“อิงเอ๋อ อิงเอ๋อ!”
“จะ เจ้าคะ”
“ไปยืนทำอะไรตรงนั้นเข้ามานั่งได้แล้วหากอาหารเย็นชืดหมดจะเสียรสชาติเอา”
“เจ้าค่ะ”
“ท่านอาสะใภ้กินนี่สิ ข้าคีบให้”
ซ่งหงอี้คีบเนื้อปลาให้นางอย่างทุลักทุเล ซ่งอวี่ถงเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเขาเอาแต่คีบข้าวเปล่ากินอยู่อย่างนั้นจนนางนึกสงสัย
‘ปลามีตั้งหลายตัวเหตุใดถึงกินแต่ข้าวเปล่าๆ เช่นนั้นกัน’
“ท่านกินแต่ข้าวเปล่าไม่แตะอาหารสักคำ เป็นอะไรอาหารไม่ถูกปากหรือ”
“ข้ากลัวเจ้าไม่อิ่ม”
“ห๋า”
“เจ้ากินไปเถอะตอนออกไปจับปลาข้าก็ย่างกินไปหลายตัวแล้ว ในท้องก็อิ่มพอตัวก็เพียงแค่นั่งกินเป็นเพื่อนเจ้ากับหงเอ๋อก็เท่านั้น”
“อ่อ อย่างนี้เองหรือ”
“นี่ท่านอาสะใภ้”
“หืม”
“พวกท่านนอนเตียงเดียวกันใช่ไหม เช่นนั้นข้าขอนอนเตียงเล็กนะขอรับ”
“แค่กๆ”
“อะไรกันข้าถามแค่นี้เองต้องตกใจด้วยงั้นหรือ”
“คือว่าหงเอ๋อข้านอนกับเจ้าก็ได้นะ”
“ไม่เอาตัวพวกท่านใหญ่ออกปานนั้นข้าได้ตกเตียงตายหรอก ข้าขอนอนคนเดียวดีกว่า”
“อะ เอ่อ”
มู่อิงเถาหันไปมองใบหน้าของชายหนุ่ม เดิมทีนึกว่าเขาจะต่อต้านหรือปฎิเสธอะไรออกไปบ้างแต่เขากลับเอาแต่นิ่งเงียบแล้วก็กินข้าวต่อเหมือนไม่ได้ยินที่ซ่งหงอี้พูดเมื่อครู่นี้เลย
‘อะไรกันเนี่ย’
มู่อิงเถาจึงปิดปากไม่กล้าพูดอะไรออกไปอีกนางลงมือกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เพราะความหิวอีกทั้งความเหนื่อยล้าก่อนหน้านี้ทำให้นางลืมเรื่ิองที่ซ่งหงอี้หงพูดไปเมื่อครู่ทั้งหมด
“ถ้าอิ่มแล้วเอาจานไปวางไว้ที่ห้องครัวเลยนะเจ้าคะ ข้าจะล้างเอง”
"อืม"
“หงเอ๋อก็จะช่วยอาสะใภ้ด้วย”
“ได้จ๊ะเด็กดีไปกันเถอะ”
“ขอรับ”
คืนวันนั้นมู่อิงเถานอนไม่หลับนางออกมานั่งหน้าบ้านเพียงลำพังจ้องมองท้องฟ้าที่เวลานี้มีเพียงดวงจันทร์กลมโตดวงหนึ่ง และดวงดวงที่ส่องแสงประกายระยิบระยับอยู่เต็มท้องฟ้า สายลมที่เย็นยะเยือกพัดผ่านมาพานทำให้คนที่พลัดหลงบ้านรู้สึกใจหายขึ้นมาดื้อๆ
นางมาอยู่ที่นี่ในที่ที่ไม่รู้จักไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตนเองนั้นทะลุมิติเข้ามาอยู่ในนิยายได้อย่างไร แล้วนางจะใช้ชีวิตอย่างไรให้อยู่รอดไปจนกว่าจะได้กลับบ้านของตนเองดีเล่า
ในนิยายเล่มนั้นนางอ่านถึงตอนที่มู่อิงเถาสิ้นใจตายในเรือนท้ายจวนของเขาเท่านั้น ตายด้วยสาเหตุอะไรก็ยังไม่รู้
