แผ่นเยื่อใสบาง ๆ ที่มีขนนกอัดแน่นอยู่ข้างใน พร้อมแปรงทำความสะอาด และแหนบเอาไว้ดึงเส้นเล็ก ๆ ในนั้นออกมาทำความสะอาดจนเอี่ยมอ่อง เรียกว่ากว่าจะเสร็จต้องนั่งหลังขดหลังแข็งกันอยู่นาน ทำครั้งแรกไม่ได้คล่องแคล่วอะไรนัก แต่โชคดีมีเพียงไม่กี่แผ่นเท่านั้น
ขลุ่ยกว่าจะกลับถึงที่พักก็ค่ำมืดแล้ว แต่ทันทีที่เห็นประตูห้องถูกเปิดแง้มอยู่ ความรู้สึกวูบโหวงก็แล่นขึ้นมาในอก ร่างผอมบางก้าวเท้าเข้าไปอย่างร้อนรน ก่อนจะชะงักเมื่อพบว่าข้าวของทั้งหมดที่เคยวางอยู่บัดนี้หายไปจนหมดสิ้น
ยังไม่ทันได้ตั้งสติ ทว่าเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากด้านหลัง พร้อมกับร่างของทัพลูกน้องของนายหัวหน้าโหดนั่นก้าวเข้ามาแทรกอยู่ตรงทางออกประตู
“ของทั้งหมดของมึง นายหัวให้ขนเอาไปไว้ที่บ้านใหญ่แล้ว” ขลุ่ยภาวนาลึก ๆ ขอให้ไม่ใช่บ้านหลังเดียวกับที่คิด
“แล้วทำไมนายหัวของคุณถึงต้องย้ายใครตามอำเภอใจแบบนี้ด้วย”
“มึงอยากรู้อะไรไปถามนายหัวเองดีกว่า ส่วนกูมีหน้าที่ทำตามคำสั่งเท่านั้น” ทัพแจกแจงแค่นั้น ก่อนเดินนำออกไป ขลุ่ยกำมือแน่นพลางถอนหายใจเข้าออกราวกับกำลังระงับโทสะ
บ้านพักไม้กลางหุบเขาหลังเดิมอยู่ตรงหน้า ก่อนเตรียมก้าวฝีเท้าเข้าไปและพบกับเสือที่กำลังยืนอารักขาใกล้ ๆ ทางผ่านพอดี
“...อ้าว พี่เสือ”
“เออ ดีใจนะที่เห็นมึงหายดีแล้ว” เสือทักทายหลังจากได้รับคำสั่งให้มารับใช้นายหัวที่นี่แล้ว
“ขอบคุณครับพี่เสือ”
“เออ จากนี้ก็รีบชดใช้หนี้แล้วกัน กูคงช่วยมึงได้เท่านี้แหละ” ขลุ่ยรู้ว่าเสือกำลังหมายถึงอะไร ก่อนพยักหน้าเรียบ ๆ ตอบกลับ
“ไอ้เสือมึงอย่าชวนมันคุยมากนัก เดี๋ยวก็โดนอีกหรอก” เสียงทัพเอ่ยเตือนคู่หูมือซ้ายด้วยน้ำเสียงเซ็ง ๆ เสือไหวไหล่ ก่อนตวัดสายตามามองขลุ่ยที่ยังยืนงงอยู่หน้าทางเข้าประตู
ขลุ่ยมองทั้งสองอย่างสงสัยเล็กน้อย คำพูดดูกำกวมคล้ายแฝงนัยบางอย่าง แต่เพราะไม่อาจรีรอ จึงจำใจต้องเดินผ่านเข้าไปข้างในอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ก๊อก ๆ ๆ
คนตัวใหญ่กำลังกวัดแกว่งแก้วแชมเปญไว้ในมือไม่พูดไม่จา แถมยังนั่งหันหลังให้อีก เมื่อขลุ่ยเข้ามาถึงจึงทำได้เพียงยืนนิ่ง ๆ เท่านั้น ส่วนอิฐรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร จึงไม่ต้องเสียเวลาอนุญาตให้มากความ เพราะเขาเป็นคนออกคำสั่งนั้นเอง
