 LOGIN
LOGIN“สาวๆ ลงไหนกัน”
นิกเอ่ยถามหลังขับรถเข้าสู่เขตกรุงเทพมหานคร
“อืม จอดใกล้ๆ BTS หรือ MRT ได้หรือเปล่า จะได้ต่อรถกลับบ้านง่ายๆ หน่อย” เค้กบอก นิกก็พยักหน้ารับทันทีแล้วถามฉัน
“เทียนล่ะ”
“แป๊บนะ” ฉันกำลังรอพี่แสงตอบไลน์อยู่น่ะสิ เลยยังให้คำตอบนิกไม่ได้ แต่ว่าไลน์ไปครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่อ่านเลย ทำอะไรอยู่เนี่ย ฉันตัดสินใจกดโทรหา รอสายอย่างลำบากใจเป็นครั้งแรก คือ… ถ้าฉันไม่ได้ทำผิดอย่างการทำสร้อยข้อมือหายหรือไปแอบมีอะไรกับคนอื่นมาก็คงไม่คิดมากระหว่างรอสายพี่แสงแบบนี้
สุดท้ายเขาก็ไม่รับสาย แปลก… หรือว่าพี่แสงรู้เรื่องฉันแล้ว
ไม่สิ เป็นไปไม่ได้ ขนาดคนที่มาด้วยกันยังไม่รู้เลย พี่แสงจะรู้ได้ยังไง โธ่โว้ย หยุดคิดมากไม่ได้เลย จะบ้าตายอยู่แล้วทำไมไม่รับสายนะ ปกติไม่เคยหายแบบนี้ อีกอย่างต้องรู้สิว่าฉันจะกลับวันนี้ พี่แสงนะพี่แสง
จนกระทั่งถึงจุดที่ยัยเค้กลง
“ไปก่อนนะ ไว้เจอกันที่มอ ไปนะเทียน”
“อ้อ อื้ม” ฉันพยักหน้าให้เค้กแล้วหันมามองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยใบหน้าเครียดๆ ต่อ
“สรุปว่าลงไหนเทียน หรือจะให้ไปส่งที่หอ”
“หืม เอ่อ… แล้วทิวล่ะลงไหน”
“นิกจะไปส่งมันที่หอ พอดีแวะไปเอาของด้วย” นิกตอบ แล้วทิวก็พยักหน้ายืนยัน
“อืม ลงที่เดียวกันก็ได้ หรือจะให้ไอ้นิกไปส่งที่หอเลย”
“เอ่อ ไม่ต้องหรอก เกรงใจ”
“แล้วแต่ จะให้ไปส่งก็ไปส่งได้” นิกแทรกขึ้นมา ฉันนิ่งครู่หนึ่ง ทำไมใจดีกันจัง ทีกับเค้กไม่เห็นออกตัวแบบนี้ แต่ไม่มีอะไรหรอกมั้ง คงเห็นว่าที่พักฉันอยู่ไม่ไกลกับทิวมาก
“งั้นเทียนลงที่เดียวกับทิวก็ได้ เดี๋ยวต่อรถกลับห้องเอง”
“ได้ๆ”
“ขอบใจนะนิก ทิว ไว้เจอกันที่มอ”
ฉันเอากระเป๋าที่หลังรถแล้วโบกมือให้เพื่อนก่อนลากกระเป๋าออกมาที่ถนนเพื่อรอแท็กซี่ แต่ยี่สิบนาทีผ่านไปยังไม่มีแท็กซี่ว่างผ่านมาสักคัน ระหว่างที่กำลังลังเลว่าจะเรียก Grap ดีมั้ยพี่แสงก็โทรกลับ
“พี่แสง”
[เทียนว่าไง อยู่ไหนละ]
“อยู่กรุงเทพ พี่แสงยุ่งเหรอ ทำไมเทียนโทรหาแล้วไม่รับ”
[พี่ติดธุระที่บ้านน่ะ แล้วนี่ถึงห้องแล้วเหรอ]
“เปล่าค่ะ กำลังรอแท็กซี่”
[อืม ถ้าอย่างงั้นเทียนนั่งแท็กซี่กลับห้องไปก่อน เดี๋ยวเย็นนี้พี่ไปหานะครับคนดี]
ฉันกำลังจะโวยวาย แต่เสียงหวานๆ ของพี่แสงก็ทำเอาใจอ่อนยวบ งอแงแทบไม่ออกเวลาถูกเรียกว่าคนดี พี่แสงนะพี่แสงต้องรู้แน่ๆ ว่าทำฉันโกรธที่ไม่ยอมรับสายถึงได้ชิงพูดออกมาแบบนั้น
“ก็ได้ค่ะ เจอกันเย็นนี้”
เอี้ยด!
