로그인
พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นเต็มฟ้า
แต่เสียงสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์คันสีดำด้านก็ดังขึ้นบริเวณหน้าหอพักหญิงในย่านกลางเมือง “บอย! พี่บอย...รับหนูไปทีนะ เดี๋ยวลูกค้ารอ!” เสียงแหลมของหญิงสาวในเดรสรัดรูปสีสดเรียกชื่อเขาจากหน้าตึก หนุ่มวินในเสื้อแจ็กเก็ตสีดำหม่น หันไปมองพลางพยักหน้าเบา ๆ ไม่พูดมาก แต่สายตานิ่ง ๆ นั่นกลับทำให้สาวไซด์ไลน์หลายคนหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น “อร๊ายย~ ทำไมขี่มอไซค์ก็ยังหล่อ!” “นั่นดิยะ! ขรึมแบบนี้แหละน่าเก็บ!” ไม่ว่าจะสาวไซด์ไลน์รุ่นใหญ่ หรือแม่หม้ายสาวหุ่นดีวัยสามสิบกว่า ๆ ต่างก็ยอมจ่ายเงินเพิ่ม...เพื่อได้ “พี่บอย” มารับไปโรงแรมด้วยตัวเอง แต่พี่บอยกลับไม่เคยตอบอะไร ไม่เคยหวั่นไหวกับใคร แม้แต่เสียงอ่อย ๆ ที่กระซิบหลังหมวกกันน็อก “คืนนี้ว่างไหมคะ...ขึ้นห้องหนูก่อนได้เลย ไม่คิดตังค์” แต่ชายหนุ่มก็แค่ขับไปเงียบ ๆ ไม่หัน ไม่ตอบ มีเพียงแววตาเดียวที่มักเปลี่ยนไปเสมอ...เมื่อเขาไปรับหญิงสาวอีกคน หญิงสาวในชุดเรียบง่าย ไม่ได้แต่งหน้าจัด ไม่เคยอ่อย…แต่กลับทำให้เขารู้สึกอยากปกป้องทุกครั้งที่เห็น ใช่... เธอคือ “นิริน” นักศึกษาสาวปีสามที่ยามค่ำคืนต้องกลายเป็นผู้หญิงในตลาดบริการ เธอไม่เคยรู้เลยว่า... คนขี่วินเงียบ ๆ คนนั้น ไม่เคยรับส่งใครแล้วเฝ้ามองผ่านกระจกนานเท่าที่เขาทำกับเธอ แม้จะมีผู้หญิงมากหน้าหลายตานั่งซ้อนท้ายเขาทุกวัน แต่หัวใจของ พี่บอย...มันมีที่ว่างไว้แค่คนเดียว “พี่บอย มารับหน่อยค่ะ ที่เดิมนะ” ข้อความนั้นถูกส่งออกไปในเวลา 20:15 น. นิรินแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว กระโปรงสีเข้มเรียบแต่รัดรูป เสื้อแขนยาวผ้าบางสีขาวนวล ผมถูกรวบหลวม ๆ เป็นหางม้า และลิปสติกสีชมพูกุหลาบที่เธอไม่ค่อยทา ยกเว้นวันที่มี “งาน” เธอลากกระเป๋าใบเล็กลงมาจากห้องเช่า ไม่ต้องมีคำอธิบายอะไร เพราะแค่ชื่อโรงแรมก็ทำหน้าที่แทนทุกอย่างแล้ว รถมอเตอร์ไซค์สีดำจอดรออยู่ตรงมุมเดิม พี่บอย วินมอไซค์วัยสามสิบต้น ๆ ผู้ชายพูดน้อย ใส่เสื้อคลุมกันฝนสีทึบและหมวกกันน็อกที่เขายกขึ้นไว้ครึ่งศีรษะ มองเธอด้วยสายตาเดิมที่ไม่ถามอะไรเลย...แต่ไม่เคยละไปไหน “ไปส่งที่เดิมนะคะ” “อืม...ขึ้นเลย” เธอสวมหมวกกันน็อกที่เขายื่นให้ เสียงเครื่องยนต์เริ่มขึ้นอีกครั้ง ระหว่างทาง เธอซบแผ่นหลังเขาเหมือนเดิม ไม่ได้พูดอะไรเหมือนทุกครั้ง เพียงแต่เธอไม่รู้เลยว่า คนที่เธอพิงอยู่ตรงนั้น รู้สึกกับเธอมากแค่ไหน พี่บอยจอดรถหน้าทางเข้าโรงแรม เธอลงจากรถ หันไปยิ้มบาง ๆ ให้เขา ก่อนจะเดินเข้าไปในประตูกระจกที่ปิดไว้แน่นหนา ในห้อง 508 นิรินนั่งอยู่บนปลายเตียง แสงไฟสีอุ่นสะท้อนเงาตัวเองในกระจก เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กไลน์ ไม่มีข้อความใหม่จากใคร...