Войти“ไปยืนทำอะไรตรงนั้นเข้ามานั่งได้แล้วหากอาหารเย็นชืดหมดจะเสียรสชาติเอาได้”
“เจ้าค่ะ”
“ท่านอาสะใภ้กินนี่สิข้าคีบให้”
ซ่งหงอี้คีบเนื้อปลาให้นางอย่างทุลักทุเลซ่งอวี่ถงเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลย เขาเอาแต่คีบข้าวเปล่าๆ กินอยู่อย่างนั้นจนมู่อิงเถาเริ่มสงสัยขึ้นมาบ้างแล้ว
‘ปลามีตั้งหลายตัวเหตุใดถึงกินแต่ข้าวเปล่าๆ เช่นนั้นกันล่ะ’
“เหตุใดท่านถึงกินแต่ข้าวเปล่าๆ เช่นนั้นเล่าเจ้าคะเป็นอะไรไปอาหารไม่ถูกปากกระนั้นหรือ”
“ข้ากลัวเจ้าไม่อิ่ม”
“ห้ะ อะไรนะ”
“เจ้ากินไปเถอะตอนที่ออกไปจับปลาข้าก็ย่างกินไปหลายตัวแล้ว นี่ก็แค่นั่งกินเป็นเพื่อนเจ้ากับหงเอ๋อก็เท่านั้น”
“อ่อ อย่างนี้นี่เอง”
“นี่อาสะใภ้สาม”
“อะไรหรือ”
“พวกท่านนอนเตียงเดียวกันนะขอรับ ข้าจะนอนเตียงเล็กคนเดียว”
“แค่กๆ” สิ้นคำบอกกล่าวมู่อิงเถาก็ไอเอาเม็ดข้าวออกมาเกือบจะพุ่งไปติดที่หน้าของเด็กชายแล้วยังดีที่นางหันหน้าออกไปจากโต๊ะอาหารได้ทัน
“อะไรกันข้าถามแค่นี้เองนะใยท่านต้องตกใจถึงเพียงนี้ด้วย”
“คือว่าหงเอ๋อข้านอนกับเจ้าก็ได้นะ”
“ไม่เอาหรอกขอรับไม่ว่าจะเป็นอาสามหรืออาสะใภ้ต่างก็ตัวใหญ่กว่าข้าทั้งคู่หากมานอนกับข้าได้เบียดข้าตกเตียงตายอย่างแน่นอน ข้าขอนอนคนเดียวดีกว่า”
“อะ เอ่อ”
มู่อิงเถาหันไปมองชายหนุ่มอย่างขอความช่วยเหลือเดิมทียังนึกว่าเขาจะต่อต้านหรือปฎิเสธอะไรออกไปบ้างแต่เขากลับเอาแต่นิ่งเฉย มือหนายังคงจับตะเกียบคีบข้าวเข้าปากต่ออย่างไม่สนใจบทสนทนาของอีกสองคนนั้นเลยสักเพียงนิด
‘อะไรกันเนี่ย’
นางหันไปมองเด็กชายที่เวลานี้กำลังก้มหน้าอมยิ้มอยู่ลำพัง เมื่อครู่ที่นางเห็นไม่ได้ตาฝาดไปอย่างแน่นอน
‘เจ้าเด็กบ้านั่นแอบยิ้มอยู่กระนั้นหรือ ต้องการอะไรจากข้ากันแน่นะ’
แม้จะสงสัยในตัวของทั้งคู่ไม่น้อยและเพราะอีกใจก็รู้ชะตากรรมของตนเองดีว่าจุดจบจะเป็นอย่างไร แต่นั่นก็น่าจะเป็นเวลาอีกนานอย่างน้อยนางก็ยังพอมีเวลาให้ได้หนีจากพวกเขาไปอีกหลายเดือน
นางลงมือกินอาหารต่อแม้จะมีแค่ปลาย่างแต่เพราะความหิวจึงทำให้อาหารมื้อนี้รสชาติถูกปากนางอย่างช่วยไม่ได้
“ถ้าอิ่มแล้วเอาจานไปวางไว้ที่ห้องครัวเลยนะเจ้าคะ ข้าจะล้างเอง”
"อืม"
“หงเอ๋อก็จะช่วยอาสะใภ้ด้วย”
“ได้จ๊ะเด็กดีไปกันเถอะ”
“ขอรับ”
