หญิงสาวหอบเอกสารเดินออกจากลิฟต์ด้วยท่าทีมาดมั่นและงามสง่า สายตาหลายคู่ลอบมองมาทางเธอแต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยทักทาย ใบหน้าหวานแม้มีแว่นตากรอบบางสวมอยู่ก็ไม่อาจปกปิดดวงตาคู่สวยได้ ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีอ่อนเผยอขึ้นเล็กน้อย ร่างโปร่งบางในชุดเดรสสีน้ำเงินเข้มก้าวเดินตรงมาที่โต๊ะของพนักงานสาวคนหนึ่งที่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองคนที่หยุดยืนอยู่เบื้องหน้า
“คุณอรอุมาคะ เอกสารชุดนี้ผิดพลาดค่ะ ดิฉันใช้ดินสอเขียนในส่วนที่ต้องแก้ไขแล้ว รบกวนทำให้เสร็จภายในวันนี้ด้วยนะคะ”
“เอ่อ...” พนักงานสาวเงยหน้าขึ้น
“วันนี้ค่ะ” หญิงสาวยืนยัน มุมปากมีรอยยิ้มทำให้ดูอ่อนโยน ทว่าประโยคต่อมาก็ราวฟาดแส้ใส่คนฟัง “ถ้าไม่เสร็จตามกำหนด คุณหัสวีร์จะให้ฝ่ายบุคคลพิจารณาการทำงานของคุณค่ะ”
“ค่ะๆ”
ความเด็ดขาดของเลขาสาวเจ้าของความสูง 167 เซนติเมตรและท่าทางเย่อหยิ่งคนนี้คือ ‘ รมิดา บัวระวงศ์’ เธอเป็นเลขาข้างกาย ‘หัสวีร์ ศาตนันท์’ ประธานบริษัทหนุ่มวัยสามสิบสอง หญิงสาวเดินกลับลงมาที่หน้าตึก มารอรับชุดสูทของเจ้านายที่ให้พนักงานซักรีดเอามาส่ง เลขาสาวเดินเข้าลิฟต์ของผู้บริหารด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ แต่แอบกัดฟันอยู่ในที เลขาหรือคนรับใช้ งานของเธอมันแทบไม่ต่างจากคนรับใช้ส่วนตัวของเขา ทว่าเมื่อเสียงปิ๊ง!ดังขึ้น รมิดาก็ฉีกยิ้มหวานเดินเข้ามาไปห้องทำงานของท่านประธานที่จดจ่ออยู่กับหน้าจอโน้ตบุ๊กตรงหน้า
“บอสค่ะ ชุดสูทมาแล้วค่ะ”
“อืม” หัสวีร์รับคำในลำคอ ปลายนิ้วเคาะแป้นคีย์บอร์ดรัวๆ และปิดท้ายด้วยการกดปุ่มEnter จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน ก้าวออกมาจากโต๊ะทำงานแล้วกางแขนออก
รวิดาเดินเข้าไปถอดเสื้อตัวนอกของเขาออก นึกถึงตอนที่ตัวเองต้องเลี้ยงน้องชายแทนแม่ที่วันๆ แทบไม่ทำงานทำการ เธอต้องสอนน้องตัดแต่ติดกระดุมเม็ดแรกเลยทีเดียว แต่นี้...เธอทำเพราะหน้าที่ เธอไม่รู้ว่าเลขาคนอื่นต้องทำเรื่องพวกนี้ไหม แต่เพื่อแลกกับเงินเดือนครึ่งแสน รวิดายินดีทำอย่างยิ่ง แค่คิดยอดเงินในบัญชี ก็ทำให้เธอยิ้มกว้างอย่างมีความสุข
หัสวีร์หลุบตามองเลขาสาว ทำงานกันมาหลายปี แค่มองแวบเดียวก็รู้ว่ารมิดากลั้นยิ้มอยู่ และรู้ว่ายัยเลขาคนนี้มียิ้มหลายระดับ แต่เรื่องนั้นมันช่างเถอะ แค่เปลี่ยนเสื้อนอกให้เขาก็อารมณ์ดีขนาดนี้เลยหรือไงนะ
“บอสอยากเปลี่ยนเนคไทไหมคะ” รมิดาถามหลังจากถอดสูทตัวนอกออกแล้ว
“แล้วคุณคิดว่ายังไง”
“เนทไทของทาง GUCCIดีไหมคะ เรียบแต่หรูเพิ่มภูมิฐานเหมาะกับการติดต่องานประสานงานเพิ่มภาพลักษณ์ของผู้บริหารค่ะ”
“คุณไปหยิบมา”
“ค่ะ”