จู่ๆ ก็มีรถมาจอดตรงหน้า ฉันเพิ่งจะวางสายจากพี่แสงยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น กระจกรถก็เลื่อนต่ำลงจนเห็นหน้าคนขับชัดเจน
“เรซ” ฉันตกใจที่จู่ๆ หมอนั่นก็โผล่มาแบบนี้ เดี๋ยว… แล้วนี่ฉันจะใจสั่นทำไม
“ขึ้นรถ”
“ห๊ะ?”
หมอนั่นไม่พูดซ้ำ แต่เอื้อมมาเปิดประตูรถให้ฉันด้วยสีหน้านิ่งๆ พอฉันไม่ยอมขยับเขาก็ส่งสายตาดุๆ มาให้
“นายทำบ้าอะไร ทำไมฉันต้องขึ้น”
บ้าหรือเปล่า ถึงเมื่อคืนจะร่านไปหน่อยแต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีสตินะ อยู่ดีๆ จะมาให้ขึ้นรถไปด้วยโดยไม่บอกอะไรสักคำ ใครมันจะขึ้นวะ
“ขึ้นมา!”
“เฮ้”
“ให้ไว”
“นี่”
“อย่าให้ต้องพูดมาก”
“ไอ้บ้า!”
ปึ้ก
แล้วฉันก็บ้าบอขึ้นรถมากับเรซจริงๆ พอได้สติก็ได้แต่นั่งกะพริบตาอย่างงงๆ ว่าเข้ามาในรถของเขาทำไม ตกลงว่าฉันยังสติดีอยู่หรือเปล่าเนี่ย อยากจะบ้า!
“อะไรของนายเรซ ทำแบบนี้ทำไม”
“ห้องอยู่ไหน”
“ทำไม”
“....”
“นี่ ถ้านายไม่บอกเหตุผลแล้วฉันจะกล้าบอกเหรอว่าพักอยู่ที่ไหน”
“จะไปส่ง”
“ก็แค่นั้น เดี๋ยว… ทำไม นี่นาย จะไปส่งจริงเหรอ”
เรซเงียบกลับมาอีกรอบ ฉันได้แต่จ้องใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างกระสับกระส่าย งงไปหมด ไม่รู้ว่าเรซกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนหน้านี้เขายังทำเป็นไม่เห็นฉันอยู่ในสายตาอยู่เลยไม่ใช่เหรอ
“เอ่อ เดี๋ยวจอดหน้าร้านสะดวกซื้อข้างหน้า เดี๋ยวฉันไปต่อเอง เรซ! นี่บอกให้จอดไง มันเลยแล้วนะ”
ฉันโวยวายทันทีที่เขาเร่งเครื่องผ่านร้านสะดวกซื้อ
“นี่นาย จะแกล้งฉันเหรอ จอดรถนะ ห้องพักฉันไม่ใช่ทางนี้...”
ครืด! ครืด!
มือถือหมอนั่นสั่น ทำให้ฉันหยุดพูดทันทีแล้วมองเขาคุยโทรศัพท์แทน ต่อให้ร้อนใจแค่ไหนก็ยังมีมารยาท อดทนรอจนเขาคุยโทรศัพท์เสร็จ
“กูกำลังจะกลับ เพิ่งส่งลูกตาลเสร็จ ทำไม... สปอนเซอร์ใหม่? ที่ไหน ได้เดี๋ยวกูไป” เรซวางสาย ดวงตาคมกริบชำเลืองมองฉันแวบสั้นๆ ราวกับกำลังใช้ความคิด แล้วจู่ๆ เขาก็กลับรถแถมยังเหยียบซะมิด รถพุ่งไปข้างหน้าอย่างกับจรวด
“นายกำลังจะไปไหนเรซ” รถวิ่งออกห่างชุมชนหอพักไปเรื่อยๆ ฉันมองไปรอบๆ อย่างร้อนรน
“ภูเก็ต”
“อะไรนะ!”
