สิบปีต่อมา
ภายในงานวัดของจังหวัดทางภาคใต้แห่งหนึ่ง เสียงปี่กลองแหลมสูงแทรกด้วยจังหวะเร่งเร้า รัวเป็นจังหวะสลับหนักและเบากันไป ท่วงทำนองดุดันแฝงไปด้วยความขลัง ดึงดูดให้ทุกสายตาจับจ้องร่างที่กำลังร่ายรำอยู่กลางเวที
นายมโนราห์ทั้งชายและหญิงกำลังหมุนเวียนสลับกันทำหน้าที่ของตนเองเพื่อซื้อใจคนที่นั่งดูอยู่ หรือแม้กระทั่งผู้คนที่ต่างเดินผ่านไปมาทางนี้
และทันทีที่เสียงดนตรีและเสียงปรบมือจบลง ทั้งนายและนางรำต่างก็เดินลงมาจากเวที พร้อมกับถอนหายใจกันอย่างโล่งอก
“เหนื่อยวะ วันนี้อากาศโคตรร้อนเลย มึงไม่ร้อนหรือไงว่ะ” เป้ว่าพลางถอดเสื้อผ้าพร้อมมองออกไปยังเพื่อนอีกคน
“ทำมาตั้งนานแล้ว กูชินแล้วล่ะ”
“มึงชิน หรือเพราะไม่มีทางเลือกกันแน่วะ…ไอ้ขลุ่ย” คำพูดของเป้จี้ใจดำขลุ่ยเข้าอย่างจัง
“ช่างมันเหอะ สักวันคงดีเองนั่นแหละ” เป้ส่ายหน้า เพราะไม่ว่ากี่ครั้งก็มักจะเห็นเพื่อนสนิทพูดแบบนี้เสมอ
“งั้นมึงเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ตรงนี้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวกูออกไปหาของหน่อย ไม่รู้ตั้งไว้ไหน”
“มึงลืมอะไร เดี๋ยวกูช่วยหา”
“มือถืออ่ะ แต่ไม่เป็นไร มึงรอตรงนี้แหละ เดี๋ยวกูหาเอง แป๊บเดียว” เป้ว่าพลางเดินออกไปจากห้องแต่งตัวที่ตอนนี้แทบไม่หลงเหลือใครอยู่แล้ว
ระหว่างนั้นขลุ่ยรีบปลดเสื้อแขนสั้นแนบข้างลำตัวออก ก่อนถอดออกจากลาดไหล่ เผยให้เห็นผิวเปียกชื้นจากเหงื่อผุดขึ้นมา พร้อมกับกำลังเอื้อมไปแตะผ้าที่ถูกผูกเอาไว้เพื่อคลายปม แต่ยังไม่ทันได้ถอดหมด
“ขาวจังวะ ถ้าเป็นเมียกูจะจัดเช้าจัดเย็นเลย แม่ง” เสียงของใครบางคนที่ไม่ชอบขี้หน้าโผล่พรวดเข้ามา แถมยังใช้สายตามองอย่างโลมเลีย แม้ไม่หันไปมองก็รู้ว่าคือไอ้เม่น เพราะประโยคสกปรกโสโครกเช่นนี้คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากมันคนเดียว
“...”
ขลุ่ยไม่คิดตอบกลับหรือให้ความสนใจในคำถามนั้น ก่อนหันหลังเพื่อเตรียมใส่เสื้อผ้าแล้วออกไปจากตรงนี้ให้ไว้ที่สุด
“อะไรวะ กูพูดด้วยกลับเงียบ เล่นตัวฉิบหาย” ไอ้เม่นรีบก้าวฝีเท้าดักขลุ่ยตรงหน้า เมื่อเห็นว่าเหยื่อเริ่มหาทางหนีทีไล่
“ถอยไป กูจะกลับบ้าน”
“จืด ๆ แบบมึง ลองดูกับกูหน่อยมั้ย ไม่เสียหายหรอก ฝึกประสบการณ์ไง”
“อยากจะทำก็ไปทำกับเมียมึง ไม่ใช่มายุ่งกับกู” ไอ้เม่นเลิกคิ้ว มือเท้าสะเอวมองขลุ่ยที่กำลังเดือดดาล
“เบื่อแล้ววะ อยากลองของแปลกมากกว่า” พูดจบมันก็เหลือบมองไปข้างหลัง เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร จึงตัดสินใจใช้กำลังบังคับขู่เข็ญ
“ไอ้เหี้ย! ปล่อยกู!” ไอ้เม่นเดาะลิ้น พร้อมกับโนมใบหน้าของมันเข้าซุกซอกคอสูดกลิ่นตามตัวของขลุ่ย
“หอมฉิบหาย” ด้วยความที่ขนาดตัวต่างกัน ไอ้เม่นจึงสามารถควบคุมแรงของเหยื่อได้อย่างง่ายดาย
ก่อนจะดึงเสื้อที่ขลุ่ยเพิ่งจะสวมใส่ไปให้ร่นลงมาจนเห็นลาดไหล่ขาวเนียน ไอ้เม่นไม่รอช้ารีบตามเข้าสัมผัสทันที ก่อนในจังหวะเดียวกันหัวของมันเหมือนจะถูกดึงจากข้างหลังจนแทบหลุดออกจากกัน
ผลัวะ! ผลัวะ! ผลัวะ!