รมิดาอดยิ้มไม่ได้ การที่เจ้านายรับฟังความเห็นของลูกน้องมันก็ต้องน่าดีใจอยู่แล้ว ในห้องทำงานสุดหรูหราอลังการ มีห้องเล็กอยู่ซ่อนอยู่ จะเรียกว่าเล็กก็ไม่เล็ก มันกว้างกว่าห้องในบ้านแม่ของเธออีก ในห้องนั้นมีห้องน้ำที่สามารถอาบน้ำได้ ตู้สำหรับใส่เสื้อผ้าและของใช้ และมีลู่วิ่งออกกำลังกาย เธอเดินไปเลือกเนคไทได้เส้นที่ถูกใจแล้วเดินกลับมาหาเจ้านาย เธอไม่ใช่ผู้หญิงตัวเล็กแต่เมื่อยืนใกล้เขาแล้วก็กลายเป็นคนตัวเตี้ยไปทันที มือเรียวถอดเนคไทเส้นเดิมออกแล้วผูกเส้นใหม่ให้ด้วยชำนาญ เพื่อรับหน้าที่นี้ เธอยอมลงทุนซื้อเนคไทมาหัดผูกเลยทีเดียว
“ทางโรงพยาบาลแจ้งผลตรวจสุขภาพประจำปีของคุณสุภาวดีมาแล้วค่ะ ความดัน น้ำตาลในเลือดรวมทั้งหัวใจทุกอย่างปกติค่ะ เหลือแค่เรื่องอาการนอนหลับไม่สนิท แต่คุณหมอไม่อยากให้กินยานอนหลับค่ะ”
“อืม” หัสวีร์ส่งเสียงรับรู้ในลำคอ เขาปรายมองเห็นสีหน้าอ้ำอึ้งของเลขาแล้วก็พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้พูด
“ในทางการแพทย์แผนไทย บอกว่าสาเหตุของการนอนไม่หลับเกิดจากธาตุไฟในร่างกายมีมากเกินไปทำให้ร่างกายเกิดความร้อน ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้นอนไม่หลับ แนะนำให้ใช้ สมุนไพรที่มีรสขม เย็น จืด มาปรุงเป็นอาหารเพื่อรับประทานค่ะ เช่น สะเดาน้ำปลาหวาน ต้มจืดมะระ มะระขี้นกผัดไข่ แกงขี้เหล็ก หรือผักต้มจิ้มน้ำพริก ส่วนเครื่องดื่มสมุนไพรแนะนำเป็นน้ำใบบัวบก น้ำแตงโม น้ำมะระขี้นก
และเพิ่มการออกกำลังกายง่ายๆ ก็ช่วยให้หลับสบายไม่ต้องพึ่งยานอนหลับได้ค่ะ”
“ประจบสอพลอ”
รมิดาเลิกคิ้วเล็กน้อย แทนที่จะโกรธแต่เธอกลับยิ้มออกมา
“คุณสุภาวดีเป็นแม่ของท่านประธานนี่ค่ะ การที่ดิฉันประจบเอาใจก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องอยู่แล้ว” รมิดายิ้มกว้าง ถูกจับได้ก็ต้องยืดอกรับ
“ผมนึกว่ามีแต่คนอยากเป็นลูกสะใภ้ของแม่ผมถึงอยากเอาอกเอาใจท่าน” เขากระตุกยิ้มมุมปาก ก้มมองดูคนตัวเตี้ยกว่าจัดเสื้อของเขาให้เข้าที่
“เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้วค่ะ แต่ตำแหน่งเลขาก็ห่วงใยได้นี่ค่ะ คุณสุภาวดียังเคยฝากรังนกมาให้ดิฉันเลยนี่ค่ะ”
“นั้นเพราะแม่ฉันไม่กินต่างหากล่ะ” เขาส่งเสียง ‘หึ’ ออกมา “อีกอย่างคุณก็มีหน้าที่รายงานความเคลื่อนไหวของผมให้คุณแม่ทราบอยู่แล้วด้วย”
“บอสค่ะ เรนนี่มีเจ้านายคนเดียวค่ะ” หญิงสาวทำสีหน้าจริงจัง “ส่วนคุณสุภาวดีนั้นเรียกว่าทำด้วยความเคารพ”
“คุณนี่มัน” คราวนี้ประธานหนุ่มถึงกับแหงนหน้าหัวเราะ
“อ้อ! คุณรสรินโทรมาขอบคุณสำหรับของขวัญวันเกิดค่ะ”
“รสริน?” หัสวีร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ดาราที่เป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าให้บริษัทของเราค่ะ”
“อ่อ... คุณส่งอะไรไปล่ะ”
“ช่อดอกไม้ตอนเที่ยงคืนหนึ่งนาทีพร้อมสร้อยข้อมือจากCartierค่ะ”
“ทำไมต้องเที่ยงคืน?”
