เข้าสู่ระบบ“แล้วยังไง ไปหัวหินกับพวกนั้น กลับมาก็สนิทกันเลยเหรอ เทียนขึ้นรถไปกับผู้ชายคนอื่นแล้วก็มาโกหกพี่ว่าน้องรถชน จะให้พี่เข้าใจว่ายังไงเทียน”
ฉันเม้มริมฝีปากแน่น เรื่องนั้นฉันผิดเต็มประตู ฉันหลบสายตาผิดหวังของพี่แสงอย่างละอายใจ ยอมแพ้ก็ได้ แต่ฉันไม่โง่พูดความจริงทั้งหมดหรอกนะ
“เทียนขอโทษ เทียนไม่กล้าบอกว่าไปกับเรซเพราะกลัวพี่แสงคิดมาก เทียนผิดเองที่ทำให้เรื่องมันยุ่งยาก พี่แสงยกโทษให้เทียนนะคะ”
“แล้วเทียนไปทำอะไรกับมัน”
“เรื่องนั้น คือ…” เอาไงวะ จะหลอกว่าใครไม่สบายก็กลัวจะโดนจับได้อีก โว้ย ไอ้เรซบ้า ไอ้ผู้ชายเฮงซวยทำไมฉันต้องมางานเข้าเพราะนายด้วย บ้าชะมัด
“...คือเรซ เรซเขาต้องไปทำธุระที่ภูเก็ต เขาหาคนนั่งรถไปเป็นเพื่อน”
“แล้วไง เทียนก็เลยไป?”
“พี่แสง เทียน… คือเทียนไม่ได้ทำอะไรผิดนะคะ พี่แสงเชื่อเทียนนะ เทียนกับเรซไม่ได้… เราสองคนไม่มีอะไรเกินเลยกันจริงๆ” ฉันก้มหน้าลง พึมพำต่ออย่างคนสำนึกผิด “เรซเพิ่งกลับจากหัวหิน เขาต้องไปทำธุระด่วนเรื่องงาน แล้วเหมือนไม่มีใครว่าง เขาให้เทียนติดรถไปด้วยเพราะจะได้สลับกันขับระหว่างทาง”
ฉันโกหกต่ออย่างหน้าไม่อาย พูดออกไปแล้วก็อยากเขกหัวตัวเองชะมัด ทำไมตอแหลเก่งอย่างงี้
พี่แสงหรี่ตามอง ท่าทางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่บรรยากาศรอบๆ ตัวดูสงบลงนิดหน่อย ถึงงั้นสีหน้าก็ยังไม่คลายสงสัยอยู่ดี
“ถ้าพี่แสงไม่เชื่อก็ไปถามเรซได้ เทียนกับเขาไม่มีอะไรกันจริงๆ พี่แสง…”
พอเขายืนนิ่งฉันก็เข้าไปจับแขนเขาเขย่าเบาๆ พี่แสงเหลือบตาลงมองอย่างคนที่กำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ที่ผ่านมาถึงจะมีคนมาขายขนมจีบบ่อยๆ ฉันก็ไม่เคยสนใจ ไม่ทำให้ตัวเองมีประวัติเสียเรื่องผู้ชายมาก่อน เพราะแบบนั้นหลังใช้เวลาไตร่ตรองเรื่องราวอยู่นานเขาก็พยักหน้า
“ก็ได้ ถ้าเทียนบอกไม่มีอะไร พี่เชื่อก็ได้ แต่คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีก พี่ไม่ชอบคนโกหก”
“เทียนไม่ทำแล้วค่ะ ไม่กล้าแล้วจริงๆ”
ฉันสวมกอดพี่แสงเอาไว้แน่นเพื่อให้เขาสบายใจ ฉันจะไม่มีวันนอกใจเขาเด็ดขาด
หลังเคลียร์กับพี่แสงเสร็จ ฉันก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า สวมชุดนอนสุดวาบหวิว ก่อนออกจากห้องน้ำไม่ลืมมองสำรวจตัวเองทุกซอกทุกมุม โชคดีที่เรซไม่ได้ทิ้งรอยไว้ ไม่งั้นฉันคงซวยกว่านี้แน่