“....”
“จอด! ฉันบอกให้จอดรถไม่ได้ยินเหรอ”
“ไม่มีเวลา”
“จะบ้าเหรอ จอดแป๊บเดียว จอดตรงนี้เลย ฉันไม่ได้ให้นายไปส่ง แค่จอดให้ฉันลงมันจะเสียเวลาอะไรนักหนา กรี๊ดไฟแดง! นายเพิ่งจะฝ่าไฟแดงนะเรซ”
หัวใจฉันเต้นไม่เป็นส่ำ เมื่อกี้ถึงจะไม่มีรถสวนมาแต่เขาก็เร่งเครื่องยนต์ฝ่าไฟแดงชัดๆ นี่กำลังประชดฉันอยู่หรือไง ไอ้บ้าเอ๊ย กลัวนะเฟ้ย!
“นี่ฟังที่ฉันพูดอยู่หรือเปล่า!”
“เงียบหน่อย”
“เรซ นายจะกวนประสาทฉันใช่มั้ย บอกให้จอดรถโว้ย” ฉันตะโกนสุดเสียง โกรธจนแทบจะควบคุมลมหายใจตัวเองไม่ได้ ระหว่างที่กำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยงโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายก็ดังขึ้น พอเอาขึ้นมาแล้วเห็นชื่อพี่แสงฉันยิ่งร้อนรนหนักกว่าเดิม
“ค่ะพี่แสง…”
ฉันกลั้นใจกดรับ ขณะเดียวกันในหัวก็คิดหาข้ออ้างไปต่างๆ นานา สลับกับมองถนนที่รถแล่นผ่าน เผลอแป๊บเดียวก็ออกนอกกรุงเทพแล้ว มั่นใจว่าเรซไม่เลี้ยวรถกลับไปส่งฉันแน่ๆ เพราะถ้าทำเขาทำไปนานแล้ว
[พี่โทรมาถามว่าจะกินข้าวเย็นในห้องหรือออกมากินข้างนอก ถ้าจะกินที่ห้องเดี๋ยวซื้อเข้าไปให้]
พี่แสงคนดี…
ยิ่งพี่แสงเอาใจใส่ฉันมากเท่าไหร่ฉันยิ่งรู้สึกผิดและโกรธคนข้างๆ มากขึ้นเท่านั้น ทำไมนะ ฉันชำเลืองมองเรซด้วยสายตาขุ่นเคือง ทำไมนายต้องทำให้ฉันวุ่นวายแบบนี้ด้วย
“ไม่… ไม่ต้องค่ะพี่แสง คือเทียนไม่ได้อยู่ห้อง เทียน… น้องเทียนรถล้มค่ะแม่เพิ่งโทรมาบอกเทียนก็เลยรีบมา โทษทีนะคะที่ไม่ได้โทรบอกพี่แสง พอดีมันฉุกละหุกน่ะ”
โธ่… ฉันกัดริมฝีปากแน่น รู้สึกผิดที่ต้องโกหกแบบนั้น ขอโทษแกด้วยนะธูปที่พี่เอาแกมาอ้าง
[อ้าว… แล้วน้องเทียนเป็นอะไรมากหรือเปล่า อยู่โรงพยาบาลไหนเดี๋ยวพี่ไปหา]
อึก… ยุ่งอีกสิ
“ไม่ ไม่เป็นไรค่ะพี่แสง เทียนจัดการได้ คืนนี้จะอยู่เฝ้าน้องด้วยคงไม่ได้กลับ...” อยากกัดลิ้นตัวเองชะมัด
[งั้นเหรอ ก็ได้พี่แล้วแต่เทียน มีอะไรก็ติดต่อพี่มาแล้วกัน]
“ค่ะพี่แสง”
ฉันรู้สึกเศร้านิดๆ ที่ต้องวางสายแฟนไปทั้งแบบนั้น เพราะนายคนเดียวเลยเรซ ทำให้ฉันต้องรู้สึกผิดซ้ำผิดซ้อน โกหกพี่แสงไม่เท่าไหร่แต่ดันไปแช่งน้องตัวเองด้วยเนี่ยสิ ฉันจะบ้าตายจริงๆ แล้วนะ

