผ้าปูที่ยืนยันว่า เมื่อคืนเขาไม่ได้อยู่คนเดียว กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ของร่างบางยังติดอยู่บนปลอกหมอน ในเมื่อเขาเป็นคนอุ้มเธอกลับมาจากที่ไซต์งานมาต่อที่ห้องด้วยตัวเอง แต่เจ้าตัวกลับหายไปไหน“หนีไปอีกแล้วสินะ”ร่างแกร่งหยัดกายลุกเอนหลังพิงหัวเตียง มือหนาเอื้อมคว้าโทรศัพท์ที่หัวเตียง ก่อนจะเปิดเช็กบางอย่าง เพราะเขารู้ดีว่าคนตัวเล็กมักจะชอบโพตทุกอย่างไว้บนสตอรี่ ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนก็ตาม แต่เช้านี้มันกลับว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลยเรียวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ความเงียบในห้องยิ่งทำให้ความรู้สึกข้างในวาวโรจ์นขึ้นมา ลมโยนโทรศัพท์ลงบนที่นอน ร่างสูงหยัดกายลุกขึ้นนั่ง เสยผมขึ้นอย่างหงุดหงิด“ได้ฉันแล้วจะทิ้งเหรอ”เสียงทุ้มพึมพำออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอทิ้งเขาไว้คนเดียวบนเตียงแบบนี้ร่างแกร่งลุกขึ้นจากเตียงด้วยร่างกายเปื่อยเปล่าที่เต็มไปด้วยรอยแดงและการขีดข่วนจากปลายเล็บ ลมยังคงเดินหาใครบางคนจน
จูบที่เริ่มจากการรุกเร้าเบา ๆ กลับกลายเป็นไฟราคะที่ลุกโชน ริมฝีปากหนาไม่ปล่อยโอกาสให้เธอได้พัก มือใหญ่เลื่อนจากแผ่นหลังขึ้นมากดท้ายทอยเล็ก รั้งเธอให้รับแรงจูบลึกขึ้นเรื่อย ๆ“อื้อออออ”มือหนาอีกข้างเลื่อนต่ำมาทาบเอวบาง ลากปลายนิ้วไปตามสันโค้งจนเธอสั่นสะท้าน ร่างเล็กที่นั่งบนตักเผลอขยับเบียดแน่นขึ้นทุกครั้งที่เขาดึงให้เข้าใกล้“ต้องการกันไหมครับ”ลมกระซิบเสียงพร่าแนบข้างหู ก่อนจะเล็มจูบลงมาตามแนวสันกรอบหน้า สัมผัสกับผิวเนียนที่แดงจัด“ฉัน…ไม่”คำคัดค้านเอ่ยขึ้นอย่างติด ๆ ขัด ๆ เมื่อริมฝีปากร้อนผ่าวซุกลงมาตรงลำคอขาว มือเล็กเผลอเกาะบ่ากว้างแน่นเพื่อหาที่พยุง เสียงหัวเราะทุ้มพร่าเล็ดลอดจากลำคอเขา เมื่อเห็นร่างบางสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมแขน“ร่างกายเธอมันกำลังต้องการฉัน”ลมกดจูบหนักลงที่ซอกคอ ฝากทิ้งร่องรอยรักแดงสีกุหลาบอย่างไม่ยอมออมแรง ขณะมือหนาบีบเคล้นหน้าอกอวบอิ่ม มืออีกข้างก็ลูบไล้ไปตามเอวบางและสะโพกกลม จนเธอคล้อยตามไปกับสิ่งที่เขากำลังนำพาเธอไปคนตัวเล็กเริ่มหอบหายใจถี่ หน้าแดงจัดจนแทบลามไปถึงหู ทั้งร้อน ทั้งอาย แต่กลับมีเพียงเสียงครางกระเส่าที่หลุดออกมาเบา ๆ เท่านั้น“อื้มมม ลม”แต่คนตั
ลมเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับ ด้วยท่าทีไม่เร่งรีบ แต่กลับกดดันจนเธอรู้สึกเหมือนถูกบังคับกลาย ๆ ร่างบางชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะนั่งลงไปอย่างเสียไม่ได้ ทว่าประตูปิดลง กลิ่นกายอุ่นที่คุ้นเคยจากเมื่อคืนก็โอบล้อมเข้ามาในพื้นที่แคบทันทีร่างบางรีบเบือนหน้าออกไปทางหน้าต่าง เพราะกลัวจะเผลอใจสั่นจากความใกล้ชิดที่ที่เกิดขึ้น“ทำหน้าเหมือนถูกลากมาขาย”น้ำเสียงทุ้มแฝงรอยหัวเราะดังขึ้นจากเบาะข้าง ๆ ซีลีนหันขวับไปมองตาขวางทันที“แต่นายบังคับฉันมาอย่างไม่เต็มใจ”ลมเหลือบตามองเธอเพียงเสี้ยววินาที ริมฝีปากหนายกยิ้มกวน ๆ ก่อนโน้มตัว เอื้อมมือข้างหนึ่งมาดึงสายคาดเบลต์ข้ามตัวเธอแล้วกด ล็อกแน่น ด้วยท่าทีธรรมดาราวกับไม่มีอะไร แต่ใกล้ชิดกันจนลมหายใจของเขาเป่ารดต้นคอ ก่อนที่เข้าจะใช้ปลายจมูกไล้ผิวแก้มเธอเบา ๆ ทำเอาหัวใจเต้นแรงอีกครั้ง“บังคับ?” เขาทวนคำแล้วกระซิบเสียงต่ำข้างใบหู แต่ไม่ยอมขยับออกไปไหน“ฉันแค่มาตามหาคนรับผิดชอบ เพราะเมื่อคืนมีคนขโมยกอดฉันแน่นไม่ยอมปล่อย”แก้มใสของซีลีนแดงวาบขึ้นทันที เธอยกมือผลักอกเขาแรง ๆ พลางหันหน้าหนี“อย่ามาพูดบ้า ๆ นะลม!”เสียงหัวเราะทุ้มดังขึ้นในรถ เขายกมือกลับไปจับพวงมาลัยอย่