“กูบอกหลายครั้งแล้วใช่มั้ย อย่ามายุ่งกับเพื่อนกู!” เสียงกำปั้นเสยเข้าใบหน้าของไอ้เม่นซ้ำ ๆ หลายครั้ง จนมันแทบจะสลบเหมือดคากองพื้น
“มึง…ไอ้เป้!” ไอ้เม่นชี้หน้ามองด้วยสายตาเดือดดาล
“มึงอยากตายก็เข้ามา! คราวนี้กูจะเอาให้ไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลย!”
“...ฝากไว้ก่อนเหอะมึง!” ไอ้เม่นพูดพลางชี้หน้าด่า ก่อนรีบถอยหลังกลับออกไป
“แม่ง ไอ้เหี้ยกูน่าจะเอามันให้ตาย มึงไหวไหมไอ้ขลุ่ย” เป้รีบเข้าไปพยุงเพื่อนสนิทที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนักให้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
“ไหว รีบออกจากตรงนี้กันเหอะ”
เป้พาขลุ่ยซ้อนมอเตอร์ไซด์ขี่กลับไปส่งไม่นานก็ถึงหน้าบ้าน ก่อนค่อย ๆ ถอดหมวดกันน็อคคืนให้เพื่อนสนิท
“ขอบใจมึงมากนะไอ้เป้ งั้นกูเข้าบ้านก่อน”
“อืม มีอะไรก็โทรหากูได้ตลอด งั้นกูไปแหละ” ขลุ่ยพยักหน้าตอบรับ ก่อนก้าวฝีเท้ามองหน้าประตูบ้าน พร้อมถอนหายใจยาวออกมา
เพล้ง! เพล้ง!
“ทำอะไรน่ะพ่อ” เสียงขวดแก้วแตกกระจายลงสู่พื้น จนขลุ่ยที่เพึ่งกลับมาได้ยินเข้าถึงตกใจร้องเสียงหลง
“กลับมาแล้วเหรอวะ ไอ้ขลุ่ย” เสียงยานของผู้บังเกิดเกล้าเอ่ยกับลูกชาย
“นี่พ่อดื่มเหล้าอีกแล้วเหรอ ขลุ่ยบอกกี่ครั้งแล้วว่ามันไม่ดีต่อร่างกาย แถมยังสิ้นเปลืองเงินอีก”
“แล้วมึงมาเสือกอะไรกับกู มีหน้าที่หาเงินก็ทำไปสิวะ ว่าแต่…ตอนนี้มึงมีเงินเปล่า กูขออีกสักหน่อยสิ มีเท่าไหร่ก็เอามาให้หมด!”