“แสดงว่าเราใส่ใจและเฝ้ารอวันสำคัญของอีกฝ่ายไงคะ”
“เพ้อเจ้อ”
“แต่คุณรสรินชอบมากนะคะ”
“เธอรู้ได้ไงว่าเขายังไม่หลับไม่นอน”
“อัพไอจีสตอรี่อยู่แสดงว่ายังไม่หลับค่ะ”
“ไร้สาระ” เขาโคลงศีรษะไปมา แต่ปกติก็ให้เลขาจัดการเรื่องไร้สาระแบบนี้เสมอ เขาเลิกคิ้วอย่างเพิ่งนึกได้
“วันเกิดคุณล่ะ”
“วันเกิดดิชั้น...” รมิดาชี้นิ้วที่หน้าตัวเอง “มีอะไรเหรอคะ”
“คุณอยากได้อะไรล่ะ”
“บอสจะให้หรือคะ”
ดวงตากลมโตมีแวววิบวับทำให้คนมองรู้สึกใจหวิวแปลกๆ ชอบกล หรือเขาต้องหาเวลาไปเช็กสภาพร่างกายที่โรงพยาบาล
“แค่ต่อสัญญาจ้างงานอีกห้าปีก็เป็นของขวัญที่วิเศษที่สุดแล้วค่ะ”
รมิดายิ้มกริ่ม เธอต้องทำทุกอย่างเพื่อให้สามเดือนสุดท้ายสมบูรณ์แบบ และเขาต้องต่อสัญญางานกับเธอให้ได้’
หัสวีร์หรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้น “คุณยังจำได้ใช่ไหม สัญญาจ้างงานห้าปี ห้ามมีสามี ห้ามมีลูก...”
“ผมต้องการคนที่ทุ่มเทให้งานมากที่สุด...” รมิดาเอ่ยต่อโดยไม่รอให้เขาพูดจบ “ดิฉันจำได้ค่ะ”
“ตอนนี้คุณอายุเท่าไหร่” เขาถามแล้วหันไปมองเงาเลื่อนลางที่กระจกหน้าต่างห้องทำงานของตน
“ยี่สิบหกค่ะ”
“สัญญางานอีกห้าปีคุณก็สามสิบเอ็ดเลยนะ”
“ค่ะ” เธอทำตาปริบๆ
“คุณไม่คิดจะแต่งงานมีครอบครัวจริงๆเหรอ”
“ไม่ค่ะ”
รมิดาตอบรวดเร็ว ‘ไม่มีลูกของตัวเอง แต่ตอนนี้ก็เลี้ยงหลานเหมือนลูกอยู่แล้ว’
“ตั้งใจทำหน้าที่ของคุณให้ดีก็พอ”
“ค่ะ” รมิดายิ้มแล้วถอยออกมาเล็กน้อย “เรียบร้อยแล้วค่ะบอส”
“อืม” เขาพยักหน้ารับแล้วเดินนำออกมา รมิดาก้าวตามหลัง แต่เจ้าของร่างสูงเดินไปที่ประตูแล้วชะงักไป เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนหันกลับมา
“วันนี้คุณไม่ได้ต้องไป”
“คะ?” รมิดาแปลกใจ ปกติเขาให้เธอตามไปทุกงานยกเว้นขึ้นห้องกับผู้หญิงนั้นแหละ เอ๊? หรือว่า
เหมือนจะเข้าใจความคิดของเลขาสาว หัสวีร์ยกมือขึ้นดีดหน้าผากไปเบาๆ แล้วพูดขึ้น
“ไปเตรียมตัว” เขาพูดขึ้น “คุณไปสิงคโปร์กับผม”
“ค่ะ”
“จัดกระเป๋าเดินทางให้ผม” เขาพูดแล้วหมุนตัวเดินออกไป
รมิดาได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้านายเปลี่ยนใจรวดเร็วแบบนี้ และเพื่อให้ได้สัญญาจ้างงานอีกห้าปี เขาสั่งอะไรเธอก็ทำ
