ขลุ่ยถูกจับตัวออกมากลางดึก เสียงโวยวายยังคงดังออกมาไม่ขาดสาย ทว่าบริเวณนี้กลับเงียบราวกับไม่มีใครอยู่เลย เพราะทุกคนต่างกรูกันไปยังจุดเกิดเหตุกันหมดแล้ว
“พวกมึงเป็นใคร...แล้วมาจับกูทำไม กูไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนายหัวโหดนั่นสักนิด!” ขลุ่ยกลั้นใจเอ่ยถามชายร่างท้วมที่กำลังเดินนำอยู่ข้างหน้า
“หึ แต่นอกจากลูกน้องมันสองคน ก็มีคนแปลกหน้าเช่นมึงเนี่ยแหละที่ได้อภิสิทธิ์นอนบ้านหลังเดียวกับมันน่ะ”
“...กูก็แค่ลูกหนี้เท่านั้น จับไปแล้วจะได้อะไรวะ…” ขลุ่ยพยายามแจกแจง พร้อมหาหนทางเอาตัวรอด
“มึงนี่มันเด็กน้อยจริง ๆ”
ทันใดนั้นขลุ่ยมองเห็นสปีดโบ๊ทปริศนาคาดว่าคงเป็นของพวกมันแน่ ๆ จอดเทียบท่าอยู่ ความคิดที่อยากหลบหนีจากที่นี่ก็พลันโผล่พรวดขึ้นมาราวกับมีความหวังอีกครั้ง
“...พวกมึงจะพากูไปไหน” ขลุ่ยเอ่ยถามเสียงเครียด ดวงตาจับจ้องไปยังสปีดโบ๊ทที่จอดอยู่ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าขึ้นฝั่งไปแล้วจะเป็นยังไง แต่ถ้าได้ออกจากเกาะนี้ อย่างน้อยก็มีโอกาสรอดแล้ว
ขณะเดียวกันภาพความทรงจำครั้งล่าสุดกลับผุดวาบขึ้นมา วันที่เขาพยายามหลบหนี แล้วถูกอิฐตามจับได้ ทุกอย่างยังคงแจ่มชัดและเขาเองก็ยังไม่พร้อมที่จะให้ตัวเองต้องเผชิญกับเหตุการณ์แบบนั้นอีก
แต่หากหนีพ้นละ…
“...มัวยืนนิ่งอะไรอยู่วะ เดินขึ้นไป!” ชายฉกรรจ์ถือปลายกระบอกปืนจี้จากข้างหลังเพื่อดันตัวขลุ่ยให้เดินไปข้างหน้า ก่อนจำต้องนั่งขนาบข้างใกล้ชายร่างท้วมที่คาดว่าคงเป็นเจ้านายของพวกมัน และไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เจอะเจอแต่อาวุธที่ต่างรายล้อมมาที่เขาราวกับกลัวหลบหนี
ขลุ่ยนั่งนิ่งไม่ปริปากหรือแสดงท่าทีขัดขืน เพราะตัดสินใจแล้วว่าจะออกไปจากที่นี่ จากนั้นค่อยมาว่ากันอีกที เพราะดูจากท่าทีของบุคคลข้างกายแล้วคงไม่มีทางให้เขาหลบหนีออกไปได้ง่าย ๆ เช่นกัน
เสียงสตาร์ทของสปีดโบ๊ทแล่นออกจากท่า แสงไฟจากหอคอยสังเกตการณ์ก็พลันสาดส่องมายังตรงที่เขานั่งอยู่พอดี
“เหี้ยเอ๊ย! พวกมันเห็นจนได้!” ชายร่างท้วมสบถอย่างหัวเสีย เสียงสัญญาณแจ้งเตือนจากหอสังเกตการณ์ดังลั่น ส่งสัญญาณเตือนภัยไปถึงอิฐที่กำลังอยู่อีกฟาก ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น...
ปัง! ปัง! ปัง!
ขณะที่เรือสั่นสะเทือนจากแรงกระแทกของกระสุน ขลุ่ยมองเห็นร่างกำยำกำลังมุ่งตรงและฝ่าสายฝนมาแต่ไกล สปีดโบ๊ทและเจ็ทสกีต่างเร่งไล่ล่าตีคู่กันมา เสื้อเชิ้ตสีเข้มตัวเดียวกันกับที่เห็นเมื่อช่วงค่ำถูกทำให้หายไปเนื่องจากลมทะเลที่ถาโถม จนเผยให้เห็นแผงอกกำยำที่มีรอยขีดข่วนจาง ๆ และกล้ามเนื้อที่เป็นลอนหนาแน่น ราวกับภาพเคลื่อนไหวช้า ๆ ผ่านมุมมองของขลุ่ย
ปัง!