เมื่อท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทมู่อิงเถาก็ปีนขึ้นแคร่หลังใหญ่มันทั้งกว้างและหนาพอที่จะรับน้ำหนักของนางและซ่งอวี่ถงได้ แต่ในใจของนางนั้นกลับอยากที่จะนอนแคร่เล็กนั้นเสียมากกว่า
นางพลิกตัวไปมาแต่ก็ยังคงนอนไม่หลับก่อนจะลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปมองสองคนอาหลานที่เวลานี้เอาแต่นั่งพูดคุยหยอกล้อกันเล่น ในมือของพวกเขามีไม้ไผ่หลายอันที่ถูกซ่งอวี่ถงตัดเป็นชิ้นเล็กบางๆ เพื่อนำไปสานเป็นตะกร้านั่นเอง
หญิงสาวลุกขึ้นก่อนจะนำพาร่างอวบอ้วนออกมานั่งรับลมเล่นหน้าบ้านเงยหน้าจ้องมองท้องฟ้าที่เวลานี้มีเพียงดวงจันทร์กลมโตดวงหนึ่งและดวงดวงที่ส่องแสงประกายระยิบระยับอยู่เต็มท้องฟ้า สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านมาพานทำให้คนที่พลัดหลงบ้านรู้สึกใจหายขึ้นมาดื้อๆ
นางมาอยู่ในที่ที่ไม่รู้จักไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตนเองนั้นทะลุมิติเข้ามาในที่แห่งนี้ได้อย่างไร แล้วนางควรจะทำอย่างไรต่อไปถึงจะใช้ชีวิตให้อยู่รอดไปจนกว่าจะได้กลับบ้านของตนเอง
ในนิยายเล่มนั้นกล่าวถึงตอนที่มู่อิงเถาสิ้นใจตายไปในเรือนท้ายจวนของเขาเท่านั้น ตายไปด้วยสาเหตุใดนั้นก็ไม่ได้มีบอกกล่าวไว้เลยสักเพียงนิด
‘ให้ตายสิข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แบบนี้จะทนรอให้เขาสังหารตนเองไปได้อย่างไรกัน ไม่ได้การแล้วนางต้องเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตนี้เพื่ออย่างน้อยจะต้องมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปและที่สำคัญได้ใช้ชีวิตในแบบที่นางต้องการเสียที’
“จริงสินะในนิยายเล่มนั้นมู่อิงเถาไม่มีลูกกับเขานั่นก็หมายความว่าข้าสามารถหนีไปจากพวกเขาได้โดยไม่มีความผูกพันใดๆ มาผูกมัดข้าอีก ฮ่าๆๆ เหตุใดก่อนหน้านี้ข้าถึงคิดไม่ถึงกันนะ”
“เจ้าหัวเราะอะไรหรือ” แต่แล้วความสุขที่มีกลับพังทลายลงเมื่อได้ยินเสียงของซ่งอวี่ถงดังขึ้นด้านหลังของนาง
“ท่านพี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่หรือเจ้าคะ”
“มาทันได้ยินเสียงหัวเราะของเจ้า เป็นอะไรไปหรือว่าหัวเจ้ากระทบกระเทือนไปแล้วให้ข้าพาไปหาหมอหรือไม่”
“เหมือนว่าท่านกำลังด่าข้าเลยนะเจ้าคะ”