อิฐหมุนเก้าอี้กลับมาเผชิญหน้า ขลุ่ยมองคนตรงหน้าด้วยความประหลาดใจไม่น้อย แวบหนึ่งเขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ภาพใบหน้าที่เคยมีหนวดเคราและดิบเถื่อน บัดนี้กลับหล่อเหลาสะอาดสะอ้านราวกับคนละคน
“หน้าฉันมันมีอะไรติดอยู่หรือไง?” ทันทีที่เสียงห้วนของชายตรงหน้า ฉับพลันขลุ่ยกลับได้สติขึ้นมา
“ปะ..เปล่า” อิฐแสยะยิ้ม เพราะรู้ว่าภายใต้ใบหน้าราบเรียบนั้นกำลังคิดอะไรอยู่
“นายคงไม่ชินกับความหล่อของฉันสินะ…”
“อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย มาคุยเรื่องที่มึงย้ายข้าวของกูโดยพลการดีกว่า”
“...มีปัญหา?” อิฐเลิกปลายคิ้วถาม ก่อนวางแก้วแชมเปญกระแทกจนเกิดเป็นเสียงดังสนั่น จากนั้นเอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย ดวงตาสีดำขลับเอาแต่จ้องร่างตรงหน้าราวกับต้องการมองให้ทะลุปรุโปร่ง
“กูไม่ได้อยากอยู่ที่นี่”
“นายมีทางเลือกต่อรองแบบนี้ด้วยเหรอ ฉันมีสิทธิ์ในฐานะเจ้าหนี้ ส่วนนายก็แค่ลูกหนี้ต้องทำตามง่าย ๆ เท่านั้นเอง”
ขลุ่ยพยักหน้าอย่างจำใจ หากจะคัดค้านคงมีแต่เสียกับเสีย ไม่สู้อยู่เฉย ๆ ให้รอดพ้นเงื้อมมือมัจจุราชดีกว่า ก่อนนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีคำถามที่ยังค้างคาเอาไว้ เนื่องจากวันแรกยังไม่มีโอกาสตรงนั้น เพราะมัวแต่หวาดกลัวต่อบุคคลตรงหน้าจนหัวหด
“ถ้าอย่างนั้น...กูขอถามอะไรหน่อยสิ”
“...เชิญ” น้ำเสียงนิ่ง ๆ พร้อมกับมือใหญ่ที่ผายเบา ๆ ไปด้านหน้าเป็นเชิงอนุญาต
“กูอยากรู้ว่าหนี้จะลดยังไง แล้วเหลือเท่าไหร่ต่อวัน” ไหน ๆ ก็ไม่สามารถหนีพ้นเรื่องอย่างว่าได้อยู่แล้ว งั้นก็ทำต่อไปให้จบ ๆ อย่างน้อยก็ต้องรู้เงื่อนไขให้แน่ชัด จะได้ไม่เสียเปรียบ
“สองหมื่นต่อวัน ไม่รวมงานอื่น ๆ ที่นายต้องทำ” ขลุ่ยตาโตพร้อมคำนวณทุกอย่างผ่านสมอง หากตีรวม ๆ กันเขาต้องอยู่ที่นี่ประมาณปีกว่าหนี้สินถึงจะหมด
“มึงพูดจริงใช่มั้ย”
“ก็แล้วแต่นายจะคิดแล้วกัน อ๋อ…แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับความพอใจของฉันด้วยล่ะ” ขลุ่ยกำหมัดข้าง ๆ ลำตัวแน่น เนื่องจากต้องจำนนอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกตรงนี้อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
.
.
.
