“พวกเจ้าอย่าได้คิดเอาอะไรในบ้านของข้าไปแม้แต่ชิ้นเดียว ของทุกชิ้นในบ้านนี้เป็นของตระกูลซ่งทั้งหมด!”
ซ่งอวี่ถงและซ่งหงอี้ถึงกับส่ายหน้าอย่างจนใจพวกเขาเข้าไปในบ้านโทรมๆ ที่ถูกแยกออกมาจากตัวบ้านใหญ่ก่อนจะเก็บเสื้อผ้าของใช้เล็กน้อยใส่หีบใบเล็กอย่างรวดเร็ว ซ่งหงอี้รนรานรีบเก็บเสื้อผ้าที่มีน้อยชิ้นของตนเองยัดลงไปในหีบเดียวกันกับผู้เป็นอาด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ออกจากบ้านหลังนี้
“เจ้าก็มาเก็บของของเจ้าสิ”
เป็นซ่งอวี่ถงที่เอ่ยออกมาเพราะเมื่อหันไปมองด้านหลังก็เห็นว่ามู่อิงเถาเอาแต่ยืนนิ่งจ้องมองมาที่พวกเขาตาปริบๆ ไม่คิดที่จะขยับตัวเลยสักเพียงนิด
“อ่อ เอ่อได้ๆ”
ท่ามกลางสายตาของชาวบ้านที่มามุงดูสองบุรุษต่างวัยและหนึ่งสตรีอวบอ้วนต่างก็หอบเอาหีบเสื้อผ้าของตนเองออกมาที่ลานหน้าบ้าน และเป็นซ่งอวี่ถงที่เอ่ยปากออกมาในที่สุด
“ท่านพูดเองว่าต่อไปนี้พวกข้ากับบ้านใหญ่ไม่เกี่ยวข้องกันเป็นตายไม่รับรู้กัน เช่นนั้นพวกท่านเองก็อย่ามารบกวนพวกข้าอีกก็เป็นพอ”
“คิดว่าพวกเจ้ามีดีตรงไหนพวกข้าถึงต้องร้องขอเจ้างั้นหรือ”
“เป็นเช่นนั้นก็ดี”
ซ่งอวี่ถงเอ่ยออกมาเพียงสั้นๆก่อนจะจ้องมองฮูหยินซ่งอีกครั้งแล้วรีบพาทั้งสองคนเดินออกไปจากบ้านตระกูลซ่งด้วยความรวดเร็ว
ซ่งอวี่ถงรู้มานานแล้วว่าเขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของนาง นางถึงได้ปฏิบัติตัวกับเขาเยี่ยงคนรับใช้เช่นนี้มาโดยตลอด เขาจึงไม่รู้สึกเสียดายหรือเสียใจที่นางตัดขาดเขาออกจากบ้านใหญ่เลยสักเพียงนิด
มู่อิงเถาและซ่งหงอี้เดินตามซ่งอวี่ถงออกมาจากบ้านใหญ่มาตามถนนสายใหญ่จนมาสิ้นสุดที่ถนนสายเล็กๆ เกือบจะท้ายหมู่บ้านอยู่แล้ว นางมองตามแผ่นหลังแกร่งของเขาในใจก็รู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้พวกเขาถูกไล่ออกมาแบบนี้
“เอ่อ พวกท่านโกรธที่ข้า…”
“โกรธเรื่องอะไรเป็นแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ”
“ท่านคิดเช่นนั้นหรือ แล้วพวกเราจะไปอยู่ที่ไหนกันล่ะเจ้าคะ”
“นั่นอย่างไรล่ะ บ้านร้างหลังนั้นไม่มีคนอยู่อาศัยมานานแล้วล่ะพวกเราก็ไปอยู่ที่นั่นกันก่อนไว้ให้มีเงินมากหน่อยค่อยไปขอซื้อที่ดินเพื่อสร้างบ้านขึ้นมาใหม่ หงเอ๋อข้าขอโทษนะที่ทำให้เจ้ามาลำบากด้วย”
“พูดอะไรเช่นนั้นขอรับท่านอา พวกเราก็มีกันอยู่แค่นี้คนที่ท่านต้องขอโทษก็คือนางต่างหากเล่า”
“จริงด้วย! อิงเอ๋อข้าขอโทษนะที่ทำให้เจ้าต้องมาลำบากด้วยหากว่าพวกเราไม่ไปสู่ขอตระกูลมู่เจ้าก็คงไม่ต้องมาลำบากกับพวกข้าเช่นนี้”
“พูดอะไรเช่นนั้นกันเจ้าคะท่านพี่หากว่าข้าไม่มาอยู่กับพวกท่าน ตัวข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะถูกขายไปที่ไหนเลย อยู่กับพวกท่านก็ดีแล้วไม่ได้ลำบากอะไรมาก”
