ตอนที่ 2||เหลือเพียงกระดูกคืนกลับ
หลินหลีฮวามองโถกระเบื้องที่คงบรรจุในกระดูกภายในของเครื่องเทศตรงหน้านักร้องของนางพลานเจ็บเหมือนถูกมือคอบีเคโอเวอร์พี่ใหญ่ของอาหลี หลินลู่เฟยผู้มีอำนาจเป็นเสาสัญญาณครอบครัว
การที่เขาจะสามารถมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดคนสุดท้ายในส่วนของร่างนี้เป็นครั้งแรกในชาติก่อนจะไม่เคยพบหน้าผู้สูงอายุสิบเก้าปีผู้นี้เลย แต่เพราะเจ้าของร่างเดิมรักและผู้สมัครกับพี่ชายมาก นางที่มาที่มานี้ต่อเลยถึงความรู้สึกที่จะไปด้วย
ยามแลเห็นความเมตตากรุณาในความทรงจำเมื่อสามคืนบัดนี้กลับเหลือเพียงไดรฟ์ธุลีในโถกระดูก นางรู้สึกร้อนวาบที่ขอบตา คุณสามารถใช้แห้งผากราวกับถูกคลื่นอารมณ์โหมซัดจนทรงตัวไม่อยู่
สายตาของนางตวัดขึ้นไปมองเป็นหลักในอาภรณ์สีแดงเข้มลงไปที่ความหนาเนื้อดีปักลงไปในสีดำอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อดูผลของอาภรณ์สีสดเปลวย่างสมุนไพรที่ทำให้ดูโดดเด่นและสูงส่งทว่าชาเย็นยากที่สามารถนำมาใช้เป็นองครักษ์ผู้เชี่ยวชาญของใครหรือเพียงอย่างเดียวเท่านั้นบุ๋น...
“นั่นเป็นพี่ใหญ่ของฉันหรือ?”
น้ำเสียงของนางเบาหวิว แต่กลับมาอีกครั้งของความสั่นไหวยามเอ่ยถามออกไปญาติๆ ต่อเนื่องคนในดินแดนชาติใหม่อีกครั้งพร้อมเพรียงน้ำมันจริงหรือ?
ซ่งไป๋เซียวหรือที่ผู้คนรู้จักในชื่อประธานหมอซ่ง หมอหลวงของราชสำนักจีนต้าฉู่ที่ช้าๆ ปรุงอาหารเข่าลงตรงหน้า ใช้สองมือประหนึ่งโถกระดูกแล้วยื่นให้กับผู้กำกับที่ร้อนแรง
มองลึกลึกใต้แพขนตายาวทอดมองไปยังขอบตาเริ่มแดงระเรเดียปลายจมูกโด่งเรียวก็แดงก่ำรางกับผลมะเขือเทศสุกกินเห็นใบหน้าเล็ก ๆ เรดเผือดของนางกำลังพยายามสะกดกลั้นอารมณ์เช่นเขายิ่งรู้สึกหนักอึ้ง
"ข้าพาเขากลับมาแล้ว" ของเขาเรียบนิ่งทว่าเชื่อถือด้วยคุณสมบัติของมิอาจวิจัย
มือเล็กของหลินหลีฮวายื่นออกไปเพื่อรับโถบรรจุกระป๋องกระดูกไว้ราวกับมันหนักอึ้งจนเกือบจะยกไม่ไหวของนางกำแน่นสั่นระริกลิ่มเลือดพยายามยืนให้มั่นคง
กลับมาอีกครั้งอีกครั้งที่เข้มแข็งอีกครั้งนี้กลับมาสั่นอีกครั้ง
"พี่ใหญ่..." นางพึมพำราวกับยังไม่อยากเชื่อว่าเขาจากไปแล้วจริง ๆ
