 LOGIN
LOGIN“หยุดโวยวายได้แล้วสิ”
“นี่นาย! รู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป”
ฉันหันไปจิกกัดเรซ ยังจะมีหน้ามาพูดอีกเหรอ ให้ตายสิ เขาไม่ได้มองหน้าฉันด้วยซ้ำ สายตาเรซจับจ้องที่ถนนอย่างไม่สะทกสะท้านแต่มุมปากกลับยกยิ้มคล้ายกำลังหัวเราะเยาะ
“มีความสุขมากเหรอ”
“เปล่านี่”
“เปล่าอะไร สนุกนักเหรอที่ได้ก่อกวนคนอื่น”
“พูดเรื่องอะไรของเธอ” สีหน้าเรซจริงจังขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ จู่ๆ เขาก็หันมามองหน้าฉัน แม้จะเป็นแค่แวบสั้นๆ แต่มันก็เพียงพอจะทำให้ฉันรู้สึกได้ถึงความห่างเหินและเย็นชาจากแววตาคู่นั้น
...ไม่มีอะไรพิเศษซ่อนอยู่ในสายตาของเรซเลย เพราะแบบนั้นฉันยิ่งไม่เข้าใจ เขาลากฉันมาด้วยทำไม ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ
“นายพาฉันมาด้วยแบบนี้ จะให้ฉันคิดยังไงล่ะ”
“แล้วแต่เธอจะคิด ถือว่าไปเที่ยวสิ”
“นี่เรซ! มันใช่เรื่องตลกหรือไง บ้าชะมัด ทำไมฉันถึงขึ้นรถมากับไอ้คนเฮงซวยแบบนี้ได้นะ”
“ไม่เห็นแปลก ขนาดมีเซ็กส์ยังเคยมาแล้วเลย”
ฉันหันขวับไปจ้องหน้าเรซจนคอแทบเคล็ด รู้สึกเกลียดอย่างบอกไม่ถูก
“นาย… จำได้ด้วยเหรอ”
แล้วเรซก็ชำเลืองมองฉันด้วยสายตาที่บอกว่าเรื่องแค่นี้ทำไมจะจำไม่ได้
“เดี๋ยวนะ นายไม่ได้ลืม แต่กลับเมินฉัน ไม่คิดจะพูดอะไรบ้างเลยหรือไง รู้มั้ยฉันตกใจแค่ไหนที่ถูกทำแบบนั้น”
“เธอตกใจเหรอ เห็นเชี่ยวขนาดนั้นนึกว่าจะวินๆ ซะอีก”
“หา!!!!” ฉันอ้าปากค้างกับความคิดเรซ นี่เขามองฉันเป็นผู้หญิงยังไงกันแน่เนี่ย
หลายชั่วโมงต่อมา
ฉันเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตะวันตกดินแล้ว
“นี่ เราอยู่ที่ไหน”
“ป่าตอง เอาของไปเก็บที่พักก่อน”
ฉันบีบต้นคออย่างเหนื่อยล้า มองออกไปรอบนอกพลางอ้าปากหาว ถึงจะเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกก็ไม่รู้สึกตื่นเต้นเลยสักนิด ง่วงจะแย่อยู่แล้ว
ราวๆ สิบห้านาทีให้หลัง ก็ถึงโรงแรมหรูของป่าตอง ชื่ออะไรสักอย่างตอนขับรถผ่านฉันอ่านป้ายไม่ทัน
“จองเอาไว้ล่วงหน้าหรือเปล่าคะ”
“อืม” เรซตอบพนักงานรับรองที่อยู่หลังเคาน์เตอร์พลางยื่นบัตรประชาชนให้ พนักงานมองบัตรแล้วเช็กข้อมูลครู่หนึ่งก็ส่งบัตรคืนเรซ
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“เอ่อ แล้วฉันต้องยื่นบัตรหรือเปล่า” ฉันโพล่งถามอย่างสงสัย
“อ๋อ ไม่ต้องค่ะ ใช้คนเดียวก็พอค่ะ”
“ออ… เอ๊ะเดี๋ยวนะ เรซนี่ฉันนอนห้องเดียวกับนายเหรอ” ฉันคว้าท่อนแขนเรซที่กำลังจะเดินออกประตู
“อืม”
“เฮ้!”
“ถ้าไม่พอใจก็เปิดห้องใหม่” เขาบอก
ฉันมองสบสายตาคมกริบของเรซนิ่งครู่หนึ่ง กำลังจะหันกลับไปถามห้องว่างที่เคาน์เตอร์เสียงเรซก็ดักขึ้นมาซะก่อน
“ค่าห้องออกเอง จัดการเอง ฉันไม่ออกให้”
“ห๊ะ?”