แม้แต่ “แขก” ที่นัดไว้ “เขาน่าจะมาแล้วนะ...” เธอพึมพำกับตัวเอง เธอรอ นาทีแล้วนาทีเล่า จนกระทั่งเสียงข้อความดังขึ้น แต่ไม่ใช่จากแขก “ถึงห้องหรือยัง?” จากพี่บอย เธอกลั้นยิ้ม ไม่ตอบในทันที แต่กลับรู้สึกแปลก คืนนี้หัวใจเธอเหมือน “ไม่ได้รอแขก” เท่ากับรอข้อความเขา... นิรินนั่งเงียบอยู่บนเตียง เสียงแอร์ทำงานสม่ำเสมอ แต่กลับไม่ช่วยให้ใจเธอสงบลงได้เลย ข้างนอกฝนเริ่มพรำอีกครั้ง... ไม่แรงนัก แต่พอให้ได้ยินเสียงกระทบกระจกหน้าต่างเป็นจังหวะ “ถึงห้องหรือยัง?” ข้อความเดิมจากพี่บอยยังค้างอยู่ตรงหน้าจอ เธอไม่ได้ตอบทันที แต่พอเวลาผ่านไปอีกสิบนาที แขกยังไม่มา เธอก็กดโทรออกหาพี่บอย…อย่างไม่รู้ว่าทำไม “ฮัลโหล” “พี่บอย...อยู่แถวนี้มั้ยคะ” “ยังจอดอยู่ใกล้ ๆ” “...ถ้าไม่รีบกลับ พี่ขึ้นมาหาหน่อยได้มั้ย” เสียงฝีเท้าพี่บอยมาถึงประตูภายในเวลาไม่ถึงห้านาที นิรินเปิดประตูรับเขาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง แต่ดวงตาดูแดงเล็กน้อย... อาจจะเพราะฝุ่น หรือไม่ก็เพราะความรู้สึกที่เธอพยายามกลั้นไว้ไม่ให้มันไหลออกมา “ขอโทษนะคะ พี่คงเหนื่อยแล้ว” “ไม่เป็นไร...” “หนูก็ไม่รู้ว่าเรียกพี่ขึ้นมาทำไม” พี่บอยไม่ตอบ เขาเพียงแต่มองเธอ แล้วเดินเข้ามาช้า ๆ มานั่งลงที่ขอบเตียงข้าง ๆ เธอ ระหว่างพวกเขา ไม่มีเสียงพูด มีเพียงฝนที่ตกเบา ๆ ด้านนอก กับเสียงหัวใจที่ค่อย ๆ เต้นแรงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว นิรินเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน น้ำเสียงแผ่วเบา “คืนนี้…เขาไม่มาแล้วล่ะค่ะ” “...” “หนูคงไม่ควรเสียใจ เพราะหนูก็รู้อยู่แล้วว่าเราคืออะไรสำหรับเขา” “แต่บางที...หนูก็อยากเป็นคนธรรมดาบ้าง” คำว่า “คนธรรมดา” ทำให้พี่บอยหันมาสบตาเธอ ในแววตาของเขามีบางอย่าง…บางอย่างที่เธอไม่เคยเห็นในสายตาของใครเลยตลอดชีวิตที่ผ่านมานี้ เขายื่นมือมาลูบผมเธอเบา ๆ สัมผัสที่ไม่ได้เร่งเร้า แต่แนบแน่นจนเธอเผลอวางแก้มลงบนฝ่ามือนั้น “หนู...เหนื่อยมากเลยนะพี่บอย” “รู้…” “แล้วพี่...