เสียงปืนฉุดให้ขลุ่ยได้สติกลับคืนมา ดวงตาไร้เดียงสายังคงทอดมองออกไปรอบ ๆ เจ็ทสกีสามลำต่างลายรอยเร่งไล่ลาสปีดโบ๊ทอย่างไม่ลดละ
“ไอ้มนตรี! ปล่อยลูกน้องกูมา!” เสียงตวาดกร้าวจากคนที่นำหน้าไปหนึ่งก้าว ก่อนหมุนปลายเจ็ทสกีดักรออยู่ข้างหน้า
“แม่ง!! กัดไม่ปล่อยเหลือเกินนะมึง ว่าแต่…แน่ใจเหรอวะว่านี่ลูกน้องมึงจริง ๆ” ทั้งคู่ต่างตะคอกกันข้ามฟากไปมา
“ไม่ใช่เรื่องของมึง!”
เสี่ยมนตรีที่ต้องการจับตัวขลุ่ยมาใช้เป็นตัวประกันต่อรองธุรกิจ เพื่อให้อิทธิกรยอมถอนตัวและขายเกาะสัมปทานรังนกให้ครอบครอง แต่เมื่อเห็นท่าไม่ดี จึงพยายามขบคิดว่าจะทำอย่างไรดีจึงจะหลุดพ้นจากตรงนี้ ก่อนมองร่างผอมบางที่ตัวเปียกโชกข้าง ๆ และยังไม่ทันตั้งตัวดีขลุ่ยกลับถูกผลักลงไปในน้ำทะเลทั้งที่สปีดโบ๊ทยังคงแล่นอยู่
ตู้ม!!!
"เฮ้ย…! แค่ก! แค่ก!! อึก…บ้าเอ๊ย!!" น้ำเย็นเหยียบและคลื่นทะเลต่างซัดกระหน่ำมายังร่างผอมบาง ขลุ่ยพยายามเตะขาถีบตัวเองขึ้นเหนือผืนน้ำ
อิฐที่มองเห็นขลุ่ยกำลังลอยเคว้งอยู่ก็กระโจนลงจากเจ็ทสกีตามลงมาโดยไม่รีรอ
“เกาะฉันไว้!!”
“มึงจะกระโดดลงมาทำไมเนี่ย!!” ขลุ่ยพยายามตะโกนถาม ทั้งที่ยังไอสำลักน้ำไม่หยุด
"หรือนายอยากเป็นผีเฝ้าทะเลอยู่ที่นี่" อิฐตอบเสียงเรียบ แถมยังทำเหมือนคลายมือออก ทำเอาขลุ่ยสะดุ้งโหยง รีบคว้าตัวอีกฝ่ายแน่นกว่าเดิม
“เฮ้ย ๆ” เสียงของขลุ่ยละล่ำละลักตอบ
“งั้นก็หุบปาก แล้วเกาะให้แน่น ๆ” ขลุ่ยเบ้ปาก แต่ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย
เมื่อกลับขึ้นมาบนฝั่ง อิฐถึงขั้นเหนื่อยหอบ ทรุดตัวนั่งลงบนผืนทะเลทรายพลางสะบัดหัวไล่น้ำที่เกาะตามเส้นผม พร้อมเป่าลมหายใจออกมาแรง ๆ ก่อนจะปรายตามองขลุ่ยที่นั่งตัวสั่นอยู่ข้าง ๆ ร่างผอมบางที่ยังคงไม่รู้อะไร หันกลับมามองคนข้างกายที่อยู่ในสภาพไม่ต่างกัน ทว่าใบหน้านั้นกลับนิ่งขรึมจนอ่านไม่ออก
“ลูกหนี้ที่คิดหนี...นายว่าฉันควรจัดการยังไงดี” ขลุ่ยสะดุ้ง ใบหน้าเหลอหลาละล่ำละลักตอบ
“เปล่านะ กูโดนจับไปมึงก็เห็นนี่”
“คิดว่าฉันโง่เหรอ…” เสียงเหยียบเย็นลอดผ่านโสตประสาทหู จนขนลุกวาบไปทั้งตัวโดยไม่รู้สาเหตุ ขลุ่ยกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เมื่อสบเข้ากับนัยน์คมกริบที่ทอดมองมาไม่กะพริบ
แต่สิ่งที่ขลุ่ยไม่รู้เลย…ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้คนที่ขึ้นชื่อว่านายหัวโหดตัดสินใจทำอะไรบางอย่างไม่คาดคิดขึ้นมา และเกินกว่าจะคาดเดาได้ ลางสังหรณ์เขาบอกว่าอย่างงั้น ก่อนขลุ่ยจะก้มใบหน้าซีด ๆ ลงภาวนาอย่าให้มันร้ายแรงเกินไปกว่านี้เลย