“คืนละห้าพันนิดๆ ห้องดีหน่อยก็หมื่นนึง แต่เธอคงไม่เดือดร้อนหรอก เอาเป็นว่าเอาที่เธอสะดวกแล้วกัน”
หน้าฉันแห้งตั้งแต่ได้ยินคำว่าคืนละห้าพันแล้ว ประสาทหรือไง ทำไมฉันต้องจ่ายค่าห้องแพงๆ ทั้งที่ไม่ได้เต็มใจมาเที่ยวแบบนี้ด้วย
เรซ! ไอ้บ้านั่นคิดจะแกล้งฉันหรือไง แล้วที่พูดเมื่อกี้ ที่บอกว่าฉันไม่เดือดร้อนน่ะหมายความว่ายังไง เข้าใจว่าฉันรวยหรือแค่ประชด โว้ย นี่ฉันจะบ้าตายจริงๆ แล้วนะ
“เรซ รอฉันด้วย!”
สุดท้ายฉันก็ต้องวิ่งตามเขามาที่ห้องอย่างไม่มีทางเลือก เงินห้าพันไม่ใช่น้อยๆ นะ ใครจะโง่เสียเงินวะ บ้าเปล่า
“ให้เวลาครึ่งชั่วโมง”
“เดี๋ยวอะไรอีก”
เพิ่งจะเข้ามาในห้อง แอร์ยังไม่ทันเย็นด้วยซ้ำเขาก็พูดเหมือนกำลังจะออกไปข้างนอกอย่างงั้นแหละ
เรซมองกระเป๋าเดินทางที่ฉันหิ้วมาด้วย ก่อนย้ำออกมาชัดๆ “ไม่ต้องพูดมาก รีบแต่งตัวซะ มีธุระต้องไปต่อ”
พูดเสร็จเขาก็ถอดเสื้อที่สวมแล้วเปิดกระเป๋าที่หิ้วมาด้วยค้นเสื้อยืดเท่ๆ ตัวใหม่ออกมาสวม
ฉันมองผิวขาวๆ ของเรซที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนจากเล็บแล้วใจคอไม่ดีแปลกๆ สงสัยว่าจะเป็นรอยที่เกิดจากเมื่อคืนหรือเปล่า หรือว่ามาจากคนอื่น…
“มัวทำอะไร รีบแต่งตัว หรือจะไปชุดนั้น”
“ห๊ะ? เอ่อ ฉันจะอยู่ที่นี่ นายไปเถอะ ฉันอยากพักผ่อนมากกว่า”
ฉันบอกไปตามตรง รู้สึกเพลียจนอยากล้มตัวลงนอนซะเดี๋ยวนั้น แต่เรซไม่ยอมให้ฉันอยู่ห้องคนเดียว หมอนั่นใช้น้ำเสียงเข้าข่มจนฉันไม่กล้าขัด สุดท้ายก็ต้องยอมออกมากับเขาจนได้
เรซขับรถพาฉันออกมาที่ร้านอาหารริมทะเล มีเพลงคลอเบาๆ กับลมเย็นๆ ช่วยทำให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวของฉันแจ่มใสขึ้นมานิดหน่อย
“เรซ”
ใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ตะโกนเรียก เรซหันไปมองแล้วเดินตรงเข้าไปหาทันที พอดูใกล้ๆ ฉันถึงรู้ว่าเป็นใคร
ฮาน… หัวหน้าทีมเรดซัน ฉันรู้เพราะคะนิ้งเคยเอารูปสมาชิกในทีมเรดซันมาเปิดให้ดู
“อยู่คนเดียวเหรอ”
เรซกวาดตามองไปรอบๆ ราวกับกำลังหาใครอยู่
“อืม แล้วนั่นพาใครมา” สายตาฮานชำเลืองมาที่ฉัน
“เพื่อนคะนิ้ง ติดรถมาด้วยเฉยๆ ไม่มีอะไรมาก แล้วคนอื่นล่ะ”
“พวกนั้นไปคุยที่ผับ แต่กูรำคาญเสียงเพลงในผับมันดัง คุยกันคงไม่รู้เรื่อง เลยนัดพวกมันไปที่ฮาล์ฟมูน อย่างน้อยๆ ที่นั่นก็โล่งกว่า”
“อืม ตามนั้น”
ฉันไม่ได้ฟังที่เรซกับฮานคุยกัน เพียงแต่ความหิวทำให้ฉันต้องหาที่นั่งแล้วหยิบเมนูข้างๆ ฮานมาดู เห็นตรงหน้าเขามีจานข้าวผัดเลยเผลอพูดออกมาอย่างลืมตัว
“ข้าวผัดอร่อยหรือเปล่า”
“....” สองคนนั้นหันมามองฉันทันที
“หืม?” ฉันส่งสายตากลับไปให้เรซกับฮาน ทำไมต้องมองเหมือนฉันทำอะไรผิดแบบนั้น หรือฉันไม่มีสิทธิ์พูด ควรนั่งเงียบๆ แล้วรอให้พวกเขาคุยกันเสร็จก่อนงี้เหรอ
ไม่มีทาง ฉันหิวฉันก็จะกิน
“งั้นสั่งข้าวผัดดีกว่า ท่าทางกินง่าย นายเอาอะไรมั้ยเรซ จะได้สั่งพร้อมกัน”
“ไม่”
เขาตอบสั้นๆ แล้วหันไปคุยกับฮานต่อ ไม่หิวเหรอ? ตั้งแต่มายังไม่ได้กินอะไรเหมือนกันไม่ใช่เหรอ เอ้อช่างเหอะ ฉันสั่งมากินคนเดียวก็ได้

ความรู้สึกหนักอึ้งที่เคลือบทาเปลือกตาให้ความรู้สึกทรมานไม่ว่าจะหลับหรือตื่น ฉันค่อยๆ ปรือตาขึ้นมองเพดานขาวโพลน ในคอแสบปร่า มือควานหาโทรศัพท์มาดูเวลา บ่ายโมง... ป่านนี้แล้วเหรอเนี่ยฉันดันร่างลุกขึ้นนั่งหย่อนขาลงข้างเตียง นั่งมึนอยู่อย่างนั้นไม่รู้จะเริ่มทำอะไรจากตรงไหนก่อน รู้อยู่อย่างเดียวคือร่างกายกำลังแย่เพราะถูกพิษไข้เล่นงาน ระหว่างที่กำลังกล้ำกลืนความเจ็บป่วยลงไปประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาเรซ...ฉันจ้องเขาอย่างแปลกใจ อยากถามว่ามีอะไรแต่เพราะเจ็บคอเลยไม่อยากพูด ได้แต่รอให้เรซบอกออกมาเอง เมื่อคืนหมอนี่เกือบจะต่อยฉันด้วยซ้ำ นี่นึกแล้วยังหลอนไม่หายเลย“ตื่นได้แล้วเหรอ”เสียงเย็นชามาพร้อมกับสายตาทิ่มแทง ซึ่งฉันเจอจนชิน ตอนนี้แทบไม่รู้สึกอะไรกับมันแล้ว“ฉันไม่สบายน่ะ นายกินอะไรหรือยัง ถ้ายังจะได้ไปทำให้ ส่วนเรื่องความสะอาดฉันขอเลื่อนแค่กๆ ไปเป็นวันอื่นได้มั้ย” ฉันไม่อยากถูกหาเรื่องว่าอู้งาน สภาพฉันตอนนี้ทำงานหนักๆ ไม่น่าไหวแต่แค่เตรียมอาหารคิดว่ายังพอทำได้เรซชักสีหน้าใส่ฉันเหมือนคนไม่รู้จักเจียมตัว ก่อนที่น้ำเสียงรำคาญกึ่งๆ โมโหจะดังขึ้น “แฮคมันซื้อยามาให้อยู่ข้างล่าง”“แฮค...”ฉันรีบ
เฮียโม้สรรพคุณที่พักตัวเองพลางขยิบตาส่งให้ยัยนั่นอย่างมีเลศนัย กลายเป็นศึกยื้อแย่งตัวยัยนั่นระหว่างเฮียกับไอ้แฮคขึ้นมากะทันหัน “เลิกเล่นกันได้มั้ย” ริกกี้หมดความอดทน พูดสวนขึ้นมาอย่างเหนื่อยหน่าย มันส่งสายตาเขียวขุ่นให้เฮียกับแฮคคนละทีก่อนเล็งสายตาคมกริบไปที่เทียน “เราไม่ต้องการแม่บ้านประจำ ที่นี่มีแม่บ้านมาทำความสะอาดทุกอาทิตย์อยู่แล้ว” “จริง” ผมสำทับเสียงนิ่ง เทียนตวัดสายตาเขียวปัดมาทางผมคล้ายจะด่าว่าให้อยู่เงียบๆ ก่อนพูดกับริกกี้ด้วยใบหน้าที่น่าสงสาร “ขอร้องล่ะริกกี้เห็นใจฉันเถอะนะ ฉัน... เพิ่งเลิกกับแฟนแล้วเงินที่มีก็ไม่พอจะไปเช่าห้องใหม่ด้วย ฉันทำงานบ้านเก่ง ทำอาหารอร่อยด้วย ถ้าทุกคนให้ฉันอยู่ที่นี่ฉันสัญญาจะตั้งใจทำงานและไม่สร้างปัญหาให้เด็ดขาด นะ... ขอร้องล่ะ ฉันไหว้ก็ได้หรือจะให้กราบก็ยินดี” “เฮ้ยๆ เทียน” แฮคกับเฮียหมูรีบถลาเข้าไปรั้งยัยนั่นที่ทำท่าจะลงไปนั่งคุกเข่าแล้วประนมมือกราบทุกคนจริงๆ “ขอร้องล่ะ ฉันไม่มีที่ให้ไปแล้วจริงๆ” นัยน์ตากลมสวยแดงรื้น ริมฝีปากอิ่มสั่นระริกกัดเม้มแน่น