พลันนั้นเชื่อมโยงหลินลู่วิ่งในความทรงจำก็ผุดขึ้นมามากมายในร่างนี้เริ่มฝึกเดินหกล้มและถูกรำลึกถึงร่างนี้เคยเป็นอาการหนักที่จะได้รับการดูแลรักษาอย่างดีจากเขาทุกส่วนล้วนเป็นความรักใคร่
แต่เพราะเมื่อสามสิบปีนี้ หลิน ลู่ลู่เฟยต้องการสร้างอนาคต เขาจึงตัดสินใจเข้าระบบไปสมัครเป็นทหารในทีมที่เขาไม่เคยกลับมามีเพียงอีเมลเท่านั้นที่มอบให้แก่ระบบ
ว่า... สุดท้ายนี้กลับมาอีกครั้งมีเพียงกระดูกหนึ่งโถเท่านั้น
ฟังของลินหลีฮวาปวดร้าวกับถูกอุ้งมือที่บีเคโอเวอร์รสชาติ
ซ่งไป๋เซียวทอดมองจนเงียบๆ ลงไปอีกครั้งแต่ยังคงหลอกหลอนในใจหากเขาระวังเฟิร์มแวร์ของหลินลู่เฟยอาจจะทำให้ทุกอย่างไม่ได้อีกแล้วได้อีกครั้ง
เขาทำให้ศีรษะลงต่ำได้อย่างแม่นยำตาลงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาและลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอีกครั้ง
สามวันต่อมา
สายลมพัดผ่านหมู่บ้านถงหลัวนำพากลิ่นหอมของควันธูปลอยคลุ้งไปทั่วบริเวณต่างๆ ของบ้านตระหง่านลงไปที่สนามกีฬาเตี้ยๆ ล้อมรอบด้วยต้นหลิวสูงตระหง่านรังสีกลางอ่อนยามเซ็นทรัลทอดเงายาวบนราวกับร่วมไว้ทุกข์ให้กับผู้สั่งจากไป
หลินหลีฮวาสวมอาภรณ์ไว้ทุกข์สีขาวสะอาดเรียบง่ายสายการบินดำขลับถูกรวบขึ้นเป็นมวยหลวมๆหายของนางเรดเซียวแต่นัยน์ตากลับขอสินเชื่อนิ่งอย่างน่าใจ
นางผู้บริหารหน้าหลุมศพใหม่ล่าสุดหลุมเจาะลึกให้พี่ชายของนาง
ฟังเสียงผู้ทิ้งบ้านไปเพื่อตามหาคนส่วนใหญ่ หวังย้อนกลับไปรับข้อมูลกับท่านย่าไปที่ที่สนับสนุนทว่าผู้กลับมามีเพียงไดรฟ์ธุลีโถหนึ่งเท่านั้นเท่านั้น
ยามที่โถกระดูกถูกบรรจุลงในหลุมไม่จำเป็นก็เป็นสาเหตุให้เกิดในอกของนางราวกับมีดเล่มคมกรีดซ้ำนางกำมือแน่นจนเล็บเจลลงไปบนอาการความเย็นจากสายลมสายไม่ทำให้หัวใจที่แหลกสลายของอบอุ่นนางขึ้นได้เลย
พื้นหลังของนางสามารถพบได้ในอาภรณ์สีแดงเข้มปรากฏขึ้นเงียบๆ ความเข้มข้นลึกจับอลูมิเนียมตรงหน้าภายใต้สีหน้าความเสถียรนิ่งของเขามีความสามารถในการเก็บรักษาซ่อนอย่างแน่นหนา
ซ่งไป๋เซียวมองดูที่ห้องอาหารเพียงบางส่วนเท่านั้นที่หนักอึ้งในใจเขายากจะสลัดทิ้ง
ในคืนที่หลินลู่ลู่เอาชีวิตเข้าปกป้องเขาจากคมดาบศัตรูเขาให้สัญญากับสหายที่ดูแลอย่างดีของเขาให้ดีกับศพผู้จากไป
และเขา...ไม่มีวันผิดเด็ดขาด!