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป...หลังผ่านเหตุการณ์ในคืนนั้น ข้าวของทุกอย่างที่ถูกพวกมันขโมยไป เละเทะไม่มีชิ้นดี อีกทั้งพวกมันยังหนีรอดไปได้ต่างหากแกร๊ก!อิฐที่กำลังเหยียดกายสูบบุหรี่พิงพนักเก้าอี้อยู่ในห้องทำงาน ด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก บ่งบอกถึงความไม่สบอารมณ์ จู่ ๆ ประตูก็กลับถูกเปิดเข้า โดยไม่ผ่านการเคาะหรือขออนุญาตแม้แต่ครั้งเดียว“...นายหัวครับ เมื่อไหร่จะปล่อยไอ้ขลุ่ยมันสักที!!” อิฐหันมองตามเสียงของเสือที่กำลังยืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ กับทัพที่คาดว่ากำลังเข้ามาห้ามพอดี“แล้วมึงเสือกอะไร!!”“แต่นายครับ มันจะไม่ไหวอยู่แล้ว ตั้งแต่วันนั้นก็เป็นสัปดาห์แล้วนะครับนายหัว !” เสือพยายามอธิบายกับผู้เป็นนายอย่างกล้าหาญ เพราะหากไม่ทำเช่นนี้ เด็กนั่นก็คงต้องตายอยู่ในนั้น“กูแค่สั่งสอนลูกหนี้อย่างมัน หรือมึงมีปัญหา…”“เปล่าครับนายหัว แต่เด็กมันก็มีชีวิตรันทดมากพออยู่แล้ว หนี้สินก็มาจากพ่อมัน แล้วมาอยู่ที่นี่เจอนายทำแบบนั้นกับมันอีก หากมันตา…”ปึง!“ไม่ต้องมาสอนกู ไอ้ทัพพามันออกไป!!!” อิฐไม่สนใจคำกล่าวของลูกน้อง ยิ่งคำพูดที่ไม่เข้าหู ทำให้ร่างสูงใหญ่กำลังพักผ่อนอยู่ดี ๆ ลุกขึ้นมาตบโต๊ะทำงานจนดังลั่นห้อง เสือแล
ขลุ่ยถูกจับตัวออกมากลางดึก เสียงโวยวายยังคงดังออกมาไม่ขาดสาย ทว่าบริเวณนี้กลับเงียบราวกับไม่มีใครอยู่เลย เพราะทุกคนต่างกรูกันไปยังจุดเกิดเหตุกันหมดแล้ว“พวกมึงเป็นใคร...แล้วมาจับกูทำไม กูไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนายหัวโหดนั่นสักนิด!” ขลุ่ยกลั้นใจเอ่ยถามชายร่างท้วมที่กำลังเดินนำอยู่ข้างหน้า“หึ แต่นอกจากลูกน้องมันสองคน ก็มีคนแปลกหน้าเช่นมึงเนี่ยแหละที่ได้อภิสิทธิ์นอนบ้านหลังเดียวกับมันน่ะ”“...กูก็แค่ลูกหนี้เท่านั้น จับไปแล้วจะได้อะไรวะ…” ขลุ่ยพยายามแจกแจง พร้อมหาหนทางเอาตัวรอด“มึงนี่มันเด็กน้อยจริง ๆ”ทันใดนั้นขลุ่ยมองเห็นสปีดโบ๊ทปริศนาคาดว่าคงเป็นของพวกมันแน่ ๆ จอดเทียบท่าอยู่ ความคิดที่อยากหลบหนีจากที่นี่ก็พลันโผล่พรวดขึ้นมาราวกับมีความหวังอีกครั้ง“...พวกมึงจะพากูไปไหน” ขลุ่ยเอ่ยถามเสียงเครียด ดวงตาจับจ้องไปยังสปีดโบ๊ทที่จอดอยู่ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าขึ้นฝั่งไปแล้วจะเป็นยังไง แต่ถ้าได้ออกจากเกาะนี้ อย่างน้อยก็มีโอกาสรอดแล้วขณะเดียวกันภาพความทรงจำครั้งล่าสุดกลับผุดวาบขึ้นมา วันที่เขาพยายามหลบหนี แล้วถูกอิฐตามจับได้ ทุกอย่างยังคงแจ่มชัดและเขาเองก็ยังไม่พร้อมที่จะให้ตัวเองต้องเผชิญกับเหตุก
