เปรี้ยง!
เสียงฟ้าผ่าคำรามกึกก้อง ราวกับต้องการปลุกทุกสรรพสิ่งให้ตื่นจากความเงียบงัน
ร่างบอบบางของเด็กสาววัยสิบสามปีสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายอย่างรุนแรง ลมหายใจของนางหนักหน่วงราวกับเพิ่งถูกฉุดขึ้นมาจากห้วงน้ำลึก ดวงตาเรียวรีดั่งนัยน์ตาหงส์เบิกกว้าง ก่อนจะกะพริบถี่เพราะยังคงสับสนระหว่างความจริงและภาพฝันอันเลือนราง
ฝันนั้นอีกแล้ว...
ความทรงจำจากอดีตก่อนตายไหลทะลักเข้ามาอีกครั้งเสียงดาบปะทะ เสียงกรีดร้อง การสังหาร และกลิ่นเลือดที่ยังคงคละคลุ้งในสำนึก ราวกับจะไม่มีวันจางหาย
นางพยายามสะบัดศีรษะ ไล่ภาพอันโหดร้ายเหล่านั้นออกไปจากจิตใจ แต่กลิ่นคาวเลือดจากสนามรบในความฝันยังคงติดแน่นอยู่ในจิตวิญญาณ
อีกนานเพียงใด...ข้าถึงจะลืมเลือนกันเล่า...?
ภายนอก เรือนเล็ก ๆ ยังคงเผชิญกับสายฝนโปรยปรายไม่ขาดสาย หยาดน้ำกระทบหลังคาไม้เสียงแผ่วเบา สายลมหนาวพัดลอดเข้าทางหน้าต่างที่ปิดไม่สนิท เปลวไฟจากตะเกียงน้ำมันสั่นไหว เงาของเด็กสาวทอดยาวบนผนัง ราวกับเป็นเงาแห่งความเดียวดายที่ยากจะลบเลือน
"เหมียว!"
เสียงร้องขุ่นเคืองของแมวอ้วนตัวหนึ่งดังขึ้น มันขดตัวอยู่ข้างหมอน นัยน์ตากลมโตจ้องมองนางอย่างไม่พอใจ คล้ายตำหนิที่นางไปรบกวนการหลับใหลของมัน
"ข้าขอโทษที่รบกวนเจ้า อาจ้าน... " นางพึมพำเบา ๆ พลางยื่นมือไปลูบขนสีดำสนิทแต่กลับนุ่มมือของมัน และทอดสายตามองออกไปยังความมืดมิดเบื้องนอก
นางยังจำได้ดีถึงวันแรกที่ตื่นขึ้นมาในร่างของ หลินหลีฮวา วันนั้นนางนอกจากท่านย่าที่เดินแทบไม่ไหวคอยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้แล้วแล้วก็มีเพียงเจ้าแมวอ้วนตัวนี้ที่มานั่งเฝ้าอยู่ข้างหมอนเป็นเพื่อน
อาจ้านไม่ได้เป็นสัตว์เลี้ยงดั้งเดิมของเรือนหลังนี้ แต่นับตั้งแต่อาหลีคนเดิมเคยช่วยมันขึ้นมาจากบ่อน้ำท้ายหมู่บ้าน และแบ่งอาหารให้อย่างไม่ลังเล มันก็ไม่เคยจากเด็กสาวไปอีกเลย ในที่สุด มันก็ตัดสินใจเลือกนางเป็น 'ทาส' อย่างถาวร...โดยไม่ขอความเห็นนางแม้แต่น้อย
