Войти“เทียน”
“....” ฉันไหวตัวเล็กน้อย ชำเลืองมองหน้าเค้กเพื่อนรักที่นั่งรถขากลับจากหัวหินมาด้วยกัน
“ไหวมั้ย เครียดเรื่องสร้อยข้อมือเหรอ หรือไม่สบาย”
“หืม ก็นิดหน่อยน่ะ” ฉันเข้าใจว่าเค้กคงเห็นสีหน้าอมทุกข์ของฉันแล้วเดาไปตามสถานการณ์ที่เกิด
เมื่อคืนเรามีปาร์ตี้สระว่ายน้ำกัน แล้วฉันดันทำสร้อยข้อมือที่พี่แสงซื้อให้หายไปตอนไหนก็ไม่รู้ ทุกคนช่วยกันหาแล้วแต่ไม่เจอ ฉันเลยโทรหาพี่แสง บอกเรื่องทำสร้อยหาย ก็โดนบ่นแหละ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันกลับไปที่สระว่ายน้ำคนเดียว… แล้วก็เจอกับหมาป่าอย่างเรซเข้า
เอาตรงๆ ฉันไม่คิดว่าจะเจอเขาที่นั่น และต่อให้เจอ ก็ไม่มีใครคิดหรอกว่าจะโดนจู่โจมแล้วจับกดด้วยความรู้สึกที่ร้อนแรงแบบนั้น ทำไมฉันถึงไม่ร้องให้คนช่วย เมื่อคิดย้อนกลับไปก็ยิ่งโมโห โกรธตัวเองที่ใจง่ายได้ขนาดนั้น หมอนั่นต้องคิดว่าฉันร่านแน่ๆ โธ่ อยากตายชะมัด
“หรือเมารถ” นิกที่กำลังขับรถเอ่ยถามเล่นๆ แต่ก็แอบเป็นห่วงอยู่ในที ฉันไม่เคยมีประวัติเมารถมาก่อน ทุกคนรู้ดี
“เปล่า ไม่ใช่หรอก”
“เห็นบ่นว่าปวดหัว แล้วได้ยากินหรือยัง” เสียงทิวเพื่อนชายอีกคนที่นั่งเบาะหน้าคู่คนขับดังขึ้น
“ยัง”
จะเอาเวลาไหนไปกินล่ะ อีกอย่างฉันไม่ได้ป่วยจริงๆ สักหน่อย ก็แค่รู้สึกแย่กับเรื่องเมื่อคืนแต่บอกใครไม่ได้ ฮือ รันทด
“ไม่มียาด้วยสิ นิกจะแวะเติมน้ำมันป๊ะ”
เค้กเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่อาจนิ่งดูดาย
“แวะๆ เทียนก็ซื้อยามากินด้วยสิ ร้านสะดวกซื้อที่ปั๊มน่าจะมียาขาย”
“อื้ม ตั้งใจไว้แบบนั้นเหมือนกัน”
ฉันตอบออกไปตามปกติ หลังจากนั้นบทสนทนาบนรถก็เปลี่ยนไป และค่อยๆ เงียบลงในที่สุด หันมาอีกทียัยเค้กก็หลับแล้วเรียบร้อย จะมีก็แต่เสียงของทิวที่ดังขึ้นเป็นพักๆ เพื่อชวนนิกคุย จะได้ไม่หลับเวลาขับรถ
จนกระทั่งถึงปั๊ม
ฉันปลุกเค้กที่หลับจนน้ำลายย้อยให้ตื่น ไหวมั้ยนั่น ดูท่าทางอิดโรยกว่าฉันซะอีก
“เค้ก”
“หืม ถึงแล้วเหรอ”
“อืม ไปหาของกินกัน”
ฉันบอกแล้วลงจากรถ ระหว่างนั้นรถอีกสองสามคันก็ทยอยเข้ามาในปั๊ม คันหนึ่งวิ่งเข้ามารอเติมน้ำมัน อีกสองคันขับเลยไปจอดที่จุดพักรถหน้าร้านสะดวกซื้อ หนึ่งในนั้นมีบีเอ็มดับเบิลยูสีเหลืองด้วย
...เรซ
หัวใจฉันกระตุกไหว จู่ๆ ก็ก้าวเท้าไม่ออก
“อ้าวเทียนหยุดทำไม มาสิ”