ทัพนำทางขลุ่ยมายังห้องฝั่งตรงข้าม ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับห้องผู้ชายอันตรายนั่น ข้าวของเครื่องใช้วางอยู่ปลายหัวเตียง นับว่าพื้นที่กว้างขวางน่าอยู่กว่าห้องเก่ามากทีเดียว แถมยังมีแอร์หรูให้เปิดอีกต่างหาก แต่ถึงอย่างนั้น… ถ้าหากเลือกได้ ขลุ่ยก็ยังอยากอยู่ให้ห่างจากคนคนนี้ให้มากที่สุดอยู่ดี
เสียงถอนหายใจดังเป็นระลอก ใบหน้าเรียวรีหันมองซ้ายขวาตรวจสอบรอบ ๆ ข้างให้แน่ใจ และไม่ลืมหมุนกลอนประตูเพื่อเช็กอีกครั้งเพื่อความสบายใจ
ก๊อก ๆ ๆ
ขลุ่ยที่ตั้งใจจะไปอาบน้ำเพื่อเตรียมเข้านอน ทันใดนั้นหูก็พลันได้ยินเสียงเคาะประตูดังมาจากห้องข้าง ๆ ใจหนึ่งอยากเมินเฉย แต่ความอยากรู้อยากเห็นกลับทำให้เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้ แนบหูกับบานประตูเพื่อจับเสียงพูดคุยของคนข้างนอก
เงียบ….
ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมา มีเพียงเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่เดินไปมา ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบสนิทอีกครั้งเท่านั้น ขลุ่ยขมวดคิ้วไม่แน่ใจว่าควรโล่งใจหรือระแวงดี ร่างผอมบางถอยออกจากประตู ถอนหายใจยาว แล้วหันไปมองหน้าต่างนอกระเบียง มองสายฝนโปรยปรายลงมาเบา ๆ
แต่ก่อนที่ขลุ่ยจะได้จัดแจงธุระส่วนตัว เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่ห้องข้าง ๆ แต่กลับเป็นหน้าประตูห้องของตัวเอง
ขลุ่ยค่อย ๆ แง้มออกไปดู ก่อนพบว่าเป็นทัพกำลังยืนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“...ครับ”
“กูแค่จะบอกมึงว่าอยู่ในห้องล็อกประตูให้ดี ๆ และอย่าสร้างปัญหาให้นายหัวภายหลัง เข้าใจมั้ย”
“...ครับ” แม้ขลุ่ยจะงงงวย แต่ก็ตอบรับกลับไปส่ง ๆ เพราะจากสีหน้าก็พอเดาได้ว่ากำลังมีปัญหาอะไรสักอย่างอยู่แน่ ๆ จึงไม่คิดสนใจอะไรต่ออีก
บนหอคอยสังเกตการณ์ และมีคนงานเดินถือปืนกันไปมาเพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอยู่ทุกวัน ซึ่งบริเวณนี้ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ต้องมีการ์ดประจำการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงคอยสลับหมุนเวียนกันตลอดทั้งวันทั้งคืน เพื่อคอยดูแลความปลอดภัยของที่นี่
ปัง! ปัง! ปัง!