เคยมองหนูเป็นแค่ลูกค้าไหมคะ” “ไม่เคย” คำตอบนั้น… มันไม่ใช่คำพูดหวาน ๆ แต่มันหนักแน่น…มากพอให้เธอปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาช้า ๆ และเมื่อเขากอดเธอในนาทีนั้น นิรินก็ไม่ผลักไส ไม่ผลักเลย… เธอเอนตัวลงซบเขาในแบบที่ไม่ต้องแลกกับเงิน ไม่ต้องแลกกับอะไรเลย เพราะคืนนี้เธอไม่ใช่ “ใครก็ได้” แต่เธอคือ นิริน ที่อยู่ในอ้อมแขนของ พี่บอยคนเดียวค่ำคืนบ้านสวนที่สงบเงียบ แสงไฟสลัวในห้องนอนอาบไล้ผ้าม่านสีขาวให้ดูนุ่มนวล หนูนิดหลับสนิทอยู่ในเปลเล็กที่วางมุมห้อง เหลือเพียงพี่บอยกับนิรินที่ได้นอนเคียงกันในเตียงใหญ่นิรินหันมามองสามี ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่ยังมีแววอบอุ่นที่คงเส้นคงวา เธอเอื้อมมือเล็กไปคว้ามือเขามากุม ก่อนค่อย ๆ ดันลงต่ำช้า ๆ“หนูคิดถึงพี่…” เสียงกระซิบแผ่วพร่าแฝงแรงปรารถนาพี่บอยเลิกคิ้วเล็กน้อย แววตาคมเข้มวูบไหว ก่อนที่ริมฝีปากจะโค้งขึ้น นิรินก้มหน้าลงช้า ๆ ใช้ความอ่อนโยนของเธอปลุกเร้าความเป็นชายของเขา ริมฝีปากอุ่นครอบลงแก่นกายที่แข็งร้อนขึ้นทุกทีเสียงลมหายใจของพี่บอยดังพร้อมกับจังหวะการดูดกลืนที่เร่งเร้า นิรินละเลียดไปตามความยาว ลิ้นนุ่มปาดชื้นจนแท่งอุ่นร้อนสั่นสะท้าน เขาเอื้อมมือหนาวางบนเรือนผมเธอ กดเบา ๆ คล้ายทั้งปลอบ ทั้งปรนเปรอ“หนู…” เสียงทุ้มกระซิบเบาๆ “รู้ตัวไหมว่าพี่แทบขาดใจ”นิรินเงยหน้าขึ้น ดวงตาเปล่งประกายพราวระยิบ แววหวานผสานแรงรัก ก่อนจะกลับลงไปลิ้มรสอีกครั้ง จังหวะรุกเร้าทำให้พี่บอยสูดหายใจลึก ร่างกายเกร็งแน่น ความเสียวแล่นพล่านขึ้นจนถึงสันหลังเสียงลมหายใจของพี่บอยขาดห้วงขึ้นทุกท
หลังจากหนูนิดลืมตาดูโลก ครอบครัวใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ อยู่พักใหญ่ จนวันที่พี่บอยตัดสินใจพากลับบ้านสวน ให้ลูกเติบโตท่ามกลางอากาศดีและความรักของทุกคนส่วนบ้านกับตึกที่กรุงเทพฯ เขาเลือกเก็บไว้ ฝากให้น้องกันต์ดูแลยามไปเรียนหรือมีงานในเมือง พี่บอยพูดเพียงสั้น ๆ แต่ชัดเจน “ถือว่าพี่ฝากด้วยนะ”มันไม่ใช่แค่การมอบความรับผิดชอบ แต่คือการส่งต่อความไว้ใจและการซัพพอร์ทอย่างเต็มที่คาเฟ่รั้วเอียงในสวนมะม่วงยังคงคึกคักทุกวัน กลิ่นกาแฟหอมผสมกลิ่นใบไม้ เสียงหัวเราะใส ๆ ของหนูนิดที่หัดเดินเกาะรั้วไม้เอียง ทำให้ร้านเล็ก ๆ แห่งนี้เต็มไปด้วยชีวิตชีวากันต์เพิ่งกลับจากกรุงเทพฯ เข้ามาเห็นภาพตรงหน้าแล้วเผลอยิ้มออกมา ความเหนื่อยล้าจากการเรียนและงานที่แบกไว้เหมือนเบาลงทันที เขาก้มลงอุ้มหลานขึ้นมา หนูนิดหัวเราะคิกแล้วเอื้อมมือไปแตะจมูกน้าชาย ทุกคนในร้านหัวเราะตามเสียงเด็กไปพร้อมกันแม่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ ยกมือปาดหางตาเล็กน้อยก่อนยิ้มกว้าง “แม่ไม่ห่วงอะไรอีกแล้ว…ขอแค่เห็นทุกคนอยู่พร้อมหน้าแบบนี้ แม่ก็สุขใจที่สุด”นิรินหันไปสบตาพี่บอย รอยยิ้มเธอสั่นไหวเล็กน้อยเพราะซึ้งจนพูดไม่ออก เขาเพียงยกแก้วกาแฟวางลงบนเคาน์เตอ