หัสวีร์ติดค้างรมิดามากเหลือเกิน แม้มีทรัพย์สมบัติเป็นพันล้านก็ชดเชยให้เธอได้ไม่หมด แค่เรื่องง่ายๆ อย่างพาเธอมาเที่ยว ‘ทะเล’ ก็ต้องรออยู่หลายปี ยังไม่ได้ทันได้ไปฮันนีมูนก็มีเรื่องเสียก่อน เขาอยากพาเธอไปต่างประเทศ แต่รมิดาก็เป็นห่วงลูกชายทั้งที่มีคนอาสาเลี้ยงลูกเป็นขโยง แต่ในที่สุด ก็ได้พาเมียมาทะเลเสียที “พี่วีร์ ตลกไหมคะ” เสียงหวานเอ่ยถามเรียกชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ หัสวีร์หันไปตามเสียงก็พบรมิดาอยู่ในชุดว่ายน้ำทูพีชสีชมพูหวานฉ่ำ แม้จะเป็นชุดว่ายน้ำแบบเรียบๆ แต่รูปร่างอวบอิ่มของหญิงสาวก็ทำเอาทะเลเดือดได้เหมือนกัน “พี่วีร์” รมิดาทำหน้ามุยที่เห็นหัสวีร์มองหน้านิ่ง เธอก้มมองตัวเองแล้วก็ถอนหายใจ ว่ากันว่าหลังคลอดลูกแล้วรูปร่างเปลี่ยน มันก็จริงนะ ตอนนั้นเธอห่วงแค่ต้องเลี้ยงลูก และยังช่วยพี่สาวเปิดร้านเบเกอรี่ไม่มีเวลามาดูแลรูปร่างให้เข้าที่เหมือนคนอื่นเสียด้วย “อ๊ะ!” หัสวีร์ได้สติก็คว้าเอวคอดมานั่งตักแล้วกดปลายคางกับไหล่เนียนนุ่ม “ฝนทำให้พี่ตะลึงเลย หุ่นแบบนี้บอกว่ามีลูกแล้วคงไม่มีใครเชื่อ” “สรุปว่าดีหรือไม่ดีคะ”
ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง รมิดานั่งอ่านข่าวจากหน้าจอเครื่องไอแพด ข่าวตำรวจทลายแหล่งค้ามนุษย์เป็นที่พูดถึงในโลกโซเซียลอยู่หลายวันและมีการสืบขยายผลผู้เกี่ยวข้องอีกหลายฝ่าย ไม่เพียงแค่ค้ามนุษย์แต่ยังมีเรื่องยาเสพติดสิ่งผิดกฎหมายอีกหลายอย่าง แต่ไม่มีการพาดพิงถึงเรื่องที่รวิศถูกจับตัวไป การมีเงินใช้เงินให้ถูกที่ก็ไม่ได้แย่นัก รมิดารู้ดีว่าที่หัสวีร์ทำไปทั้งหมดก็เพื่อลูก เขาไม่ต้องการให้ลูกกลายเป็นเป้าสนใจของสื่อทุกแขนงและยังจะกระทบกระเทือนจิตใจลูกด้วย รวิศเข้ารับการตรวจร่างกายอย่างละเอียด นอกจากการขาดน้ำ-อาหารและบาดแผลถลอกที่ไม่ติดเชื้อแล้วก็นับว่าร่างกายแข็งแรงดี ส่วนสภาพจิตใจนั้น จิตแพทย์เด็กได้ให้การดูแลอยู่เชื่อว่าความรักจากคนในครอบครัวจะทำให้เด็กน้อยผ่านความทรงจำเลวร้ายนี้ได้ แต่เพราะความเป็นห่วงของปู่ย่าจึงอยากให้รวิศอยู่โรงพยาบาลสักวันสองวันเพื่อความมั่นใจ แต่คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือเพื่อนใหม่ของรวิศ...เด็กหญิงผักหอม เด็กแข็งแกร่งที่รมิดาเห็นแล้วก็นึกถึงตัวเองในวัยเด็ก หัสวีร์ให้คนสืบเรื่องของผักหอมและเมื่อรู้ว่าครอบครัวไม่ได้อบอุ่นและยังทำร้ายร่างกายเด็ก ทำให้ทั้งสองปรึก