นางไม่รู้ว่ามันเคยมีเจ้าของมาก่อนหรือไม่ หรือมันเคยมีอดีตแบบไหนมา แต่ตั้งแต่สี่เดือนที่ผ่านมา มันไม่เคยทิ้งนางไปไหนเลยแม้แต่วันเดียว
สี่เดือนแล้ว...สี่เดือนที่นางมาเกิดใหม่ จาก หลัวจือจื่อ ท่านหญิงสูงศักดิ์แห่งเผ่าเจียง กลายเป็นเพียง หลินหลีฮวา เด็กสาวยากจนแห่งหมู่บ้านชายป่านามถงหลัวแห่งนี้
ผู้คนที่นี่เรียกนางว่า "อาหลี" มากกว่า ชื่อที่ฟังดูธรรมดา ทว่าความหมายของคำว่า หลีนั้นมาจากคำว่า"การจากลา"ดูเหมือนจะเป็นคำที่สะท้อนชีวิตของนางได้ดีนัก
ตั้งแต่แรกเกิด อาหลีต้องสูญเสียผู้เป็นมารดาไปตั้งแต่อาหลีอายุได้หนึ่งเดือน ต่อมาบิดาก็จากตามไปอีกคนเพราะถูกงูพิษกัดตอนขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร เมื่ออาหลีอายุสามขวบ และคนต่อมาที่จากไปก็คือท่านปู่ เขาสิ้นลมหายใจเพราะถูกหมีบนเขาตะปบ และเมื่อสามเดือนก่อน ท่านย่าผู้เป็นที่พึ่งสุดท้ายของอาหลีก็มาตายจากไปอีกคนเพราะแผลที่เท้าของนางติดเชื้อ
ตอนนี้...ในครอบครัวของนาง เหลือเพียงพี่ชายผู้เป็นทหารที่หายเงียบไปราวห้าเดือน หลินลู่เฟย จากหมู่บ้านถงหลัวไปสมัครเป็นทหารที่เมืองหลวงเมื่อสามปีก่อน แต่เดิมพี่ชายของอาหลีส่งจดหมายมาไม่ขาด แต่ช่วงสี่เดือนมานี้กลับเงียบหายไป
ไม่มีข่าวคราว…
ไม่มีจดหมาย…
ไม่มีแม้แต่เงา…
เขาหายไปนางที่มาแทนที่อาหลีคนเก่าก็ทำได้เพียงรอคอย แต่มันไม่ง่ายเลยจากท่านหญิงที่เคยได้รับการปรนนิบัติดั่งดอกไม้ในเผ่าเจียง
บัดนี้กลับต้องหุงหาอาหารเอง ซักเสื้อผ้าเอง และดูแลหญิงชราตาบอดที่ป่วยหนักจนลมหายใจสุดท้ายของนางจางหายไปต่อหน้าต่อตาเมื่อสามเดือนก่อน
และถึงแม้จะลำบากเพียงใด นางก็ยังคงมีชีวิตอยู่
เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของอาจ้านดังอยู่เคียงข้าง นางลูบหัวมันเบา ๆ ก่อนจะเอนตัวลงบนฟูกเก่าขาดที่มีเพียงผ้าห่มบาง ๆ คลุมกาย ความเย็นค่อย ๆ ซึมลึกสู่ร่างกาย แต่ไม่หนาวเหน็บเท่าความว่างเปล่าภายในใจ
อดีตยังคงตามหลอกหลอนนางแต่ในเมื่อได้ชีวิตใหม่แล้ว นางก็ควรจะมีเส้นทางใหม่ให้เลือกเช่นกัน นางจะไม่หวนกลับเผ่าเจียงเด็ดขาด!