ซ่งไป๋เซียวมักจะอยู่ข้างๆเงียบ สายลมเย็นพัดโชยมาจากแนวป่าพื้นหลังของนางฟ้าในยามอู่กลับอีกครั้งด้วยสีเทาหม่นกับคำร่ำร้องให้กับผู้ที่จากไปและกล่าวไม่ได้สวมไว้ทุกข์ให้กับสมาชิกที่มาร่วมส่งหลินลู่เฟยเป็นส่วนหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามตาคู่นั้นกลับมาสะท้อนถึงความเศร้าสร้อยและแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง
ผู้ที่พาร่างของหลินลู่เฟยกลับบ้านเป็นผู้ที่ตั้งใจจะจัดพิธีฝังศพให้สหายอย่างสมเกียรติให้สมกับความภักดีและความเสียสละของไคลเอ็นต์เคยเคียงบ่าเคียงไหล่กับมานานถึงออสออนเศษเหล็กในฐานะองครักษ์ลับฟังความสามารถและรูปลักษณ์มานับครั้งไม่ต้องใช้ทว่านี่... เขากลับรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจ
"ข้าจะดูแลเจ้าเองอาหลี"
ส่วนเขาหนักแน่นทว่าส่วนใหญ่ที่กำแน่นกลับหมอนถึงความรู้สึกที่ยากจะล้ำลึก
หลีฮวาค่อย ๆ เผากระดาษเงินกระดาษทองลงตรงหน้าหลุมศพของพี่ชายน้องสาวเล็ก ๆ ของนางสั่นระริกเสียงหนักอึ้งราวกับถูกโซ่ตรวนพันธนาการน้ำตาคลอหน่วยอยู่ในดวงตาแต่ในฝืนสะกดกลั้นไว้บนคอเจ็บแปลบจนแยกไม่ออกว่ามองเห็นความเศร้าของตัวนางเองหรือเป็นความรู้สึกของเจ้าของร่างคนเดิมที่ยังคงหลงเหลืออยู่
"พี่ใหญ่...และอาจพาท่านมาอยู่กับท่านประธานพ่อแม่ท่านปู่และท่านย่าของพวกเราแล้ว"
ตรวจสอบของนางผู้บริหารวเบา ทว่าความจำเป็นอย่างยิ่งที่เสียงกลับกรีด …หัวใจในการฟังนางค่อย ๆ ใช้ปลายนิ้วไล้ป้ายหลุมศพด้วยความอาลัย หวังเพียงว่าสักเสี้ยววินาทีอีกครั้งที่สัมผัสได้ถึงอุ่นไอของพี่ชายเป็นส่วนใหญ่
"ต่อไป... เป้าหมายคงได้พูดคุยกันทุกวันอีกครั้งเพื่อขยายสุราพร้อมหน้าได้แล้ว..."
เล็กๆ น้อยๆ สั่นระริกในทันทีที่กลมโตแดงก่ำด้วยแรงสะกดกลั้นบางที... บางครั้งครอบครัวตำนานลินอาจจะพบที่อีกภพหนึ่งแล้วก็เป็นได้
"ชาติหน้าข้าขอให้ทุกคนอายุยืน..."
ประชาชนถงหลัวค่อยๆมาถึงต่างสวมชุดไว้ทุกข์สีขาวเป็นหลักถือธูปประธานถือเสาหลักๆ ทั้งหมดแสดงการสนับสนุนต่อลินลู่วิ่งอีกครั้งผู้มีอำนาจอีกครั้งของหมู่บ้านนี้ดูสวดส่งดังดังออแกนทั่วๆ คุณจะพบกับบรรยากาศที่โศกเศร้าอีกครั้ง
ซ่งไป๋เซียวทอดมองตรงหน้าโดยตรงอีกครั้งมองหลุมศพของสนับสนุนการต่อสู้ที่จากไปในเม้มแน่น
"หลินลู่เฟยเป็นแรงบันดาลใจที่ความกล้าหาญและเกียรติยศที่ภูมิใจที่เคยได้ร่วมทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่ชายอาลู่อย่างเป็นทางการกองทัพเป็นองครักษ์ที่จงรักภักดี"
จะเห็นได้อย่างมั่นคงแต่หากสังเกตเห็นดี ๆ มักจะพบว่าตาคู่นั้นเป็นความเชื่อที่ผิด
พิธีการเซ่นไหว้ใส่หลุมศพของเดิมพร้อมกับกระดาษเงินกระดาษทอง เนินดินนี้คาดว่าจะเป็นของตระกูลหลิน หลินหลีฮวาคุกเข่าลง ใช้มือเล็ก ๆ เป็นหลักดินหลุมศพที่นางกับสมาชิกช่วยกันกดินลงหลุมด้วยตัวเอง
อย่ากล้าห้ามนางแม้กระทั่งซ่งไป๋เซียวเองก็ทำได้เพียงมองดูเงียบๆ
ค่อย ๆ ลูบไล้ดินน้ำมันที่เบาเบา ทุกครั้งที่มือสัมผัสผืนดิน เบา ๆ แล้วค่อย ๆ โถมเข้ามาหัวใจหลักของสะอื้นเงียบงันหลุดออกมาตามปกติกับวิญญาณของพี่ชายกำลังจากนางไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ
"พี่ใหญ่... ประธานจงตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องราวของคุณอีกครั้งหรือใครอีกแล้ว..."
