ค่ำคืนบ้านสวนที่สงบเงียบ แสงไฟสลัวในห้องนอนอาบไล้ผ้าม่านสีขาวให้ดูนุ่มนวล หนูนิดหลับสนิทอยู่ในเปลเล็กที่วางมุมห้อง เหลือเพียงพี่บอยกับนิรินที่ได้นอนเคียงกันในเตียงใหญ่นิรินหันมามองสามี ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่ยังมีแววอบอุ่นที่คงเส้นคงวา เธอเอื้อมมือเล็กไปคว้ามือเขามากุม ก่อนค่อย ๆ ดันลงต่ำช้า ๆ“หนูคิดถึงพี่…” เสียงกระซิบแผ่วพร่าแฝงแรงปรารถนาพี่บอยเลิกคิ้วเล็กน้อย แววตาคมเข้มวูบไหว ก่อนที่ริมฝีปากจะโค้งขึ้น นิรินก้มหน้าลงช้า ๆ ใช้ความอ่อนโยนของเธอปลุกเร้าความเป็นชายของเขา ริมฝีปากอุ่นครอบลงแก่นกายที่แข็งร้อนขึ้นทุกทีเสียงลมหายใจของพี่บอยดังพร้อมกับจังหวะการดูดกลืนที่เร่งเร้า นิรินละเลียดไปตามความยาว ลิ้นนุ่มปาดชื้นจนแท่งอุ่นร้อนสั่นสะท้าน เขาเอื้อมมือหนาวางบนเรือนผมเธอ กดเบา ๆ คล้ายทั้งปลอบ ทั้งปรนเปรอ“หนู…” เสียงทุ้มกระซิบเบาๆ “รู้ตัวไหมว่าพี่แทบขาดใจ”นิรินเงยหน้าขึ้น ดวงตาเปล่งประกายพราวระยิบ แววหวานผสานแรงรัก ก่อนจะกลับลงไปลิ้มรสอีกครั้ง จังหวะรุกเร้าทำให้พี่บอยสูดหายใจลึก ร่างกายเกร็งแน่น ความเสียวแล่นพล่านขึ้นจนถึงสันหลังเสียงลมหายใจของพี่บอยขาดห้วงขึ้นทุกท
หลังจากหนูนิดลืมตาดูโลก ครอบครัวใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ อยู่พักใหญ่ จนวันที่พี่บอยตัดสินใจพากลับบ้านสวน ให้ลูกเติบโตท่ามกลางอากาศดีและความรักของทุกคนส่วนบ้านกับตึกที่กรุงเทพฯ เขาเลือกเก็บไว้ ฝากให้น้องกันต์ดูแลยามไปเรียนหรือมีงานในเมือง พี่บอยพูดเพียงสั้น ๆ แต่ชัดเจน “ถือว่าพี่ฝากด้วยนะ”มันไม่ใช่แค่การมอบความรับผิดชอบ แต่คือการส่งต่อความไว้ใจและการซัพพอร์ทอย่างเต็มที่คาเฟ่รั้วเอียงในสวนมะม่วงยังคงคึกคักทุกวัน กลิ่นกาแฟหอมผสมกลิ่นใบไม้ เสียงหัวเราะใส ๆ ของหนูนิดที่หัดเดินเกาะรั้วไม้เอียง ทำให้ร้านเล็ก ๆ แห่งนี้เต็มไปด้วยชีวิตชีวากันต์เพิ่งกลับจากกรุงเทพฯ เข้ามาเห็นภาพตรงหน้าแล้วเผลอยิ้มออกมา ความเหนื่อยล้าจากการเรียนและงานที่แบกไว้เหมือนเบาลงทันที เขาก้มลงอุ้มหลานขึ้นมา หนูนิดหัวเราะคิกแล้วเอื้อมมือไปแตะจมูกน้าชาย ทุกคนในร้านหัวเราะตามเสียงเด็กไปพร้อมกันแม่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ ยกมือปาดหางตาเล็กน้อยก่อนยิ้มกว้าง “แม่ไม่ห่วงอะไรอีกแล้ว…ขอแค่เห็นทุกคนอยู่พร้อมหน้าแบบนี้ แม่ก็สุขใจที่สุด”นิรินหันไปสบตาพี่บอย รอยยิ้มเธอสั่นไหวเล็กน้อยเพราะซึ้งจนพูดไม่ออก เขาเพียงยกแก้วกาแฟวางลงบนเคาน์เตอ