"ชาตินี้...ข้าจะไม่เป็นเพียงผู้ถูกลิขิตอีกต่อไป"
ชีวิตใหม่ของนางทุกเช้าตรู่ อาหลีต้องตื่นก่อนฟ้าสางเสมอเพื่อต้มน้ำ ล้างหน้า และจัดเตรียมอาหารง่าย ๆ ให้ตัวเองและท่านย่าผู้ชราภาพ
หลังจากท่านย่าสิ้นลมเมื่อสามเดือนก่อน อาหลีก็ยังคงรักษาวิถีเดิมไว้ แม้จำนวนผู้ร่วมโต๊ะจะลดลงเหลือเพียงคนเดียวก็ตาม รสชาติของอาหารที่นางปรุงอาจไม่เลิศเลอประหนึ่งตำรับจากราชสำนักเผ่าเจียง แต่ทุกเช้า นางก็พยายามทำให้ดีขึ้นทีละน้อย
สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับนาง ไม่ใช่การใช้ชีวิตในเรือนเล็ก ๆ นี้แต่คือการ หาเลี้ยงตนเอง
โชคยังดีที่ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมยังหลงเหลืออยู่บ้าง แม้จะขาด ๆ หาย ๆ เพราะในวันที่ร่างนี้จมน้ำจนสิ้นใจ คาดว่าสำลักน้ำเข้าไปมากจึงส่งผลกับสภาพจิตใจและความจำของนางผู้มาใช้ร่างต่อ
ที่ดินผืนเล็กหลังเรือน เคยเป็นเพียงแปลงผักรกร้าง ไร้ชีวิต แต่ด้วยความช่วยเหลือของ อาต๋า เด็กชายวัยสิบเอ็ดปี ลูกชายช่างไม้ในหมู่บ้าน นางจึงสามารถฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับมาเขียวชอุ่มอีกครั้ง ทั้งยังซ่อมแซมเรือนให้อยู่ได้อย่างมั่นคง
อาหลีเริ่มปลูกพืชสมุนไพรและพืชกินได้สำหรับใช้เองและนำไปขายแลกเงิน
อาต๋า... เด็กชายกำพร้ามารดา แต่ยังมีบิดา ปู่ และย่าอยู่เคียงข้าง ต่างจากอาหลีที่เหลือเพียง แมวอ้วนตัวเดียว หลังจากท่านย่าของนางเสียไปเมื่อสามเดือนก่อน
แม้จะยังมีพี่ชายที่เป็นทหารประจำการในเมืองหลวง แต่เขาหายไปนานเกือบครึ่งปี ไม่มีจดหมาย ไม่มีข่าวคราว จนแทบไม่มีหวังจะพบกันอีก
อาต๋าเติบโตมากับบิดาและปู่ ซึ่งล้วนเป็นช่างไม้รับจ้างทำงานทั่วทั้งหยางโจว เมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากเหยียนจิ่ง เมืองหลวงของต้าฉู่
ด้วยความที่ร่างเดิมของนางเคยฝากตัวเป็นศิษย์ของปู่ของอาต๋า ทำให้นางสนิทสนมกับเด็กชายมากที่สุดในหมู่บ้านถงหลัว
เมื่อทราบว่านางเคยฝึกงานช่างไม้มาก่อน อาหลีจึงพยายามขุดค้นเศษเสี้ยวของความทรงจำที่ยังหลงเหลือ แม้จะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่นางก็สามารถซ่อมเรือน หลังคา โต๊ะ เก้าอี้ และเครื่องใช้ไม้สอยอื่น ๆ ได้อย่างไม่เลว
แน่นอน... โดยมีอาต๋าเป็นลูกมือข้างกาย
นับแต่มาอยู่ในร่างนี้ อาหลีพยายามทำทุกสิ่งด้วยตนเอง แม้แต่ตักน้ำและผ่าฟืนก็ไม่เคยอิดออด
"อาหลีเจี่ย วันนี้ข้าจะช่วยท่านผ่าฟืนเพิ่มดีหรือไม่?"