“ข้าจะไปแบบนั้นทำไมกันก็เจ้าเป็นภรรยาของข้า หากว่าเจ้าเจ็บป่วยหรือว่า…”
“ตายไป? นั่นคือสิ่งที่ท่านตั้งใจจะพูดใช่หรือไม่ หากว่าข้าเป็นอะไรไปสักคนก็คงไม่มีคนดูแลพวกท่านสินะ”
“คือว่าข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
“ช่างเถอะเจ้าค่ะข้าได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วล่ะ สัญญากับข้าสิว่าวันข้างหน้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากว่าท่านเบื่อข้าแล้วก็ขอเพียงหย่าร้างและส่งข้ากลับบ้านก็เท่านั้น”
“เจ้ายังมีบ้านให้กลับไปอยู่อีกงั้นหรือ”
“ก็ไม่แน่หรอกเจ้าค่ะ บ้านที่ข้าหมายถึงคือที่ที่อยู่แล้วมีความสุขอย่างไรล่ะไม่จำเป็นต้องเป็นบ้านที่มีครอบครัวสมบูรณ์ก็อยู่ได้”
นางพูดจบก็จ้องมองใบหน้าหล่อเหลานั้นอีกครั้ง สีหน้าของเขาบางครั้งก็เย็นชาบางครั้งก็อ่อนโยนไม่รู้เลยว่าคนตรงหน้าเป็นคนอย่างไรกันแน่
“ข้าจะไปนอนแล้วๆ ท่านก็นอนเตียงเดียวกับหงเอ๋อเถอะนะเจ้าคะข้าจะนอนเตียงเล็กเอง”
“ได้”
ภายใต้ความหล่อเหลาแต่มีอันตรายซ่อนเอาไว้แบบนี้นางจึงไม่คิดอยากจะอยู่ใกล้เขามากเท่าใดนัก ยังคงนึกหวาดกลัวความโหดร้ายที่ในหนังสือได้บรรยายเอาไว้ไม่ลืมเลือน
‘เขาใช้กระบี่ที่ถูกขัดจนมันวาวตัดฉับไปที่ต้นคอของหญิงสาวอย่างไร้เยื่อใย’
ยิ่งคิดก็ยิ่งพานทำให้นางรู้สึกขนลุกไม่หาย
'ให้ตายแบบอื่นไม่ได้หรืออย่างไร ข้าไม่อยากตายแบบนั้นเลยนะน่ากลัวเป็นบ้า'
-เช้าวันรุ่งขึ้น-
เพราะความเหนื่อยล้าจากเหตุการณ์เมื่อวานทำให้เช้าวันนี้มู่อิงเถานอนตื่นสายจนได้ เมื่อนางลุกขึ้นมาก็ไม่เห็นทั้งสองคนนั้นอยู่ในห้องแล้ว
‘หายไปไหนกันนะ’
เมื่อสอบถามซ่งหงอี้ไปถึงได้รู้ว่าซ่งอวี่ถงนั้นขึ้นเขาไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้วไม่รู้เลยว่าคืนนี้จะกลับลงเขามาทันหรือไม่ มู่อิงเถาเสียดายเล็กน้อยในใจยังคงอยากเห็นทิวทัศน์ของหุบเขาแห่งนั้นเพราะในยุคที่จากมามีแต่ถนนหนทางที่รายล้อมด้วยตึกสูงเสียดฟ้ากันทั้งนั้น
หญิงสาวเดินคอตกเข้าไปในบ้านแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนนั้นตั้งใจจะนำผ้าห่มไปซัก สองเท้าอวบอั๋นก็เดินไปรื้อผ้าห่มทุกผืนแล้วมุ่งตรงไปที่คลองท้ายหมู่บ้านทันที
ที่แห่งนั้นมีหญิงสาวในหมู่บ้านที่กำลังนั่งสนทนาพูดคุยกันอย่างถูกคอเมื่อหันมามองที่นางก็หยุดพูดไปสักพักก่อนจะหันไปซุบซิบนินทานางต่อ
