เข้าสู่ระบบ:: เทียน ::
เช้าวันต่อมา
ฉันลุกขึ้นนั่งงงๆ บนเตียง เหลือบมองที่ข้างๆ ก็ไม่เห็นเงาพี่แสงแล้วแต่มีรอยคนนอน พอหยิบโทรศัพท์มาดูก็เห็นว่าเลยเที่ยงไปแล้ว ฮ้าวว~ นี่ฉันหลับยาวขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย หนักหัวชะมัด
ฉันโซเซลุกขึ้น คว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าจะกู้สติสตางค์ตัวเองกลับมาได้
มีอะไรกินบ้างเนี่ย ฉันเดินลูบท้องผล็อยๆ เข้ามาในครัว หลังอาบน้ำเคลียร์ตัวเองเสร็จ ตื่นเต็มตาแล้วก็หิวจนตาลายแทน หยิบขนมปังมากินกับน้ำผลไม้ ระหว่างนั้นก็ไลน์หาพี่แสง ถึงรู้ว่าพี่แสงมีเรียน ตอนนี้อยู่ที่มอ ฉันเลื่อนดูไลน์คนอื่นด้วย มีเพื่อนทักมาหลายคน ช่วงวันที่หายไปกับเรซฉันไม่ได้ติดต่อใครเลย ไม่กล้า กลัวความลับรั่ว แต่ก็ดันมีคนถ่ายรูปฉันขึ้นรถไปกับเรซซะได้ ฝีมือใครกันนะ คนที่อยากให้ฉันมีปัญหากับพี่แสง… นึกถึงใครไม่ออกจริงๆ นอกจากพะแพง น้องสาวพี่แสง แต่ยัยนั่นอยู่บ้านนี่ หรือว่าจะเป็นเพื่อนๆ ในแก๊งพะแพง ชิ… น่ารำคาญชะมัด
ฉันเปิดอ่านไลน์เพื่อนๆ ที่ทักมาถามว่าหายไปไหน ไล่ตอบทีละคนจนครบ แล้วก็ถูกตามให้ไปเรียนจนได้ ให้ตายสิ กะว่าจะโดดเรียนต่ออีกสักวัน เอาไงดีเนี่ย ขี้เกียจชะมัด
ฉันนั่งบิดขี้เกียจหลังจากนั่งฟังบรรยายมาสามชั่วโมงเต็ม ขณะคนอื่นๆ ทยอยลุกออกไป เค้กกับคะนิ้งก็หันมาถาม
“ไปไหนต่อเทียน”
“เดี๋ยวกลับห้องเลย”
“อ่อ แล้วเธอล่ะคะนิ้ง ไปไหน สามีมารับป่ะเนี่ย”
“บ้า สามีอะไร อย่าเลื่อนขั้นตามใจชอบดิ เดี๋ยวคนอื่นได้ยินจะเข้าใจผิด”
“เอ้า! เออๆ แฟนก็ได้ แฟนมารับมะ?” เค้กทำหน้าเพลียๆ ใส่คะนิ้ง
“อืม มา”
“ก็แค่เนี้ย”
ยัยเค้กส่ายหน้าแล้วเดินนำออกไปจากห้อง ฉันกับคะนิ้งส่งสายตาให้กันทันที ก่อนจะตามเค้กออกไป ที่หน้าลิฟต์มีคนรอเยอะมาก พอลิฟต์มาก็จุคนไม่หมด
“เอาไงไปมั้ย” เค้กหันมาถามระหว่างที่คนอื่นๆ กรูเข้าไปข้างใน
“รอดีกว่า” คะนิ้งทำหน้าอึดอัดถ้าจะต้องให้เบียดเข้าลิฟต์ ฉันพยักหน้าเห็นด้วย มองประตูลิฟต์ปิดแล้วรอลิฟต์ตัวใหม่ ระหว่างนั้นก็มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหยุดรอลิฟต์อยู่ด้านหลัง ฉันไม่ได้หันไปมอง จนกระทั่ง
“เหม็นกลิ่นสตอ ใครกินผัดสตอมาหรือเปล่า”
ไม่ใช่แค่ฉัน กระทั่งคะนิ้ง หรือแม้แต่เค้กก็ชำเลืองไปมองคนพูดเหมือนกัน ก่อนจะเห็นยัยพะแพงกับเพื่อน ฉันรู้ทันทีว่ายัยนั่นจงใจแซะ แต่คะนิ้งกับเค้กทำหน้ามึนๆ คงคิดว่ายัยนั่นได้กลิ่นสตอจริงๆ
“โคตรเหม็นเลย ทนกินได้ยังไง อี๋” เพื่อนพะแพงแต่ละคนชงเก่งๆ ทั้งนั้น
แล้วพอประตูลิฟต์เปิด พะแพงก็เรียกเพื่อนเดินเข้าลิฟต์ตัดหน้าเราสามคนไปอย่างไม่แคร์
“อ้าว! มารยาท…” เสียงเค้กดังขึ้นทันทีที่เห็นพวกนั้นแซงคิว ก่อนหันมาถามฉัน
“ยัยนั่นมันน้องพี่แสงป๊ะ”
“อืม”
“แล้วทำไมทำตัวแบบนี้ คือไม่เห็นเหรอว่าเรารออยู่ โมโห!”