“ขลุ่ยไม่มีแล้วพ่อ สองวันก่อนก็เพิ่งให้ไปเอง”
“อะไรวะ แม่ง แค่นี้ก็งก เดี๋ยวกูไปขอกับคนอื่นเอาก็ได้” คำพูดที่ไม่ว่ากี่ครั้งทำให้ขลุ่ยต้องยอมตลอด เพราะหากต้องให้พ่อไปหยิบยืมจากใคร นั่นเท่ากับว่าดอกเบี้ยจะยิ่งเพิ่มพูนและหนี้ก็คงไม่จบเพียงแค่นี้แน่ ๆ จึงเป็นเหตุผลให้ขลุ่ยต้องยอมจำนนร่ำไป
ขลุ่ยดึงกระเป๋าสตางค์ออกมา มองดูเงินที่เหลือเพียงแค่ห้าร้อยเท่านั้น ก่อนถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
“ผมมีให้พ่อแค่นี้นะ” ขลุ่ยยื่นแบงก์สามใบแดงให้กับผู้เป็นพ่อที่กำลังนั่งตาลอยจากฤทธิ์ของเหล้า ในขณะที่อีกสองร้อยต้องเก็บเอาไว้ซื้อกับข้าวมาไว้ในบ้านและเป็นค่าเดินทางเพื่อออกไปทำงานเช่นทุกวัน
“ขอบใจ กูไปแหละ” มือที่ไม่เคยผ่านการช่วยเหลือลูกชายแม้แต่ครั้งเดียวรับเงินมาอย่างทันควัน พลางแตะเข้าที่ไหล่พลางตบเบา ๆ ราวกับพึงพอใจ
ภายในบ้านสังกะสีเล็กหลังปราศจากผู้คน น้ำตาเม็ดโตของขลุ่ยก็พลันร่วงหล่นลงมาอย่างไม่ขาดสาย มองพื้นที่มีเศษแก้วด้วยความท้อแท้ในโชคชะตา แม้จะเจ็บปวดแค่ไหนก็ยังหยิบไม้กวาดขึ้นมาทำความสะอาดให้เรียบร้อย
ก่อนร่างโปร่งจะค่อย ๆ นั่งลงบนพื้นไม้เสื่อมสภาพที่ไม่รู้ว่าจะหักวันไหน พลางก้มใบหน้าลงขดคู้สองเข่าตั้งชัน และมักจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งเวลามีเรื่องราวกลัดกลุ้มหรือเสียใจ พร้อมปล่อยเสียงร้องไห้อย่างสุดกลั้นราวกับว่ามันเป็นเพียงพื้นที่ปลอดภัยเดียวของขลุ่ยแล้ว
ตั้งแต่เกิดมาชีวิตของขลุ่ยก็ไม่เคยมีวันสัมผัสคำว่าครอบครัวได้เลยสักวัน เฝ้าถามตัวเองมาตั้งแต่เด็กจนโตว่าทำไมถึงไม่มีชีวิตดี ๆ เหมือนคนอื่นบ้าง ตลอดเวลาที่ผ่านมาขลุ่ยเฝ้ามองแม่ที่ต้องดูแลพ่อไม่เอาไหนอยู่เสมอ กินเหล้าเมาหาหนี้มาไม่เว้นแต่ละวัน
จนกระทั่งแม่เกิดป่วยกะทันหันด้วยวัณโรค และจากไปตอนขลุ่ยอายุเพียงเก้าขวบเท่านั้น ตั้งแต่นั้นมาขลุ่ยต้องคอยหางานทำทุกอย่างเท่าที่ได้เพื่อส่งตัวเองเรียนต่อ ขอแค่ให้ได้วุฒิจบมัธยมต้นมาก็พอ อย่างน้อยให้มีช่องทางให้ไปต่อ
กระทั่งไอ้เป้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานชักชวนให้มาช่วยงานในโรงคณะมโนราห์ที่รับจ้างแสดงตามงานบุญ งานวัด ด้วยค่าจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ แรกเริ่มขลุ่ยเพียงช่วยจัดเครื่องแต่งกาย และข้าวของ มีการพยายามฝึกซ้อมรำบ้าง จนวันหนึ่งหัวหน้าคณะเห็นแวว จึงลองให้ขลุ่ยแต่งตัวเพื่อขึ้นแทนตัวสำรองที่ขาดไป ด้วยท่วงท่าที่รับกันอย่างเป็นธรรมชาติ แม้จะไม่ได้ร่ำเรียนมาโดยตรง แต่ร่างกายของเขากลับจดจำและเคลื่อนไหวตามเสียงแซ่ของดนตรีได้อย่างไหลลื่น ซึ่งเป็นเหตุผลให้ยังมีกินอยู่ทุกวันนี้ แม้จะไม่มากก็ตาม
.
.
.