มือเล็กๆ จับกันแน่น รวิศเผลอหันไปมองด้านหลังทำให้เท้าที่ไม่มีแรงสะดุดก้อนอิฐที่ปูไม่เรียบตรงหน้า ร่างเขาเซถลาล้มลงแต่ผักหอมก็ไม่ยอมปล่อยมือ “อย่าหยุดนะ คนใจร้ายตามมาแล้ว!” “อื้อ” น้ำตาคลอเบ้าตา รวิศเจ็บมากแต่ไม่กล้าร้องไห้และไม่กล้ามองเข่าที่เจ็บมากและรู้ว่าเลือดไหลซึมออกมา ผักหอมออกแรงดึงแขนรวิศแล้วสบตากัน เด็กหญิงก็หวาดกลัวไม่น้อยแต่ก็ฝืนยิ้มแล้วพูดออกมา “เพี้ยงงงง หาย ไม่เจ็บแล้วนะ” ดวงตากลมกะพริบตาปริบๆ เหมือนความเจ็บนั้นจะหายไปชั่วขณะ เสียงคนโวยวายดังไล่หลังทำให้เด็กน้อยทั้งสองสะดุ้งโหย่ง ผักหอมเห็นท่าไม่ดีดึงแขนของรวิศให้มาหลบอยู่หลังกองไม้ “หลบอยู่ตรงนี้ อย่าสงเสียงนะ รอจนกว่าคนใจร้ายไปแล้วค่อยออกมาล่ะ” “แล้วเธอล่ะ มาหลบด้วยกันสิ” รวิศกระถดกายเข้าไปด้านในเพื่อให้ผักหอมเข้ามาหลบด้วยกัน แต่เด็กหญิงส่ายหน้ารัวๆ “นายเข่าเจ็บ วิ่งไม่ทันแน่ ฉันจะหลอกพวกมันไปอีกทางเอง” “ไม่ได้นะ! พวกมัน...พวกมัน...” เด็กหญิงฉีกยิ้มเศร้า เธอรู้...เธอเป็นคนจน...พวกมันเอาเธอไปขาย แต่ถ้าเ
รมิดาเผชิญหน้ากับชายสวมหน้ากากอนามัยสีดำ ความหวาดกลัวที่มีหายไปหมดสิ้นเมื่อคิดว่าต้องช่วยลูกออกมาให้ได้ แม้จะมีหน้ากากปิดครึ่งหน้าแต่แววตามันกำลังแสยะยิ้มให้เธออยู่ “น่าปรบมือให้จริงๆ ภรรยาของประธานหัสวีร์กล้ามาด้วยตัวเองคนเดียวจริงๆ” ภาคภูมิที่ออกมาต้อนรับด้วยตัวเองพูดน้ำเสียงราบเรียบ ดวงตาหรี่มองอย่างประเมิน มิน่าเล่า จากเลขาถึงกลายเป็นเมียได้ ก็สวยขนาดนี้เลยนี่ สวยกว่ายัยปอไหมนั้นอีก “ลูกชายฉันอยู่ที่ไหน” รมิดาถามรักษาระดับน้ำเสียงไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าเธอหวาดกลัวมากแค่ไหน เธอไม่ได้ตัวเองเป็นอันตรายแต่เป็นห่วงลูก กลัวว่าลูกจะไม่ปลอดภัย “ผมต้องค้นตัวคุณก่อน” ภาคภูมิสาวเท้าเข้าไปใกล้หญิงสาวไม่ถอยหลังหนีซ้ำยังยืนนิ่งเชิดใบหน้าขึ้นไร้ความเกรงกลัว เขายิ้มพอใจแล้วยื่นมือข้างใบหูเพื่อสำรวจว่าเธอติดเครื่องมือสื่อสารอะไรมาหรือเปล่า “ฉันพกโทรศัพท์มือถือมา มันต้องใช้โอนเงิน” เธอยื่นโทรศัพท์ที่ปิดเครื่องให้มันด้วยตัวเอง ชายหนุ่มยื่นมือไปรับแล้วใช้มืออีกข้างแตะที่กระดุมเสื้อเชิ้ตของรมิดา หญิงสาวปัดมือเขาออกทำให้โจรชั่วเลิกคิ้วขึ้นเล