‘ใช่เสียที่ไหนกันเล่าตอนนี้ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว’
โครกคราก…
‘ไอ้ท้องเวรเอ้ย มาร้องอะไรตอนนี้เล่า’
“คือว่า”
“ฮ่าๆๆ ท่านอาสะใภ้ท้องท่านร้องแล้ว”
“สงสัยข้าคงหิวมากไปหน่อย ข้าไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเช้ามาก็ต้องมาทำงานต่อเลยลืมไปเสียสนิท”
“เช่นนั้นพวกเจ้าเข้าไปรอข้าที่บ้านหลังนั้นนะ ข้าจะไปจับปลาที่ทะเลสาปไปเพียงครู่เดียวไม่นานหรอก”
“ก็ได้เจ้าค่ะ/ขอรับ”
ซ่งอวี่ถงเดินถือไม้ปลายแหลมไปตามทางเดินไปยังทะเลสาปท้ายหมู่บ้านมู่อิงเถามองตามแผ่นหลังนั้นไปพอดีกับที่เขาหันกลับมามองนาง แววตาฉงนสงสัยนั้นสร้างความกระอักกระอ่วนใจให้แก่นางเป็นอย่างมาก
มู่อิงเถาอยากตามเขาไปที่ทะเลสาปด้วยแต่เพราะนางต้องทำความสะอาดบ้านร้างเก่าๆ แห่งนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อนไม่เช่นนั้นคืนนี้คงต้องนอนคลุกกับฝุ่นทั้งคืนเป็นแน่
“ท่านอาสะใภ้”
แววตาใสซื่อของเด็กชายตัวน้อยที่กำลังจ้องมองนางอยู่นั้นทำให้มู่อิงเถาหันมามองด้วยความเอ็นดู
“ว่าอย่างไร”
“ท่านหายดีแล้วงั้นหรือ ข้าเห็นกับตาเลยนะว่าท่านนอนแน่นิ่งไปที่แคร่หน้าบ้านตรงนั้น”
“ข้าก็แค่เหนื่อยน่ะเลยหยุดพัก เห็นหรือไม่ว่าพอพักแล้วข้าก็กลับมาแข็งแรงแล้วอย่างไรเล่า”
มู่อิงเถายิ้มสดใสพร้อมทั้งยืนขึ้นเดินไปมาให้เด็กชายดูแม้ภายในร่างกายของนางนั้นจะระบมเพราะฝีมือฮูหยินใจร้ายผู้นั้นไม่หายแต่ก็ทำใจแข็งเพื่อไม่ให้เด็กน้อยเป็นกังวล
“มา เจ้ามาช่วยข้าทำความสะอาดที่นี่กันเถอะ”
“ขอรับ”
วันนี้ทั้งวันมู่อิงเถาและซ่งหงอี้ช่วยกันทำความสะอาดบ้านเก่าๆ หลังนี้จนสะอาดเรียบร้อย โชคยังดีที่ในบ้านหลังนี้ยังมีของใช้เก่าๆ และแคร่เก่าๆอยู่สองอันให้พอได้ใช้เป็นที่นอนได้ นางรีบนำผ้าปูสำหรับรองนอนออกมาผึ่งแดดเพื่อปูนอนคืนนี้และคิดเอาไว้แล้วว่าพรุ่งนี้จะนำผ้าห่มเหล่านี้ไปซักที่คลองท้ายหมู่บ้านอีกครั้ง
นางถือวิสาสะรื้อหีบผ้าของซ่งอวี่ถงออกมาดู ในนั้นมีแต่เสื้อผ้าชุดเก่าที่ถูกตัดเย็บจนแทบมองไม่เห็นเนื้อผ้าดีๆเลย
“เท่าที่ข้าพอจะจำได้ท่านพ่อของเขาก็ดูจะรักเขามากไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงมีแต่เสื้อผ้าเก่าๆ เช่นนี้นะ”
“คนบ้านใหญ่นั่นแย่จริงๆ ใช้งานบ้านสามจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน อาหารดีๆ ไหนจะเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มยังไม่ยอมเจียดแบ่งมาให้”
จะว่าไปเท่าที่นางจำได้เสื้อผ้าของบ้านใหญ่แทบทุกคนใหม่เอี่ยมกันทั้งนั้นเลยนี่นา ก็คงมีเพียงบ้านสามนี้กระมังที่เหมือนคนรับใช้ไม่มีผิด!
“นั่นเจ้าจะทำอะไร”
“!”