ช่วงสายของวันต่อมา ขลุ่ยต้องกลับเข้ามาหลังเวทีอีกครั้ง เพื่อเตรียมตัวแสดงมโนราห์ หาเงินเลี้ยงชีพเช่นเคย วันนี้เป็นวันสุดท้ายของงานวัด คาดว่าผู้คนจะหลั่งไหลมามากกว่าปกติ
ขลุ่ยมานั่งแต่งหน้าอยู่ตรงหลังเวที ไม่นานเพื่อนสนิทอย่างเป้ก็ตามมาสมทบ ก่อนช่วยกันแต่งองค์ทรงเครื่องให้เรียบร้อย เมื่อหันมองดูเวลาก็จวนใกล้เวลาแสดงเต็มทีแล้ว
“ไปเหอะ ดนตรีเริ่มล่ะ” เป้หันมาพูดกับขลุ่ยที่กำลังยืนเตรียมตัวอยู่
“อืม ๆ”
หลังพูดคุยกันได้เพียงไม่นาน เป้และขลุ่ยก็ต้องออกไปร่ายรำบนเวที สลับหมุนเวียนกับนางรำมโนราห์คนอื่น ๆ ตามลำดับ เสียงฆ้องและกลองดังขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มการแสดง ท่ามกลางสายตาของผู้ชมที่จับจ้องไปยังทุกอิริยาบถของเหล่านักแสดง
วันนี้ไม่ผิดคาด คนดูแน่นขนัดจนล้นออกมานอกพื้นที่เวที บางคนยืนเบียดเสียดกันหน้าลานวัดเพื่อชมให้ใกล้ที่สุด เสียงปรบมือดังเป็นระยะ ทุกครั้งที่ขลุ่ยยกมือพนมขึ้นก่อนสะบัดปลายเล็บทองเหลืองอย่างอ่อนช้อย สะโพกไหวตามจังหวะดนตรีอย่างเป็นเอกลักษณ์ ทำให้บรรยากาศยิ่งครึกครื้น ขลุ่ยที่อดคิดในใจไม่ได้ว่าหัวหน้าคณะคงดีใจมากแน่ ๆ เพราะปัจจุบันการแสดงมโนราห์หาดูยากขึ้นเรื่อย ๆ และน้อยนักที่จะพบเห็น
“ไม่ให้กูไปส่งถึงข้างในหรือไง เปลี่ยวจะแย่” เป้เอ่ยถามเพื่อนสนิททันทีที่มาส่งขลุ่ยถึงหน้าปากซอยบ้าน
“ไม่เป็นไร อีกอย่างกูว่าจะซื้อกับข้าวแถวนี้กลับบ้านไปให้พ่อด้วยพอดี” ขลุ่ยพูดพลางส่งยิ้มเล็ก ๆ ให้กับเพื่อนสนิท
“จบงานแล้ว มึงจะไปไหนต่อ กว่าจะมีงานอีกก็หลายอาทิตย์เลย”
“ไม่รู้วะ ตอนนี้ยังไม่ได้คิดเลย แต่โชคดีที่วันนี้ได้เงินค่าจ้างเยอะกว่าเดิม คิดว่าน่าจะพอถึงวันนั้นแหละ”
“แล้วไม่ต้องไปบอกพ่อมึงล่ะ ไม่งั้นเงินหายจะหาว่ากูไม่เตือน” เป้เอ่ยด้วยความหวังดี เพราะพอรู้วีรกรรมพ่อของขลุ่ยพอสมควร ขลุ่ยเม้มปากแล้วพยักหน้าตอบกลับเบา ๆ
ขลุ่ยและเป้ต่างแยกย้ายกันไปตามทิศทางของแต่ละคน ระหว่างทางขลุ่ยแวะซื้ออาหารสำเร็จรูปจากร้านสะดวกซื้อที่ยังคงเปิดให้บริการอยู่มาสองสามอย่าง ก่อนมุ่งหน้าเดินกลับบ้านอย่างอารมณ์ดีกว่าทุกวัน
เพล้ง! เพล้ง!