แผ่นเยื่อใสบาง ๆ ที่มีขนนกอัดแน่นอยู่ข้างใน พร้อมแปรงทำความสะอาด และแหนบเอาไว้ดึงเส้นเล็ก ๆ ในนั้นออกมาทำความสะอาดจนเอี่ยมอ่อง เรียกว่ากว่าจะเสร็จต้องนั่งหลังขดหลังแข็งกันอยู่นาน ทำครั้งแรกไม่ได้คล่องแคล่วอะไรนัก แต่โชคดีมีเพียงไม่กี่แผ่นเท่านั้นขลุ่ยกว่าจะกลับถึงที่พักก็ค่ำมืดแล้ว แต่ทันทีที่เห็นประตูห้องถูกเปิดแง้มอยู่ ความรู้สึกวูบโหวงก็แล่นขึ้นมาในอก ร่างผอมบางก้าวเท้าเข้าไปอย่างร้อนรน ก่อนจะชะงักเมื่อพบว่าข้าวของทั้งหมดที่เคยวางอยู่บัดนี้หายไปจนหมดสิ้นยังไม่ทันได้ตั้งสติ ทว่าเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากด้านหลัง พร้อมกับร่างของทัพลูกน้องของนายหัวหน้าโหดนั่นก้าวเข้ามาแทรกอยู่ตรงทางออกประตู“ของทั้งหมดของมึง นายหัวให้ขนเอาไปไว้ที่บ้านใหญ่แล้ว” ขลุ่ยภาวนาลึก ๆ ขอให้ไม่ใช่บ้านหลังเดียวกับที่คิด“แล้วทำไมนายหัวของคุณถึงต้องย้ายใครตามอำเภอใจแบบนี้ด้วย”“มึงอยากรู้อะไรไปถามนายหัวเองดีกว่า ส่วนกูมีหน้าที่ทำตามคำสั่งเท่านั้น” ทัพแจกแจงแค่นั้น ก่อนเดินนำออกไป ขลุ่ยกำมือแน่นพลางถอนหายใจเข้าออกราวกับกำลังระงับโทสะบ้านพักไม้กลางหุบเขาหลังเดิมอยู่ตรงหน้า ก่อนเตรียมก้าวฝีเท้าเข้าไปและพบกับเสือที่ก
ดึกดื่นจู่ ๆ ก็มีเรือเข้ามาจอดเทียบท่าชายหาด แสงไฟฉายจากคนงานต่างสาดส่องไปทั่วบริเวณ เพื่อนำทางบุคคลที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหมอตามมาอย่างเร่งด่วนขลุ่ยที่กำลังนอนซมด้วยพิษไข้ไม่มีกะจิตกะใจสนใจอะไรรอบตัว ลมหายใจร้อนผ่าว แถมความหนาวจากข้างนอกยังคงเล็ดลอดถาโถมเข้ามาอยู่เป็นระยะ ร่างผอมบางขดตัวเข้าหากัน พลันยกแขนกอดอกแน่น ก่อนจะกระชับผืนผ้าห่มขึ้นคลุมกายไว้มิดชิดทันใดนั้นบุคคลในชุดกาวน์ก็เข้ามาทำการรักษาคนที่กำลังนอนไม่ได้สติ เสาค้ำไม้เก่าข้าง ๆ ถูกนำมาเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อแขวนน้ำเกลือชั่วคราว เสียงร้องของขลุ่ยดังออกมาเป็นระยะ เนื่องจากขั้นตอนการล้างบาดแผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อ“อย่าลืมกำชับคนไข้ให้ทานยาตรงเวลา และครบจนหมดด้วยนะครับ” เสียงของหมอเปรยขึ้นกับเสือที่กำลังยืนรออยู่ข้างนอกเพื่อรอส่งคุณหมอกลับพอดี เดิมทีเพิ่งอาบน้ำเสร็จ แต่กลับได้รับคำสั่งเร่งด่วนจากไอ้ทัพ คราแรกได้ยินนึกว่าหูฝาด เพราะปกตินายหัวไม่เคยปรนนิบัติลูกหนี้คนไหนแบบนี้เลย...“เป็นไงบ้าง” คำพูดแรกเอ่ยถาม ในขณะที่ลูกน้องอย่างทัพเพิ่งเข้ามาถึง“เรียบร้อยครับนายหัว”“อืม ขอบใจ งั้นมึงออกไปได้แล้ว”“...ครับนายหัว!”ท