ผมนั่งรอแฮคที่โซฟาในห้องโถงไม่ถึงห้านาทีมันก็ลงมา แฮคหยุดยืนอยู่ข้างโซฟา มันกับผมประสานสายตากันนิ่งอยู่เกือบหนึ่งนาที ไอ้แฮคก็ยักไหล่ เดินไปฉวยรีโมตเปิดทีวีแล้วหย่อนก้นลงนั่งโซฟายาวตัวเดียวกัน เว้นระยะห่างเอาไว้พอประมาณเสียงรายการทีวีช่วยผ่อนบรรยากาศลงเล็กน้อย ระหว่างผมกับมันเหมือนถูกความคิดของตัวเองกลืนกิน ไอ้แฮคก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อน“มึงทำงี้ได้ไงวะ”น้ำเสียงมันปะปนไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งตกใจ โกรธ หรือแม้แต่เสียดาย ดวงตาคมกริบของแฮคเหมือนสว่านที่ต้องการจะเจาะเข้ามาในหัวผม “สัส กูเกลียดมึงจริงๆ เรซ”แล้วมันก็ถีบโต๊ะตรงหน้าไปทีหนึ่ง ไม่แรงมาก แต่ก็เพียงพอจะทำให้เกิดเสียงกระทบของที่เขี่ยบุหรี่เซรามิกโมเดลรถแข่งที่วางอยู่บนโต๊ะผมรู้ว่าแฮคมันอยากโวยวายเรื่องอะไร ผมไม่คิดแก้ตัว และไม่เห็นความจำเป็นต้องอธิบายเรื่องผมกับเทียนให้มันฟัง ต่อให้มันอยากรู้จนแทบคลั่งแล้วก็เถอะ“มึงไปตกลงอะไรกับยัยนั่น” ผมถามในสิ่งที่ตัวเองสนใจ ควานบุหรี่ในกระเป๋ากางเกงออกมาจุดสูบ ก่อนหน้านี้ผมก็สูบไปตั้งเท่าไหร่แต่รู้สึกว่าสมองยังไม่ค่อยโล่งเลย ผมประเมินยัยนั่นต่ำไป ไม่คิดว่าการพามาที่นี่เพียงครั้งเดียว
หลังจากนั้น แฮคพาฉันขึ้นมาชั้นสอง เปิดประตูห้องที่อยู่ติดกับห้องที่มีชุดชั้นในของคะนิ้ง จูงกระเป๋าเดินทางฉันเข้าไปข้างใน“คืนนี้ก็ใช้ห้องนี้ไปก่อน” “คืนนี้? ...แล้วพรุ่งนี้ล่ะ” ฉันเหลือบมองไปทั่วห้องก่อนดึงสายตากลับมาจ้องแฮคด้วยสายตาหวาดๆ แฮคผ่อนลมหายใจยาว ท่าทางกลัดกลุ้มไม่แพ้กัน “ฉันไม่มีสิทธิ์ตัดสินเรื่องนี้ จะว่าไงดี เรื่องนี้ฉันตัดสินใจเองไม่ได้” “งั้น... ทำยังไงฉันถึงจะอยู่ที่นี่ได้” “ถ้าเป็นผู้หญิงของใครสักคนในกลุ่มก็ไม่มีปัญหาหรอก” “เข้าใจแล้ว” ฉันบอกอย่างรู้สึกหดหู่ แฮคพยักหน้า ท่าทางโล่งใจเปลาะหนึ่ง เขาคงคิดว่าฉันยอมแพ้ที่จะอยู่ที่นี่แล้ว หมอนั่นพูดอะไรอีกสองสามประโยคเกี่ยวกับของกินในครัวและห้องน้ำ แต่ฉันฟังไม่รู้เรื่อง ในหัวเอาแต่คิดว่าต้องทำยังไงถึงจะอยู่ที่นี่ได้ ร่างสูงกำลังจะออกจากห้อง ฉันรู้สึกว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างตอนนี้ก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว “แฮคเดี๋ยว...” ฉันคว้ามือหนาเอาไว้อย่างร้อนใจ แฮคชะงัก ก้มลงมองมือที่ถูกจับก่อนเหลือบตาขึ้นมองหน้าฉันด้วยสายตาเป็นคำถาม