เรื่องทุกอย่างดูจะคลี่คลายลงไปแล้วแต่เช้าวันนี้ที่หน้าประตูจวนกลับมีทหารรักษาประตูที่วิ่งมารายงานนางว่า เวลานี้มีสตรีสองคนกำลังยืนถกเถียงกันอย่างไม่ยอมกันมู่อิงเถาเดินไปที่หน้าประตูจวนก็พบกับซูม่านอวี้และเซี่ยเย่อิง ทั้งคู่ดูจะไม่สนใจสิ่งรอบข้างเพราะเวลานี้เอาแต่เถียงกันไม่หยุดนั่นเอง“เซี่ยเย่อิงเจ้าเป็นอะไรกับข้านักหนากันนะถึงได้ตามติดข้าเช่นนี้”“เฮ้อ…ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วข้าก็ไม่อยากปิดบังความรู้สึกอีกต่อไป”“พูดเรื่องอะไรของเจ้า”“ข้าชอบเจ้านะ”“อะ อะไรนะ!”“ทีแรกข้าชอบแม่นางมู่ แต่ว่าตอนนี้นางเป็นถึงพระชายาของเจิ้นอ๋องเช่นนี้แล้วข้าคงไม่อาจเอื้อมอีกต่อไป ดังนั้นข้าจึงคิดว่าจะหันมาชอบเจ้าแทนดีกว่า”“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร”“ทำไมล่ะ ในแคว้นต้าฮั่นต่างก็เป็นเสรีแล้วฮ่องเต้ไม่ได้กำหนดบทลงโทษของคนที่ชอบเพศเดียวกันไว้เสียหน่อย ดังนั้นตอนนี้ข้าชอบเจ้าพวกเรามาทำความรู้จักกันดีหรือไม่”“กรี๊ด! เจ้าไปไกลๆ ข้าเลยนะ”“โธ่…แม่นางซูท่านน่ารักถึงเพียงนี้หากท่านอ๋องไม่ชอบ เจ้าก็หันมาหาข้าก็ได้นี่นา”“ไม่! พวกเจ้าสองคนยืนทำอะไรมาเอานางออกไปจากข้าเสียทีสิ”“เจ้าค่ะคุณหนู”เซี่ยเย่อิงยิ้มหัวเราะช
เพราะเมื่อคืนวานมู่อิงเถามัวแต่สนทนากับพระชายารัชทายาทที่เป็นสหายคนสนิทของนางไปหลายชั่วยาม กว่าจะกลับถึงจวนก็เป็นเวลาเกือบยามสาม[1] แล้วเช้านี้จึงเป็นอีกวันที่นางนอนตื่นสาย เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าคนข้างกายนั้นได้ตื่นก่อนนางเป็นที่เรียบร้อย“น่าอายจัง นอนตื่นสายจนได้”มู่อิงเถารีบจัดการตนเองก่อนจะออกไปนั่งเล่นที่ศาลาหน้าตำหนัก นางกำลังจ้องมองฝูงปลาที่แหวกว่ายไปมาด้วยความเบิกบานใจยิ่งนักโดยมีสาวใช้ข้างกายที่คอยปรนนิบัติดูแลอยู่ไม่ห่างที่หน้าเรือนใหญ่ซ่งอวี่ถงกำลังยืนจับจ้องนางอยู่อย่างไม่วางตา ก่อนที่มู่เฉินจะมารายงานเขาว่าใต้เท้าโจวมาถึงแล้ว“ใต้เท้าโจวท่านมาแต่เช้าเลยนะขอรับ”“พระชายานางเป็นอย่างไรบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะท่านอ่อง”
-เจ็ดวันผ่านไป-เมื่องานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้นบรรดาเหล่าขุนนางและฮูหยินของพวกเขาต่างก็ทยอยเดินเข้ามาในงานเรื่อยๆ ขณะที่มู่อิงเถาเดินอยู่เคียงข้างกับเซ่งอวี่ถงอยู่นั้นก็ได้ยินขุนนางที่ยืนจับกลุ่มกันอยู่นั้นกำลังซุบซิบนินทานางอยู่ แม้จะพูดคุยกันด้วยเสียงอันเบาแต่กับคนที่มีวรยุทธ์แล้วนั้นย่อมได้ยินชัดทุกถ้อยคำ“ท่านอ๋องผู้นี้ช่างเก่งกาจและมีบุญบารมีมากเหลือเกินแต่น่าเสียดายที่ชายาของเขานั้นกลับเป็นหน้าเป็นตาให้เขาไม่ได้”“จริงดังที่ใต้เท้ากล่าว สตรีผู้นั้นเป็นเพียงคนธรรมดาไหนเลยจะส่งเสริมท่านอ๋องได้กัน”“บุตรสาวของใต้เท้าซู ซูม่านอวี้ผู้นั้นท่านว่าเป็นอย่างไรนางพึ่งผ่านวัยปิ่นปักไปได้ไม่นานทั้งยังไม่มีคู่ครองอีกด้วย ดูเหมือนว่า….”