ทันทีที่มาถึงเสียงสาดกระสุนจากน้ำมือของอิฐรัวยิงใส่กลุ่มโจรปริศนาที่กำลังเตรียมขึ้นเรือหนีหายอย่างถี่ยิบ พร้อมกับของกลางเป็นรังนกมูลค่าหลายสิบล้านบาท
“แม่งเอ๊ย! พวกมึงแยกย้ายกันไปทางนั้น ส่วนไอ้ทัพ ไอ้เสือตามกูมา!” ท่ามกลางสายฝนที่ซัดกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ร่างกำยำรีบกระโดดขึ้นเจ็ดสกีขับตามไป พร้อมกับลูกน้องอย่างเสือและทัพตามประกบหลัง
ขณะที่ภายนอกกำลังดุเดือด ภายในห้องพักของขลุ่ยกลับเต็มไปด้วยความเงียบสงบ ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมเสียงปืนกระหน่ำรัว เขารีบยันตัวลุกขึ้น พร้อมกับเปิดไฟบนหัวเตียงจนสว่างจ้า ดวงตางัวเงียมองไปรอบห้อง ก่อนสะบัดปลายผ้าม่านออกผ่านหน้าต่างที่มีฝนเกาะอยู่ประปรายเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ฝนตกเหรอเนี่ย” เสียงของขลุ่ยพึมพำออกมาเบา ๆ ระหว่างกำลังสังเกตการณ์ข้างนอก ร่างผอมบางกะจะเปิดประตูเพื่อออกไปดูให้ชัด ๆ แต่ก็ต้องหยุดมือที่จับลูกบิดลง เมื่อคำเตือนของทัพแล่นดังก้องขึ้นมาในหัว
“...อย่าออกไปดีกว่า” ขลุ่ยเอ่ยพึมพำกับตัวเอง พลางปลอบใจว่าตัดสินใจถูกแล้ว ก่อนจะเตรียมปิดไฟบนหัวเตียงเข้านอนตามเดิม แต่ก้าวได้เพียงคืบเดียวเท่านั้น
เสียงก๊อกแก๊กดังออกมาจากข้างนอกราวกับอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ทำให้ขลุ่ยชะงักฝีเท้าที่จะก้าวไปยังเตียงนอนพลันหยุดกึกลง พยายามสะกดใจตัวเองไม่ให้สนใจ แต่จู่ ๆ เสียงเคาะประตูกลับดังขึ้นมาเสียอย่างนั้น
คราวนี้ขลุ่ยกลับคิดว่าเป็นคนของนายหัวโหดไม่คุณทัพก็พี่เสือแน่ ๆ เพราะในนี้ก็มีอยู่กันแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ก่อนตัดสินใจเปิดประตูโดยลืมคิดเหลียวหน้าแลหลังให้รอบคอบเสียก่อน
แกร๊ก!
“...ครับ” ขลุ่ยเงยหน้าขึ้นมองบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้า นัยน์ตาไร้เดียงสาสั่นระริก ก่อนขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างฉับพลัน เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนเป็นชายร่างท้วม หน้าตารุ่นราวคราวพ่อ และยังมีชายฉกรรจ์อีกสองสามคนยืนขนาบอยู่ข้างหลัง