‘ให้ตายสินางไม่อยากตายไปทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจเช่นนี้เลยนะ ไม่ได้แล้วนางต้องเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของนาง เอาตัวเองออกจากวงจรชีวิตของพวกเขาให้เร็วที่สุด’
ใช่แล้ว! มู่อิงเถาไม่มีลูกกับเขานั่นก็หมายความว่านางสามารถปลีกตัวออกจากครอบครัวนี้ไปได้อย่างง่ายดาย
“ฮ่าๆๆ ใช่ๆ เหตุใดไม่คิดถึงจุดนี้เลยนะ”
“เจ้าหัวเราะอะไร”
“เอ๋ท่านพี่ มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันเจ้าคะ”
“มาทันที่จะได้ยินเจ้าหัวเราะเมื่อครู่ เป็นอะไร? หรือว่าหัวเจ้ากระทบกระเทือนไปแล้วให้ข้าพาไปหาหมอหรือไม่”
“ท่านแช่งข้าอยู่งั้นหรือ”
“เจ้าเป็นภรรยาข้า หากเจ้าตาย…”
“ก็จะไม่มีใครอยู่ดูแลครอบครัวของท่านงั้นสินะ”
“ข้าไม่ได้…”
“ข้าได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว สัญญากับข้าสิว่าวันข้างหน้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากท่านเบื่อข้าแล้วก็ขอเพียงหย่าร้างและส่งข้ากลับบ้านเท่านั้น”
“เจ้ายังมีบ้านให้กลับไปอยู่อีกงั้นหรือ”
“ก็ไม่แน่ ข้าจะไปนอนแล้ว”
“อ้อท่านพี่ ท่านนอนเตียงเดียวกับหงเอ๋อเถอะนะเจ้าคะ ข้าจะนอนเตียงเล็กเอง”
“อืม”
แม้บุรุษตรงหน้าจะหล่อเหลาไม่เบาแต่นางเองก็ไม่คิดอยากจะเข้าใกล้เขามากเท่าใดนัก ยังคงนึกหวาดกลัวความโหดร้ายที่บรรยายเอาไว้ในหนังสือมิจางหาย
'ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้แล้วข้าต้องรีบวางแผนการเอาชีวิตรอดไว้ตั้งแต่ตอนนี้เสียแล้ว'
-เช้าวันรุ่งขึ้น-
เพราะความเหนื่อยล้าจากเหตุการณ์เมื่อวานทำให้เช้านี้นางนอนตื่นสายไปหน่อยจึงทำให้คลาดกันกับซ่งอวี่ถง ได้ยินซ่งหงอี้บอกว่าเขาขึ้นหุบเขาไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้วไม่รู้เลยว่าคืนนี้จะกลับลงเขามาทันหรือไม่ ดังนั้นนางจึงรีบเอาผ้าห่มไปซักที่คลองท้ายหมู่บ้านเผื่อได้ใช้ทันการนั่นเอง
ตอนที่อยู่คลองน้ำนั้นนางได้ยินสะใภ้หยวนพูดคุยกับสะใภ้บ้านอื่นๆ ว่าสามีของพวกนางเคยขึ้นเขาไปล่าสัตว์ได้ยินแว่วๆ ว่าที่หุบเขานั้นมีสมุนไพรล้ำค่าอีกด้วย