ร่างผอมบางขดขาเกร็งอยู่ในห้องที่มีแสงสว่างหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ใบหน้าที่เคยขาวเนียนบัดนี้แลดูซูบซีดและอ่อนล้า เนื่องจากบาดแผลจากการถูกลงโทษซ้ำ ๆ อย่างสาหัสสากรรจ์ขลุ่ยประสานสองฝ่ามือบีบเอาไว้แน่น ก่อนค่อย ๆ หลับตาลงเพื่อหวังจะบรรเทาความเจ็บปวดตรงนี้ลงไปบ้าง…เสียงกุกกักดังเล็ดลอดจากข้างนอก ทำให้ขลุ่ยจำต้องเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นมามองด้วยความหวาดระแวง ก่อนรีบถอยกายห่างไปข้างหลังอัตโนมัติร่างกำยำคุ้นเคยเดินมาคนเดียว พร้อมกระเป๋าสีดำปริศนาในมือ ก่อนนั่งลงยอง ๆ พลางรวบใบหน้าที่กำลังมองเขาราวกับโกรธเกรี้ยวขึ้นมา“ไง อยู่ตรงนี้เหงาหรือเปล่า”“...มึงมันเหี้ย” เสียงอ่อนระโหยพูดอย่างเดือดดาล“จุ๊ ๆ จากนี้มึงคือทาสของกูเท่านั้น…”“ตอนเด็กครอบครัวของมึงไม่ได้สั่งสอนเหรอวะ! ว่าอย่าใช้ความรุนแรงกับคนอื่นแบบนี้!” อิฐที่กำลังรูดซิปก้มมองหาอุปกรณ์ในกระเป๋าเงยหน้าขึ้นมา เมื่อถูกจี้จุดให้ย้อนนึกถึงอดีตอันแสนเจ็บปวดอีกครั้ง“เรื่องของกู ไม่ต้องมาสะเออะจะดีกว่านะ…”“...สารเลว”“หึ เดี๋ยวมึงก็รู้ว่าความรุนแรงแบบนี้ จะสั่งสอนให้มึงเชื่องได้แค่ไหน ดูจากตอนนี้ก็พอเป็นคำตอบได้แล้วนะ” มีดสั้นถูกหยิบข
…เด็กนั่นบอบบางเป็นบ้าคำจำกัดความที่อิฐมอบให้กับคนที่เพิ่งพบเจอไม่นาน หน้าตาสะสวยขนาดนั้น ผิวก็ขาวราวหยวก แถมตรอกซอยที่อยู่อาศัยก็ไม่ได้ปลอดภัยหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีนัก แต่กลับไม่เคยผ่านใครมาเสียอย่างนั้น หนำซ้ำยังอ่อนปวกเปียกอีกต่างหาก อิฐสูบม้วนบุหรี่เข้าปอดลึก ๆ ก่อนจะปล่อยควันและปาลงบนผืนทรายอย่างไม่คิดใส่ใจ ร่างกำยำสวมเสื้อกล้ามสีขาวกางเกงลำลองสบาย ๆ ดวงตาสีดำขลับถอดมองไปยังชายหาดที่เขาเป็นเจ้าของ พลันนึกถึงเรื่องราวในอดีต ใบหน้าของเด็กอวบอ้วนคนหนึ่งไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังคงฝังรากลึกอยู่ในความทรงจำพอ ๆ กับอดีตอันแสนเลวร้ายที่อยากจะลืมมันให้สิ้นซากผ่านไปหลายชั่วโมงพระอาทิตย์ที่เคยทอแสงสว่างเจิดจ้า บัดนี้ได้หม่นลงเพื่อเตรียมเข้าสู่ความมืดมิด ขลุ่ยที่ต้องระหกระเหินมาใช้ชีวิตในบ้านพักที่ตั้งเรียงกันอยู่ แต่ยังคงมีพื้นที่แบ่งแยกกันอย่างชัดเจน“นี่ที่นอนของมึง ส่วนห้องน้ำอยู่ตรงนู้น” เสือที่นำทางมาส่งถึงที่พัก พลางชี้นิ้วไปยังข้างหลัง“ขอบคุณครับ” ร่างผอมบางเดินด้วยท่าทีทุลักทุเลเข้ามา ท่าทางเหมือนจะล้มลงได้ทุกเมื่อ“งั้นมึงวางสัมภาระลง เดี๋ยวกูพาไปทานข้าว ไหวหรือเปล่า” “...