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป...หลังผ่านเหตุการณ์ในคืนนั้น ข้าวของทุกอย่างที่ถูกพวกมันขโมยไป เละเทะไม่มีชิ้นดี อีกทั้งพวกมันยังหนีรอดไปได้ต่างหากแกร๊ก!อิฐที่กำลังเหยียดกายสูบบุหรี่พิงพนักเก้าอี้อยู่ในห้องทำงาน ด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก บ่งบอกถึงความไม่สบอารมณ์ จู่ ๆ ประตูก็กลับถูกเปิดเข้า โดยไม่ผ่านการเคาะหรือขออนุญาตแม้แต่ครั้งเดียว“...นายหัวครับ เมื่อไหร่จะปล่อยไอ้ขลุ่ยมันสักที!!” อิฐหันมองตามเสียงของเสือที่กำลังยืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ กับทัพที่คาดว่ากำลังเข้ามาห้ามพอดี“แล้วมึงเสือกอะไร!!”“แต่นายครับ มันจะไม่ไหวอยู่แล้ว ตั้งแต่วันนั้นก็เป็นสัปดาห์แล้วนะครับนายหัว !” เสือพยายามอธิบายกับผู้เป็นนายอย่างกล้าหาญ เพราะหากไม่ทำเช่นนี้ เด็กนั่นก็คงต้องตายอยู่ในนั้น“กูแค่สั่งสอนลูกหนี้อย่างมัน หรือมึงมีปัญหา…”“เปล่าครับนายหัว แต่เด็กมันก็มีชีวิตรันทดมากพออยู่แล้ว หนี้สินก็มาจากพ่อมัน แล้วมาอยู่ที่นี่เจอนายทำแบบนั้นกับมันอีก หากมันตา…”ปึง!“ไม่ต้องมาสอนกู ไอ้ทัพพามันออกไป!!!” อิฐไม่สนใจคำกล่าวของลูกน้อง ยิ่งคำพูดที่ไม่เข้าหู ทำให้ร่างสูงใหญ่กำลังพักผ่อนอยู่ดี ๆ ลุกขึ้นมาตบโต๊ะทำงานจนดังลั่นห้อง เสือแล
ขลุ่ยถูกจับตัวออกมากลางดึก เสียงโวยวายยังคงดังออกมาไม่ขาดสาย ทว่าบริเวณนี้กลับเงียบราวกับไม่มีใครอยู่เลย เพราะทุกคนต่างกรูกันไปยังจุดเกิดเหตุกันหมดแล้ว“พวกมึงเป็นใคร...แล้วมาจับกูทำไม กูไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนายหัวโหดนั่นสักนิด!” ขลุ่ยกลั้นใจเอ่ยถามชายร่างท้วมที่กำลังเดินนำอยู่ข้างหน้า“หึ แต่นอกจากลูกน้องมันสองคน ก็มีคนแปลกหน้าเช่นมึงเนี่ยแหละที่ได้อภิสิทธิ์นอนบ้านหลังเดียวกับมันน่ะ”“...กูก็แค่ลูกหนี้เท่านั้น จับไปแล้วจะได้อะไรวะ…” ขลุ่ยพยายามแจกแจง พร้อมหาหนทางเอาตัวรอด“มึงนี่มันเด็กน้อยจริง ๆ”ทันใดนั้นขลุ่ยมองเห็นสปีดโบ๊ทปริศนาคาดว่าคงเป็นของพวกมันแน่ ๆ จอดเทียบท่าอยู่ ความคิดที่อยากหลบหนีจากที่นี่ก็พลันโผล่พรวดขึ้นมาราวกับมีความหวังอีกครั้ง“...พวกมึงจะพากูไปไหน” ขลุ่ยเอ่ยถามเสียงเครียด ดวงตาจับจ้องไปยังสปีดโบ๊ทที่จอดอยู่ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าขึ้นฝั่งไปแล้วจะเป็นยังไง แต่ถ้าได้ออกจากเกาะนี้ อย่างน้อยก็มีโอกาสรอดแล้วขณะเดียวกันภาพความทรงจำครั้งล่าสุดกลับผุดวาบขึ้นมา วันที่เขาพยายามหลบหนี แล้วถูกอิฐตามจับได้ ทุกอย่างยังคงแจ่มชัดและเขาเองก็ยังไม่พร้อมที่จะให้ตัวเองต้องเผชิญกับเหตุก