“เอาน่า ใจเย็น ทำฉุนเฉียวเมนไม่มาไปได้” คะนิ้งบอก
“เฮ้ยนิ้ง! ใจดีไปป๊ะ” เค้กทำหน้าไม่พอใจ
“ว่าแต่ พวกนั้นว่ากระทบใครหรือเปล่า สตอน่ะ” คะนิ้งหันมาจ้องหน้าฉัน
“เออนั่นสิเทียน” เค้กพยักหน้าสงสัยเหมือนกัน
“ก็คงพูดจาหาเรื่องตามปกติแหละ อย่าใส่ใจเลย”
“เหรอ น่าเบื่อจริงๆ” เค้กส่ายหน้า
“นั่นสิ นิสัยไม่ดีเลย” คะนิ้งถอนหายใจ
“พี่แสงอยู่ไหนแล้วคะ”
ฉันโทรหาระหว่างเดินออกมารอรถที่หน้ามอ ได้ยินเสียงดังเอะอะแทรกเข้ามาเหมือนกำลังอยู่ร้านอาหารหรือที่ไหนสักแห่งที่คนเยอะๆ
[อยู่ลานเบียร์ วันเกิดรุ่นน้อง เทียนเรียนเสร็จแล้วเหรอ]
“ลานเบียร์?”
ฉันขมวดคิ้วเพราะไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ตอนที่นั่งเรียนก็คุยไลน์กัน ไม่เห็นบอกเลยจะให้ฉันรู้สึกยังไง
“เขาชวนเฉพาะคนในคณะเหรอคะ”
[อ้อ คือมันฉุกละหุก พี่เลยไม่ได้บอกเทียน เทียนจะมาหรือเปล่าล่ะ]
“พี่แสงจะมารับเทียนมั้ยล่ะ”
[เทียนนั่งแท็กซี่มาสิ เดี๋ยวพี่แชร์โลเคชั่นให้]
“ให้เทียนนั่งแท็กซี่ไปเหรอ”
[แถวนี้หาที่จอดรถยาก ถ้าพี่เอารถไปรับเทียนพี่กลัวว่ากลับมาจะไม่มีที่จอด อีกอย่างกว่าจะวนรถไปกลับมันก็นาน เทียนนั่งแท็กซี่มาเลยไวกว่า]
ฉันหยุดเดิน ฟังพี่แสงนิ่งๆ แล้วอารมณ์ก็เหมือนจะขึ้น ไม่สิ จริงๆ ไม่พอใจตั้งแต่บอกให้นั่งแท็กซี่ไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องมากหรืออะไรนะ แต่แค่ไม่เข้าใจ พูดเหมือนไม่อยากให้ไป แล้วงานวันเกิดรุ่นน้องมันเป็นไปได้เหรอที่เพิ่งรู้ โว้ย! โมโห
“ไม่เป็นไรค่ะ งั้นเทียนไม่ไปดีกว่า พี่แสงก็อย่าดื่มมากนะเดี๋ยวจะขับรถกลับไม่ได้”
ฉันฝืนพูดให้ดูเหมือนไม่ได้เป็นอะไร แต่จริงๆ ในใจนี่เดือดพล่านจนแทบจะต้มไข่สุกอยู่แล้ว ไม่อยากพูดแบบนี้เลย แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อน ไม่ว่าที่ไหนเมื่อไหร่ พี่แสงจะรีบมาหาฉันทันทีที่ฉันต้องการ จะไม่มีข้ออ้างหรือเหตุผลน่ารำคาญแบบนี้
ติ้ง!