ซ่งอวี่ถงที่หยุดเดินไปนั้นก็ทำให้มู่อิงเถางุนงงไปไม่น้อย“มีอะไรหรือเจ้าคะ”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเหตุใดข้าถึงไม่เห็นเจ้าอยู่ที่จวนของท่านอ๋องล่ะ เจ้ารู้อะไรหรือไม่ข้านั้นตกใจแทบสิ้นสติเลยนะ”“ทำไมหรือ”“ก็ครั้งที่อยู่เมืองเป่ยเย่ข้าด่าสามีของเจ้าไปมากเลยทีเดียว”ประโยคหลังนางกระซิบกับมู่อิงเถาแทนด้วยกลัวว่าจะมีใครได้ยินคำพูดของนาง ซ่งอวี่ถงเวลานี้เป็นถึงท่านอ๋องย่อมมีคนเป็นหูเป็นตาให้เขามากมายจะพูดอะไรคงต้องระวังให้มากขึ้นเสียแล้ว“ฮ่าๆๆ เรื่องนั้นเจ้าอย่าใส่ใจไปเลย”“ไม่ใส่ใจคงไม่ได้ หากเขาไล่เอาทีละคนข้าไม่แย่หรือ”“ไม่หรอกน่า”“เย่เอ๋อกลับจวนกันได้แล้ว หากช้าไปกว่านี้ท่านพ่อจะดุเจ้าเอาได้นะ”“โธ่ท่านพี่ ให้ข้าได้สนทนากับสหายเสียหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร”
การเดินทางเข้าเมืองหลวงกินเวลาไปถึงสิบวันแม้ความเป็นจริงคนทั่วๆ ไปนั้นจะใช้เวลาเดินทางแค่เพียงห้าวันเท่านั้น เพราะทั้งสองเอาแต่งอนง้อกันตลอดทั้งเส้นทางทำให้ใช้เวลาในการเดินทางเพิ่มขึ้นถึงสองเท่ามู่เฉินปาดเหงื่อทุกครั้งที่ท่านอ๋องของเขาเริ่มบทรักร้อนแรงกับพระชายา เขาทำเป็นไม่ได้ยินเสียงใดๆ ที่เล็ดลอดออกมาจากรถม้าในยามกลางวันนั้นจนเมื่อระยะทางสุดท้ายก่อนเข้าเมืองหลวงก็มาถึง มู่เฉินถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอกมู่อิงเถาเลิกผ้าม่านขึ้นเพื่อมองดูบรรยากาศข้างนอกสองข้างทางเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดจากที่มีเพียงป่าเขา เวลานี้เริ่มมีบ้านเรือนของผู้คนมากขึ้นทุกทีแล้วที่นางยอมสงบลงไม่ใช่เพราะติดใจในรสสัมผัสของเขาแต่เพราะว่าอยากฟังเรื่องราวระหว่างที่นางหนีเขาไปต่างหากเล่า‘ถ้าไม่อยากรู้เรื่องชาวบ้านข้าไม่ยอมคุยกับเขาดีๆ แน่’‘หนะ
“นั่นเจ้าจะทำอะไรไปฉุดลูกสาวใครเขามา”“นางเป็นเมียข้า”“เมีย? บังเอิญอะไรเช่นนี้แล้วเหตุใดนางถึงมาอยู่ที่เมืองเดียวกันกับชายาของข้าได้ล่ะ”“ข้าจะไปรู้หรือ สตรีที่อยู่ในห้องอีกคนนั้นน่าจะเป็นมารดาของเด็กคนนั้น พวกนางสองคนรู้จักกันที่เหลือท่านจัดการเองก็แล้วกันข้าคงต้องขอตัวไปจัดการเรื่องในบ้านของข้าก่อน”‘หากปล่อยให้พวกนางอยู่ด้วยกันชาตินี้พวกเขาอย่าหวังที่จะได้เมียคืนเลย’“เตรียมตัวพร้อมแล้วใช่หรือไม่”“ขอรับท่านอ๋อง”ซ่งอวี่ถงพูดจบก็อุ้มนางขึ้นไปนั่งในรถม้าด้วยความรวดเร็ว มู่เฉินผู้รับหน้าที่เป็นสารถีก็รีบออกรถม้าทันทีด้วยกลัวว่าสตรีที่อยู่ข้างในจะกระโดดออกมาเสียก่อน“ท่านจับข้ามา