ความรู้สึกหนักอึ้งที่เคลือบทาเปลือกตาให้ความรู้สึกทรมานไม่ว่าจะหลับหรือตื่น ฉันค่อยๆ ปรือตาขึ้นมองเพดานขาวโพลน ในคอแสบปร่า มือควานหาโทรศัพท์มาดูเวลา บ่ายโมง... ป่านนี้แล้วเหรอเนี่ยฉันดันร่างลุกขึ้นนั่งหย่อนขาลงข้างเตียง นั่งมึนอยู่อย่างนั้นไม่รู้จะเริ่มทำอะไรจากตรงไหนก่อน รู้อยู่อย่างเดียวคือร่างกายกำลังแย่เพราะถูกพิษไข้เล่นงาน ระหว่างที่กำลังกล้ำกลืนความเจ็บป่วยลงไปประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาเรซ...ฉันจ้องเขาอย่างแปลกใจ อยากถามว่ามีอะไรแต่เพราะเจ็บคอเลยไม่อยากพูด ได้แต่รอให้เรซบอกออกมาเอง เมื่อคืนหมอนี่เกือบจะต่อยฉันด้วยซ้ำ นี่นึกแล้วยังหลอนไม่หายเลย“ตื่นได้แล้วเหรอ”เสียงเย็นชามาพร้อมกับสายตาทิ่มแทง ซึ่งฉันเจอจนชิน ตอนนี้แทบไม่รู้สึกอะไรกับมันแล้ว“ฉันไม่สบายน่ะ นายกินอะไรหรือยัง ถ้ายังจะได้ไปทำให้ ส่วนเรื่องความสะอาดฉันขอเลื่อนแค่กๆ ไปเป็นวันอื่นได้มั้ย” ฉันไม่อยากถูกหาเรื่องว่าอู้งาน สภาพฉันตอนนี้ทำงานหนักๆ ไม่น่าไหวแต่แค่เตรียมอาหารคิดว่ายังพอทำได้เรซชักสีหน้าใส่ฉันเหมือนคนไม่รู้จักเจียมตัว ก่อนที่น้ำเสียงรำคาญกึ่งๆ โมโหจะดังขึ้น “แฮคมันซื้อยามาให้อยู่ข้างล่าง”“แฮค...”ฉันรีบ
เฮียโม้สรรพคุณที่พักตัวเองพลางขยิบตาส่งให้ยัยนั่นอย่างมีเลศนัย กลายเป็นศึกยื้อแย่งตัวยัยนั่นระหว่างเฮียกับไอ้แฮคขึ้นมากะทันหัน “เลิกเล่นกันได้มั้ย” ริกกี้หมดความอดทน พูดสวนขึ้นมาอย่างเหนื่อยหน่าย มันส่งสายตาเขียวขุ่นให้เฮียกับแฮคคนละทีก่อนเล็งสายตาคมกริบไปที่เทียน “เราไม่ต้องการแม่บ้านประจำ ที่นี่มีแม่บ้านมาทำความสะอาดทุกอาทิตย์อยู่แล้ว” “จริง” ผมสำทับเสียงนิ่ง เทียนตวัดสายตาเขียวปัดมาทางผมคล้ายจะด่าว่าให้อยู่เงียบๆ ก่อนพูดกับริกกี้ด้วยใบหน้าที่น่าสงสาร “ขอร้องล่ะริกกี้เห็นใจฉันเถอะนะ ฉัน... เพิ่งเลิกกับแฟนแล้วเงินที่มีก็ไม่พอจะไปเช่าห้องใหม่ด้วย ฉันทำงานบ้านเก่ง ทำอาหารอร่อยด้วย ถ้าทุกคนให้ฉันอยู่ที่นี่ฉันสัญญาจะตั้งใจทำงานและไม่สร้างปัญหาให้เด็ดขาด นะ... ขอร้องล่ะ ฉันไหว้ก็ได้หรือจะให้กราบก็ยินดี” “เฮ้ยๆ เทียน” แฮคกับเฮียหมูรีบถลาเข้าไปรั้งยัยนั่นที่ทำท่าจะลงไปนั่งคุกเข่าแล้วประนมมือกราบทุกคนจริงๆ “ขอร้องล่ะ ฉันไม่มีที่ให้ไปแล้วจริงๆ” นัยน์ตากลมสวยแดงรื้น ริมฝีปากอิ่มสั่นระริกกัดเม้มแน่น