เด็กชายเอ่ยถามหลังจากนำเนื้อหมูป่าที่บิดาของเขาล่าได้มาแบ่งให้ นัยน์ตาเป็นประกาย เพราะรู้ดีว่าหากช่วยอาหลีเจี่ยทำงาน มักจะได้ขนมแสนอร่อยจากนางเป็นรางวัลเสมอเขาจึงชอบอาหลีเจี่ยมาก
"เจ้าช่วยมาหั่นสมุนไพรให้ข้าจะดีกว่า อาต๋า" อาหลีตอบพร้อมหัวเราะน้อย ๆ พลางมองร่างเล็กที่ตัวสูงขึ้นทุกวัน
อีกไม่ถึงสองปี... เขาคงจะสูงและแข็งแรงกว่านางแน่และเขาคงจะเข้าเมืองไปสอบเป็นทหารไม่ก็มือปราบเช่นพี่ชายของอาหลีอีกคน ใครจะอยากอยู่ทำไร่ล่าสัตว์ไปตลอดชีวิตในหมู่บ้านเล็กกันเล่า
อาต๋าเป็นเด็กที่อดทนและมีความรับผิดชอบ นิสัยเหล่านี้ทำให้อาหลีเห็นตัวเองในกระจกของความเข้มแข็ง นางจำต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ให้ได้เช่นกันเพราะนางไม่ใช่ท่านหญิงที่มีบ่าวไพร่รับใช้อีกต่อไป หากแต่เป็นเพียงเด็กสาววัยสิบสามปีที่โดดเดี่ยวเหลือตัวคนเดียว
ท่านย่าผู้เป็นญาติสนิทคนสุดท้ายเพิ่งถูกฝังลงสุสานท้ายหมู่บ้านไปเมื่อไม่นานนี้ ตอนนี้ นอกจากอาจ้านแล้ว นางก็ไม่เหลือใครอีกเลย
แม้บางครั้งที่ลำบากมากเข้าจนนางคิดอยากจะกลับไปยังเผ่าเจียง แต่คิดไปคิดมาใครจะไปเชื่อว่านางคือ หลัวจือจื่อ ก็นางตายไปตั้งสี่เดือนกว่าแล้ว
จึงมีเพียงปรับตัวให้คุ้นชินกับวิถีชีวิตของสามัญชนเท่านั้น อาหลีจึงเริ่มมองหาวิธีสร้างรายได้ และสิ่งที่นางถนัดที่สุด ก็คือ การปรุงโอสถและเครื่องหอม
นางเคยเรียนวิชานี้จากมารดา ตั้งแต่ยังเล็กอายุเพียงสี่ขวบในเผ่าเจียง
มารดาของนางเคยเป็นนักปรุงเครื่องหอมผู้เลื่องชื่อของเผ่าเจียง ท่านสอนนางปรุงกำยาน ยา และยาบำรุงสุขภาพทั้งของบุรุษและสตรี แม้ในตอนนั้นจะเป็นเพียงกิจกรรมเล่นสนุกในตำหนัก แต่มาบัดนี้... ความรู้เหล่านั้นกลายเป็นสิ่งมีค่าเกินประเมิน
มันคือความหวังเดียวที่ทำให้นางอยู่รอด
อาหลีเริ่มจากการสำรวจพืชสมุนไพรในป่าและในสวนหลังบ้าน ค่อย ๆ ทดลองบด ผสม และกลั่นกลิ่น จนได้กำยานสูตรเฉพาะของตนเอง
วันหนึ่ง นางตัดสินใจลองนำผลงานของตนไปขายในตลาดเมืองเล็ก ๆ ร่วมกับอาต๋า
"แม่นางน้อย! กำยานของเจ้าหอมยิ่งนัก! "
"นี่ใช้ดอกกุ้ยฮวาผสมกับชะมดเช็ดหรือ? "
"ข้ามิคิดเลยว่าจะมีกำยานดีเช่นนี้ในเมืองเล็ก ๆ เช่นนี้ได้! "
กำยานของอาหลีได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงเพราะกลิ่นหอมละมุนที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่ยังมีคุณสมบัติในการบรรเทาอาการนอนไม่หลับและวิงเวียนศีรษะได้อีกด้วย
และในที่สุดนางก็พบแล้วว่า...
สิ่งนี้ คือหนทางหนทางที่ทำให้นางสามารถยืนหยัดในโลกใบใหม่ ภพชาติใหม่นี้ ได้อย่างแท้จริง
นางมองไปยังเก้าอี้ไม้เก่าของตน ข้างเตาไฟอุ่น ๆ ที่ซึ่ง อาจ้าน แมวอ้วนขนฟูสีดำสนิทขดตัวอย่างสบายใจ ข้างนอก อาต๋ากำลังช่วยตากสมุนไพรที่เพิ่งเก็บจากป่า
แสงแดดอ่อนของยามบ่ายส่องกระทบใบไม้แห้งสะท้อนเป็นประกายอ่อนจาง รอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปากนางอย่างเงียบงัน
นี่อาจไม่ใช่ชีวิตที่หรูหราและสะดวกสบายเหมือนที่เคยมี แต่กลับเติมเต็มหัวใจของนางได้... อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ที่สำคัญชีวิตใหม่ของนาง ไม่ต้องชิงดีชิงเด่นกับผู้ใด
ไม่ต้องระแวงว่าคืนใดจะมีมือสังหารแฝงกายเข้ามาในเรือนหลังงามอีกต่อไป"อดีตเป็นเพียงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว..."