เสียงแก้วแตกดังลอดออกมาจากข้างในบ้านเช่นเคย เพียงแต่ครั้งนี้ชาวบ้านแถวนั้นกลับมุงดูกันเต็มไปหมด ทั้งที่ดึกดื่นพอสมควรแล้ว ขลุ่ยรู้สึกสังหรณ์ในใจ ก่อนเดินมาถึง ดวงตากลับต้องเบิกกว้างมองบ้านที่บัดนี้ข้าวของหล่นกระจัดกระจายเต็มไปหมด
“ไอ้ขลุ่ยเอ๋ย…อย่าเข้าไปยุ่งเลย พ่อมึงสร้างเรื่องอีกแล้ว” เสียงป้าข้างบ้านเอ่ยเตือนด้วยความสงสาร พร้อมกับพยายามดึงมือของขลุ่ยเอาไว้
แต่ในช่วงเวลานั้นขลุ่ยกลับไม่คิดสนใจอะไรแล้ว รีบวิ่งเข้าไปข้างใน เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“พ่อ!” เสียงตะโกนของผู้มาใหม่ทำให้ชายฉกรรจ์ราวสองสามคนที่กำลังยืนอยู่หันมามอง
“อะ…ไอ้ขลุ่ยมึงช่วยกูด้วย” ท่าทีสะบักสะบอมทำให้ขลุ่ยต้องรีบประคองใบหน้าของผู้เป็นพ่อขึ้นมา รอยช้ำม่วงเต็มใบหน้า ตามตัวมีบาดแผลเล็ก ๆ พร้อมเลือดติดตามมุมปาก
“มันเกิดอะไรขึ้นน่ะพ่อ” ขลุ่ยถามเสียงสั่น ไม่รู้ว่าคนพวกนี้ต้องการอะไรกันแน่
“กะ…กูเล่นพะ…พนัน แล้วติดหนี้พวกมัน”
“ทะ…เท่าไหร่เหรอพ่อ” ขลุ่ยพยายามตั้งสติ เพราะบางทีอาจจะไม่มากจนเกินไป
“มึงไม่มีปัญญาหรอก”
“พ่อก็บอกมาก่อนสิ!”
“สะ…สิบล้าน มึงได้ยินมั้ยว่าสิบล้าน!!!!”
!!!
ร่างผอมบางที่กำลังประคองผู้เป็นพ่ออยู่แทบลมจับ เมื่อได้ยินจำนวนเงินที่ทั้งชาติคงไม่มีทางหามาได้
“พูดกันเสร็จยังว่ะ แม่ง พวกกูไม่ได้มีเวลามานั่งรอมึงสองพ่อลูกตลอดหรอกนะ” ชายฉกรรจ์คนแรกเอ่ยขึ้นมา พร้อมกับชักปืนที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมา
ขลุ่ยเมื่อเห็นว่าทุกอย่างเริ่มเลวร้ายขึ้นทุกนาที มือไม้พลันอ่อนลง ค่อย ๆ คลานเข้าไปจับปลายเท้าของผู้มีอิทธิพลเพื่อขอร้องอ้อนวอน
“ผะ…ผมขอทยอยจ่ายแทนได้มั้ย”
“หึ จากสภาพบ้าน ชาติไหนนายกูจะได้คืนว่ะ มึงอย่าลืมดอกเบี้ยด้วยล่ะ” ชายคนเดิมพูดพลางสำรวจอย่างกำลังนึกตรึกตรองบางอย่าง
ยิ่งเห็นใบหน้าเรียวรีได้รูป ผิวกายขาวเนียนละเอียด แม้จะติดผอมบางไปนิด แต่โดยรวมก็แทบไร้ที่ติเลยทีเดียว เรียกได้ว่าแทบจะเป็นสเปคของนายเลยล่ะ
“แต่ก็ไม่แน่ว่าอาจจะได้….ก็ได้นะ” ขลุ่ยมองตามชายคนดังกล่าวอีกครั้งด้วยความหวัง
“ผะ…ผมยอมทำทุกอย่าง”
“มึงแน่ใจนะ”
“...ครับ” สายตาของขลุ่ยเต็มเปี่ยมไปด้วยการรอคอยข้อเสนออย่างใจจดจ่อ
“ไม่มีเงิน…งั้นก็เอาตัวของมึงมาใช้หนี้แทนพ่อมึงสิ!” ทันทีที่ประโยคดังกล่าวถูกถ่ายทอดออกมา ขลุ่ยก็แทบสิ้นหวัง รู้สึกว่าชีวิตนี้หมดหนทางเลือกจะไปต่อแล้ว