พี่แสงนอนเล่นมือถืออยู่บนเตียง เหลือบมามองเมื่อเห็นฉันออกจากห้องน้ำ ฉันยิ้มให้เขาตามปกติ บรรยากาศเงียบจนน่าอึดอัด ถึงจะบอกว่าเคลียร์กันแล้ว แต่ความรู้สึกที่เสียไปแล้วของพี่แสงก็คงเอากลับมาไม่ได้ภายในเวลาสั้นๆ ฉันต้องให้เวลาเขาหน่อย... ฉันพยายามไม่คิดมาก ทำตัวให้เป็นปกติที่สุด นอนลงข้างๆ พี่แสง
“เหนื่อยจัง” ฉันป้องปากหาว เพิ่งจะสองทุ่มแต่ความเพลียมันสะสม ทำฉันง่วงเร็วกว่าทุกที
ฉันขยับเข้าไปหนุนบ่าพี่แสง สอดมือเข้าคล้องแขนของเขาอย่างออดอ้อน
“พี่แสงคุยกับใครเหรอ”
“แพง”
ชื่อนั้นทำฉันนิ่งไปชั่วขณะ แพง… หรือพะแพง น้องสาวพี่แสง รุ่นเดียวกับฉัน แต่เรียนคนละคณะ ยัยนั่นไม่ค่อยชอบที่พี่แสงมาคบกับฉันเท่าไหร่ฉันดูออก แต่ฉันไม่แคร์เพราะพี่แสงไม่เคยปล่อยให้พะแพงมาก้าวก่ายเรื่องของเรา
“มีอะไรหรือเปล่า” ฉันยื่นหน้าเข้าใกล้จอมือถือเพื่อจะดูว่าคุยเรื่องอะไรกันแต่พี่แสงรีบเก็บโทรศัพท์ลงทันที
“ไม่มีอะไรหรอก เทียนเพิ่งกลับมา คงจะเหนื่อย นอนเถอะ ไม่ต้องสนใจพี่”
เขาพูดจบก็ลุกออกไปทันที ฉันมองตามอย่างงุนงง แปลก ปกติเขาไม่เคยหวงโทรศัพท์แบบนี้นี่ มีอะไรที่ไม่อยากให้ฉันรู้อย่างงั้นเหรอ ไม่สบายใจเลยแฮะ ฉันลังเลว่าจะตามพี่แสงไปดีมั้ยแต่สุดท้ายก็แพ้ให้กับความอ่อนเพลีย ผล็อยหลับในเวลาอันรวดเร็ว
พะแพง : นี่ยังไม่เลิกกับมันอีกเหรอ
ปีแสง : เลิกอะไร
พะแพง : พี่แสงโง่หรือเปล่า
ปีแสง : เทียนมีเหตุผล เลิกทำให้พี่เข้าใจเทียนผิดได้แล้ว
ปีแสง : ไปนอนไป
พะแพง : ควาย
ปีแสง : พี่เชื่อใจเทียน
พะแพง : ควายเผือก
ปีแสง : นี่พี่นะ
พะแพง : ก็พี่ไง ควาย มีเขางอกแล้วยังไม่รู้ตัวอีก หลักฐานชัดขนาดนั้นยังจะเข้าข้างมัน อีนั่นมันดีตรงไหนถามหน่อย หน้าตาก็งั้นๆ หมดโบท็อกซ์ไปกี่เข็มก็ไม่รู้ เงินพี่ชายแพงทั้งนั้น
แสงอ่านข้อความยาวเหยียดแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาไม่ได้ซีเรียสเรื่องแต่งเติมเสริมความงาม แต่ความจริงคือเทียนไม่เคยเอาเงินเขาไปฉีดโบท็อกซ์ ส่วนเคยฉีดหรือเปล่าอันนี้แสงไม่รู้เพราะตั้งแต่ที่คบกันมาก็ไม่เคยเห็นเทียนพูดหรือคุยเรื่องทำหน้า อย่างมากก็แค่บ้าเครื่องสำอางตามประสาผู้หญิง
พะแพง : มันไม่บริสุทธิ์ใจตั้งแต่ที่โกหกพี่ว่าน้องรถชนละ พี่นี่มีหูไว้คั่นหัวไม่ให้สมองชนกันแค่นั้นเหรอ
แสงมองข้อความสุดท้ายของน้องสาวแล้วหนักใจ เก็บโทรศัพท์ลง มือยันกับขอบระเบียง ทอดสายตามองออกไปอย่างครุ่นคิด