นางกระซิบกับตนเองเบา ๆ
"บัดนี้ข้าคือ หลินหลีฮวา ข้าคือ อาหลี"
เด็กสาวชาวบ้านธรรมดา ที่กำลังเดินอยู่บนเส้นทางของตนเอง เส้นทางของนักปรุงยาและกำยาน...
ไม่มีอีกแล้ว ท่านหญิงหลัวจือจื่อแห่งเผ่าเจียง
เพราะท่านหญิงผู้นั้น…ได้ตายจากโลกนี้ไปตั้งแต่ครึ่งปีก่อน แม้แต่ซากศพก็คงกลายเป็นเพียงเถ้าดินใต้ต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่งไปแล้วแต่แล้วสามวันต่อมา...
อาต๋ากลับมาพร้อมชายแปลกหน้าหกคน ทั้งหมดแต่งกายเรียบง่าย แต่ท่วงท่า การยืน และสายตาของพวกเขา... กลับทำให้นางขมวดคิ้ว
ประสบการณ์ในอดีตของนางในฐานะบุตรีของแม่ทัพและอดีตท่านหญิงแห่งเผ่าเจียง ทำให้นางเพียงมองแวบเดียวก็รู้
พวกเขา ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาไม่ใช่แม้แต่มือปราบในเมือง...
พวกเขาคือองครักษ์และไม่ใช่ระดับธรรมดาอย่างต่ำ วรยุทธ์ต้องเกินขั้นหก!
"อาหลีเจี่ย"อาต๋าเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเหลือบมองพวกชายแปลกหน้าอย่างประหม่า"
"พวกเขามาพบแม่เฒ่าหลินแต่ข้าบอกไปแล้วว่าแม่เฒ่าหลินจากไปเมื่อสามเดือนก่อน ตอนนี้ที่เรือนสกุลหลินมีเพียงท่านหลานสาวของแม่เฒ่า พวกเขาบอกว่าอยากพบท่าน"
นางค่อย ๆ วางตะกร้าสมุนไพรในมือลง เดินตรงไปข้างหน้าด้วยท่วงท่าสงบนิ่ง เผชิญหน้ากับชายแปลกหน้าทั้งหกด้วยดวงตาเรียบเฉย
แม้ใบหน้าเด็กสาววัยสิบสามปีจะยังอ่อนเยาว์ แต่ดวงตากลับฉายแววเฉียบคมและมีบางอย่างที่แตกต่างไปจากเด็กทั่วไป
จนกระทั่งนางเห็นบุรุษคนที่เจ็ด ก้าวลงจากรถม้าอย่างสง่างาม…
ในอ้อมแขนของเขา มี โถบรรจุเถ้ากระดูก สีขาวงาช้างที่ถูกพันด้วยผ้าผืนสีน้ำเงินสีประจำราชสำนักต้าฉู่
หัวใจของนางพลันไหววูบ
"เป็น... พี่ใหญ่ของข้า หรือ?"