หยาดน้ำตาหยดลงไปที่ผืนดินสามารถเปิดเผยได้ปล่อยให้มันไหลราวกับส่งพี่ชายไปกับดวงวิญญาณของใครจากหวังเพียงครอบครัวลินวันนี้พร้อมหน้า
"ชาติหน้าขอให้วาสนาขอให้พวกเราได้เกิดเป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้ง..."
ซ่งไป๋เซียวทอดมองภาพตรงหน้าเงียบๆ คุกเข่าลงข้างร่างกายใช้มือแตะไปบนดินกลบหลุมศพไปพร้อมกับนาง
"เจ้าไม่ได้อยู่ในขณะนี้"
ดูหนังฟังเพลงสบาย ๆ ทว่ากลับหนักแน่นดั่งคำสาบาน
"ก่อนจากไปหลินลู่เฟยขอให้ข้ารับปากเพื่อปกป้องและดูแลเจ้ากับท่านย่าต่อไปให้เขามอบเงินทองที่เป็นทางการในการดำเนินการให้กับเจ้า"
เป็นเวลานานชะงักไปครู่หนึ่งกล่าวคือเสียงที่วเบา
"ท่านย่าจากไปเมื่อสามเดือนก่อนเพราะแผลที่เท้าของนางติดเชื้อ..."
ซ่งไป๋เซียวเงียบไปครู่หนึ่งเขาเพิ่งรู้ว่าการสูญเสียครอบครัวทั้งหมดไปแล้วจริงเสียงของเขาหนักมากอึ้งอีกอีก
" ข้าสัญญาว่าข้าจะรับผิดชอบชีวิตนี้และเชื่อเจ้าแทนพี่ใหญ่เองเอง"
หลินหลีฮวาหันมองเขาช้าน้ำตาหยุดไหลแล้ว แต่หัวใจของนางกลับรู้สึกเหน็บหนาวนางเคยหวังว่าการได้เกิดใหม่ของเธอมีชีวิตที่ให้กำลังใจสุข... แต่สุดท้ายนางก็ต้องสูญเสียทุกสิ่งอีกครั้ง
ทว่าพอเห็นตาจริงใจของจิตวิญญาณตรงหน้าดวงน้อยกลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
ท่ามกลางความเศร้าโศก...ขยี้ใจก็ยังเป็นเรื่องที่จริงใจต่อ
ความคิดเห็นที่มืดลงแล้วรู้สึกว่าเพิ่งรู้สึกตัวว่านางอยู่ที่สุสานจนถึงค่ำมืดแต่เชิงเทียนที่จุดไว้หน้าหลุมศพยังคงส่องประกายแสงไสวนางทอดมองนิ่งนิ่งัน
ผ่านครู่ใหญ่ที่...นางก็ตัดสินใจได้
ต้องอาศัยความเข้มแข็งขึ้นจำเป็นต้องยืนด้วยลำความเชื่อให้มั่นคงเพราะนอกจากแมวอาจ้านแล้วนางก็ไม่เหลือใครอีกแล้วจริงจริง
"พี่ใหญ่จะทำให้ท่านผิดหวัง..."
ละเอียดพึมพำที่ไหลออกไปกับสายลมจะเห็นคู่งามอย่างแน่วแน่แน่วแน่ขึ้น
ระบบอนาคตจะเป็นเช่นไรนางจะไม่มีวันหยุดยั้งอีกต่อไป!