เค้กเพิ่งเดินแซงไปไม่กี่ก้าวหันกลับมามองอย่างประหลาดใจ
“เอ๊ะ อื้ม…”
ฉันรีบสะบัดความรู้สึกแย่ๆ ทิ้ง แล้วเดินมาหาเค้ก พยายามไม่มองไปทางนั้นแต่เสียงเรียกจากคะนิ้งที่เพิ่งเปิดประตูลงจากรถอีกคันก็ทำให้ฉันกับเค้กต้องหันไปสนใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่โชคดีที่ตอนนั้นเรซเดินออกห่างรถไปแล้ว ทำให้ฉันอึดอัดน้อยลง แต่ก็แอบเศร้านิดๆ ที่เห็นว่าหมอนั่นไม่พยายามมองมาทางฉันเลย หรือเขาจะลืมมันไปแล้ว จำได้หรือเปล่าว่าจู่โจมฉันหนักขนาดไหน จะว่าไปตอนนั้นก็เหมือนเขากำลังเมาอยู่นิดๆ ด้วยสิ ชักร้อนใจยังไงไม่รู้ จู่ๆ ก็อยากเดินเข้าไปถามให้มันรู้แล้วรู้รอด
ฉันมองตามแผ่นหลังของเรซที่ผลุบหายเข้าไปในร้านสะดวกซื้อด้วยความคิดที่กำลังสับสน
“เทียน เทียน!”
“ห๊ะ… อะไร มีอะไร”
ฉันสะดุ้งเฮือกเพราะเสียงเรียกที่ดังผิดปกติของเค้ก เล่นเอาตกใจนิดหน่อย
“จะไปเข้าห้องน้ำก่อน ไปด้วยมั้ย หรือว่าจะไปซื้อยาเลย”
“เทียนเป็นไรเหรอ” คะนิ้งได้ยินเค้กพูด หันมามองหน้าฉันอย่างสงสัย
“อ่อ ปวดหัวนิดหน่อย ไม่เป็นไรมากหรอก เอ่อ ไปเข้าห้องน้ำก่อนก็ได้” ฉันหันมาพูดกับเค้กในประโยคหลังเพราะแอบเห็นเรซเพิ่งเข้าร้านสะดวกซื้อไป ถ้าเลือกได้ ก็อย่าเพิ่งให้ฉันเจอเขาตอนนี้เลย มันบอกไม่ถูกอ่ะ บางทีก็อยากเดินเข้าไปถาม บางทีก็หดหู่ใจจนอยากหนีไปให้พ้นๆ แต่อย่างที่คนเคยว่าไว้ หนีอะไรก็หนีได้ แต่หนีความจริง หนียังไงก็ไม่พ้น
ฉันเปิดประตูออกจากห้องน้ำมาก็เจอคะนิ้งกำลังยืนล้างมืออยู่หน้ากระจก
“ออกมานานแล้วเหรอ เค้กล่ะ”
ฉันเดินมาเปิดก๊อกน้ำข้างๆ ล้างมือ เห็นประตูห้องน้ำเปิดทุกบานเลยสงสัยว่าเค้กหายไปไหน
“ไปแล้ว”
“อ้าวเหรอ” ฉันพยักหน้าแล้วสอดสายตามองหากระดาษทิชชู่มาเช็ดมือที่เปียก
“เออว่าแต่เทียนมีอะไรกับเรซหรือเปล่า”
ฉันหันขวับทันที
“ทำไมถามแบบนั้น” ใจฉันสั่นขึ้นมาทันที แอบกลัวว่าคะนิ้งจะรู้ แต่แววตาของคะนิ้งกลับกลมแป๋วอย่างคนที่ไม่รู้อะไรเลย
“คือนิ้งเห็นเทียนมองเรซ เลยสงสัยน่ะ แล้วมีอะไรหรือเปล่า”
“อ้อ เอ่อ ไม่… ไม่มีหรอก แค่มองเฉยๆ”
“งั้นเหรอ อืม นิ้งคงคิดมากไปเอง”
คำพูดนิ้งชักนำให้ฉันรู้สึกสงสัย ชะงักเท้าที่เกือบจะเดินถึงประตูห้องน้ำแล้วมองหน้าเพื่อนชัดๆ มันก็ไม่ได้อะไรมากหรอก แค่ตงิดๆ อยากถามให้เคลียร์
“คิดอะไร”
“คิดว่าเทียนชอบเรซน่ะสิ”
“ห๊ะ!?”