เสียงที่หลุดออกจากริมฝีปากนางนั้น เบาหวิว ราวกับลมกระซิบในหุบเขา
ผ่านไปอีกสองปีบรรยากาศในเรือนหลิงเซียวครึกครื้นเป็นพิเศษในวันนี้ ทุกผู้ทุกนามพร้อมหน้าพร้อมตากันราวกับจะเน้นย้ำความสุขสมบูรณ์ของครอบครัว เสียงหัวเราะและพูดคุยดังสลับกับเสียงหยอกล้อของเด็กหญิงตัวน้อยวัยสองขวบ ‘เสี่ยวจือจื่อ’ ที่วิ่งเล่นรอบ ๆ โต๊ะอาหาร ดวงตากลมโตสดใส ใบหน้าเล็กน่ารักเหมือนบิดาไม่มีผิด“เสี่ยวจือจื่อ อย่าวิ่งเร็วนัก เดี๋ยวจะล้ม!” อาหลีร้องเตือนด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าหวานคลี่ยิ้มบางเมื่อเห็นบุตรสาวหัวเราะอย่างสดใสเสี่ยวจือจื่อวิ่งถลาเข้ามาซุกในอ้อมกอดของอาหลัวที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ พลางหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน“อาหลัวเจี่ย เจี่ยพาข้าเล่นหน่อย” เสี่ยวจือจื่อออดอ้อนเสียงใสอาหลัวกอดหลานสาวแน่น “ได้สิ วันนี้วันเกิดหลีเจี่ย เสี่ยวจือจื่ออย่าดื้อรู้หรือไม่”นายหญิงโจวมองดูหลานและเหลนด้วยแววตาอ่อนโยน พลางถอนใจอย่างมีความสุข “เวลาเร็วเหลือเกิน อาหลีปีนี้อายุครบยี่สิบสองแล้วสินะ แต่ในสายตาแม่ เจ้ายังเด็กเหมือนวันแรกที่เข้ามาอยู่กับอาเซียวไม่มีผิด”อาหลีได้ยินก็หน้าแดงเล็กน้อย ขณะที่ไป๋เซียวซึ่งกำลังจัดบะหมี่อายุยืนลงในชามหัวเราะเบา ๆ“สำหรับข้า ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี อาหลีก็ยังเหมือนวั
ค่ำคืนวันปีใหม่ที่จวนฉางชิ่งโหวเต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่น เสียงประทัดดังก้องไปทั่วนครเหยียนจิ่ง เสียงหัวเราะพูดคุยภายในเรือนหลิงเซียวดังแว่วอย่างรื่นเริง โต๊ะกลมขนาดใหญ่เต็มไปด้วยอาหารนานาชนิด ส่งกลิ่นหอมกรุ่นอบอวลไปทั่วนายหญิงโจวนั่งประจำที่ ใบหน้าอ่อนโยนประดับด้วยรอยยิ้มเอ็นดู พลางมองไปที่ลูกหลานซึ่งนั่งล้อมรอบ ข้างกายนางคือไป๋ซั่วผู้สงบสุขุมดั่งเคย แม้ปีนี้อายุใกล้สามสิบแต่ยังดูแข็งแกร่งสง่างามถัดจากไป๋ซั่วคืออาหลีที่ท้องใหญ่ใกล้คลอดเต็มที ดวงหน้าของนางเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลมากขึ้นจากเดิมหลายส่วน ไป๋เซียวสามีของนางนั่งอยู่ติดกัน มือใหญ่คอยดูแลภรรยาไม่ห่างตลอดเวลาข้างอาหลีคืออาหลัวที่งดงามสดใสในวัยสิบหกปี สาวน้อยยังคงซุกซนไม่เปลี่ยนแปลง บนตักของอาหลัวมีเจ้าแมวดำ ‘อาจ้าน’ นอนส่งเสียงครางเบา ๆ อย่างสบายใจราวกับร่วมฉลองด้วย“หลีเจี่ย กินไก่ตุ๋นยาจีนอีกหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ข้าตักให้ท่านอีกชามแล้ว!” อาหลัวรีบส่งชามซุปให้พี่สาวบุญธรรมด้วยท่าทีเอาอกเอาใจเช่นเคยไป๋เซียวรีบขัดขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ “อาหลี เจ้ากินเนื้อปลานึ่งบ้างดีกว่า ข้าแกะก้างให้เจ้าแล้ว”อาหลีเห็นท่าทีแย่งชิงเอาใจของทั้งคู่ก็อดหั