อิฐที่ตื่นขึ้นมาในเช้าวันนี้ดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขาอาศัยจังหวะจังหวะที่ขลุ่ยยังไม่ตื่นดี นอนตะแคงมองใบหน้าคนข้างกายอย่างเงียบ ๆ ด้วยความรู้สึกอบอุ่นและสุขล้นในอก รอยยิ้มบางผุดขึ้นตรงมุมปาก ก่อนกายกำยำจะก้มลงหอมพวงแก้มอิ่มเบา ๆ อย่างอ่อนโยนแกร๊ก! พรึ่บ!ภายหลังอาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว อิฐคว้าลูกบิดเปิดประตูออกจากห้องหวังจะออกไปสะสางงานที่คั่งค้างอยู่ทันที แต่ทันใดนั้นร่างของลูกน้องที่เปรียบเสมือนทั้งมือซ้ายและขวากลับล้มระเนระนาดลงมากองอยู่ตรงหน้า แถมเสื้อผ้ายังคงอยู่ในชุดเดิมราวกับว่าเมื่อคืนพวกมันสองตัวนั่งกันอยู่ตรงนี้“... แหะ ๆ ครึกครื้นดีนะครับนายหัว ” เสือสะลึมสะลือพูดขึ้นมา ทั้งที่ตายังไม่ทันลืมดี“คะ…คือผมกับไอ้เสือจะมาแจ้งว่า ลูกค้ารายใหญ่จากสิงคโปร์ที่เราเลื่อนดีลสินค้าเอาไว้เมื่อวาน จะเข้ามาช่วงสายวันนี้ครับ”“อืม…กูเห็นอีเมลแจ้งจากลูกค้าแล้ว ส่วนพวกมึงรีบจัดการธุระของตัวเองให้เรียบร้อย สายไปแค่วินาทีเดียว กูหักเงิน!”ขณะเดียวกันขลุ่ยที่รู้สึกหนัก ๆ ตัว จากขนอะไรบางอย่างที่กำลังทิ่มแทงอยู่บนใบหน้า แต่เมื่อลืมตาขึ้นมากลับพบว่าเป็นเจ้าเตาฟืนนั่นเองที่มานอนแหมะอยู่บ
แม้ต้องกลับมาเพราะแผนที่วางไว้ล่มไม่เป็นท่า แถมลูกชายยังปวดหนึบและเจ็บตึงไปหมด อิฐก็ได้แต่กัดฟันทน ข่มความกระสันที่ถูกปลุกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ คิดในใจว่า...หากได้ขลุ่ยกลับมาเมื่อไหร่ เขาจะจัดให้หนักสมกับที่ต้องอดทนรอเกือบเดือน แต่ตอนนี้ต้องเบรกทุกความคิดไว้ก่อน เพราะทั้งเสือและทัพต่างก็เตือนกันหนักหนา ว่าหากไม่อยากสูญเสียอีกฝ่ายไปก็ต้องหักห้ามใจให้มากกว่านี้อิฐนึกถึงคำพูดที่ขลุ่ยเคยบอกไว้เมื่อตอนนั้น ก่อนตัดสินใจค่อย ๆ ละนิสัยความรุนแรงของตัวเองลง แต่ถามว่าหายขาดเลยไหม…ก็คงไม่ เพราะทุกอย่างต้องใช้เวลา แม้กระทั่งตอนที่เขาไม่สามารถพาอีกฝ่ายกลับมาได้ ทั้งที่ความจริงจะลากกลับไปเลยก็ทำได้ไม่ยาก เพียงแต่ผลได้เสียจากนั้นคงไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยง จึงจำใจต้องอดทนรออยู่อย่างนั้น จนกว่าอีกฝ่ายจะพร้อม“อึ้ม...อ่าส์...ซี้ด...ขลุ่ย…” เสียงครางต่ำสะท้อนก้องออกมาจากห้องน้ำ เงาร่างสูงกำยำที่กำลังพิงผนังรูดรั้งส่วนกลางกาย มือหยาบใหญ่เร่งเร้าขณะนึกถึงใบหน้าได้รูปของอีกคน เมื่อครั้งร่วมรักกัน ไม่นานน้ำสีขาวขุ่นก็ทะลักออกจากส่วนปลายพุ่งเปรอะเต็มพื้นกระเบื้องหรู พร้อมเสียงหอบถี่จากแรงอารมณ์ที่ผ่อนเบาลงแล้ว