กึก
“ใครนะ ...ที่ชอบเรซ” เสียงส้นรองเท้าหนังหยุดกึกหน้าประตูห้องน้ำ พร้อมกับคำถามข้องใจ ยัยผู้หญิงที่มากับเรซ
“ลูกตาล” คะนิ้งขานชื่ออีกฝ่ายด้วยท่าทางตกใจ
“เอ่อคือ… แค่แซวกันเล่นๆ ไม่มีไรหรอก”
“หึ ไม่มีก็ดี จริงๆ ฉันไม่ถือหรอกนะ เรซหล่อขนาดนั้นไม่แปลกหรอกถ้าจะมีคนชอบ แต่ก็ได้แค่ชอบนั่นแหละ” ลูกตาลแสยะยิ้ม มองฉันกับคะนิ้งด้วยสายตาเหมือนกำลังดูถูก เชิดหน้าเดินผ่านเราสองคนเข้าไปในห้องน้ำ
ฉันกับคะนิ้งมองหน้ากันเงียบๆ ก่อนจะเดินออกมา
“นิ้ง”
“อ้าวริกกี้” เพิ่งจะเดินพ้นชายคาห้องน้ำมาไม่กี่ก้าวคะนิ้งก็เจอหวานใจกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ใกล้ๆ
“ทำไมมายืนตรงนี้ แล้วซื้ออะไรหรือยัง”
“ซื้อแค่บุหรี่กับของส่วนตัวนิดหน่อย ริกไม่รู้ว่านิ้งจะกินอะไร เลยไม่ได้ซื้อกลัวไม่ถูกใจ”
“บ้า ไม่ใช่คนเรื่องมากขนาดนั้น แล้วของส่วนตัวของริกคือไร” คะนิ้งทำหน้าข้องใจสุด นั่นดิ ฉันเองก็งงเหมือนกัน อะไรคือของส่วนตัวที่ต้องซื้อจากร้านสะดวกซื้อ
“ถุงยาง” ริกกี้ตอบนิ่งๆ
จบข่าว!
คะนิ้งอ้าปากค้าง เหมือนจะด่าริกกี้แต่สุดท้ายก็เขินม้วนจนพูดอะไรไม่ออก หันมาเรียกฉันแทน
“ไปกันเถอะเทียน”
“อ่ะ… อื้ม”
ฉันมองคะนิ้งที่ก้มหน้าก้มตาเดินออกไป หันกลับมาแซวริกกี้อย่างอดไม่ได้ ฉันไม่ได้สนิทกับริกกี้นะ เพิ่งเคยเจอตัวจะๆ ก็คราวที่มาเที่ยวหัวหินเนี่ยแหละ
“ร้อนแรงจริงๆ จะซื้อไว้ใช้ระหว่างทางหรือไง”
“หึๆ” ริกกี้หัวเราะ เดี๋ยวๆ ฉันแค่ล้อเล่นนะ
“ถามจริง…”
“เผื่อไว้ก็ไม่ได้เสียหาย เธอไม่คิดงั้นเหรอ”
“นั่นสินะ” ยอมใจ ฉันยิ้มแหยๆ ให้ริกกี้ก่อนจะหันหลังให้เขาแล้วรีบสาวเท้าตามคะนิ้งไป
เสียงประตูร้านสะดวกซื้อดังขึ้นอัตโนมัติ ฉันก้าวเข้ามาข้างใน จังหวะเดียวกับที่เรซเดินสวนออกไป หัวใจฉันกระตุกวูบ ชำเลืองสายตามองตามเขาทันที แต่เรซไม่แม้แต่จะสนใจฉันด้วยซ้ำ
ราวกับว่าเขาไม่เห็นฉันอยู่ในสายตา ทั้งที่เขาเป็นคนเริ่มมันแท้ๆ แต่กลับทำตัวเหินห่างราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วจะให้ฉันเข้าใจว่ายังไง เอาเล่นๆ อย่างงั้นเหรอ