หลังจากที่หนูนิดลืมตาดูโลก บ้านที่กรุงเทพฯ ของพี่บอยกับนิรินก็ไม่เคยเงียบเหงาอีกเลย ตลอดหนึ่งถึงสองปีนั้น คนเช่าตึกที่คุ้นเคยกันต่างแวะเวียนมาหาไม่ขาด ทั้งช่วยซื้อของเข้าบ้าน เอาของเล่นเด็กมาให้ หรือแค่แวะมานั่งคุยเป็นเพื่อนทั้งกลางวันหรือยามค่ำคืนหนูนิดค่อย ๆ โตขึ้น จากเด็กน้อยในผ้าอ้อม กลายเป็นเจ้าตัวเล็กที่เริ่มหัดเกาะคลานไปทั่วบ้าน เสียงหัวเราะใส ๆ ของเธอทำให้ทุกคนในบ้านมีพลังใจอย่างบอกไม่ถูกน้องกันต์ ตอนนั้นเพิ่งอายุยี่สิบเต็ม กำลังอยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ ทั้งต้องเรียน ทั้งต้องรับงานช่วยครอบครัว แต่ก็ไม่เคยหายหน้าจากบ้าน เขามักกลับมาหาหนูนิดเสมอ คอยอุ้ม คอยเล่น พอเห็นหลานหัวเราะก็ลืมความเหนื่อยไปชั่วคราวหลายครั้งที่พี่บอยมองเห็นแววความกดดันในแววตาเด็กหนุ่ม เขาไม่ได้พูดพร่ำยืดยาว แค่ตบไหล่เบา ๆ หรือยกแก้วน้ำวางให้ตรงหน้าแล้วพูดสั้น ๆ“เหนื่อยก็พักบ้างนะกันต์…พี่อยู่ตรงนี้ ไม่ต้องห่วง”คำน้อย ๆ แต่กลับเป็นแรงซับพอร์ทที่มั่นคงที่สุดสำหรับกันต์ เสมือนบอกเขาว่าต่อให้เส้นทางชีวิตหนักหนาแค่ไหน ก็ยังมีบ้านหลังนี้ที่พร้อมโอบรับอยู่เสมอในค่ำคืนเงียบสงบ พี่บอยมักนั่งอุ้มหนูนิดอยู่ตรงระ
ลมเย็นปลายฝนพัดผ่านสวนมะม่วงในยามเช้า พี่บอยยืนเก็บของลงท้ายรถยนต์อย่างเงียบ ๆ แม่เดินออกมาจากครัว มือหิ้วถุงผ้าผักสวนครัวติดมาด้วยนิรินยืนลูบท้องโตที่เริ่มทำให้เดินเหินไม่ค่อยถนัดนัก สายตาเธอมองไปรอบ ๆ บ้านสวนเงียบ ๆ อย่างผูกพัน “แม่… หนูคิดถึงบ้านหลังนี้จัง”แม่ยกมือแตะไหล่ลูกสาว ยิ้มอ่อน “ไม่ต้องห่วงหรอกลูก เดี๋ยวคลอดเสร็จ กลับมาด้วยกันอีก บ้านสวนก็ยังรอเราอยู่เสมอ”เต้าหู้เห่าเหง่ง ๆ วิ่งวนรอบขาเหมือนรู้ว่ากำลังจะออกเดินทาง พี่บอยก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ “ไปด้วยกันนะไอ้เต้าหู้” หมาจอมซนส่ายหางแรง ๆ ตอบรับทันทีเมื่อทุกอย่างพร้อม ทั้งครอบครัวจึงขึ้นรถออกจากสวนที่อยู่มานานหลายปี เสียงประตูรั้วไม้เอียงปิดเบา ๆ ทิ้งไว้เพียงความทรงจำนิรินนั่งเอนพิงเบาะ มือกุมท้องแน่นทุกครั้งที่ลูกดิ้น พี่บอยเหลือบตามองเป็นระยะ มืออีกข้างวางบนหน้าขาเธออย่างอบอุ่นมือถือดังขึ้น น้องกันต์ส่งไลน์มา “พี่ ถึงไหนแล้ว ผมกับหมาจรที่เก็บมาเลี้ยงรออยู่ เต้าหู้จะได้มีเพื่อนแล้วนะ”นิรินยิ้มบาง ๆ “กันต์ตื่นเต้นใหญ่เลย”พี่บอยพยักหน้า “มันไม่เหงาหรอก มีทั้งหมา มีทั้งครอบครัวอยู่ด้วย”รถค่อย ๆ เลี้ยวเข้าประตูบ้านสองชั้น
