“ผะ ผีหลอก! ช่วยด้วยผีหลอก”
มู่อิงเถาค่อยๆขยับร่างกายขึ้นมาก่อนจะเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งของนางขึ้นทีละนิด
ความจริงนางนั้นตื่นมาได้สักพักแล้ว นานพอที่จะได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดและที่น่าปวดใจก็คือนางข้ามเวลามาอยู่ในร่างของสตรีผู้ที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อผลักดันให้ผู้เป็นสามีเช่น ซ่งอวี่ถงสอบเข้าราชการจนได้ดิบได้ดีและสุดท้ายก็ต้องตายเพราะน้ำมือของเขานั่นเอง
เรื่องราวเหล่านี้อยู่ในนิยายเล่มโปรดที่เธอชอบอ่านจนจบไปหลายครั้งทว่าในส่วนท้ายของนิยายเล่มนั้นกลับไม่ได้กล่าวเอาไว้ถึงการดำเนินเรื่องของตัวร้ายว่าไปในทิศทางใดเพราะยังมีเล่ม 2 ที่นักเขียนยังเขียนไม่จบนั่นเอง
แม้จะไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับตนเองจนได้แต่ในเมื่อเธอเข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้วก็คงทำได้แค่ทำใจอย่างเดียว
เธอจำไม่ได้เลยสักเพียงนิดว่าเจ้าของร่างนี้รู้สึกอย่างไรกับคนในครอบครัวนี้ เพราะความทรงจำอันน้อยนิดที่พอจะนึกขึ้นได้ทำให้เธอไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับใครเลย
แต่ที่น่าอนาจใจนั้นคือสตรีผู้ที่เธอเข้ามาอาศัยอยู่ในร่างนี้ต่างหากเล่า ถูกทุบตีจนตายเช่นนี้นางทนไปได้อย่างไรกัน
“มะ มู่อิงเถาเจ้าตายไปแล้วนี่นา ข้าเป็นคนจับชีพจรเจ้าเองกับมือเลยนะ” สะใภ้ใหญ่ซ่งพูดจาละล่ำละลักขณะที่ตัวก็สั่นไปด้วย
“เป็นหมองั้นหรือถึงได้รู้ว่าชีพจรไหนหยุดชีพจรไหนยังอยู่”
“นี่เจ้ากล้าเถียงข้างั้นหรือ”
“หรือไม่จริง”
“ปากดีเสียจริง ครั้งนี้ข้าจะเป็นคนตีเจ้าให้ตายเอง”
ขณะที่สะใภ้ใหญ่ซ่งกำลังจะก้าวเข้าไปหามู่อิงเถาก็ถูกซ่งอวี่ถงเข้ามายืนขวางทางเอาไว้ก่อน รูปร่างที่สูงใหญ่ของเขาบดบังตัวที่อวบอ้วนของมู่อิงเถาได้ไม่มิดเท่าใดนักแต่นางก็ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้ซ่งอวี่ถงมากไปกว่านี้ได้เพียงแค่ถอยไปยืนด้านหลังของฮูหยินซ่งแทน
“เดี๋ยวนี้เจ้าชักจะเอาใหญ่แล้วนะ ลืมไปแล้วหรือว่าพ่อของเจ้าไม่ได้อยู่คุ้มกะลาหัวของพวกเจ้าแล้วกล้าดีอย่างไรถึงมาขัดใจข้า”
“ท่านแม่หยุดเถอะท่านก็ลงโทษอิงเถามามากพอแล้ว นางเองก็บาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ท่านยังไม่พอใจอีกงั้นหรือ”
“อวี่ถงเจ้าถอยออกไป นางเด็กนี่กล้าขโมยของกินของข้าๆ จะตีนางให้ตายไปเลย”
“ก็เพียงแค่ของกิน ท่านแม่ข้าไปหามาให้ท่านใหม่ก็ได้”
“หาใหม่เจ้าต้องหาแน่นอนแต่ที่ข้าจะทำในเวลานี้คือระบายอารมณ์ที่บังอาจมาทำให้ข้าโกรธ”
ฮูหยินซ่งพูดจบก็โบยไม้เท้าไปที่ลำตัวของเขาทันที ซ่งอวี่ถงเดิมทีหลบได้แต่เขากลับไม่หลบจนฮูหยินซ่งเองก็ตกใจไม่น้อยที่เขาเลือกที่จะยืนอยู่ที่เดิม
“เจ้าถอยออกไปอยากรับโทษแทนนางงั้นหรือ”