แสงกับเทียนเจอกันครั้งแรกตอนงานรับน้องรวมของมหาลัย แต่ก็ไม่มีอะไรพิเศษ ตอนนั้นแสงเล็งน้องอีกคนที่ถูกเลือกให้เป็นดาวคณะสถาปัตย์ จนกระทั่งมีค่ายอาสาปลูกป่าชายเลนที่ทั้งคู่บังเอิญเข้าร่วม ในกิจกรรมรอบกองไฟ แสงกับเทียนดันได้จับคู่กัน ทำให้มีโอกาสพูดคุยทำความรู้จักกันเพิ่มขึ้น
เทียนเป็นคนคุยสนุก หน้าตาก็ใสๆ น่ารักตามวัย แสงรู้สึกว่าน้องโอเค ตอนแลกไลน์กันก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่รู้ตัวอีกทีเขาก็ตามกดไลค์ภาพเทียนในโซเชียลแทบทุกภาพ ตั้งแต่ยังไม่คบกับน้องดาวสถาปัตย์ จนคบกับน้องดาว
สถาปัตย์ และเลิกกันเขาก็ติดตามการอัปเดตของเทียนตลอด ตอนที่แสงตัดสินใจจีบเทียนก็ตอนที่กลับมาเจอกันอีกครั้งในคลาสเรียนศิลปะ เพื่อนแสงคนหนึ่งแสดงท่าทีว่าสนใจเทียนออกนอกหน้า ทำให้แสงเกิดอาการหวงขึ้นมา เขารู้สึกว่าเขาเจอน้องก่อน ทำไมต้องปล่อยให้เพื่อนตัดหน้า เพราะงั้นแสงจึงเริ่มคุยกับเทียนจริงจัง ความสัมพันธ์ก็ค่อยๆ พัฒนาตามลำดับ มีอุปสรรคเรื่องแฟนเก่าของแสง และน้องสาวบ้างนิดหน่อย แต่ท้ายที่สุดเขาก็ได้เทียนมาครอบครอง และตอนนี้เธอก็เป็นผู้หญิงของเขา
พอน้องส่งภาพถ่ายที่เทียนขึ้นรถไปกับคนอื่นมาให้ดู เขาจะไม่ใส่ใจเลยถ้าเทียนไม่ได้โกหก
ทำไมไม่บอกตรงๆ ว่าไปกับไอ้เรซ ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ ไม่เห็นต้องกลัวว่าเขาจะเข้าใจผิด แสงมั่นใจว่าตัวเองใจกว้างพอ แสงทุบกำปั้นลงบนราวระเบียงอย่างข้องใจ เขาไม่อยากสงสัยเทียน แต่ที่พะแพงน้องสาวเขาพูดมันก็อดคิดไม่ได้ แสงส่ายหน้า กวาดต้อนความรู้สึกคาราคาซังออกจากอก เดินกลับเข้ามาในห้อง เห็นเทียนหลับไปทั้งที่ไม่ห่มผ้าก็ส่ายหน้าเบาๆ เดินมาดึงผ้าห่มขึ้นคลุมให้ จ้องมองใบหน้าหวานๆ ของเธอครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำ
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อเทียน เป็นแฟนเรซ...”ย่ามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างประเมินครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าแล้วกวักมือเรียก“มานี่สิ เข้ามาใกล้ๆ ให้เห็นหน้าชัดๆ หน่อย”ฉันมองเรซอย่างไม่แน่ใจ แต่เขาก็พยักหน้าให้ ไม่เพียงแค่นั้นยังจูงมือฉันที่กำลังตื่นเต้นพาเดินเข้าไปหาย่าอีก“เรซ... นี่หลานสะใภ้ย่าเรอะ” ย่ามองเรซอย่างตั้งตัวไม่ทัน