“กว่าจะมาได้นะมึง แล้วนั่นที่คอโดนอะไรกัดมาน่ะ” มือบางรีบคว้าปิดลำคอตัวเองเอาไว้ ใบหน้าเลิ่กลั่ก ก่อนรีบตอบแก้เก้อ“สงสัยคงเป็นแมลงแถวนี้มั้งพ่อ แถวบ้านเราจะมีบ้างก็ไม่แปลกหรอก...เนอะ” ขลุ่ยว่าพลางเสิร์ฟข้าวสวยร้อน ๆ พร้อมกุนเชียงผัดไข่วางลงบนโต๊ะ“เออ ๆ จะนอนหรือทำอะไรก็ปัด ๆ หน่อยแล้วกัน”“ได้พ่อ” ขลุ่ยก้มหน้าถอนหายใจอย่างโล่งอก แววตาเหลือบมองรอบ ๆ เห็นเสือกับทัพกำลังกลั้นหัวเราะกันอยู่ แถมไม่ไกลจากนั้น คนที่เป็นเจ้าของรอยประทับบนคอก็กำลังยืนปั้นหน้าแบบไม่รู้สึกรู้สาขลุ่ยชวนเสือและทัพมาทานข้าวด้วยกัน ผิดกับอีกคนแม้ไม่ได้เอ่ยสักนิด กลับมานั่งแหมะอยู่ข้าง ๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตพร้อมตักข้าวให้ตัวเองเสร็จสรรพ“นายหัวกินได้เหรอครับ?” คำพูดเชิงประชดถูกแทรกกลางวงสนทนาขึ้นมา“นั่นสิ จะกินกันได้เหรอ” สองพ่อลูกผู้มีศักดิ์เป็นเจ้าของบ้านเอ่ยถาม เนื่องจากเห็นพ้องต้องกัน“ก็แค่กับข้าว อยู่ไหนก็กินได้หมดนั่นแหละครับ” อิฐพูดพลางตักข้าวเข้าปากไม่หยุด จนจานตรงหน้าพร่องไปเกือบหมดในพริบตา“งั้นผมถามอะไรจริง ๆ เลยนะนายหัว” มือที่กำลังกวาดข้าวก้อนสุดท้ายหยุดลง ก่อนเงยหน้าตั้งใจฟังอย่างดี“ไอ้ขลุ่ยมันใช้ห
เป็นเวลาตีสองกว่าแล้วเจ้าของห้องยังเอาแต่นั่งขบคิดว่าจะทำยังไงให้อีกฝ่ายยอมคืนดี คิดวกไปวนมาอยู่อย่างนั้น จนแทบไม่ได้นอนจริงจังเสียที กระทั่งจังหวะเหลือบไปมองเจ้าเตาฟืนที่กำลังขดตัวนอนอย่างสบายใจข้างล่าง จู่ ๆ อิฐก็ผุดไอเดียบางอย่างขึ้นมาได้ เขาลุกไปอุ้มมันออกมา จากนั้นจึงพลิกตัวลำตัวที่เริ่มหนักของมันไปมา พร้อมจัดท่าทางให้ดูเหมือนกำลังตรอมใจม๊าว!...ฟ่อ...เสียงขู่ฟ่อ ๆ ดังลั่น เพื่อแสดงถึงความไม่พอใจสุดขีด เล็บแหลม ๆ ของมันกางออกมาเตรียมจะข่วนอีกครั้ง“อยากได้แม่แกกลับมาหรือเปล่า ฉะนั้นทำตัวให้มีประโยชน์หน่อยสิ” อิฐเริ่มจัดท่าทางจนได้มุมที่ต้องการแล้ว เขาก็รู้สึกว่ามันยังไม่พอ ก่อนหยิบถ้วยชามที่เพิ่งเติมไว้จนเต็ม จากนั้นอุ้มเจ้าเตาฟืนมานอนเกยอยู่ตรงนั้น ราวกับว่ามันเศร้าซึมสุด ๆ จนไม่สามารถกินอะไรได้ เก็บไว้เป็นไม้ตายเผื่อเอาไว้เรียกร้องความสนใจจากอีกฝ่ายระหว่างทางนั่งสปีดโบ๊ททั้งเสือและทัพต่างคอยรายงานถึงคำสั่งที่นายหัวได้สั่งเอาไว้ว่าเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี และไม่มีอะไรต้องกังวล“แล้วของที่กูสั่งไว้ล่ะ ได้มาครบหรือยัง”“ครบแล้วครับนาย” เสือเป็นคนรายงานรายละเอียดทั้งหมด เพราะตอน