แต่คนอย่างมู่อิงเถาหรือจะใส่ใจนางนั่งลงก่อนจะใช้สบู่ซักผ้าที่ได้มาจากมิติวิเศษมาซัก เหล่าหญิงสาวที่เห็นว่านางมีสิ่งนั้นอยู่ในมือต่างก็รีบเดินเข้ามามุงดูด้วยความรู้สึกตื่นเต้น
“เจ้ามีเจ้าสิ่งนั้นได้อย่างไร”
“อะไรหรือ”
“ก็นั่นอย่างไรล่ะกลิ่นก็หอมด้วย”
“อ่อ มันคือสบู่น่ะ”
“จริงหรือแล้วเจ้าไปได้มันมาได้อย่างไร”
แต่แล้วก็มีใครบางคนพยายามแหวกทางเข้ามาหานางเมื่อเพ่งมองอีกครั้งถึงได้รู้ว่าเป็นฮูหยินน้อยสะใภ้คนโตของบ้านตระกูลซ่งนั่นเอง
มู่อิงเถาจ้องมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าก่อนจะแสยะยิ้มให้นางเล็กน้อย
“ว้าว! นี่ฮูหยินน้อยก็รู้จักทำงานบ้านด้วยหรือนี่คิดไม่ถึงจริงๆ”
“เจ้าพูดอะไร ข้าก็ทำเช่นนี้เรื่อยมาเจ้าพูดจาเช่นนี้อยากให้คนอื่นหัวเราะเยาะข้าหรืออย่างไรกัน”
“ท่านคิดมากเกินไปหรือไม่แต่ก็อย่างที่ข้าพูดเมื่อก่อนเป็นข้าที่ทำงานบ้านแทนท่านมาโดยตลอด พวกท่านเคยเห็นนางมาที่นี่หรือไม่เล่า”
เมื่อหันไปมองเหล่าสตรีในหมู่บ้านทุกคนต่างก็ส่ายหน้ากันทั้งนั้น
“จะ เจ้า! มู่อิงเถาเจ้ามันคนร้ายกาจ เจ้าสิ่งนั้นน่ะคงขโมยมาจากบ้านใหญ่สินะคนอย่างพวกเจ้าจะไปมีปัญญาหาซื้อมาใช้ได้อย่างไรกัน”
“พูดอะไรของเจ้า”
มู่อิงเถาลุกขึ้นก่อนจะพันแขนเสื้อขึ้นมาแล้วยืนท้าวเอวจ้องมองคนตรงหน้าอย่างไม่นึกเกรงกลัวแต่อย่างใด
“ไหนเจ้าลองบอกมาสิสิ่งนี้คืออะไรแล้วซื้อมาจากที่ไหน”
“ขะ ข้า”
“หากบอกถูกข้าจะยกมันให้เจ้า”
“คือว่าข้า”
ฮูหยินน้อยพูดไม่ออกนางจ้องมองไปจนทั่วคุ้งน้ำก็เห็นสายตาดูแคลนของทุกคนจ้องมองมาที่นางเป็นตาเดียว
“อะไรๆ ก็หาว่าข้าขโมยมาข้าขอถามสักนิดเจ้ามีโอกาสได้เข้าไปตัวเมืองบ่อยๆ เช่นสามีของข้าหรือไม่ล่ะ”
“เจ้าสิ่งนี้เรียกว่าสบู่ และก็เป็นสามีของข้าที่จัดซื้อมาให้ไหนเลยจะเป็นของพวกเจ้าไปได้”
“นี่เจ้า! โกหกหน้าด้านๆ พวกนางต้องขโมยเงินของบ้านใหญ่ไปซื้อมาแน่ๆ”
“ฮูหยินท่านช่วยพูดอีกทีไหนบอกว่าสบู่นี้เป็นของพวกท่าน แต่เมื่อครู่ใยถึงได้พูดว่าพวกนางขโมยเงินของพวกท่านไปซื้อมันมา ตกลงแล้วมันอย่างไรกันแน่”
“คือข้า ข้า”
เมื่อถูกทุกคนเพ่งเล็งสะใภ้ใหญ่ผู้นั้นก็หันขวับมาจ้องมองมู่อิงเถาอีกครั้งก่อนจะชี้นิ้วมาที่นางแล้วพูดขึ้นว่า