เช้าวันต่อมา แสงแดดอ่อนลอดผ่านผ้าม่านสีขาวร่ำไร ร่างสูงขยับพลิกตัวเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตา ภาพตรงหน้าคือห้องสีขาวเรียบดูสะอาดตาแต่กลับเป็นห้องที่เขารู้สึกไม่คุ้นชิน ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบมันกลับเต็มไปด้วยรายละเอียดที่บอกตัวตนเจ้าของห้องชัดเจนกรอบรูปหญิงสาวในชุดต่าง ๆ ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม และกลิ่นน้ำหอมบางเบาที่เป็นเอกลักษณ์ของใครบางคนที่เขาจำได้ดี“ปวดหัวชะมัด”เสียงทุ้มพร่าต่ำเอ่ยกับตัวเอง เขาลุกขึ้นนั่งพลางยกมือกุมขมับความหนักอึ้งจากอาการแฮงค์เมื่อคืน ยังตามมาหลอกหลอนเขาในเช้านี้ สายตาคมยังคงมองหาเจ้าของห้องที่ที่ไม่รู้ว่าหายไปไหน และเขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง“หึ ยัยคุณหนูตัวแสบ”ทว่ายังไม่ทันที่ลมจะทำอะไรต่อ ภาพเลือนรางในหัวก็ปรากฏขึ้นมาในตัวทีละน้อย สัมผัสอ่อนนุ่ม และกลิ่นกายหอมบางเบาเหมือนกลิ่นของเจ้าของห้อง อ้อมแขนที่เขาโอบรั้ง และริมฝีปากนุ่มที่เขาบดจูบซ้ำ ๆ ไม่ยอมปล่อยก็ฉายชัดขึ้นมาริมฝีปากหนายกยิ้มจาง ๆ โดยไม่รู้ตัว แต่ทันทีที่เดินสำรวจไปรอบห้องกลับไม่เจอคนตัวเล็ก ความสงสัยก็แล่นเข้ามาแทนที่“หายไปไหน”เขาพึมพำเบา ๆ ขณะทอดสายตาไปยังผ้าห่มที่พับวางเรียบร้อยข้างกันบนเ
เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยคึกคักในช่วงหัวค่ำค่อย ๆ จางหาย เหลือเพียงเสียงแมลงและสายลมยามค่ำคืนที่พัดผ่านกายแทน โต๊ะไม้ที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนและอาหาร ตอนนี้เหลือแค่แก้วเหล้ากระจัดกระจาย และทีมงานที่กำลังฟุบหน้าลงบนโต๊ะเมาหลับไปทีละคนลมเอนหลังพิงเก้าอี้ไม้อย่างทิ้งตัว ดวงตาคมแสนเจ้าเล่ห์เริ่มพร่ามัวเล็กน้อย บนตัวเต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์อบอวลคละคลุ้งจนคนตัวเล็กต้องส่ายหน้าระอา“นายเมามากแล้วนะ”ซีลีนกดถามเสียงต่ำ ขมวดคิ้วมองร่างสูงที่หมดสภาพไม่ต่างจากคนอื่น ๆ“ใครเมา ไม่มี” เขาตอบเสียงต่ำแหบพร่ายืดยาวจนฟังแทบจะไม่รู้เรื่อง ก่อนเงยหน้าขึ้นมามองช้า ๆ“สภาพแบบนี้ยังมีหน้ามาบอกว่าไม่เมา”“ฉันไม่ได้เมาสักนิด”“ยกไม่พักแบบนั้นจะเหลือเหรอ” เธอบ่นพลางดันแก้วออกห่าง เขาหัวเราะเบา ๆ สภาพของทุกคนตอนนี้ดูไม่ต่างกันเลยสักนิด“ที่ห้าม เพราะเธอเป็นห่วงฉันใช่ไหม ยัยตัวแสบ”“พูดบ้าอะไรของนายเนี่ย”เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้ ริมฝีปากหนาเฉียดแก้มเนียนใสไปเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดศีรษะเบาๆ เพื่อตั้งสติจ้องมองคนตัวเล็กด้วยแววตาพร่ามัว แต่แฝงไปด้วยจริงจังจนหัวใจของเธอเต้นแรง ใบหน้าร้อนผาวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ แต่