หลังจากที่หนูนิดลืมตาดูโลก บ้านที่กรุงเทพฯ ของพี่บอยกับนิรินก็ไม่เคยเงียบเหงาอีกเลย ตลอดหนึ่งถึงสองปีนั้น คนเช่าตึกที่คุ้นเคยกันต่างแวะเวียนมาหาไม่ขาด ทั้งช่วยซื้อของเข้าบ้าน เอาของเล่นเด็กมาให้ หรือแค่แวะมานั่งคุยเป็นเพื่อนทั้งกลางวันหรือยามค่ำคืนหนูนิดค่อย ๆ โตขึ้น จากเด็กน้อยในผ้าอ้อม กลายเป็นเจ้าตัวเล็กที่เริ่มหัดเกาะคลานไปทั่วบ้าน เสียงหัวเราะใส ๆ ของเธอทำให้ทุกคนในบ้านมีพลังใจอย่างบอกไม่ถูกน้องกันต์ ตอนนั้นเพิ่งอายุยี่สิบเต็ม กำลังอยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ ทั้งต้องเรียน ทั้งต้องรับงานช่วยครอบครัว แต่ก็ไม่เคยหายหน้าจากบ้าน เขามักกลับมาหาหนูนิดเสมอ คอยอุ้ม คอยเล่น พอเห็นหลานหัวเราะก็ลืมความเหนื่อยไปชั่วคราวหลายครั้งที่พี่บอยมองเห็นแววความกดดันในแววตาเด็กหนุ่ม เขาไม่ได้พูดพร่ำยืดยาว แค่ตบไหล่เบา ๆ หรือยกแก้วน้ำวางให้ตรงหน้าแล้วพูดสั้น ๆ“เหนื่อยก็พักบ้างนะกันต์…พี่อยู่ตรงนี้ ไม่ต้องห่วง”คำน้อย ๆ แต่กลับเป็นแรงซับพอร์ทที่มั่นคงที่สุดสำหรับกันต์ เสมือนบอกเขาว่าต่อให้เส้นทางชีวิตหนักหนาแค่ไหน ก็ยังมีบ้านหลังนี้ที่พร้อมโอบรับอยู่เสมอในค่ำคืนเงียบสงบ พี่บอยมักนั่งอุ้มหนูนิดอยู่ตรงระ
ลมเย็นปลายฝนพัดผ่านสวนมะม่วงในยามเช้า พี่บอยยืนเก็บของลงท้ายรถยนต์อย่างเงียบ ๆ แม่เดินออกมาจากครัว มือหิ้วถุงผ้าผักสวนครัวติดมาด้วยนิรินยืนลูบท้องโตที่เริ่มทำให้เดินเหินไม่ค่อยถนัดนัก สายตาเธอมองไปรอบ ๆ บ้านสวนเงียบ ๆ อย่างผูกพัน “แม่… หนูคิดถึงบ้านหลังนี้จัง”แม่ยกมือแตะไหล่ลูกสาว ยิ้มอ่อน “ไม่ต้องห่วงหรอกลูก เดี๋ยวคลอดเสร็จ กลับมาด้วยกันอีก บ้านสวนก็ยังรอเราอยู่เสมอ”เต้าหู้เห่าเหง่ง ๆ วิ่งวนรอบขาเหมือนรู้ว่ากำลังจะออกเดินทาง พี่บอยก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ “ไปด้วยกันนะไอ้เต้าหู้” หมาจอมซนส่ายหางแรง ๆ ตอบรับทันทีเมื่อทุกอย่างพร้อม ทั้งครอบครัวจึงขึ้นรถออกจากสวนที่อยู่มานานหลายปี เสียงประตูรั้วไม้เอียงปิดเบา ๆ ทิ้งไว้เพียงความทรงจำนิรินนั่งเอนพิงเบาะ มือกุมท้องแน่นทุกครั้งที่ลูกดิ้น พี่บอยเหลือบตามองเป็นระยะ มืออีกข้างวางบนหน้าขาเธออย่างอบอุ่นมือถือดังขึ้น น้องกันต์ส่งไลน์มา “พี่ ถึงไหนแล้ว ผมกับหมาจรที่เก็บมาเลี้ยงรออยู่ เต้าหู้จะได้มีเพื่อนแล้วนะ”นิรินยิ้มบาง ๆ “กันต์ตื่นเต้นใหญ่เลย”พี่บอยพยักหน้า “มันไม่เหงาหรอก มีทั้งหมา มีทั้งครอบครัวอยู่ด้วย”รถค่อย ๆ เลี้ยวเข้าประตูบ้านสองชั้น