เด็กชายวัยสามขวบเศษเนื้อตัวมอมแมมแต่กระนั้นยังเห็นได้ชัดว่าเป็นมีเชื้อชาวต่างชาติ รวิศยกหลังมือจะเช็ดน้ำตาแต่ก็นึกได้ว่าแม่สอนไว้ให้ใช้ผ้าเช็ดหน้า เขาล้วงมือในกระเป๋ากางเกงเจอแท่งช็อกโกแลต เขาเผลอยิ้มอย่างดีใจเพราะตั้งแต่กินมื้อเที่ยงไปยังไม่ได้กินอะไรอีกเลย ขณะกำลังฉีกห่อขนมก็รู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองอยู่ เขามองกลับเห็นว่าเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เนื้อตัวมอมแมมเหมือนเขาและน่าจะอายุพอๆกัน หรืออาจจะถูกคนใจร้ายจับมาเหมือนกัน “กินด้วยกันไหม” รวิศถามแล้วลุกขึ้นเดินไปยังมุมห้องที่เด็กผู้หญิงนั่งกอดเข่าอยู่ เขาเอียงหน้ามองแล้วก็อุทานตกใจคว้าหาผ้าเช็ดหน้าแล้วยื่นไปแตะๆที่หน้าผากของเด็กหญิงคนนั้น “เธอมีแผล ต้องเช็ดแผล” “เจ็บ” เด็กหญิงแบะปากอยากร้องไห้ แต่ท่าทางจะร้องมาหนักแล้วจนดวงตาบวมแดงและแห้งผาก “มาๆ เราเป่าให้นะ เพี้ยง!หาย” “ยังเจ็บอยู่เลย” “เราทำแบบที่แม่สอน เดี๋ยวเป่าอีกทีนะ เพี้ยงงงง หายยยย” อาจเพราะไม่ได้อยู่คนเดียว เด็กหญิงจึงอารมณ์ดีขึ้น เธอเผลอยิ้มแต่ก็ต้องร้อ
เสียงลูกชายดังขึ้นมาทันทีที่ยังพูดไม่จบ รมิดามือไม้สั่นไปหมดแทบจับโทรศัพท์ไม่อยู่ หัสวีร์รีบยื่นมือไปประคองมือของเธอไว้ ปลายสายตัดสัญญาไปแล้ว ร่างบางถึงกับเข่าอ่อนแต่เพราะมีหัสวีร์ประคองอยู่จึงไม่ได้ลงไปนั่งกับพื้น “สงสัยปู่ต้องรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับกำนันคมคายเสียหน่อย” เมื่อก่อนปู่ก็จัดว่าเป็นนักเลงเก่ามาก่อน เพราะได้เมียดีคอยเตือนสติไม่หลงเดินทางผิดจึงสร้างอาณาจักรศาตนันท์ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจผิดกฎหมาย แต่ก็มี...เลี้ยงคนไว้ใช้งานอยู่บ้าง “ตั้งสติ” เสียงย่าพูดกับรมิดา “ผู้หญิงบ้านนี้ห้ามอ่อนแอ” “ค่ะ” รมิดาสูดลมหายใจลึกแล้วพยุงตัวเองขึ้น เธอยังสวมชุดกระโปรงที่ใส่ไปทำงานอยู่ “ฝนขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ พี่วีร์จัดการเรื่องเงินรอได้เลย จะให้ฝนทำอะไร ฝนพร้อมค่ะ” เงินห้าสิบล้านไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหัสวีร์ รมิดาเป็นเลขาของเขามาห้าปีจัดการเรื่องการเงินให้เขาย่อมรู้ดีทุกอย่าง แต่การไม่รู้ว่าต้องเตรียมเงินเพื่อโอนไปที่ไหนหรือจะทำเอาไปให้ใครทำให้เธอหงุดหงิดมากกว่า รมิดาสวมกางเกงยีนกับเสื้อยืดพอดีตัว ผมยาวรวบขึ้นเป็นหางม้าท่