การแสดงออกของเรซทำให้ย่าเห็นว่าเขาห่วงใยฉันแค่ไหน“ครับย่า”“คนไทยใช่มั้ย”“ครับ”“อืม อย่างน้อยๆ ก็คงไม่คิดหนีย่าไปอยู่ต่างประเทศเหมือนพ่อใช่มั้ย”“วางใจเถอะครับ ผมไม่ไปไหน”“ดีแล้ว อืม หนูชื่อเทียนใช่หรือเปล่า” ย่าพยักหน้าให้เรซอย่างรู้สึกวางใจก่อนหันกลับมาพูดกับฉัน“ค่ะคุณย่า”“เรียกย่าเฉยๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตอง” ย่าเรซโบกมืออย่างไม่ถือ ก่อนหันไปทางแนท “แล้วนี่เมื่อไหร่แนทจะพาหลานเขยมาแนะนำให้พวกเรารู้จักบ้าง”“ย่า...” แนทลนลาน ท่าทางไม่รู้จะตอบย่ายังไงดี สุดท้ายก็ทำหน้าง้ำกลบเกลื่อนแล้วไม่พูดอะไรต่อ หลังจากนั้นไม่นานคนรับใช้ก็เข้ามาแจ้งว่าตั้งโต๊ะเสร็จแล้ว ปู่จึงสั่งให้เรียกลูกหลานที่ใกล้ชิดทุกคนมารวมกันที่โต๊ะอาหารเพื่อร่วมอวยพรวันเกิดครบรอบเจ็ดสิบปีของย่าบรรยากา
บ้านพักของเรซที่เพชรบูรณ์ตั้งอยู่ในไร่มะขาม แยกตัวออกจากบ้านใหญ่ที่ปู่กับย่าเรซอยู่ ฉันรู้สึกโล่งใจที่รู้ว่าเราจะพักกันที่นี่วันนี้เป็นวันเกิดย่าเรซ เขาต้องกลับมาร่วมงานทุกปี แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่เขาพาคนอื่นมาด้วย ซึ่งก็คือฉัน ครั้งแรกที่รู้ว่าต้องมาเยี่ยมบ้านเรซฉันก็กดดันและกังวลจนเผลอแสดงสีหน้าออกมาให้เรซเห็น แต่เขาก็คอยปลอบใจฉันพร้อมกับบอกว่าปู่กับย่าใจดีไม่มีอะไรต้องห่วง พวกเราเพิ่งมาถึง ยังไม่มีโอกาสเจอใครนอกจากคนงานสองสามคนที่มารอรับหน้าบ้านเพื่อคอยอำนวยความสะดวก หลังเตรียมเสื้อผ้าที่จะใส่ไปกินข้าวเย็นบ้านปู่กับย่าเรซเสร็จ ฉันก็ลงมาข้างล่าง เรซกำลังคุยกับคนงาน เสร็จแล้วค่อยเดินมาหาฉันที่โซฟา“เก็บของเสร็จแล้วเหรอ”“อืม เหนื่อยหรือเปล่าขับรถ นอนก่อนมั้ย” ฉันจับแขนเขาอย่างเป็นห่วง“อยากนอนตรงนี้” เรซถือโอกาสเอนตัวลงนอนหนุนตักฉันทันที เขาดึงมือฉันไปทาบกับแก้มตัวเองอย่างอ้อนๆ ฉันเลยหยิกเขาไปทีหนึ่งอย่างมันเขี้ยว“นอนดีๆ สิ จะได้ไม่เมื่อย”“ไม่เมื่อย” เรซหลับตาอย่างไม่ใส่ใจเสียงเตือนของฉัน แกล้งหลับดื้อๆ ฉันอมยิ้มจางๆ เห็นท่าทางน่ารักของเรซแล้วไล่ให้ไปนอนบนเตียงไม่ลง “เรซ?” ฉันเร