ผ่านไปอีกสองปีบรรยากาศในเรือนหลิงเซียวครึกครื้นเป็นพิเศษในวันนี้ ทุกผู้ทุกนามพร้อมหน้าพร้อมตากันราวกับจะเน้นย้ำความสุขสมบูรณ์ของครอบครัว เสียงหัวเราะและพูดคุยดังสลับกับเสียงหยอกล้อของเด็กหญิงตัวน้อยวัยสองขวบ ‘เสี่ยวจือจื่อ’ ที่วิ่งเล่นรอบ ๆ โต๊ะอาหาร ดวงตากลมโตสดใส ใบหน้าเล็กน่ารักเหมือนบิดาไม่มีผิด“เสี่ยวจือจื่อ อย่าวิ่งเร็วนัก เดี๋ยวจะล้ม!” อาหลีร้องเตือนด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าหวานคลี่ยิ้มบางเมื่อเห็นบุตรสาวหัวเราะอย่างสดใสเสี่ยวจือจื่อวิ่งถลาเข้ามาซุกในอ้อมกอดของอาหลัวที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ พลางหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน“อาหลัวเจี่ย เจี่ยพาข้าเล่นหน่อย” เสี่ยวจือจื่อออดอ้อนเสียงใสอาหลัวกอดหลานสาวแน่น “ได้สิ วันนี้วันเกิดหลีเจี่ย เสี่ยวจือจื่ออย่าดื้อรู้หรือไม่”นายหญิงโจวมองดูหลานและเหลนด้วยแววตาอ่อนโยน พลางถอนใจอย่างมีความสุข “เวลาเร็วเหลือเกิน อาหลีปีนี้อายุครบยี่สิบสองแล้วสินะ แต่ในสายตาแม่ เจ้ายังเด็กเหมือนวันแรกที่เข้ามาอยู่กับอาเซียวไม่มีผิด”อาหลีได้ยินก็หน้าแดงเล็กน้อย ขณะที่ไป๋เซียวซึ่งกำลังจัดบะหมี่อายุยืนลงในชามหัวเราะเบา ๆ“สำหรับข้า ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี อาหลีก็ยังเหมือนวั
ค่ำคืนวันปีใหม่ที่จวนฉางชิ่งโหวเต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่น เสียงประทัดดังก้องไปทั่วนครเหยียนจิ่ง เสียงหัวเราะพูดคุยภายในเรือนหลิงเซียวดังแว่วอย่างรื่นเริง โต๊ะกลมขนาดใหญ่เต็มไปด้วยอาหารนานาชนิด ส่งกลิ่นหอมกรุ่นอบอวลไปทั่วนายหญิงโจวนั่งประจำที่ ใบหน้าอ่อนโยนประดับด้วยรอยยิ้มเอ็นดู พลางมองไปที่ลูกหลานซึ่งนั่งล้อมรอบ ข้างกายนางคือไป๋ซั่วผู้สงบสุขุมดั่งเคย แม้ปีนี้อายุใกล้สามสิบแต่ยังดูแข็งแกร่งสง่างามถัดจากไป๋ซั่วคืออาหลีที่ท้องใหญ่ใกล้คลอดเต็มที ดวงหน้าของนางเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลมากขึ้นจากเดิมหลายส่วน ไป๋เซียวสามีของนางนั่งอยู่ติดกัน มือใหญ่คอยดูแลภรรยาไม่ห่างตลอดเวลาข้างอาหลีคืออาหลัวที่งดงามสดใสในวัยสิบหกปี สาวน้อยยังคงซุกซนไม่เปลี่ยนแปลง บนตักของอาหลัวมีเจ้าแมวดำ ‘อาจ้าน’ นอนส่งเสียงครางเบา ๆ อย่างสบายใจราวกับร่วมฉลองด้วย“หลีเจี่ย กินไก่ตุ๋นยาจีนอีกหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ข้าตักให้ท่านอีกชามแล้ว!” อาหลัวรีบส่งชามซุปให้พี่สาวบุญธรรมด้วยท่าทีเอาอกเอาใจเช่นเคยไป๋เซียวรีบขัดขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ “อาหลี เจ้ากินเนื้อปลานึ่งบ้างดีกว่า ข้าแกะก้างให้เจ้าแล้ว”อาหลีเห็นท่าทีแย่งชิงเอาใจของทั้งคู่ก็อดหั