แผ่นเยื่อใสบาง ๆ ที่มีขนนกอัดแน่นอยู่ข้างใน พร้อมแปรงทำความสะอาด และแหนบเอาไว้ดึงเส้นเล็ก ๆ ในนั้นออกมาทำความสะอาดจนเอี่ยมอ่อง เรียกว่ากว่าจะเสร็จต้องนั่งหลังขดหลังแข็งกันอยู่นาน ทำครั้งแรกไม่ได้คล่องแคล่วอะไรนัก แต่โชคดีมีเพียงไม่กี่แผ่นเท่านั้นขลุ่ยกว่าจะกลับถึงที่พักก็ค่ำมืดแล้ว แต่ทันทีที่เห็นประตูห้องถูกเปิดแง้มอยู่ ความรู้สึกวูบโหวงก็แล่นขึ้นมาในอก ร่างผอมบางก้าวเท้าเข้าไปอย่างร้อนรน ก่อนจะชะงักเมื่อพบว่าข้าวของทั้งหมดที่เคยวางอยู่บัดนี้หายไปจนหมดสิ้นยังไม่ทันได้ตั้งสติ ทว่าเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากด้านหลัง พร้อมกับร่างของทัพลูกน้องของนายหัวหน้าโหดนั่นก้าวเข้ามาแทรกอยู่ตรงทางออกประตู“ของทั้งหมดของมึง นายหัวให้ขนเอาไปไว้ที่บ้านใหญ่แล้ว” ขลุ่ยภาวนาลึก ๆ ขอให้ไม่ใช่บ้านหลังเดียวกับที่คิด“แล้วทำไมนายหัวของคุณถึงต้องย้ายใครตามอำเภอใจแบบนี้ด้วย”“มึงอยากรู้อะไรไปถามนายหัวเองดีกว่า ส่วนกูมีหน้าที่ทำตามคำสั่งเท่านั้น” ทัพแจกแจงแค่นั้น ก่อนเดินนำออกไป ขลุ่ยกำมือแน่นพลางถอนหายใจเข้าออกราวกับกำลังระงับโทสะบ้านพักไม้กลางหุบเขาหลังเดิมอยู่ตรงหน้า ก่อนเตรียมก้าวฝีเท้าเข้าไปและพบกับเสือที่ก
ดึกดื่นจู่ ๆ ก็มีเรือเข้ามาจอดเทียบท่าชายหาด แสงไฟฉายจากคนงานต่างสาดส่องไปทั่วบริเวณ เพื่อนำทางบุคคลที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหมอตามมาอย่างเร่งด่วนขลุ่ยที่กำลังนอนซมด้วยพิษไข้ไม่มีกะจิตกะใจสนใจอะไรรอบตัว ลมหายใจร้อนผ่าว แถมความหนาวจากข้างนอกยังคงเล็ดลอดถาโถมเข้ามาอยู่เป็นระยะ ร่างผอมบางขดตัวเข้าหากัน พลันยกแขนกอดอกแน่น ก่อนจะกระชับผืนผ้าห่มขึ้นคลุมกายไว้มิดชิดทันใดนั้นบุคคลในชุดกาวน์ก็เข้ามาทำการรักษาคนที่กำลังนอนไม่ได้สติ เสาค้ำไม้เก่าข้าง ๆ ถูกนำมาเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อแขวนน้ำเกลือชั่วคราว เสียงร้องของขลุ่ยดังออกมาเป็นระยะ เนื่องจากขั้นตอนการล้างบาดแผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อ“อย่าลืมกำชับคนไข้ให้ทานยาตรงเวลา และครบจนหมดด้วยนะครับ” เสียงของหมอเปรยขึ้นกับเสือที่กำลังยืนรออยู่ข้างนอกเพื่อรอส่งคุณหมอกลับพอดี เดิมทีเพิ่งอาบน้ำเสร็จ แต่กลับได้รับคำสั่งเร่งด่วนจากไอ้ทัพ คราแรกได้ยินนึกว่าหูฝาด เพราะปกตินายหัวไม่เคยปรนนิบัติลูกหนี้คนไหนแบบนี้เลย...“เป็นไงบ้าง” คำพูดแรกเอ่ยถาม ในขณะที่ลูกน้องอย่างทัพเพิ่งเข้ามาถึง“เรียบร้อยครับนายหัว”“อืม ขอบใจ งั้นมึงออกไปได้แล้ว”“...ครับนายหัว!”ท