เพราะความที่เป็นนักศึกษาแพทย์จากยุคที่จากมาจึงทำให้มู่อิงเถารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ยิน ดังนั้นนางรีบซักผ้าแล้วกลับไปที่บ้านอย่างรวดเร็ว ใจก็หวังอยากให้ซ่งอวี่ถงกลับมาไวๆ นางอยากรู้ว่าที่หุบเขามีสมุนไพรเหล่านั้นจริงๆ หรือไม่
เมื่อนางกลับมาจากคลองท้ายหมู่บ้านก็ได้ยินเสียงดังเอะอะโวยวายเล็ดลอดเข้ามาจากทางหน้าบ้าน ทั้งยังมีเสียงสิ่งของแตกหักและเสียงร้องไห้ระงมของเด็กชายผู้ที่น่าจะเป็นหลานชายของสามีนางนั่นเอง
มู่อิงเถารีบวิ่งไปหน้าบ้านด้วยความรวดเร็วเมื่อมาถึงก็พบว่าคนที่เข้ามาทำลายข้าวของเป็นใครไม่ได้เลยนั่นก็คือสะใภ้ใหญ่ซ่งและลูกสาวตัวดีของนางนั่นเอง
“พวกเจ้าเข้ามาในบ้านของข้าทำไม”
“ฮ่าๆๆ พูดมาได้เต็มปากว่าเป็นบ้านของเจ้า ที่นี่มันบ้านร้างใช่ของพวกเจ้าเสียที่ไหนกัน ขอทานเช่นเจ้าอย่ามายุ่งถอยไป”
“ถ้ากล้าก็เข้ามา”
สะใภ้ใหญ่ซ่งเดินเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัวใดๆ เมื่อเดินเข้าไปใกล้มู่อิงเถาก็ใช้หมัดซัดเข้าไปที่ใบหน้าของนางเต็มแรงจนเลือดกำเดาไหลออกมาทันที
สะใภ้ใหญ่ซ่งคงจะคิดไม่ถึงว่ามู่อิงเถานั้นจะสู้คนไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
“กรี๊ด! เจ้ากล้าทำร้ายข้าได้อย่างไรนังอัปลักษณ์!”
นางกรีดร้องโวยวายจนชาวบ้านละแวกนั้นต่างก็เข้ามามุงดูทีละคนสองคนจนเกือบเต็มลานบ้าน
มู่อิงเถาไม่สนใจคำพูดเหล่านั้น นางก้าวเดินไปข้างหน้าสองแม่ลูกนั่นจึงเป็นฝ่ายถอยออกไปแทน
“เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ”
“!”
เรื่องทุกอย่างดูจะคลี่คลายลงไปแล้วแต่เช้าวันนี้ที่หน้าประตูจวนกลับมีทหารรักษาประตูที่วิ่งมารายงานนางว่า เวลานี้มีสตรีสองคนกำลังยืนถกเถียงกันอย่างไม่ยอมกันมู่อิงเถาเดินไปที่หน้าประตูจวนก็พบกับซูม่านอวี้และเซี่ยเย่อิง ทั้งคู่ดูจะไม่สนใจสิ่งรอบข้างเพราะเวลานี้เอาแต่เถียงกันไม่หยุดนั่นเอง“เซี่ยเย่อิงเจ้าเป็นอะไรกับข้านักหนากันนะถึงได้ตามติดข้าเช่นนี้”“เฮ้อ…ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วข้าก็ไม่อยากปิดบังความรู้สึกอีกต่อไป”“พูดเรื่องอะไรของเจ้า”“ข้าชอบเจ้านะ”“อะ อะไรนะ!”