ผมนั่งรอแฮคที่โซฟาในห้องโถงไม่ถึงห้านาทีมันก็ลงมา แฮคหยุดยืนอยู่ข้างโซฟา มันกับผมประสานสายตากันนิ่งอยู่เกือบหนึ่งนาที ไอ้แฮคก็ยักไหล่ เดินไปฉวยรีโมตเปิดทีวีแล้วหย่อนก้นลงนั่งโซฟายาวตัวเดียวกัน เว้นระยะห่างเอาไว้พอประมาณเสียงรายการทีวีช่วยผ่อนบรรยากาศลงเล็กน้อย ระหว่างผมกับมันเหมือนถูกความคิดของตัวเองกลืนกิน ไอ้แฮคก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อน“มึงทำงี้ได้ไงวะ”น้ำเสียงมันปะปนไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งตกใจ โกรธ หรือแม้แต่เสียดาย ดวงตาคมกริบของแฮคเหมือนสว่านที่ต้องการจะเจาะเข้ามาในหัวผม “สัส กูเกลียดมึงจริงๆ เรซ”แล้วมันก็ถีบโต๊ะตรงหน้าไปทีหนึ่ง ไม่แรงมาก แต่ก็เพียงพอจะทำให้เกิดเสียงกระทบของที่เขี่ยบุหรี่เซรามิกโมเดลรถแข่งที่วางอยู่บนโต๊ะผมรู้ว่าแฮคมันอยากโวยวายเรื่องอะไร ผมไม่คิดแก้ตัว และไม่เห็นความจำเป็นต้องอธิบายเรื่องผมกับเทียนให้มันฟัง ต่อให้มันอยากรู้จนแทบคลั่งแล้วก็เถอะ“มึงไปตกลงอะไรกับยัยนั่น” ผมถามในสิ่งที่ตัวเองสนใจ ควานบุหรี่ในกระเป๋ากางเกงออกมาจุดสูบ ก่อนหน้านี้ผมก็สูบไปตั้งเท่าไหร่แต่รู้สึกว่าสมองยังไม่ค่อยโล่งเลย ผมประเมินยัยนั่นต่ำไป ไม่คิดว่าการพามาที่นี่เพียงครั้งเดียว
หลังจากนั้น แฮคพาฉันขึ้นมาชั้นสอง เปิดประตูห้องที่อยู่ติดกับห้องที่มีชุดชั้นในของคะนิ้ง จูงกระเป๋าเดินทางฉันเข้าไปข้างใน“คืนนี้ก็ใช้ห้องนี้ไปก่อน” “คืนนี้? ...แล้วพรุ่งนี้ล่ะ” ฉันเหลือบมองไปทั่วห้องก่อนดึงสายตากลับมาจ้องแฮคด้วยสายตาหวาดๆ แฮคผ่อนลมหายใจยาว ท่าทางกลัดกลุ้มไม่แพ้กัน “ฉันไม่มีสิทธิ์ตัดสินเรื่องนี้ จะว่าไงดี เรื่องนี้ฉันตัดสินใจเองไม่ได้” “งั้น... ทำยังไงฉันถึงจะอยู่ที่นี่ได้” “ถ้าเป็นผู้หญิงของใครสักคนในกลุ่มก็ไม่มีปัญหาหรอก” “เข้าใจแล้ว” ฉันบอกอย่างรู้สึกหดหู่ แฮคพยักหน้า ท่าทางโล่งใจเปลาะหนึ่ง เขาคงคิดว่าฉันยอมแพ้ที่จะอยู่ที่นี่แล้ว หมอนั่นพูดอะไรอีกสองสามประโยคเกี่ยวกับของกินในครัวและห้องน้ำ แต่ฉันฟังไม่รู้เรื่อง ในหัวเอาแต่คิดว่าต้องทำยังไงถึงจะอยู่ที่นี่ได้ ร่างสูงกำลังจะออกจากห้อง ฉันรู้สึกว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างตอนนี้ก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว “แฮคเดี๋ยว...” ฉันคว้ามือหนาเอาไว้อย่างร้อนใจ แฮคชะงัก ก้มลงมองมือที่ถูกจับก่อนเหลือบตาขึ้นมองหน้าฉันด้วยสายตาเป็นคำถาม