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อเทียน เป็นแฟนเรซ...”ย่ามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างประเมินครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าแล้วกวักมือเรียก“มานี่สิ เข้ามาใกล้ๆ ให้เห็นหน้าชัดๆ หน่อย”ฉันมองเรซอย่างไม่แน่ใจ แต่เขาก็พยักหน้าให้ ไม่เพียงแค่นั้นยังจูงมือฉันที่กำลังตื่นเต้นพาเดินเข้าไปหาย่าอีก“เรซ... นี่หลานสะใภ้ย่าเรอะ” ย่ามองเรซอย่างตั้งตัวไม่ทัน การแสดงออกของเรซทำให้ย่าเห็นว่าเขาห่วงใยฉันแค่ไหน“ครับย่า”“คนไทยใช่มั้ย”“ครับ”“อืม อย่างน้อยๆ ก็คงไม่คิดหนีย่าไปอยู่ต่างประเทศเหมือนพ่อใช่มั้ย”“วางใจเถอะครับ ผมไม่ไปไหน”“ดีแล้ว อืม หนูชื่อเทียนใช่หรือเปล่า” ย่าพยักหน้าให้เรซอย่างรู้สึกวางใจก่อนหันกลับมาพูดกับฉัน“ค่ะคุณย่า”“เรียกย่าเฉยๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตอง” ย่าเรซโบกมืออย่างไม่ถือ ก่อนหันไปทางแนท “แล้วนี่เมื่อไหร่แนทจะพาหลานเขยมาแนะนำให้พวกเรารู้จักบ้าง”“ย่า...” แนทลนลาน ท่าทางไม่รู้จะตอบย่ายังไงดี สุดท้ายก็ทำหน้าง้ำกลบเกลื่อนแล้วไม่พูดอะไรต่อ หลังจากนั้นไม่นานคนรับใช้ก็เข้ามาแจ้งว่าตั้งโต๊ะเสร็จแล้ว ปู่จึงสั่งให้เรียกลูกหลานที่ใกล้ชิดทุกคนมารวมกันที่โต๊ะอาหารเพื่อร่วมอวยพรวันเกิดครบรอบเจ็ดสิบปีของย่าบรรยากา
บ้านพักของเรซที่เพชรบูรณ์ตั้งอยู่ในไร่มะขาม แยกตัวออกจากบ้านใหญ่ที่ปู่กับย่าเรซอยู่ ฉันรู้สึกโล่งใจที่รู้ว่าเราจะพักกันที่นี่วันนี้เป็นวันเกิดย่าเรซ เขาต้องกลับมาร่วมงานทุกปี แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่เขาพาคนอื่นมาด้วย ซึ่งก็คือฉัน ครั้งแรกที่รู้ว่าต้องมาเยี่ยมบ้านเรซฉันก็กดดันและกังวลจนเผลอแสดงสีหน้าออกมาให้เรซเห็น แต่เขาก็คอยปลอบใจฉันพร้อมกับบอกว่าปู่กับย่าใจดีไม่มีอะไรต้องห่วง พวกเราเพิ่งมาถึง ยังไม่มีโอกาสเจอใครนอกจากคนงานสองสามคนที่มารอรับหน้าบ้านเพื่อคอยอำนวยความสะดวก หลังเตรียมเสื้อผ้าที่จะใส่ไปกินข้าวเย็นบ้านปู่กับย่าเรซเสร็จ ฉันก็ลงมาข้างล่าง เรซกำลังคุยกับคนงาน เสร็จแล้วค่อยเดินมาหาฉันที่โซฟา“เก็บของเสร็จแล้วเหรอ”“อืม เหนื่อยหรือเปล่าขับรถ นอนก่อนมั้ย” ฉันจับแขนเขาอย่างเป็นห่วง“อยากนอนตรงนี้” เรซถือโอกาสเอนตัวลงนอนหนุนตักฉันทันที เขาดึงมือฉันไปทาบกับแก้มตัวเองอย่างอ้อนๆ ฉันเลยหยิกเขาไปทีหนึ่งอย่างมันเขี้ยว“นอนดีๆ สิ จะได้ไม่เมื่อย”“ไม่เมื่อย” เรซหลับตาอย่างไม่ใส่ใจเสียงเตือนของฉัน แกล้งหลับดื้อๆ ฉันอมยิ้มจางๆ เห็นท่าทางน่ารักของเรซแล้วไล่ให้ไปนอนบนเตียงไม่ลง “เรซ?” ฉันเร