หลังจากคืนนั้นผ่านไป ไป๋เซียวก็ตัดสินใจพาอาหลีอยู่พักผ่อนที่หยางโจว และเดินทางท่องเที่ยวเมืองใกล้เคียงอีกสองเดือนเต็ม ด้วยความหวังว่านางจะตั้งครรภ์ก่อนกลับเหยียนจิ่งตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ทุกค่ำคืนของทั้งคู่เต็มไปด้วยความรักที่ลึกซึ้ง ร้อนแรงราวกับคู่รักใหม่แต่ง ทั้ง ๆ ที่ผ่านการแต่งงานมานานถึงเจ็ดปีเข้าสู่ปีที่แปดแล้วเช้าวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิอันสดใส ที่ริมทะเลสาบซีหูในเมืองไห่โจว แสงแดดอ่อนโยนยามสายสาดส่องลงบนผิวน้ำจนเกิดประกายระยิบระยับงดงามจับตาภายในเรือนพักส่วนตัวริมทะเลสาบ ไป๋เซียวและอาหลีนั่งจิบชาด้วยกันหลังอาหารเช้า ดวงหน้าหวานของอาหลีดูสดใส มีน้ำมีนวลขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนไป๋เซียวอดใจไม่ไหว จับมือเล็กขึ้นมาจุมพิตเบา ๆ ด้วยสายตาอ่อนโยน“ช่วงนี้เจ้าดูสดชื่นขึ้นมาก รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?” เขาถามด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน ดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใยอาหลีหน้าแดงเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเขินอาย “รู้สึกสบายตัวมากเจ้าค่ะ ข้าว่า… น่าจะใกล้ได้ข่าวดีแล้วกระมัง”ไป๋เซียวหัวเราะในลำคอเบา ๆ อย่างพึงพอใจ “เช่นนั้นข้าคงต้องขยันให้มากกว่าเดิมเสียแล้ว”“พี่เซียว!” อาหลีตีแขนเขาเบา ๆ ด้วยความเขินอาย “ท่าน
ยามเช้าของต้นฤดูใบไม้ผลิ แสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องลอดผ่านม่านไม้ไผ่บางของรถม้าที่กำลังมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก เสียงล้อรถบดไปตามทางดินเป็นจังหวะช้า ๆ บรรยากาศรอบด้านเงียบสงบ มีเพียงเสียงนกร้องแผ่วเบาและสายลมอ่อนที่พัดเอื่อยหลังจากโรงหมอเผิงไหลอี้เปิดให้บริการมาครึ่งปี ในที่สุดเทศกาลไหว้บรรพบุรุษของต้าฉู่ก็มาถึง ไป๋เซียวเห็นสมควรแล้วที่จะพาอาหลีกลับไปหมู่บ้านถงหลัว ที่เมืองหยางโจว เพื่อเคารพสุสานสกุลหลินตามที่ได้ให้สัญญาไว้เมื่อเจ็ดปีก่อนภายในรถม้า อาหลีนั่งพิงหน้าอกไป๋เซียวอย่างเงียบสงบ แม้จะแต่งงานกันมานานถึงเจ็ดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่คิดถึงบ้านเกิด หัวใจนางก็ยังรู้สึกโหวงเหวงอยู่เสมอ ยิ่งผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด ความทรงจำของ ‘อาหลี’ ก็ยิ่งแจ่มชัดและเป็นจริงมากขึ้น ขณะที่ภาพในอดีตชาติที่นางเคยเป็นท่านหญิงหลัวจือจื่อนั้นกลับค่อย ๆ เลือนรางไปตามกาลเวลา จนบัดนี้แทบจะกลายเป็นเพียงความฝันที่เลือนรางไปหมดแล้ว“เจ้าเป็นอะไรหรือ?” ไป๋เซียวเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน มือใหญ่ลูบแผ่นหลังนางเบา ๆ อย่างปลอบโยนอาหลีหลับตาพริ้ม ซบศีรษะลงกับอกอันอบอุ่นของเขา “ข้ากำลังคิดถึงพี่ใหญ่ คิดถึงท่านย่า ท่านปู่ ส่วนท่านพ่อ