ลูกกอล์ฟ : อิเจ้ กระเป๋าแกมีคนสนใจ เอามาเดี๋ยวนี้
ระหว่างที่กำลังหัวเสียเรื่องพี่แสง เมสเซนเจอร์ก็เด้งเตือนขึ้นมา ฉันตาโตทันทีที่รู้ว่าใคร แล้วยิ่งอ่านข้อความที่นางพิมพ์มายิ่งตื่นเต้นจนลืมเรื่องที่ทำให้ขุ่นมัวเป็นปลิดทิ้ง
เทียน : ใบไหน
ลูกกอล์ฟ : ชาแนลใบสีขาวน่ะ
เทียน : อ๋อๆ อยู่ห้อง ตอนนี้เลยเหรอ พร้อมโอนมั้ย
ลูกกอล์ฟ : เขาขอดูสภาพก่อนน่ะ
เทียน : บอกไปว่าเพิ่งใช้แค่ครั้งสองครั้ง กลับห้องเดี๋ยวถ่ายรูปให้ดู
ลูกกอล์ฟ : เออๆ
ฉันยิ้มร่าทันที รีบสาวเท้าออกมาโบกแท็กซี่กลับห้อง หุหุ ได้เงินใครจะไม่ดีใจ
พอมาถึงฉันก็รีบค้นกระเป๋าที่เก็บเอาไว้ดิบดีในลิ้นชักมาแกะถ่ายรูปส่งให้ลูกกอล์ฟ ไม่สิ จริงๆ มันชื่อ กอล์ฟเฉยๆ เป็นผู้ชายถึกๆ ตัวดำๆ แต่ใจสาวมาก เป็นเพื่อนสนิทกันตอนมัธยม แต่เข้ามหาลัยคนละที่เลยห่างๆ กัน ว่างถึงนัดเจอ แต่ก็สนิทเหมือนเดิม ส่วนใหญ่ก็คุยกันในโซเชียลเนี่ยแหละ
ฉันฝากกอล์ฟขายกระเป๋ากับพวกน้ำหอมแบรนด์เนมในไอจี นี่ก็ขายออกไปสามสี่ชิ้นละ หักค่านายหน้าให้มันนิดหน่อย ที่เหลือก็เข้ากระเป๋าฉันเต็มๆ ยังไงก็กำไรเพราะของได้มาฟรี พี่แสงซื้อให้ทั้งนั้น แต่หลังๆ เริ่มจะอ้อนไม่ได้ละ รู้สึกพี่แสงงกขึ้น ไม่รู้เพราะหวงเงินหรือเพราะหมดโปรแล้วก็ไม่รู้
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อเทียน เป็นแฟนเรซ...”ย่ามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างประเมินครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าแล้วกวักมือเรียก“มานี่สิ เข้ามาใกล้ๆ ให้เห็นหน้าชัดๆ หน่อย”ฉันมองเรซอย่างไม่แน่ใจ แต่เขาก็พยักหน้าให้ ไม่เพียงแค่นั้นยังจูงมือฉันที่กำลังตื่นเต้นพาเดินเข้าไปหาย่าอีก“เรซ... นี่หลานสะใภ้ย่าเรอะ” ย่ามองเรซอย่างตั้งตัวไม่ทัน การแสดงออกของเรซทำให้ย่าเห็นว่าเขาห่วงใยฉันแค่ไหน“ครับย่า”“คนไทยใช่มั้ย”“ครับ”“อืม อย่างน้อยๆ ก็คงไม่คิดหนีย่าไปอยู่ต่างประเทศเหมือนพ่อใช่มั้ย”“วางใจเถอะครับ ผมไม่ไปไหน”“ดีแล้ว อืม หนูชื่อเทียนใช่หรือเปล่า” ย่าพยักหน้าให้เรซอย่างรู้สึกวางใจก่อนหันกลับมาพูดกับฉัน“ค่ะคุณย่า”“เรียกย่าเฉยๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตอง” ย่าเรซโบกมืออย่างไม่ถือ ก่อนหันไปทางแนท “แล้วนี่เมื่อไหร่แนทจะพาหลานเขยมาแนะนำให้พวกเรารู้จักบ้าง”“ย่า...” แนทลนลาน ท่าทางไม่รู้จะตอบย่ายังไงดี สุดท้ายก็ทำหน้าง้ำกลบเกลื่อนแล้วไม่พูดอะไรต่อ หลังจากนั้นไม่นานคนรับใช้ก็เข้ามาแจ้งว่าตั้งโต๊ะเสร็จแล้ว ปู่จึงสั่งให้เรียกลูกหลานที่ใกล้ชิดทุกคนมารวมกันที่โต๊ะอาหารเพื่อร่วมอวยพรวันเกิดครบรอบเจ็ดสิบปีของย่าบรรยากา
บ้านพักของเรซที่เพชรบูรณ์ตั้งอยู่ในไร่มะขาม แยกตัวออกจากบ้านใหญ่ที่ปู่กับย่าเรซอยู่ ฉันรู้สึกโล่งใจที่รู้ว่าเราจะพักกันที่นี่วันนี้เป็นวันเกิดย่าเรซ เขาต้องกลับมาร่วมงานทุกปี แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่เขาพาคนอื่นมาด้วย ซึ่งก็คือฉัน ครั้งแรกที่รู้ว่าต้องมาเยี่ยมบ้านเรซฉันก็กดดันและกังวลจนเผลอแสดงสีหน้าออกมาให้เรซเห็น แต่เขาก็คอยปลอบใจฉันพร้อมกับบอกว่าปู่กับย่าใจดีไม่มีอะไรต้องห่วง พวกเราเพิ่งมาถึง ยังไม่มีโอกาสเจอใครนอกจากคนงานสองสามคนที่มารอรับหน้าบ้านเพื่อคอยอำนวยความสะดวก หลังเตรียมเสื้อผ้าที่จะใส่ไปกินข้าวเย็นบ้านปู่กับย่าเรซเสร็จ ฉันก็ลงมาข้างล่าง เรซกำลังคุยกับคนงาน เสร็จแล้วค่อยเดินมาหาฉันที่โซฟา“เก็บของเสร็จแล้วเหรอ”“อืม เหนื่อยหรือเปล่าขับรถ นอนก่อนมั้ย” ฉันจับแขนเขาอย่างเป็นห่วง“อยากนอนตรงนี้” เรซถือโอกาสเอนตัวลงนอนหนุนตักฉันทันที เขาดึงมือฉันไปทาบกับแก้มตัวเองอย่างอ้อนๆ ฉันเลยหยิกเขาไปทีหนึ่งอย่างมันเขี้ยว“นอนดีๆ สิ จะได้ไม่เมื่อย”“ไม่เมื่อย” เรซหลับตาอย่างไม่ใส่ใจเสียงเตือนของฉัน แกล้งหลับดื้อๆ ฉันอมยิ้มจางๆ เห็นท่าทางน่ารักของเรซแล้วไล่ให้ไปนอนบนเตียงไม่ลง “เรซ?” ฉันเร
@Rewell Corp. ฉันผลักประตูเข้ามาในออฟฟิศ ที่นี่ไม่ใหญ่มาก เป็นห้องโล่งๆ มีโต๊ะทำงานแบ่งออกเป็นสามโซน แต่ละโซนโต๊ะทำงานหันหน้าเข้าหากันมีแค่ผนังกระจกยิงลายเกมกั้น ฝั่งขวามือเป็นห้องประชุม ลึกเข้าไปด้านในมีทางแยกฝั่งซ้ายที่เป็นผนังทึบ ตรงนั้นฉันคิดว่าน่าจะเป็นห้องทำงานของประธานบริษัทฉันเดินลากรองเท้าส้นสูงผ่านประตูมาได้แค่สองก้าวก็ถูกสายตาของคนข้างในจับจ้อง“ขอโทษค่ะ พอดีว่ามาสัมภาษณ์งานกับน้าริช รู้มั้ยคะว่าน้าริชอยู่ที่ไหน” ฉันถามพี่ผู้หญิงที่อยู่ใกล้สุด