@Rewell Corp. ฉันผลักประตูเข้ามาในออฟฟิศ ที่นี่ไม่ใหญ่มาก เป็นห้องโล่งๆ มีโต๊ะทำงานแบ่งออกเป็นสามโซน แต่ละโซนโต๊ะทำงานหันหน้าเข้าหากันมีแค่ผนังกระจกยิงลายเกมกั้น ฝั่งขวามือเป็นห้องประชุม ลึกเข้าไปด้านในมีทางแยกฝั่งซ้ายที่เป็นผนังทึบ ตรงนั้นฉันคิดว่าน่าจะเป็นห้องทำงานของประธานบริษัทฉันเดินลากรองเท้าส้นสูงผ่านประตูมาได้แค่สองก้าวก็ถูกสายตาของคนข้างในจับจ้อง“ขอโทษค่ะ พอดีว่ามาสัมภาษณ์งานกับน้าริช รู้มั้ยคะว่าน้าริชอยู่ที่ไหน” ฉันถามพี่ผู้หญิงที่อยู่ใกล้สุด เธอมองชุดนักศึกษาที่ฉันสวมแวบหนึ่งก่อนชี้มือไปทางห้องกระจกฝั่งขวา“ทางนั้น ประชุมทีมอยู่”“อ๋อค่ะ ขอนั่งรอตรงนี้ได้หรือเปล่าคะ”“ตามสบาย”“ขอบคุณค่ะ” ฉันถือโอกาสนั่งแล้วมองสำรวจรอบๆ ไปด้วย แอบมองพี่คนข้างๆ ทำงานไปด้วย บางครั้งก็เผลอถามโน่นถามนี่ โชคดีที่พี่คนนี้เป็นคนใจเย็น หันมาพูดกับฉันอย่างไม่ถือสา จนตอนนี้เรารู้ชื่อกันแล้ว การสนทนาก็เริ่มเป็นกันเองมากขึ้น และมิตรภาพก็ค่อยๆ ลามไปถึงคนข้างๆ เกือบครึ่งชั่วโมงที่ฉันนั่งรอแทบจะรู้จักพี่ๆ กันทั้งโต๊ะ ประตูห้องกระจกใสเปิดออก พร้อมกับคนสี่ห้าคนเดินออกมาด้วยสีหน้
เรซสอดแทรกความต้องการเข้ามาตามคำเรียกร้องของฉัน ความอึดอัดรัดรึงเสือกไถเข้ามาจนสุดทาง ฉันหลุดเสียงครางหวิวไหว ร่างกายสั่นระทดระทวยเกาะพรมไปด้วยหยาดเหงื่อ ทั่วทั้งห้องตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายรักใคร่และเสียงอันหนักหน่วงจากการสอดประสานกันอย่างร้อนแรงของร่างสองร่างบนโซฟาเนิ่นนานกว่าไฟอารมณ์จะมอดดับ ฉันจะยืนยังไม่ไหว ต้องให้เรซอุ้มเข้าห้องน้ำ เรานอนกอดเกยกันอยู่ในอ่าง ร่างเปลือยเปล่าแนบชิดและเหมือนเรซจะรู้สึกขึ้นมาอีกครั้ง เขาสอดใส่เข้ามาใต้น้ำ ร่างกายฉันเกร็งเครียดไปหมด เรซขบเม้มติ่งหูพลางลูบไล้ทรวงอกเพื่อช่วยให้ฉันผ่อนคลาย รู้สึกสุขสมไปพร้อมๆ กับเขา น้ำในอ่างกระฉอกตามแรงกระทบกระแทกด้านล่าง เสียงก้องกังวานสะท้อนไปทั่วห้องน้ำ ฉันเสียวซ่านจนแทบทนไม่ไหว เรซโหมกระแทกรัวแรงขึ้นเรื่อยๆ ฉันรู้สึกเหมือนใจจะขาด กรีดร้องออกมาอย่างคลุ้มคลั่งตอนที่อารมณ์พุ่งถึงขีดสุดแห่งห้วงหฤหรรษ์เสียงหอบหายใจสองสายดังสะท้อนถี่รัวอยู่พักหนึ่งค่อยกลับเป็นปกติ ฉันเหนื่อยจนจะหลับได้อยู่แล้ว ฟาดแขนเรซไปหนึ่งทีอย่างฉุนๆ “เกินไปแล้วนะเรซ กะจะรีดให้หมดตัวเลยหรือไง”“ใครเริ่มก่อนล่ะ ตามจริงตั้งใจจะงดให้หนึ่งวัน”เรซใช้ปลา