แดดยามบ่ายอ่อนส่องลอดรั้วไม้เอียงเข้ามาในคาเฟ่ กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นผสมกับกลิ่นขนมอบลอยอวลในบ้านที่เป็นทั้งร้านและที่พักอาศัยในเวลาเดียวกันนิรินกำลังจัดแจกันดอกไม้เล็ก ๆ บนโต๊ะหินข้างหน้าต่าง เต้าหู้นอนเหยียดยาวอยู่บนพื้นไม้เหมือนเคย เธอไม่ได้เอะใจเลยว่าบรรยากาศวันนี้จะมีอะไรพิเศษกว่าทุกวันเสียงเครื่องยนต์รถดังมาจากหน้ารั้ว พี่บอยเดินเข้ามาพร้อมถุงกระดาษสีเรียบในมือ เขาไม่ได้พูดอะไร แค่เดินตรงมาวางไว้บนโต๊ะไม้กลางห้องครัว“พี่ซื้ออะไรมาเหรอคะ” นิรินถามอย่างสงสัยเขาเปิดถุงออก เผยให้เห็นกล่องเค้กจากร้านชื่อดังในตัวเมือง ริมฝีปากหยักยกยิ้มบาง ๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงความหมายลึกซึ้ง“วันนี้… ครบรอบวันที่พี่กับหนูเจอกันครั้งแรก”นิรินชะงักไปทันที ดวงตากลมเบิกกว้าง น้ำตารื้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “พี่…ยังจำได้เหรอคะ”พี่บอยพยักหน้าเบา ๆ “จำได้หมด…ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้”เธอหัวเราะทั้งน้ำตา ก้าวเข้าไปกอดเอวเขาแน่น “หนูไม่คิดเลยว่าพี่จะเป็นคนเซอร์ไพรส์แบบนี้”“พี่ไม่ได้เก่งเรื่องพวกนี้หรอก” เขาลูบผมเธอเบา ๆ “แต่พี่อยากให้หนูรู้…ว่าทุกวัน พี่ยังจำได้เสมอว่าหนูเข้ามาในชีวิตพี่ได้ยังไง”ทั้งคู่
ค่ำคืนอากาศเย็นหลังฝน บ้านสวนเงียบสงบนิรินนั่งกอดหมอนอยู่บนโซฟา สีหน้าหงุดหงิดเพราะอาการคนท้อง พี่บอยเงียบ ๆ แต่ยกขันน้ำอุ่นมาให้จิบบรรเทา พอเห็นเธอทำหน้ายู่ ก็ไม่พูดอะไร แค่ขยับลงนั่งกับพื้นตรงหน้าแล้วค่อย ๆ นวดฝ่าเท้าให้“พี่…ไม่ต้องก็ได้ หนูไม่ได้เป็นอะไรขนาดนั้นหรอก” เธอพึมพำเบา ๆ แต่ปลายนิ้วยังเกาะแขนเขาไว้ไม่ปล่อยพี่บอยแค่ส่ายหน้าเบา ๆ “ถ้าไม่สบายตัว…ก็ให้พี่ช่วย” เสียงทุ้มต่ำเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความมั่นคงนิรินเผลอหลับตา สูดหายใจลึกเมื่อความปวดเมื่อยค่อย ๆ คลายลง เธอซบหน้าลงกับอกเขาในที่สุด น้ำตาซึมเล็กน้อย “ถ้าไม่มีพี่…หนูคงแย่ไปแล้วจริง ๆ”พี่บอยก้มลงจูบหน้าผากเบา ๆ “ก็เพราะพี่อยากให้หนูไม่ต้องเหนื่อยคนเดียวอีกต่อไปแล้วไง”นิรินยกมือเล็กดึงชายเสื้อเขาไว้แน่นเหมือนกลัวว่าเขาจะถอยหนี ใบหน้าที่เคยทำหน้างออยู่เมื่อครู่กลับแดงจัด ดวงตาสั่นระริกด้วยทั้งความหงุดหงิดและความปรารถนา“พี่… หนูหิวพี่จริง ๆ นะ” น้ำเสียงเธอสั่นแต่เด็ดขาดพี่บอยนิ่งไปนานพอสมควร แววตาคมเข้มกวาดมองเรือนกายที่เริ่มเปลี่ยนเพราะการตั้งครรภ์ เขาสูดหายใจลึก เหมือนจะกักเก็บสติที่เหลือ แต่ในที่สุดก็ยื่นมือมากอบก