ซ่งอวี่ถงไม่ทันเปิดปากก็ถูกใครบางคนผลักไปด้านข้างเกือบจะเซล้มไปแล้ว
“ท่านแม่ข้าไปทำอะไรให้ท่านขุ่นเคืองนักหนาก็เพียงแค่หยิบซาลาเปาไปลูกเดียวเองมันทำให้ท่านจะเป็นจะตายเลยหรืออย่างไร”
“ปากดีนักนะนังเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า วันนี้ข้าจะเฆี่ยนตีเจ้าให้ตายไปเลย”
“ข้าเป็นสมบัติของท่านงั้นหรือ ท่านเป็นคนข้าก็เป็นคนไหนเลยจะต่างกันก็เป็นเพียงแค่หัวหน้าในบ้านแล้วคิดจะข่มเหงรังแกคนอื่นง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร”
ชาวบ้านที่มายืนมุงดูตั้งแต่ครั้งแรกเริ่มส่งเสียงอื้ออึงดูเหมือนจะเห็นด้วยกับที่มู่อิงเถาพูดออกมา ทั้งยังแปลกใจที่หญิงสาวที่เอาแต่เก็บตัวและไม่เคยมีปากเสียงกับผู้ใดเลยแต่วันนี้นางกลับเอาแต่ยืนเถียงฮูหยินซ่งอย่างเอาเป็นเอาตายอย่างไม่คิดจะเกรงกลัวนางเลยสักเพียงนิด
“ท่านใช้งานพี่รองและพี่สะใภ้รองจนพวกเขาไม่มีเวลาพักผ่อนเมื่อป่วยเจียนตายท่านก็ยังไม่ยอมให้หมอมารักษา ท่านไม่เห็นความดีของพวกเขาแล้วยังกล้ามาใช้งานข้าต่ออีกงั้นหรือ”
“พวกท่านก็เหมือนกันไม่มีมือไม่มีเท้าแล้วหรือถึงทำงานเองไม่ได้ถึงต้องมาใช้งานข้าจนแทบจะตายตามพี่รองไปไปเช่นนี้”
“นี่เจ้า! ปากดีนักนะนังเด็กคนนี้”
สะใภ้ใหญ่ซ่งเดินเข้ามาหานางหมายจะตบนางสักฉาดแต่ไม่ทันได้ก้าวเท้าถึงตัวของมู่อิงเถาก็ถูกนางกระโดดเตะไปที่ปากทันที
“กรี๊ด! ท่านแม่นางเตะข้า กรี๊ด! ฟันข้าร่วงแล้ว”
“ท่านแม่! เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ มู่อิงเถาเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงทำกับท่านแม่ข้าเช่นนี้”
มู่อิงเถาใช้สายตามองไปที่หลานสาวคนโตของบ้าน นางไม่กล้าเดินเข้ามาใกล้มู่อิงเถาได้แต่ยืนเกรี้ยวกราดอยู่ด้านหลังผู้เป็นย่าเท่านั้น
“เจ้าสามหาวนักทุกคนจงฟัง ต่อไปนี้บ้านใหญ่จะขอตัดขาดกับบ้านสามเป็นตายไม่เกี่ยวข้องกัน”
มู่อิงเถาได้ยินดังนั้นก็ตกใจเล็กน้อยนางไม่นึกว่าหญิงสูงวัยผู้นี้จะกล้าลั่นวาจาเช่นนี้ออกมาก็เพียงแต่คิดว่าอาจจะลงโทษเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แม้นางจะไม่ได้รู้สึกผูกพันกับครอบครัวนี้มากนักแต่ก็อดนึกถึงซ่งอวี่ถงไม่ได้ เขาอาจจะทำใจไม่ได้หรือไม่นะที่ต้องถูกทางบ้านตัดญาติขาดมิตรเช่นนี้ เวลานี้เขาอาจจะโกรธและเกลียดนางมากอย่างแน่นอนแต่สิ่งที่นางคิดกับผิดคาดไปอย่างมาก!
“ได้ท่านแม่ ในเมื่อท่านไม่ใยดีและไม่เคยสนใจครอบครัวของข้าเลยแม้เพียงนิด เช่นนั้นจากนี้ต่อไปท่านก็อย่าหาว่าข้าอกตัญญูเลยพวกเราไปกันเถอะ”
“ขอรับ”
ซ่งหงอี้เอ่ยออกมาก่อนจะแอบอมยิ้มเล็กน้อย
‘นี่ถูกไล่ออกจากบ้านเหตุใดยังยิ้มกันได้อยู่นะ’
“พวกเจ้าอย่าได้คิดเอาอะไรในบ้านของข้าไปแม้แต่ชิ้นเดียว ของทุกชิ้นในบ้านนี้เป็นของตระกูลซ่งทั้งหมด!”