“ทีแรกข้าชอบแม่นางมู่ แต่ว่าตอนนี้นางเป็นถึงพระชายาของเจิ้นอ๋องเช่นนี้แล้วข้าคงไม่อาจเอื้อมอีกต่อไป ดังนั้นข้าจึงคิดว่าจะหันมาชอบเจ้าแทนดีกว่า”“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร”“ทำไมล่ะ ในแคว้นต้าฮั่นต่างก็เป็นเสรีแล้วฮ่องเต้ไม่ได้กำหนดบทลงโทษของคนที่ชอบเพศเดียวกันไว้เสียหน่อย ดังนั้นตอนนี้ข้าชอบเจ้าพวกเรามาทำความรู้จักกันดีหรือไม่”“กรี๊ด! เจ้าไปไกลๆ ข้าเลยนะ”“โธ่…แม่นางซูท่านน่ารักถึงเพียงนี้หากท่านอ๋องไม่ชอบ เจ้าก็หันมาหาข้าก็ได้นี่นา”“ไม่! พวกเจ้าสองคนยืนทำอะไรมาเอานางออกไปจากข้าเสียทีสิ”“เจ้าค่ะคุณหนู”เซี่ยเย่อิงยิ้มหัวเราะช
เพราะเมื่อคืนวานมู่อิงเถามัวแต่สนทนากับพระชายารัชทายาทที่เป็นสหายคนสนิทของนางไปหลายชั่วยาม กว่าจะกลับถึงจวนก็เป็นเวลาเกือบยามสาม[1] แล้วเช้านี้จึงเป็นอีกวันที่นางนอนตื่นสาย เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าคนข้างกายนั้นได้ตื่นก่อนนางเป็นที่เรียบร้อย“น่าอายจัง นอนตื่นสายจนได้”มู่อิงเถารีบจัดการตนเองก่อนจะออกไปนั่งเล่นที่ศาลาหน้าตำหนัก นางกำลังจ้องมองฝูงปลาที่แหวกว่ายไปมาด้วยความเบิกบานใจยิ่งนักโดยมีสาวใช้ข้างกายที่คอยปรนนิบัติดูแลอยู่ไม่ห่างที่หน้าเรือนใหญ่ซ่งอวี่ถงกำลังยืนจับจ้องนางอยู่อย่างไม่วางตา ก่อนที่มู่เฉินจะมารายงานเขาว่าใต้เท้าโจวมาถึงแล้ว“ใต้เท้าโจวท่านมาแต่เช้าเลยนะขอรับ”“พระชายานางเป็นอย่างไรบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะท่านอ่อง”
-เจ็ดวันผ่านไป-เมื่องานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้นบรรดาเหล่าขุนนางและฮูหยินของพวกเขาต่างก็ทยอยเดินเข้ามาในงานเรื่อยๆ ขณะที่มู่อิงเถาเดินอยู่เคียงข้างกับเซ่งอวี่ถงอยู่นั้นก็ได้ยินขุนนางที่ยืนจับกลุ่มกันอยู่นั้นกำลังซุบซิบนินทานางอยู่ แม้จะพูดคุยกันด้วยเสียงอันเบาแต่กับคนที่มีวรยุทธ์แล้วนั้นย่อมได้ยินชัดทุกถ้อยคำ“ท่านอ๋องผู้นี้ช่างเก่งกาจและมีบุญบารมีมากเหลือเกินแต่น่าเสียดายที่ชายาของเขานั้นกลับเป็นหน้าเป็นตาให้เขาไม่ได้”“จริงดังที่ใต้เท้ากล่าว สตรีผู้นั้นเป็นเพียงคนธรรมดาไหนเลยจะส่งเสริมท่านอ๋องได้กัน”“บุตรสาวของใต้เท้าซู ซูม่านอวี้ผู้นั้นท่านว่าเป็นอย่างไรนางพึ่งผ่านวัยปิ่นปักไปได้ไม่นานทั้งยังไม่มีคู่ครองอีกด้วย ดูเหมือนว่า….”