ปังๆ “ไอ้เรซ เปิดประตู!” แฮคเคาะประตูอย่างบ้าคลั่ง ฉันยืนกระสับกระส่ายอยู่ด้านหลัง แค่ฉันบอกว่าจะมาขออยู่ที่นี่สักพักแต่เรซปิดประตูไม่ยอมให้ฉันเข้าไปตั้งแต่เช้า แฮคก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แทบจะพุ่งถีบประตูอย่างที่เห็น “ไอ้เรซมึงเปิด...” ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก เรซยืนกอดอก สีหน้ารำคาญกึ่งโมโหที่เห็นแล้วชวนหงุดหงิด แต่ยังไม่ทันที่เรซจะพูดอะไรกับแฮค เขาก็ถูกคนเลือดร้อนกว่าผลักอกเข้าไปข้างในอย่างเอาเรื่อง เรซเซถอยหลังไปสองก้าวแต่แฮคเหมือนยังไม่พอใจ ตามเข้าไปกระชากคอเสื้อเรซแล้วเหวี่ยงแรงๆ จนร่างสูงถลาไปชนกับโซฟาดังพลั่ก“มึงเป็นเหี้ยอะไรวะแฮค!” เรซหันกลับมาตะคอกเสียงขุ่น ดวงตาคมฉายแววร้อนระอุตวัดมองฉันที่อยู่ด้านหลังแฮค ฉันสะดุ้งเฮือก ก้มหน้าหลบสายตาคมปลาบเลิ่กลั่ก “เฮ้ย! มึงมองเทียนแบบนั้นมึงคิดจะทำอะไร” เสียงกรรโชกของแฮคทำฉันเงยหน้าขึ้นมองอย่างประหลาดใจ ไม่คิดว่าเขาจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนฉันถึงขนาดนี้“แล้วมึงเป็นเหี้ยอะไร”“มึงทำเหี้ยอะไรเอาไว้ล่ะ!” แฮคสวนกลับอย่างร้อนแรง สองคนนั้นจ้องตากันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ก่อนท
ราวกับโดนสาดหน้าด้วยน้ำเย็นแล้วราดน้ำเดือดตาม ฉันเย็นวาบไปทั้งตัวก่อนจะรู้สึกเห่อร้อนในทุกอณูผิวหนัง มองใบหน้าด้านชาของเรซอย่างหายใจไม่ออก คิดว่าต้องพูดอะไรสักอย่างกลับไปเอาให้เขาเจ็บแสบบ้าง แต่ว่าในหัวฉันตอนนี้มันตื้อไปหมด ทั้งเพลียทั้งง่วง แถมยังมวนท้องเหมือนลมจะตีตื้นขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา สายตาที่มองเรซพร่ามัวชั่วขณะ แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ฉันอ้วกออกมา พุ่งใส่ท้องเรซเต็มๆ “เชี่ย!”เรซอุทานหยาบคายออกมาคำหนึ่ง รีบดันร่างฉันออกห่างแต่ไม่ทันแล้ว อ้วกสองสายราดอยู่บนเสื้อราดลงไปถึงกางเกงและรองเท้าแตะที่เขาสวมอยู่“นี่เธอ...” เรซโกรธจนหน้าเขียวคล้ำ ฉันได้แต่มองไม่มีแรงจะตอบโต้แล้วภาพตรงหน้าก็ดับวูบ!ฟื้นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงหนานุ่ม กลิ่นหอมอ่อนจางจากผ้าห่มและปลอกหมอนให้ความรู้สึกผ่อนคลายจนไม่อยากลืมตาตื่น หากแต่เสียงเปิดประตูห้องฉุดสติฉันที่กำลังสะลึมสะลือให้แจ่มชัด เป็นเรซเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างเตียง ใบหน้าหล่อเหลายังคงบึ้งตึงเหมือนโดนใครเหยียบเท้าตลอดเวลา สายตาเรซราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ฉันยันตัวลุกขึ้น กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องอย่างงวยงง“ฉันมาอยู่ที่น