อิฐกลับมาถึงเกาะก็ต้องเคลียร์งานจนหัวหมุน หลังเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อเช็กงานอีเมลต่าง ๆ ก็ทยอยหลั่งไหลเข้ามารัว ๆ ส่วนปัญหาที่น่าปวดหัวที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องจากลูกค้าเก่าที่เวียดนามแจ้งมาว่าพบสินค้าที่ส่งไปมีตำหนิหลายจุด แต่พอเช็กดูดี ๆ ก็พบว่าทุกอย่างเกิดจากการท่าขนส่ง ถึงจะไม่ใช่ความผิดของบริษัทต้นทางเราเต็ม ๆ ก็ต้องรับผิดชอบอยู่ดี ในห้องทำงานที่เอกสารกองพะเนินล้นโต๊ะ อิทธิกรเอนกายพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจเฮือกยาวทิ้งอย่างคนได้หยุดพัก พอหันกลับไปดูปฏิทินถึงได้รู้ว่าเวลาผ่านไปเกือบสองอาทิตย์แล้ว ร่างกำยำนั่งเงียบ ๆ อยู่คนเดียว ใจพะวงคิดถึงใครบางคน ดวงตาเคล้าโศกเศร้า ใบหน้าเรียวยาวได้รูป ริมฝีปากที่ต่อล้อต่อเถียงอย่างไม่เกรงกลัว ทั้งที่ตั้งใจว่าจะขึ้นไปหาบ่อย ๆ แต่ก็มัวแต่ยุ่งจนไม่ได้ออกไปไหนเลยแต่ไม่เป็นไร ตอนนี้เขาว่างแล้ว จะไปทุกวันเลย ต่อให้อีกคนไม่อยากเจอก็ไม่สน...ตรงหน้าอิทธิกรที่ไม่รู้จะทำอะไรต่อ หยิบรีโมตขึ้นมากดเปิดโทรทัศน์แบบลวก ๆ หวังแค่หาสิ่งใดมาช่วยเบี่ยงเบนความคิดถึงชั่วคราว ภาพบนหน้าจอปรากฏเป็นรายการข่าวด่วน ผู้ประกาศสาวสวยน้ำเสียงฉะฉานรายงานถึงการเสียชีวิตของเสี่ยมนต
“คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ โชคดีที่ไม่โดนอวัยวะสำคัญ และจะย้ายผู้ป่วยไปยังห้องพิเศษทั่วไปนะครับ” เสียงคุณหมอดังขึ้นทันทีที่ประตูห้องฉุกเฉินเปิดออก ทุกสายตาหันขวับไปมองต้นทางอย่างจดจ่อไม่กี่นาทีต่อมา พยาบาลเข็นเตียงออกมา อิทธิกรที่ยังคงหลับไม่ได้สติ ตามตัวมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด ขลุ่ยตั้งท่าเดินขนาบเตียง แต่ทว่ากลับต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงจากเหมที่ยืนอยู่ข้างหลัง“ดีนะที่มึงปลอดภัย เฮ้อ!” ขลุ่ยและเป้หันขวับมามองทันที“พี่เหมรู้จักเขาด้วยเหรอครับ?” เป้ถามขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ“อะ…เอ่อ แหะ ๆ ครับ” เหมหัวเราะแห้ง ๆ ลูบท้ายทอยแก้เขินกลบเกลื่อน ขลุ่ยเลิกคิ้วน้อย ๆ ความสงสัยก่อตัวตั้งแต่ได้ยินคำพูดสนิทสนมของทั้งคู่แล้ว“มึงกับพี่เขากลับไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวกูเฝ้าต่อเอง” ขลุ่ยหันไปบอกเป้“แน่ใจนะ” เป้ถามให้แน่ใจอีกที“อือ ไปเถอะ”“แต่ถ้ามีอะไร โทรหากูได้ตลอดนะ”“...อื้อ”“พี่ฝากมันด้วยล่ะ” เหมเอ่ยพลางมองออกไปยังหน้าห้องผู้ป่วยที่เพิ่งเดินออกมาด้วยสายตาเป็นห่วง"พี่เสือและคุณทัพก็เหมือนกัน"“งั้นพวกกูฝากนายหัวด้วยนะไอ้ขลุ่ย พรุ่งนี้เช้าจะรีบมาหา” เสียงจากเสือแทรกตามมาด้วย ส่วนทัพทำเพียงพยักหน้าข