ร่างผอมบางขดขาเกร็งอยู่ในห้องที่มีแสงสว่างหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ใบหน้าที่เคยขาวเนียนบัดนี้แลดูซูบซีดและอ่อนล้า เนื่องจากบาดแผลจากการถูกลงโทษซ้ำ ๆ อย่างสาหัสสากรรจ์ขลุ่ยประสานสองฝ่ามือบีบเอาไว้แน่น ก่อนค่อย ๆ หลับตาลงเพื่อหวังจะบรรเทาความเจ็บปวดตรงนี้ลงไปบ้าง…เสียงกุกกักดังเล็ดลอดจากข้างนอก ทำให้ขลุ่ยจำต้องเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นมามองด้วยความหวาดระแวง ก่อนรีบถอยกายห่างไปข้างหลังอัตโนมัติร่างกำยำคุ้นเคยเดินมาคนเดียว พร้อมกระเป๋าสีดำปริศนาในมือ ก่อนนั่งลงยอง ๆ พลางรวบใบหน้าที่กำลังมองเขาราวกับโกรธเกรี้ยวขึ้นมา“ไง อยู่ตรงนี้เหงาหรือเปล่า”“...มึงมันเหี้ย” เสียงอ่อนระโหยพูดอย่างเดือดดาล“จุ๊ ๆ จากนี้มึงคือทาสของกูเท่านั้น…”“ตอนเด็กครอบครัวของมึงไม่ได้สั่งสอนเหรอวะ! ว่าอย่าใช้ความรุนแรงกับคนอื่นแบบนี้!” อิฐที่กำลังรูดซิปก้มมองหาอุปกรณ์ในกระเป๋าเงยหน้าขึ้นมา เมื่อถูกจี้จุดให้ย้อนนึกถึงอดีตอันแสนเจ็บปวดอีกครั้ง“เรื่องของกู ไม่ต้องมาสะเออะจะดีกว่านะ…”“...สารเลว”“หึ เดี๋ยวมึงก็รู้ว่าความรุนแรงแบบนี้ จะสั่งสอนให้มึงเชื่องได้แค่ไหน ดูจากตอนนี้ก็พอเป็นคำตอบได้แล้วนะ” มีดสั้นถูกหยิบข
…เด็กนั่นบอบบางเป็นบ้าคำจำกัดความที่อิฐมอบให้กับคนที่เพิ่งพบเจอไม่นาน หน้าตาสะสวยขนาดนั้น ผิวก็ขาวราวหยวก แถมตรอกซอยที่อยู่อาศัยก็ไม่ได้ปลอดภัยหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีนัก แต่กลับไม่เคยผ่านใครมาเสียอย่างนั้น หนำซ้ำยังอ่อนปวกเปียกอีกต่างหาก อิฐสูบม้วนบุหรี่เข้าปอดลึก ๆ ก่อนจะปล่อยควันและปาลงบนผืนทรายอย่างไม่คิดใส่ใจ ร่างกำยำสวมเสื้อกล้ามสีขาวกางเกงลำลองสบาย ๆ ดวงตาสีดำขลับถอดมองไปยังชายหาดที่เขาเป็นเจ้าของ พลันนึกถึงเรื่องราวในอดีต ใบหน้าของเด็กอวบอ้วนคนหนึ่งไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังคงฝังรากลึกอยู่ในความทรงจำพอ ๆ กับอดีตอันแสนเลวร้ายที่อยากจะลืมมันให้สิ้นซากผ่านไปหลายชั่วโมงพระอาทิตย์ที่เคยทอแสงสว่างเจิดจ้า บัดนี้ได้หม่นลงเพื่อเตรียมเข้าสู่ความมืดมิด ขลุ่ยที่ต้องระหกระเหินมาใช้ชีวิตในบ้านพักที่ตั้งเรียงกันอยู่ แต่ยังคงมีพื้นที่แบ่งแยกกันอย่างชัดเจน“นี่ที่นอนของมึง ส่วนห้องน้ำอยู่ตรงนู้น” เสือที่นำทางมาส่งถึงที่พัก พลางชี้นิ้วไปยังข้างหลัง“ขอบคุณครับ” ร่างผอมบางเดินด้วยท่าทีทุลักทุเลเข้ามา ท่าทางเหมือนจะล้มลงได้ทุกเมื่อ“งั้นมึงวางสัมภาระลง เดี๋ยวกูพาไปทานข้าว ไหวหรือเปล่า” “...