ปังๆ “ไอ้เรซ เปิดประตู!” แฮคเคาะประตูอย่างบ้าคลั่ง ฉันยืนกระสับกระส่ายอยู่ด้านหลัง แค่ฉันบอกว่าจะมาขออยู่ที่นี่สักพักแต่เรซปิดประตูไม่ยอมให้ฉันเข้าไปตั้งแต่เช้า แฮคก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แทบจะพุ่งถีบประตูอย่างที่เห็น “ไอ้เรซมึงเปิด...” ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก เรซยืนกอดอก สีหน้ารำคาญกึ่งโมโหที่เห็นแล้วชวนหงุดหงิด แต่ยังไม่ทันที่เรซจะพูดอะไรกับแฮค เขาก็ถูกคนเลือดร้อนกว่าผลักอกเข้าไปข้างในอย่างเอาเรื่อง เรซเซถอยหลังไปสองก้าวแต่แฮคเหมือนยังไม่พอใจ ตามเข้าไปกระชากคอเสื้อเรซแล้วเหวี่ยงแรงๆ จนร่างสูงถลาไปชนกับโซฟาดังพลั่ก“มึงเป็นเหี้ยอะไรวะแฮค!” เรซหันกลับมาตะคอกเสียงขุ่น ดวงตาคมฉายแววร้อนระอุตวัดมองฉันที่อยู่ด้านหลังแฮค ฉันสะดุ้งเฮือก ก้มหน้าหลบสายตาคมปลาบเลิ่กลั่ก “เฮ้ย! มึงมองเทียนแบบนั้นมึงคิดจะทำอะไร” เสียงกรรโชกของแฮคทำฉันเงยหน้าขึ้นมองอย่างประหลาดใจ ไม่คิดว่าเขาจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนฉันถึงขนาดนี้“แล้วมึงเป็นเหี้ยอะไร”“มึงทำเหี้ยอะไรเอาไว้ล่ะ!” แฮคสวนกลับอย่างร้อนแรง สองคนนั้นจ้องตากันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ก่อนท
ราวกับโดนสาดหน้าด้วยน้ำเย็นแล้วราดน้ำเดือดตาม ฉันเย็นวาบไปทั้งตัวก่อนจะรู้สึกเห่อร้อนในทุกอณูผิวหนัง มองใบหน้าด้านชาของเรซอย่างหายใจไม่ออก คิดว่าต้องพูดอะไรสักอย่างกลับไปเอาให้เขาเจ็บแสบบ้าง แต่ว่าในหัวฉันตอนนี้มันตื้อไปหมด ทั้งเพลียทั้งง่วง แถมยังมวนท้องเหมือนลมจะตีตื้นขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา สายตาที่มองเรซพร่ามัวชั่วขณะ แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ฉันอ้วกออกมา พุ่งใส่ท้องเรซเต็มๆ “เชี่ย!”เรซอุทานหยาบคายออกมาคำหนึ่ง รีบดันร่างฉันออกห่างแต่ไม่ทันแล้ว อ้วกสองสายราดอยู่บนเสื้อราดลงไปถึงกางเกงและรองเท้าแตะที่เขาสวมอยู่“นี่เธอ...” เรซโกรธจนหน้าเขียวคล้ำ ฉันได้แต่มองไม่มีแรงจะตอบโต้แล้วภาพตรงหน้าก็ดับวูบ!ฟื้นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงหนานุ่ม กลิ่นหอมอ่อนจางจากผ้าห่มและปลอกหมอนให้ความรู้สึกผ่อนคลายจนไม่อยากลืมตาตื่น หากแต่เสียงเปิดประตูห้องฉุดสติฉันที่กำลังสะลึมสะลือให้แจ่มชัด เป็นเรซเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างเตียง ใบหน้าหล่อเหลายังคงบึ้งตึงเหมือนโดนใครเหยียบเท้าตลอดเวลา สายตาเรซราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ฉันยันตัวลุกขึ้น กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องอย่างงวยงง“ฉันมาอยู่ที่น