ซ่งอวี่ถงที่หยุดเดินไปนั้นก็ทำให้มู่อิงเถางุนงงไปไม่น้อย“มีอะไรหรือเจ้าคะ”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเหตุใดข้าถึงไม่เห็นเจ้าอยู่ที่จวนของท่านอ๋องล่ะ เจ้ารู้อะไรหรือไม่ข้านั้นตกใจแทบสิ้นสติเลยนะ”“ทำไมหรือ”“ก็ครั้งที่อยู่เมืองเป่ยเย่ข้าด่าสามีของเจ้าไปมากเลยทีเดียว”ประโยคหลังนางกระซิบกับมู่อิงเถาแทนด้วยกลัวว่าจะมีใครได้ยินคำพูดของนาง ซ่งอวี่ถงเวลานี้เป็นถึงท่านอ๋องย่อมมีคนเป็นหูเป็นตาให้เขามากมายจะพูดอะไรคงต้องระวังให้มากขึ้นเสียแล้ว“ฮ่าๆๆ เรื่องนั้นเจ้าอย่าใส่ใจไปเลย”“ไม่ใส่ใจคงไม่ได้ หากเขาไล่เอาทีละคนข้าไม่แย่หรือ”“ไม่หรอกน่า”“เย่เอ๋อกลับจวนกันได้แล้ว หากช้าไปกว่านี้ท่านพ่อจะดุเจ้าเอาได้นะ”“โธ่ท่านพี่ ให้ข้าได้สนทนากับสหายเสียหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร”
การเดินทางเข้าเมืองหลวงกินเวลาไปถึงสิบวันแม้ความเป็นจริงคนทั่วๆ ไปนั้นจะใช้เวลาเดินทางแค่เพียงห้าวันเท่านั้น เพราะทั้งสองเอาแต่งอนง้อกันตลอดทั้งเส้นทางทำให้ใช้เวลาในการเดินทางเพิ่มขึ้นถึงสองเท่ามู่เฉินปาดเหงื่อทุกครั้งที่ท่านอ๋องของเขาเริ่มบทรักร้อนแรงกับพระชายา เขาทำเป็นไม่ได้ยินเสียงใดๆ ที่เล็ดลอดออกมาจากรถม้าในยามกลางวันนั้นจนเมื่อระยะทางสุดท้ายก่อนเข้าเมืองหลวงก็มาถึง มู่เฉินถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอกมู่อิงเถาเลิกผ้าม่านขึ้นเพื่อมองดูบรรยากาศข้างนอกสองข้างทางเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดจากที่มีเพียงป่าเขา เวลานี้เริ่มมีบ้านเรือนของผู้คนมากขึ้นทุกทีแล้วที่นางยอมสงบลงไม่ใช่เพราะติดใจในรสสัมผัสของเขาแต่เพราะว่าอยากฟังเรื่องราวระหว่างที่นางหนีเขาไปต่างหากเล่า‘ถ้าไม่อยากรู้เรื่องชาวบ้านข้าไม่ยอมคุยกับเขาดีๆ แน่’‘หนะ
“นั่นเจ้าจะทำอะไรไปฉุดลูกสาวใครเขามา”“นางเป็นเมียข้า”“เมีย? บังเอิญอะไรเช่นนี้แล้วเหตุใดนางถึงมาอยู่ที่เมืองเดียวกันกับชายาของข้าได้ล่ะ”“ข้าจะไปรู้หรือ สตรีที่อยู่ในห้องอีกคนนั้นน่าจะเป็นมารดาของเด็กคนนั้น พวกนางสองคนรู้จักกันที่เหลือท่านจัดการเองก็แล้วกันข้าคงต้องขอตัวไปจัดการเรื่องในบ้านของข้าก่อน”‘หากปล่อยให้พวกนางอยู่ด้วยกันชาตินี้พวกเขาอย่าหวังที่จะได้เมียคืนเลย’“เตรียมตัวพร้อมแล้วใช่หรือไม่”“ขอรับท่านอ๋อง”ซ่งอวี่ถงพูดจบก็อุ้มนางขึ้นไปนั่งในรถม้าด้วยความรวดเร็ว มู่เฉินผู้รับหน้าที่เป็นสารถีก็รีบออกรถม้าทันทีด้วยกลัวว่าสตรีที่อยู่ข้างในจะกระโดดออกมาเสียก่อน“ท่านจับข้ามา