เธอมองชุดนักศึกษาที่ฉันสวมแวบหนึ่งก่อนชี้มือไปทางห้องกระจกฝั่งขวา“ทางนั้น ประชุมทีมอยู่”“อ๋อค่ะ ขอนั่งรอตรงนี้ได้หรือเปล่าคะ”“ตามสบาย”“ขอบคุณค่ะ” ฉันถือโอกาสนั่งแล้วมองสำรวจรอบๆ ไปด้วย แอบมองพี่คนข้างๆ ทำงานไปด้วย บางครั้งก็เผลอถามโน่นถามนี่ โชคดีที่พี่คนนี้เป็นคนใจเย็น หันมาพูดกับฉันอย่างไม่ถือสา จนตอนนี้เรารู้ชื่อกันแล้ว การสนทนาก็เริ่มเป็นกันเองมากขึ้น และมิตรภาพก็ค่อยๆ ลามไปถึงคนข้างๆ เกือบครึ่งชั่วโมงที่ฉันนั่งรอแทบจะรู้จักพี่ๆ กันทั้งโต๊ะ ประตูห้องกระจกใสเปิดออก พร้อมกับคนสี่ห้าคนเดินออกมาด้วยสีหน้
เรซสอดแทรกความต้องการเข้ามาตามคำเรียกร้องของฉัน ความอึดอัดรัดรึงเสือกไถเข้ามาจนสุดทาง ฉันหลุดเสียงครางหวิวไหว ร่างกายสั่นระทดระทวยเกาะพรมไปด้วยหยาดเหงื่อ ทั่วทั้งห้องตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายรักใคร่และเสียงอันหนักหน่วงจากการสอดประสานกันอย่างร้อนแรงของร่างสองร่างบนโซฟาเนิ่นนานกว่าไฟอารมณ์จะมอดดับ ฉันจะยืนยังไม่ไหว ต้องให้เรซอุ้มเข้าห้องน้ำ เรานอนกอดเกยกันอยู่ในอ่าง ร่างเปลือยเปล่าแนบชิดและเหมือนเรซจะรู้สึกขึ้นมาอีกครั้ง เขาสอดใส่เข้ามาใต้น้ำ ร่างกายฉันเกร็งเครียดไปหมด เรซขบเม้มติ่งหูพลางลูบไล้ทรวงอกเพื่อช่วยให้ฉันผ่อนคลาย รู้สึกสุขสมไปพร้อมๆ กับเขา น้ำในอ่างกระฉอกตามแรงกระทบกระแทกด้านล่าง เสียงก้องกังวานสะท้อนไปทั่วห้องน้ำ ฉันเสียวซ่านจนแทบทนไม่ไหว เรซโหมกระแทกรัวแรงขึ้นเรื่อยๆ ฉันรู้สึกเหมือนใจจะขาด กรีดร้องออกมาอย่างคลุ้มคลั่งตอนที่อารมณ์พุ่งถึงขีดสุดแห่งห้วงหฤหรรษ์เสียงหอบหายใจสองสายดังสะท้อนถี่รัวอยู่พักหนึ่งค่อยกลับเป็นปกติ ฉันเหนื่อยจนจะหลับได้อยู่แล้ว ฟาดแขนเรซไปหนึ่งทีอย่างฉุนๆ “เกินไปแล้วนะเรซ กะจะรีดให้หมดตัวเลยหรือไง”“ใครเริ่มก่อนล่ะ ตามจริงตั้งใจจะงดให้หนึ่งวัน”เรซใช้ปลา
“เรซไม่อยากให้เทียนไปทำหนิ แล้วทำไมยังอุตส่าห์หางานมาให้ล่ะ”“เพราะเทียนอยากทำ”“เรซ... ทำไม...” ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีกแล้ว ตอนเที่ยงเขาเล่นตัดบทฉันดื้อๆ แต่ว่าตอนนี้กลับช่วยฉันทั้งที่เขาก็ไม่ได้เห็นด้วยเท่าไหร่ ภายในอกฉันตื้นตันจนยากจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูด สวมกอดคนข้างๆ เอาไว้แน่น ซุกหน้าคลอเคลียลำคอแกร่ง เรซลูบแขนฉันตอบเบาๆทำไมกัน ทั้งที่เราไม่ได้จะจากกันไปไหนเลย แต่ความรู้สึกกลับเปลี่ยวเหงาเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ไม่อยากแยกจากแม้แต่วินาทีเดียว แค่ฉันจะไปทำงานเฉยๆ แต่เรซก็ทำเหมือนจะเหี่ยวเฉาอยู่รอมร่อ“ขอบคุณนะ”ฉันจูบลูกกระเดือกเรซเบาๆ ผิวขาวของเรซแดงซ่านขึ้นมาทันที ลูกกระเดือกเป็นจุดที่อ่อนไหวของผู้ชาย เพราะงั้นตอนนี้เขาถึงก้มลงมองฉันด้วยสายตาลึกล้ำเป็นพิเศษ “จะไปหรือเปล่า?” เรซกลืนน้ำลายลงคอ ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงท่าทางข่มกลั้นอารมณ์ของเรซเห็นแล้วชวนใจละลายไม่น้อย“ไปสิ”ฉันตอบอย่างไม่ลังเล เรซแววตาสลดลงวูบหนึ่ง “เห็นให้อมยิ้ม นึกว่าจะยอมแพ้ไปแล้ว”“ก็ตัดใจไปแล้วครึ่งหนึ่ง เทียนไม่อยากทำให้เรซเป็นห่วง นึกถึงเวลาเรซไปรอรับหน้าที่ทำงานแล้วรู้สึกผิด เลยคิดว่าจะลองหาวิธีอื่น…” ฉันยื่นมื
บทจะดื้อเรซก็เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ตลอด ไม่ยอมเปิดใจอะไรง่ายๆ หลังกินข้าวเสร็จ ฉันเก็บจานไปล้างแล้วเปลี่ยนชุดไปเรียน เรซขับรถมาส่ง ระหว่างทางเราพูดคุยกันน้อยมากแทบนับคำได้ เหมือนย้อนกลับไปช่วงที่ยังไม่ได้คบกัน “อ้าวเทียน มาเมื่อไหร่เนี่ย กินข้าวยัง” คะนิ้งกับทีมเพื่อนๆ เดินออกจากศูนย์อาหารมาเจอฉันที่ถนนหน้าตึกเรียนพอดี ฉันยิ้มทักทายทุกคนตามปกติ “อื้ม เรียบร้อยแล้ว” “เรซมาส่งเหรอ” “อืม” ฉันพยักหน้าให้คะนิ้ง เดินตามคนอื่นๆ เข้ามาในตึก “เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าเครียดๆ” คะนิ้งท้วง เธอมองหน้าฉันด้วยแววตาผิดสังเกต ฉันถอนหายใจอย่างลังเล แต่สุดท้ายก็ระบายความอัดอั้นข้างในออกมา คะนิ้งฟังฉันเล่าแล้วครุ่นคิดด้วยสีหน้าจริงจัง เพราะเรื่องที่ฉันพูดค่อนข้างยาวและเป็นส่วนตัว เพื่อนที่มาด้วยจึงล่วงหน้ากันไปก่อนไม่เว้นแม้แต่เค้ก ตอนนี้จึงเหลือแค่ฉันกับคะนิ้งอยู่ใต้ตึกกันสองคน “นิ้งไม่เข้าใจว่าเทียนกลัวอะไร อย่าคิดมากสิ เรซไม่ใช่คนโง่ที่ยอมให้ใครมาเกาะ เว้นแต่ว่าเขายินดีให้เกาะ” คะนิ้งพูดแบบนี้ ฉันควรรู้สึกดีหรือไ