@Rewell Corp. ฉันผลักประตูเข้ามาในออฟฟิศ ที่นี่ไม่ใหญ่มาก เป็นห้องโล่งๆ มีโต๊ะทำงานแบ่งออกเป็นสามโซน แต่ละโซนโต๊ะทำงานหันหน้าเข้าหากันมีแค่ผนังกระจกยิงลายเกมกั้น ฝั่งขวามือเป็นห้องประชุม ลึกเข้าไปด้านในมีทางแยกฝั่งซ้ายที่เป็นผนังทึบ ตรงนั้นฉันคิดว่าน่าจะเป็นห้องทำงานของประธานบริษัทฉันเดินลากรองเท้าส้นสูงผ่านประตูมาได้แค่สองก้าวก็ถูกสายตาของคนข้างในจับจ้อง“ขอโทษค่ะ พอดีว่ามาสัมภาษณ์งานกับน้าริช รู้มั้ยคะว่าน้าริชอยู่ที่ไหน” ฉันถามพี่ผู้หญิงที่อยู่ใกล้สุด เธอมองชุดนักศึกษาที่ฉันสวมแวบหนึ่งก่อนชี้มือไปทางห้องกระจกฝั่งขวา“ทางนั้น ประชุมทีมอยู่”“อ๋อค่ะ ขอนั่งรอตรงนี้ได้หรือเปล่าคะ”“ตามสบาย”“ขอบคุณค่ะ” ฉันถือโอกาสนั่งแล้วมองสำรวจรอบๆ ไปด้วย แอบมองพี่คนข้างๆ ทำงานไปด้วย บางครั้งก็เผลอถามโน่นถามนี่ โชคดีที่พี่คนนี้เป็นคนใจเย็น หันมาพูดกับฉันอย่างไม่ถือสา จนตอนนี้เรารู้ชื่อกันแล้ว การสนทนาก็เริ่มเป็นกันเองมากขึ้น และมิตรภาพก็ค่อยๆ ลามไปถึงคนข้างๆ เกือบครึ่งชั่วโมงที่ฉันนั่งรอแทบจะรู้จักพี่ๆ กันทั้งโต๊ะ ประตูห้องกระจกใสเปิดออก พร้อมกับคนสี่ห้าคนเดินออกมาด้วยสีหน้
เรซสอดแทรกความต้องการเข้ามาตามคำเรียกร้องของฉัน ความอึดอัดรัดรึงเสือกไถเข้ามาจนสุดทาง ฉันหลุดเสียงครางหวิวไหว ร่างกายสั่นระทดระทวยเกาะพรมไปด้วยหยาดเหงื่อ ทั่วทั้งห้องตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายรักใคร่และเสียงอันหนักหน่วงจากการสอดประสานกันอย่างร้อนแรงของร่างสองร่างบนโซฟาเนิ่นนานกว่าไฟอารมณ์จะมอดดับ ฉันจะยืนยังไม่ไหว ต้องให้เรซอุ้มเข้าห้องน้ำ เรานอนกอดเกยกันอยู่ในอ่าง ร่างเปลือยเปล่าแนบชิดและเหมือนเรซจะรู้สึกขึ้นมาอีกครั้ง เขาสอดใส่เข้ามาใต้น้ำ ร่างกายฉันเกร็งเครียดไปหมด เรซขบเม้มติ่งหูพลางลูบไล้ทรวงอกเพื่อช่วยให้ฉันผ่อนคลาย รู้สึกสุขสมไปพร้อมๆ กับเขา น้ำในอ่างกระฉอกตามแรงกระทบกระแทกด้านล่าง เสียงก้องกังวานสะท้อนไปทั่วห้องน้ำ ฉันเสียวซ่านจนแทบทนไม่ไหว เรซโหมกระแทกรัวแรงขึ้นเรื่อยๆ ฉันรู้สึกเหมือนใจจะขาด กรีดร้องออกมาอย่างคลุ้มคลั่งตอนที่อารมณ์พุ่งถึงขีดสุดแห่งห้วงหฤหรรษ์เสียงหอบหายใจสองสายดังสะท้อนถี่รัวอยู่พักหนึ่งค่อยกลับเป็นปกติ ฉันเหนื่อยจนจะหลับได้อยู่แล้ว ฟาดแขนเรซไปหนึ่งทีอย่างฉุนๆ “เกินไปแล้วนะเรซ กะจะรีดให้หมดตัวเลยหรือไง”“ใครเริ่มก่อนล่ะ ตามจริงตั้งใจจะงดให้หนึ่งวัน”เรซใช้ปลา