เพราะที่ผ่านเซี่ยอิงอิงต้องไปเรียนปักผ้าตามที่มารดาเลี้ยงของนางต้องการจึงไม่มีเวลามาพบปะสนทนากับมู่อิงเถานั่นเอง วันนี้ทั้งวันนางจึงมาอยู่เฝ้าพูดคุยกับมู่อิงเถาจนเวลาล่วงเลยไปถึงยามเย็น เมื่อถึงเวลากลับบ้านดูสาวน้อยผู้นั้นจะอาลัยอาวรณ์นางอยู่ไม่น้อยมู่อิงเถาออกมาส่งนางที่หน้าประตูจวนทั้งยังโบกมือลาให้เด็กสาวเมื่อรถม้าของนางพ้นจากระยะสายตาแล้วก็ได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งพูดขึ้นมาว่า“นั่นแม่นางเซี่ยนี่นา นางมาทำไมหรือขอรับอาสะใภ้”“หืม หงเอ๋อเจ้าเองหรอกหรือหายไปไหนมาข้าไม่เจอเจ้าเลยตั้งแต่ที่เข้าเมืองหลวง”“ข้าไปฝึกเรียนวรยุทธ์มาน่ะขอรับอาสะใภ้ ไม่ใช่สิพระชายา”“เรียกข้าว่าอาสะใภ้แบบเดิมน่ะดีแล้ว”“ไม่ได้หรอกขอรับตอนนี้ท่านเป็นถึงพระชายาแล้วจะให้เรียกแบบเดิมได้อย่างไรกัน”“ตามใจเจ้าเถอะ แล้ววันนี้ไม่มีเรียนงั้นหรือ”“ท่านอาจารย์ให้ข้าหยุดได้สิบวันขอรับ ข้าจึงรีบเดินทางมาหาพวกท่าน”“ดีเลยเช่นนั้นช่วงเวลาสิบวันนี้ก็ทำตัวให้ว่างล่ะพวกเราจะไปเที่ยวกัน”“เที่ยว?”“อืม”“ไปไหนขอรับ”หมู่บ้านต้าไห่ เมืองเป่ยเย่-บ้านตระกูลซ่ง-“ท่านแม่ท่านรู้มานานแล้วเช่นนั้นหรือ ที่ท่านไม่อยากให้ข้าไป
-เจ็ดวันผ่านไป-เมื่องานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของพระชายารัชทายาทและองค์ชายน้อยมาถึงในวังหลวงก็ดูจะครึกครื้นกันยิ่งนักบรรดาเหล่าขุนนางและฮูหยินของพวกเขาต่างก็ทยอยเดินเข้ามาในงานกันเรื่อยๆขณะที่มู่อิงเถาเดินอยู่เคียงข้างกับเยี่ยอ๋องอยู่นั้นก็ได้ยินขุนนางที่ยืนจับกลุ่มกันกำลังซุบซิบนินทานางอยู่แม้จะพูดคุยกันด้วยเสียงอันเบาแต่กับคนที่มีวรยุทธ์แล้วนั้นย่อมได้ยินชัดทุกถ้อยคำ“ท่านอ๋องผู้นี้ช่างเก่งกาจและมีบุญบารมีมากเหลือเกินแต่น่าเสียดายที่ชายาของเขานั้นกลับเป็นหน้าเป็นตาให้เขาไม่ได้”“จริงดังที่ใต้เท้ากล่าวสตรีผู้นั้นเป็นเพียงคนธรรมดาไหนเลยจะส่งเสริมท่านอ๋องได้กัน”“บุตรสาวของใต้เท้าซู ‘ซูม่านอวี้’ ผู้นั้นท่านว่าเป็นอย่างไรนางพึ่งผ่านวัยปิ่นปักไปได้ไม่นานทั้งยังไม่มีคู่ครองอีกด้วยดูเหมือนว่า….”เยี่ยอ๋องที่หยุดเดินกะทันหันก็ทำให้มู่อิงเถางุนงงไปไม่น้อย“มีอะไรหรือเจ้าคะ”เยี่ยอ๋องไม่ตอบนาง เขาหันหลังกลับไปจ้องมองขุนนางกลุ่มนั้นก่อนจะชำเลืองมองไปด้วยแววตาที่น่ากลัวยิ่งนักทำเอาใจของคนที่พบเห็นใจสั่นไหวไม่น้อย“ใต้เท้าผู้นี้พูดถึงชายาของข้าอยู่กระนั้นหรือ”“อะ เอ่อกระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะท
มู่อิงเถาไม่มีอารมณ์เดินเที่ยวเล่นต่อแล้วนางเลือกที่จะกลับจวนก่อนจะเดินหนีเขาเพื่อกลับไปที่ห้องอย่างรวดเร็ว“เจ้าเดินช้าๆ หน่อยสิเดี๋ยวก็หกล้มหรอก”“ข้าไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ”มู่อิงเถาไม่หยุดฟังเขาพูด นางเดินต่อไปด้วยย่างก้าวที่เร็วขึ้นเหมือนไม่ต้องการที่จะเดินอยู่เคียงข้างเขาอย่างไรอย่างนั้น จนซ่งอวี่ถงต้องเร่งฝีเท้าขึ้นไปประชิดจนถึงตัวของนางก่อนจะคว้าแขนเล็กนั้นเอาไว้มั่น“อิงเอ๋อข้าบอกว่าอย่าเดินเร็วอย่างไรเล่า เดี๋ยวก็หกล้มหรอก”“ท่านสนใจด้วยหรือ”“เป็นอะไร”มู่อิงเถาหลับตาลงก่อนจะพยายามสงบจิตใจที่ว้าวุ่นของนาง‘ใช่นางเป็นอะไรไป พักนี้ก็ยังไม่เข้าใจตนเองเท่าใดนักก็แค่สตรีคนนั้นคนเดียวนางจะคิดอะไรมากกัน’“ท่านมีอะไรจะพูดกับข้า”“เข้าไปข้างในกันเถอะ”“พูดตรงนี้ก็ได้”ซ่งอวี่ถงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านางมืออีกข้างของเขาล้วงเข้าไปในแขนเสื้อหยิบบางอย่างออกมาก่อนจะจับไปมือของนาง มู่อิงเถาคิดอยากจะสะบัดออกแต่ซ่งอวี่ถงกับจับมือของนางเอาไว้แน่น“อยู่นิ่งๆ สิ”“ท่านจะทำอะไร”ซ่งอวี่ถงไม่ตอบเขาชำเลืองมองนางเล็กน้อยก่อนจะหยิบของสิ่งนั้นมาสวมที่นิ้วมือของนาง‘นี่มันแหวนที่ข้าไปจำน
-ท้องพระโรง-มู่อิงหลันเคยเป็นหนึ่งในกุ้ยเหรินของฮ่องเต้มู่หรงฉีนางเคยร่วมมือกับเสียนเฟยมารดาขององค์ชายใหญ่ลอบทำร้ายอดีตฮองเฮา แต่ถูกเสียนเฟยโยนความผิดให้นางทั้งหมดจึงถูกขับไล่ออกจากวังหลวงนางจึงได้คิดการก่อเรื่องราวใหญ่โตจนนำมาสู่โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่เสียนเฟยที่ก่อนหน้านี้ถูกลดอำนาจกักขังเพียงในตำหนักของตนแต่เมื่อถูกเยี่ยอ๋องรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมาและปรากฎว่าเป็นนางที่เป็นคนบงการให้สังหารอดีตฮองเฮาจึงได้ถูกฮ่องเต้ตัดสินให้จองจำในตำหนักเย็นจากนั้นเป็นต้นมาซูเฟยพระมารดาของรุ่ยอ๋องเองก็มีความผิดฐานยุยงส่งเสริมและเคยมอบกองกำลังของสกุลซูแก่องค์ชายใหญ่นางจึงถูกเนรเทศให้ไปอยู่ที่เมืองเล่อซีแดนตะวันตกกับรุ่ยอ๋องโอรสของนางที่เดินทางไปก่อนหน้านี้แล้วนั่นเองฮ่องเต้น่าจะระแคะระคายเรื่องนี้มาบ้างแล้วถึงได้ส่งองค์ชายสามรุ่ยอ๋องไปก่อนแล้วจึงส่งซูเฟยให้ตามเขาไปทีหลัง นับว่าเขายังมีคุณธรรมมากพอไม่คิดสังหารลูกเมียไปจนหมดสิ้นเรื่องราวในราชวงศ์ซับซ้อนและน่ากลัวดังที่เยี่ยอ๋องหรือก็คือซ่งอวี่ถงเคยพูดเอาไว้นั่นเอง เขาจึงไม่มีความคิดอยากที่จะมาเหยียบที่แห่งนี้เลยสักเพียงนิดหากไม่ใช่เพราะอยากเรียกร้องที่มารด
การเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงนั้นใช้เวลาถึงสิบวันเต็มเมื่อครั้งที่นางหนีจากเมืองเป่ยเย่ไปยังเมืองฉางอันใช้วิธีล่องเรือไปนั่นก็ทรมานปวดมวนท้องไปตลอดเส้นทางแล้ว มาครั้งนี้การที่ต้องมานั่งอยู่บนรถม้าก็ยิ่งทำให้นางปวดระบมไปทั้งตัวจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว“อดทนหน่อยนะอีกไม่กี่ลี้ก็ถึงเมืองหลวงแล้ว”“ข้าทนได้”“ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วว่าอย่าเพิ่งกลับมาก็ไม่เชื่อเห็นหรือไม่ว่าตอนนี้ร่างกายของเจ้ายิ่งแย่เข้าไปใหญ่”“ที่ข้าปวดเนื้อปวดตัวนั่นไม่ใช่เพราะท่านหรอกหรือ”“พูดอะไร”เขาจ้องมองนางเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่นางพูดหรือเขาแค่คิดไม่ทันกันแน่ ชายหนุ่มได้แต่บีบๆ นวดๆ ให้นางเพื่อให้อาการปวดเกร็งนั้นผ่อนคลายลงแต่นั่นกลับยิ่งทำให้นางเจ็บปวดมากขึ้น“พอแล้วๆ น้ำหนักมือของท่านมากเกินไปมันทำให้ข้าเจ็บมากกว่าเดิมเสียอีก”“ข้าทำเบามือสุดๆ แล้วนะ”มู่อิงเถาหันขวับไปจ้องมองใบหน้าใสซื่อของคนด้านข้าง“เบากระนั้นหรือเมื่อคืนวานไม่ใช่ท่านเป็นคนบอกข้าเองหรอกหรือว่าจะทะนุถนอมข้า แต่เหตุไฉนถึงได้เอาแต่ใจตนเองเช่นนั้นเห็นร่องรอยบนตัวข้าหรือไม่ยังดีที่เย่หยุนฟางเอาแต่ตามติดคุณชายเซี่ยนางถึงไม่ทันได้สังเกตมิเช่นนั้นข้าคงได้
สวนไผ่ที่ตั้งอยู่หลังบ้านเล็กๆ ริมทะเลสาบของนางนั้นเต็มไปด้วยต้นไผ่เขียวชอุ่มที่สั่นไหวไปตามแรงลมเสียงใบไผ่เสียดสีกันดังเป็นจังหวะ เมื่อก่อนนางมักมาเดินเล่นและพักผ่อนในที่แห่งนี้เป็นประจำหลังอาหารมื้อบ่ายมู่อิงเถาตั้งใจจะนอนพักสักงีบแต่ไม่ว่าอย่างไรหญิงสาวก็ไม่อาจหลับตาลงได้จึงออกมาเดินเล่นรับลมในที่แห่งนี้ก่อนที่สองเท้าจะพาตนเองเดินทอดน่องไปจนถึงทะเลสาบที่อยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านนักมู่อิงเถาเข้าไปนั่งเล่นที่ศาลาไม้มองเห็นเรือไม้ลำเล็กที่ถูกผูกเอาไว้ที่ท่าน้ำ น่าจะเป็นเรือที่ซ่งอวี่ถงจัดหามานั่นเอง“อากาศเย็นเพียงนี้ยังออกมาเดินเล่นอีกเดี๋ยวก็ได้เป็นหวัดหรอก เหตุใดถึงไม่ใส่เสื้อหนาๆ มาด้วยนะ”‘ตะ ตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย’ชายหนุ่มถอดเสื้อคลุมตัวนอกของเขาออกก่อนจะคลุมไปที่ไหล่บางของนาง ความอบอุ่นของเสื้อคลุมที่เพิ่งถอดออกจากตัวของเขาและกลิ่นกายที่คุ้นเคยนั้นทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเสียอย่างนั้นปากของเขาก็เอาแต่พร่ำบ่นไม่มีหยุด‘บ่นเป็นตาแก่ไปได้’“เมื่อก่อนท่านไม่เห็นบ่นเช่นนี้เลยนะ”“นั่นมันเมื่อก่อน”พูดจบก็นั่งลงข้างๆ นางจ้องมองใบหน้าหวานนั้นไม่วางตา“เมื่อก่อนข้านั้นโง่เขลายิ