“เรซไม่อยากให้เทียนไปทำหนิ แล้วทำไมยังอุตส่าห์หางานมาให้ล่ะ”“เพราะเทียนอยากทำ”“เรซ... ทำไม...” ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีกแล้ว ตอนเที่ยงเขาเล่นตัดบทฉันดื้อๆ แต่ว่าตอนนี้กลับช่วยฉันทั้งที่เขาก็ไม่ได้เห็นด้วยเท่าไหร่ ภายในอกฉันตื้นตันจนยากจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูด สวมกอดคนข้างๆ เอาไว้แน่น ซุกหน้าคลอเคลียลำคอแกร่ง เรซลูบแขนฉันตอบเบาๆทำไมกัน ทั้งที่เราไม่ได้จะจากกันไปไหนเลย แต่ความรู้สึกกลับเปลี่ยวเหงาเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ไม่อยากแยกจากแม้แต่วินาทีเดียว แค่ฉันจะไปทำงานเฉยๆ แต่เรซก็ทำเหมือนจะเหี่ยวเฉาอยู่รอมร่อ“ขอบคุณนะ”ฉันจูบลูกกระเดือกเรซเบาๆ ผิวขาวของเรซแดงซ่านขึ้นมาทันที ลูกกระเดือกเป็นจุดที่อ่อนไหวของผู้ชาย เพราะงั้นตอนนี้เขาถึงก้มลงมองฉันด้วยสายตาลึกล้ำเป็นพิเศษ “จะไปหรือเปล่า?” เรซกลืนน้ำลายลงคอ ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงท่าทางข่มกลั้นอารมณ์ของเรซเห็นแล้วชวนใจละลายไม่น้อย“ไปสิ”ฉันตอบอย่างไม่ลังเล เรซแววตาสลดลงวูบหนึ่ง “เห็นให้อมยิ้ม นึกว่าจะยอมแพ้ไปแล้ว”“ก็ตัดใจไปแล้วครึ่งหนึ่ง เทียนไม่อยากทำให้เรซเป็นห่วง นึกถึงเวลาเรซไปรอรับหน้าที่ทำงานแล้วรู้สึกผิด เลยคิดว่าจะลองหาวิธีอื่น…” ฉันยื่นมื
บทจะดื้อเรซก็เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ตลอด ไม่ยอมเปิดใจอะไรง่ายๆ หลังกินข้าวเสร็จ ฉันเก็บจานไปล้างแล้วเปลี่ยนชุดไปเรียน เรซขับรถมาส่ง ระหว่างทางเราพูดคุยกันน้อยมากแทบนับคำได้ เหมือนย้อนกลับไปช่วงที่ยังไม่ได้คบกัน “อ้าวเทียน มาเมื่อไหร่เนี่ย กินข้าวยัง” คะนิ้งกับทีมเพื่อนๆ เดินออกจากศูนย์อาหารมาเจอฉันที่ถนนหน้าตึกเรียนพอดี ฉันยิ้มทักทายทุกคนตามปกติ “อื้ม เรียบร้อยแล้ว” “เรซมาส่งเหรอ” “อืม” ฉันพยักหน้าให้คะนิ้ง เดินตามคนอื่นๆ เข้ามาในตึก “เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าเครียดๆ” คะนิ้งท้วง เธอมองหน้าฉันด้วยแววตาผิดสังเกต ฉันถอนหายใจอย่างลังเล แต่สุดท้ายก็ระบายความอัดอั้นข้างในออกมา คะนิ้งฟังฉันเล่าแล้วครุ่นคิดด้วยสีหน้าจริงจัง เพราะเรื่องที่ฉันพูดค่อนข้างยาวและเป็นส่วนตัว เพื่อนที่มาด้วยจึงล่วงหน้ากันไปก่อนไม่เว้นแม้แต่เค้ก ตอนนี้จึงเหลือแค่ฉันกับคะนิ้งอยู่ใต้ตึกกันสองคน “นิ้งไม่เข้าใจว่าเทียนกลัวอะไร อย่าคิดมากสิ เรซไม่ใช่คนโง่ที่ยอมให้ใครมาเกาะ เว้นแต่ว่าเขายินดีให้เกาะ” คะนิ้งพูดแบบนี้ ฉันควรรู้สึกดีหรือไ