หลังจากคืนนั้นผ่านไป ไป๋เซียวก็ตัดสินใจพาอาหลีอยู่พักผ่อนที่หยางโจว และเดินทางท่องเที่ยวเมืองใกล้เคียงอีกสองเดือนเต็ม ด้วยความหวังว่านางจะตั้งครรภ์ก่อนกลับเหยียนจิ่งตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ทุกค่ำคืนของทั้งคู่เต็มไปด้วยความรักที่ลึกซึ้ง ร้อนแรงราวกับคู่รักใหม่แต่ง ทั้ง ๆ ที่ผ่านการแต่งงานมานานถึงเจ็ดปีเข้าสู่ปีที่แปดแล้วเช้าวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิอันสดใส ที่ริมทะเลสาบซีหูในเมืองไห่โจว แสงแดดอ่อนโยนยามสายสาดส่องลงบนผิวน้ำจนเกิดประกายระยิบระยับงดงามจับตาภายในเรือนพักส่วนตัวริมทะเลสาบ ไป๋เซียวและอาหลีนั่งจิบชาด้วยกันหลังอาหารเช้า ดวงหน้าหวานของอาหลีดูสดใส มีน้ำมีนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนไป๋เซียวอดใจไม่ไหว จับมือเล็กขึ้นมาจุมพิตเบา ๆ ด้วยสายตาอ่อนโยน“ช่วงนี้เจ้าดูสดชื่นขึ้นมาก รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?” เขาถามด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน ดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใยอาหลีหน้าแดงเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเขินอาย “รู้สึกสบายตัวมากเจ้าค่ะ ข้าว่า… น่าจะใกล้ได้ข่าวดีแล้วกระมัง”ไป๋เซียวหัวเราะในลำคอเบา ๆ อย่างพึงพอใจ “เช่นนั้นข้าคงต้องขยันให้มากกว่าเดิมเสียแล้ว”“พี่เซียว!” อาหลีตีแขนเขาเบา ๆ ด้วยความเขินอาย “ท่าน
ยามเช้าของต้นฤดูใบไม้ผลิ แสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องลอดผ่านม่านไม้ไผ่บางของรถม้าที่กำลังมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก เสียงล้อรถบดไปตามทางดินเป็นจังหวะช้า ๆ บรรยากาศรอบด้านเงียบสงบ มีเพียงเสียงนกร้องแผ่วเบาและสายลมอ่อนที่พัดเอื่อยหลังจากโรงหมอเผิงไหลอี้เปิดให้บริการมาครึ่งปี ในที่สุดเทศกาลไหว้บรรพบุรุษของต้าฉู่ก็มาถึง ไป๋เซียวเห็นสมควรแล้วที่จะพาอาหลีกลับไปหมู่บ้านถงหลัว ที่เมืองหยางโจว เพื่อเคารพสุสานสกุลหลินตามที่ได้ให้สัญญาไว้เมื่อเจ็ดปีก่อนภายในรถม้า อาหลีนั่งพิงหน้าอกไป๋เซียวอย่างเงียบสงบ แม้จะแต่งงานกันมานานถึงเจ็ดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่คิดถึงบ้านเกิด หัวใจนางก็ยังรู้สึกโหวงเหวงอยู่เสมอ ยิ่งผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด ความทรงจำของ ‘อาหลี’ ก็ยิ่งแจ่มชัดและเป็นจริงมากขึ้น ขณะที่ภาพในอดีตชาติที่นางเคยเป็นท่านหญิงหลัวจือจื่อนั้นกลับค่อย ๆ เลือนรางไปตามกาลเวลา จนบัดนี้แทบจะกลายเป็นเพียงความฝันที่เลือนรางไปหมดแล้ว“เจ้าเป็นอะไรหรือ?” ไป๋เซียวเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน มือใหญ่ลูบแผ่นหลังนางเบา ๆ อย่างปลอบโยนอาหลีหลับตาพริ้ม ซบศีรษะลงกับอกอันอบอุ่นของเขา “ข้ากำลังคิดถึงพี่ใหญ่ คิดถึงท่านย่า ท่านปู่ ส่วนท่านพ่อ