แดดยามบ่ายอ่อนส่องลอดรั้วไม้เอียงเข้ามาในคาเฟ่ กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นผสมกับกลิ่นขนมอบลอยอวลในบ้านที่เป็นทั้งร้านและที่พักอาศัยในเวลาเดียวกันนิรินกำลังจัดแจกันดอกไม้เล็ก ๆ บนโต๊ะหินข้างหน้าต่าง เต้าหู้นอนเหยียดยาวอยู่บนพื้นไม้เหมือนเคย เธอไม่ได้เอะใจเลยว่าบรรยากาศวันนี้จะมีอะไรพิเศษกว่าทุกวันเสียงเครื่องยนต์รถดังมาจากหน้ารั้ว พี่บอยเดินเข้ามาพร้อมถุงกระดาษสีเรียบในมือ เขาไม่ได้พูดอะไร แค่เดินตรงมาวางไว้บนโต๊ะไม้กลางห้องครัว“พี่ซื้ออะไรมาเหรอคะ” นิรินถามอย่างสงสัยเขาเปิดถุงออก เผยให้เห็นกล่องเค้กจากร้านชื่อดังในตัวเมือง ริมฝีปากหยักยกยิ้มบาง ๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงความหมายลึกซึ้ง“วันนี้… ครบรอบวันที่พี่กับหนูเจอกันครั้งแรก”นิรินชะงักไปทันที ดวงตากลมเบิกกว้าง น้ำตารื้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “พี่…ยังจำได้เหรอคะ”พี่บอยพยักหน้าเบา ๆ “จำได้หมด…ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้”เธอหัวเราะทั้งน้ำตา ก้าวเข้าไปกอดเอวเขาแน่น “หนูไม่คิดเลยว่าพี่จะเป็นคนเซอร์ไพรส์แบบนี้”“พี่ไม่ได้เก่งเรื่องพวกนี้หรอก” เขาลูบผมเธอเบา ๆ “แต่พี่อยากให้หนูรู้…ว่าทุกวัน พี่ยังจำได้เสมอว่าหนูเข้ามาในชีวิตพี่ได้ยังไง”ทั้งคู่
ค่ำคืนอากาศเย็นหลังฝน บ้านสวนเงียบสงบนิรินนั่งกอดหมอนอยู่บนโซฟา สีหน้าหงุดหงิดเพราะอาการคนท้อง พี่บอยเงียบ ๆ แต่ยกขันน้ำอุ่นมาให้จิบบรรเทา พอเห็นเธอทำหน้ายู่ ก็ไม่พูดอะไร แค่ขยับลงนั่งกับพื้นตรงหน้าแล้วค่อย ๆ นวดฝ่าเท้าให้“พี่…ไม่ต้องก็ได้ หนูไม่ได้เป็นอะไรขนาดนั้นหรอก” เธอพึมพำเบา ๆ แต่ปลายนิ้วยังเกาะแขนเขาไว้ไม่ปล่อยพี่บอยแค่ส่ายหน้าเบา ๆ “ถ้าไม่สบายตัว…ก็ให้พี่ช่วย” เสียงทุ้มต่ำเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความมั่นคงนิรินเผลอหลับตา สูดหายใจลึกเมื่อความปวดเมื่อยค่อย ๆ คลายลง เธอซบหน้าลงกับอกเขาในที่สุด น้ำตาซึมเล็กน้อย “ถ้าไม่มีพี่…หนูคงแย่ไปแล้วจริง ๆ”พี่บอยก้มลงจูบหน้าผากเบา ๆ “ก็เพราะพี่อยากให้หนูไม่ต้องเหนื่อยคนเดียวอีกต่อไปแล้วไง”นิรินยกมือเล็กดึงชายเสื้อเขาไว้แน่นเหมือนกลัวว่าเขาจะถอยหนี ใบหน้าที่เคยทำหน้างออยู่เมื่อครู่กลับแดงจัด ดวงตาสั่นระริกด้วยทั้งความหงุดหงิดและความปรารถนา“พี่… หนูหิวพี่จริง ๆ นะ” น้ำเสียงเธอสั่นแต่เด็ดขาดพี่บอยนิ่งไปนานพอสมควร แววตาคมเข้มกวาดมองเรือนกายที่เริ่มเปลี่ยนเพราะการตั้งครรภ์ เขาสูดหายใจลึก เหมือนจะกักเก็บสติที่เหลือ แต่ในที่สุดก็ยื่นมือมากอบก