“ฝากไว้ก่อนเถอะ”
พูดจบก็หอบเอาเสื้อผ้าที่ยังซักไม่เรียบร้อยหนีกลับไปยังเส้นทางในหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว
มู่อิงเถาส่ายหัวให้นางเล็กน้อยคิดไม่ถึงว่าออกมาจากบ้านใหญ่ได้แล้วแต่พวกนั้นกลับยังกล้ามาระรานนางอีกช่างน่ารังเกียจเสียจริง
หลังจากเหตุการณ์สงบลงมู่อิงเถาก็อยู่พูดคุยกับเหล่าสตรีพวกนั้นต่อ สะใภ้หยวนผู้ที่เคยอาศัยอยู่บ้านถัดไปจากบ้านตระกูลซ่งนั้นได้พูดขึ้นว่าสามีของนางเคยขึ้นเขาไปล่าสัตว์ได้ยินแว่วๆ ว่าที่หุบเขานั้นมีสมุนไพรล้ำค่าอีกด้วย
เพราะความที่นางเองก็เป็นในยุคที่จากมาจึงทำให้มู่อิงเถารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ยินไม่น้อย เมื่อซักผ้าเสร็จเรียบร้อยหญิงสาวก็เร่งฝีเท้ากลับไปที่บ้านอย่างรวดเร็ว ในใจก็หวังอยากให้ซ่งอวี่ถงกลับมาไวๆ นางอยากรู้ว่าที่หุบเขาแห่งนั้นมีสมุนไพรเหล่านั้นจริงๆ หรือไม่
เมื่อเดินกลับมาถึงบ้านก็ได้ยินเสียงดังเอะอะโวยวายเล็ดลอดออกมาจากทางหน้าบ้าน ทั้งยังมีเสียงสิ่งของแตกหักและเสียงร้องไห้ระงมของเด็กชายผู้น่าจะเป็นซ่งหงอี้หลานชายของซ่งอวี่ถงนั่นเอง
มู่อิงเถาหอบถังใส่ผ้าวิ่งไปหน้าบ้านด้วยความรวดเร็วเมื่อมาถึงก็พบว่าคนที่เข้ามาทำลายข้าวของเป็นใครไม่ได้เลยนั่นก็คือฮูหยินน้อยที่ถูกนางหักหน้าในคลองท้ายหมู่บ้านและลูกสาวคนโตของนางนั่นเอง
“พวกเจ้าเข้ามาในบ้านของข้าทำไม”
“ฮ่าๆๆ พูดมาได้เต็มปากว่าเป็นบ้านของเจ้า ที่นี่มันบ้านร้างใช่ของพวกเจ้าเสียที่ไหนกันขอทานเช่นเจ้าอย่ามายุ่งถอยไป!”
“ถ้ากล้าก็เข้ามา”
ฮูหยินน้อยเดินตรงเข้ามาหานางอย่างไม่เกรงกลัวใดๆ แต่ยังไม่ทันได้เหยียบถึงเงาของมู่อิงเถาก็ถูกหมัดของนางซัดเข้าไปที่ใบหน้าอย่างเต็มแรงจนเลือดกำเดาไหลออกมาทันที
“กรี๊ด! เจ้ากล้าทำร้ายข้าได้อย่างไรนังอัปลักษณ์!”
นางกรีดร้องโวยวายจนชาวบ้านละแวกนั้นต่างก็เข้ามามุงดูทีละคนสองคนจนเวลานี้เกือบเต็มหน้าบ้านแล้ว
มู่อิงเถาไม่สนใจคำพูดเหล่านั้นนางก้าวเดินไปข้างหน้าไม่สนใจคำพูดด่าทอของสองแม่ลูกนั้น ดวงตาของมู่อิงเถาเอาแต่จดจ้องคนทั้งคู่ไม่วางตาสีหน้าและแววตาที่น่ากลัวของนางทำเอาสองแม่ลูกนั้นเป็นฝ่ายเดินถอยหลังหนีไปแทน
“เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ”
“!”