เช้าวันใหม่มาเยือนมหานครเหยียนจิ่ง แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าสาดส่องลงบนถนนสายการค้าอันคึกคัก ผู้คนมากมายต่างพากันเดินจับจ่ายซื้อของ สองฟากถนนเต็มไปด้วยร้านรวงที่เริ่มเปิดประตูต้อนรับลูกค้า เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของชาวบ้านประสานกับเสียงเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ขายอย่างครึกครื้นมีชีวิตชีวาตรงหัวมุมถนนที่เชื่อมต่อกับตลาดกลาง จากพื้นที่โล่งกว้างที่เคยว่างเปล่า บัดนี้ถูกล้อมรอบด้วยรั้วไม้ไผ่สูงทึบ พร้อมป้ายประกาศขนาดใหญ่ที่เขียนด้วยลายมือประณีตสวยงามว่า‘สถานที่ก่อสร้างโรงหมอเผิงไหลอี้’ไป๋เซียวกับอาหลีมายืนดูการเริ่มต้นก่อสร้างโรงหมอด้วยกัน ไป๋เซียวอยู่ในชุดคลุมยาวสีแดงเข้มปักลายกิเลนเพลิง ดูสง่างามโดดเด่นจนผู้คนที่ผ่านไปมาต่างแอบชำเลืองมองด้วยความชื่นชม ส่วนอาหลีในชุดผ้าไหมสีชมพูอ่อนปักลายดอกจือจื่อขาว ใบหน้างดงามฉายแววตาตื่นเต้นและเปี่ยมไปด้วยความหวัง“พี่เซียว… ข้ายังแทบไม่อยากเชื่อเลย ว่าเราจะได้เริ่มก่อสร้างโรงหมอกันจริง ๆ เสียที” อาหลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตากลมโตเป็นประกายเจิดจ้าไป๋เซียวคลี่ยิ้มบาง ลูบเรือนผมนางเบา ๆ อย่างอ่อนโยน“ทุกอย่างล้วนเกิดจากความพยายามของเจ้า ข้าเพียงแค่คอย
วันเวลาหมุนผ่านไปตามครรลอง เผลอเพียงไม่นานกิจการร้านเครื่องหอมหลีฮวาเซียงก็เปิดมาได้แปดเดือนแล้วกิจการยิ่งนานยิ่งรุ่งเรืองทำกำไรงอกงาม ค่ำคืนต้นฤดูหนาวของต้าฉู่เวียนมาบรรจบอีกครั้งภายในห้องหนังสือของเรือนหลิงเซียว แสงตะเกียงนวลอ่อนสาดส่องกระทบใบหน้าหวานของอาหลีที่กำลังนั่งก้มหน้าจดรายละเอียดแผนการเปิดโรงหมอลงบนกระดาษ ดวงตากลมโตสุกใสเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ไป๋เซียวที่นั่งพิงพนักเก้าอี้ข้างกายนางด้วยท่าทีผ่อนคลาย จับจ้องภรรยาไม่วางตา“ข้าว่าคงต้องจ้างช่างก่อสร้างเพิ่ม เพราะอาคารต้องมีพื้นที่กว้างพอสำหรับห้องตรวจหลายห้อง อีกทั้งคลังยาและห้องพักฟื้นก็ต้องกว้างขวางพอให้คนไข้พักอาศัย…” อาหลีพึมพำกับตัวเองพร้อมจดบันทึกด้วยสีหน้าจริงจังเป็นที่สุดไป๋เซียวหัวเราะเบา ๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้ กระซิบข้างใบหูนางอย่างหยอกเย้า “เจ้าช่างขยันจริง ๆ”อาหลีสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นรินรดอยู่ข้างแก้ม ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อทันที นางหันมายิ้มบางๆ เอ่ยตอบเสียงหวาน “ก็ข้าต้องวางแผนให้ดี ท่านเป็นคนสอนข้าเองนี่เจ้าคะ”อยู่กับเขามาไป๋เซียวสั่งสอนให้หลายอย่าง อาหลีล้วนจำใส่ใจ