“เรซไม่อยากให้เทียนไปทำหนิ แล้วทำไมยังอุตส่าห์หางานมาให้ล่ะ”“เพราะเทียนอยากทำ”“เรซ... ทำไม...” ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีกแล้ว ตอนเที่ยงเขาเล่นตัดบทฉันดื้อๆ แต่ว่าตอนนี้กลับช่วยฉันทั้งที่เขาก็ไม่ได้เห็นด้วยเท่าไหร่ ภายในอกฉันตื้นตันจนยากจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูด สวมกอดคนข้างๆ เอาไว้แน่น ซุกหน้าคลอเคลียลำคอแกร่ง เรซลูบแขนฉันตอบเบาๆทำไมกัน ทั้งที่เราไม่ได้จะจากกันไปไหนเลย แต่ความรู้สึกกลับเปลี่ยวเหงาเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ไม่อยากแยกจากแม้แต่วินาทีเดียว แค่ฉันจะไปทำงานเฉยๆ แต่เรซก็ทำเหมือนจะเหี่ยวเฉาอยู่รอมร่อ“ขอบคุณนะ”ฉันจูบลูกกระเดือกเรซเบาๆ ผิวขาวของเรซแดงซ่านขึ้นมาทันที ลูกกระเดือกเป็นจุดที่อ่อนไหวของผู้ชาย เพราะงั้นตอนนี้เขาถึงก้มลงมองฉันด้วยสายตาลึกล้ำเป็นพิเศษ “จะไปหรือเปล่า?” เรซกลืนน้ำลายลงคอ ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงท่าทางข่มกลั้นอารมณ์ของเรซเห็นแล้วชวนใจละลายไม่น้อย“ไปสิ”ฉันตอบอย่างไม่ลังเล เรซแววตาสลดลงวูบหนึ่ง “เห็นให้อมยิ้ม นึกว่าจะยอมแพ้ไปแล้ว”“ก็ตัดใจไปแล้วครึ่งหนึ่ง เทียนไม่อยากทำให้เรซเป็นห่วง นึกถึงเวลาเรซไปรอรับหน้าที่ทำงานแล้วรู้สึกผิด เลยคิดว่าจะลองหาวิธีอื่น…” ฉันยื่นมื
บทจะดื้อเรซก็เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ตลอด ไม่ยอมเปิดใจอะไรง่ายๆ หลังกินข้าวเสร็จ ฉันเก็บจานไปล้างแล้วเปลี่ยนชุดไปเรียน เรซขับรถมาส่ง ระหว่างทางเราพูดคุยกันน้อยมากแทบนับคำได้ เหมือนย้อนกลับไปช่วงที่ยังไม่ได้คบกัน “อ้าวเทียน มาเมื่อไหร่เนี่ย กินข้าวยัง” คะนิ้งกับทีมเพื่อนๆ เดินออกจากศูนย์อาหารมาเจอฉันที่ถนนหน้าตึกเรียนพอดี ฉันยิ้มทักทายทุกคนตามปกติ “อื้ม เรียบร้อยแล้ว” “เรซมาส่งเหรอ” “อืม” ฉันพยักหน้าให้คะนิ้ง เดินตามคนอื่นๆ เข้ามาในตึก “เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าเครียดๆ” คะนิ้งท้วง เธอมองหน้าฉันด้วยแววตาผิดสังเกต ฉันถอนหายใจอย่างลังเล แต่สุดท้ายก็ระบายความอัดอั้นข้างในออกมา คะนิ้งฟังฉันเล่าแล้วครุ่นคิดด้วยสีหน้าจริงจัง เพราะเรื่องที่ฉันพูดค่อนข้างยาวและเป็นส่วนตัว เพื่อนที่มาด้วยจึงล่วงหน้ากันไปก่อนไม่เว้นแม้แต่เค้ก ตอนนี้จึงเหลือแค่ฉันกับคะนิ้งอยู่ใต้ตึกกันสองคน “นิ้งไม่เข้าใจว่าเทียนกลัวอะไร อย่าคิดมากสิ เรซไม่ใช่คนโง่ที่ยอมให้ใครมาเกาะ เว้นแต่ว่าเขายินดีให้เกาะ” คะนิ้งพูดแบบนี้ ฉันควรรู้สึกดีหรือไ