เช้าวันใหม่มาเยือนมหานครเหยียนจิ่ง แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าสาดส่องลงบนถนนสายการค้าอันคึกคัก ผู้คนมากมายต่างพากันเดินจับจ่ายซื้อของ สองฟากถนนเต็มไปด้วยร้านรวงที่เริ่มเปิดประตูต้อนรับลูกค้า เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของชาวบ้านประสานกับเสียงเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ขายอย่างครึกครื้นมีชีวิตชีวาตรงหัวมุมถนนที่เชื่อมต่อกับตลาดกลาง จากพื้นที่โล่งกว้างที่เคยว่างเปล่า บัดนี้ถูกล้อมรอบด้วยรั้วไม้ไผ่สูงทึบ พร้อมป้ายประกาศขนาดใหญ่ที่เขียนด้วยลายมือประณีตสวยงามว่า‘สถานที่ก่อสร้างโรงหมอเผิงไหลอี้’ไป๋เซียวกับอาหลีมายืนดูการเริ่มต้นก่อสร้างโรงหมอด้วยกัน ไป๋เซียวอยู่ในชุดคลุมยาวสีแดงเข้มปักลายกิเลนเพลิง ดูสง่างามโดดเด่นจนผู้คนที่ผ่านไปมาต่างแอบชำเลืองมองด้วยความชื่นชม ส่วนอาหลีในชุดผ้าไหมสีชมพูอ่อนปักลายดอกจือจื่อขาว ใบหน้างดงามฉายแววตาตื่นเต้นและเปี่ยมไปด้วยความหวัง“พี่เซียว… ข้ายังแทบไม่อยากเชื่อเลย ว่าเราจะได้เริ่มก่อสร้างโรงหมอกันจริง ๆ เสียที” อาหลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตากลมโตเป็นประกายเจิดจ้าไป๋เซียวคลี่ยิ้มบาง ลูบเรือนผมนางเบา ๆ อย่างอ่อนโยน“ทุกอย่างล้วนเกิดจากความพยายามของเจ้า ข้าเพียงแค่คอย
วันเวลาหมุนผ่านไปตามครรลอง เผลอเพียงไม่นานกิจการร้านเครื่องหอมหลีฮวาเซียงก็เปิดมาได้แปดเดือนแล้วกิจการยิ่งนานยิ่งรุ่งเรืองทำกำไรงอกงาม ค่ำคืนต้นฤดูหนาวของต้าฉู่เวียนมาบรรจบอีกครั้งภายในห้องหนังสือของเรือนหลิงเซียว แสงตะเกียงนวลอ่อนสาดส่องกระทบใบหน้าหวานของอาหลีที่กำลังนั่งก้มหน้าจดรายละเอียดแผนการเปิดโรงหมอลงบนกระดาษ ดวงตากลมโตสุกใสเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ไป๋เซียวที่นั่งพิงพนักเก้าอี้ข้างกายนางด้วยท่าทีผ่อนคลาย จับจ้องภรรยาไม่วางตา“ข้าว่าคงต้องจ้างช่างก่อสร้างเพิ่ม เพราะอาคารต้องมีพื้นที่กว้างพอสำหรับห้องตรวจหลายห้อง อีกทั้งคลังยาและห้องพักฟื้นก็ต้องกว้างขวางพอให้คนไข้พักอาศัย…” อาหลีพึมพำกับตัวเองพร้อมจดบันทึกด้วยสีหน้าจริงจังเป็นที่สุดไป๋เซียวหัวเราะเบา ๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้ กระซิบข้างใบหูนางอย่างหยอกเย้า “เจ้าช่างขยันจริง ๆ”อาหลีสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นรินรดอยู่ข้างแก้ม ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อทันที นางหันมายิ้มบางๆ เอ่ยตอบเสียงหวาน “ก็ข้าต้องวางแผนให้ดี ท่านเป็นคนสอนข้าเองนี่เจ้าคะ”อยู่กับเขามาไป๋เซียวสั่งสอนให้หลายอย่าง อาหลีล้วนจำใส่ใจ