เพราะที่ผ่านเซี่ยอิงอิงต้องไปเรียนปักผ้าตามที่มารดาเลี้ยงของนางต้องการจึงไม่มีเวลามาพบปะสนทนากับมู่อิงเถานั่นเอง วันนี้ทั้งวันนางจึงมาอยู่เฝ้าพูดคุยกับมู่อิงเถาจนเวลาล่วงเลยไปถึงยามเย็น เมื่อถึงเวลากลับบ้านดูสาวน้อยผู้นั้นจะอาลัยอาวรณ์นางอยู่ไม่น้อยมู่อิงเถาออกมาส่งนางที่หน้าประตูจวนทั้งยังโบกมือลาให้เด็กสาวเมื่อรถม้าของนางพ้นจากระยะสายตาแล้วก็ได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งพูดขึ้นมาว่า“นั่นแม่นางเซี่ยนี่นา นางมาทำไมหรือขอรับอาสะใภ้”“หืม หงเอ๋อเจ้าเองหรอกหรือหายไปไหนมาข้าไม่เจอเจ้าเลยตั้งแต่ที่เข้าเมืองหลวง”“ข้าไปฝึกเรียนวรยุทธ์มาน่ะขอรับอาสะใภ้ ไม่ใช่สิพระชายา”“เรียกข้าว่าอาสะใภ้แบบเดิมน่ะดีแล้ว”“ไม่ได้หรอกขอรับตอนนี้ท่านเป็นถึงพระชายาแล้วจะให้เรียกแบบเดิมได้อย่างไรกัน”“ตามใจเจ้าเถอะ แล้ววันนี้ไม่มีเรียนงั้นหรือ”“ท่านอาจารย์ให้ข้าหยุดได้สิบวันขอรับ ข้าจึงรีบเดินทางมาหาพวกท่าน”“ดีเลยเช่นนั้นช่วงเวลาสิบวันนี้ก็ทำตัวให้ว่างล่ะพวกเราจะไปเที่ยวกัน”“เที่ยว?”“อืม”“ไปไหนขอรับ”หมู่บ้านต้าไห่ เมืองเป่ยเย่-บ้านตระกูลซ่ง-“ท่านแม่ท่านรู้มานานแล้วเช่นนั้นหรือ ที่ท่านไม่อยากให้ข้าไป
-เจ็ดวันผ่านไป-เมื่องานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของพระชายารัชทายาทและองค์ชายน้อยมาถึงในวังหลวงก็ดูจะครึกครื้นกันยิ่งนักบรรดาเหล่าขุนนางและฮูหยินของพวกเขาต่างก็ทยอยเดินเข้ามาในงานกันเรื่อยๆขณะที่มู่อิงเถาเดินอยู่เคียงข้างกับเยี่ยอ๋องอยู่นั้นก็ได้ยินขุนนางที่ยืนจับกลุ่มกันกำลังซุบซิบนินทานางอยู่แม้จะพูดคุยกันด้วยเสียงอันเบาแต่กับคนที่มีวรยุทธ์แล้วนั้นย่อมได้ยินชัดทุกถ้อยคำ“ท่านอ๋องผู้นี้ช่างเก่งกาจและมีบุญบารมีมากเหลือเกินแต่น่าเสียดายที่ชายาของเขานั้นกลับเป็นหน้าเป็นตาให้เขาไม่ได้”“จริงดังที่ใต้เท้ากล่าวสตรีผู้นั้นเป็นเพียงคนธรรมดาไหนเลยจะส่งเสริมท่านอ๋องได้กัน”“บุตรสาวของใต้เท้าซู ‘ซูม่านอวี้’ ผู้นั้นท่านว่าเป็นอย่างไรนางพึ่งผ่านวัยปิ่นปักไปได้ไม่นานทั้งยังไม่มีคู่ครองอีกด้วยดูเหมือนว่า….”เยี่ยอ๋องที่หยุดเดินกะทันหันก็ทำให้มู่อิงเถางุนงงไปไม่น้อย“มีอะไรหรือเจ้าคะ”เยี่ยอ๋องไม่ตอบนาง เขาหันหลังกลับไปจ้องมองขุนนางกลุ่มนั้นก่อนจะชำเลืองมองไปด้วยแววตาที่น่ากลัวยิ่งนักทำเอาใจของคนที่พบเห็นใจสั่นไหวไม่น้อย“ใต้เท้าผู้นี้พูดถึงชายาของข้าอยู่กระนั้นหรือ”“อะ เอ่อกระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะท
มู่อิงเถาไม่มีอารมณ์เดินเที่ยวเล่นต่อแล้วนางเลือกที่จะกลับจวนก่อนจะเดินหนีเขาเพื่อกลับไปที่ห้องอย่างรวดเร็ว“เจ้าเดินช้าๆ หน่อยสิเดี๋ยวก็หกล้มหรอก”“ข้าไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ”มู่อิงเถาไม่หยุดฟังเขาพูด นางเดินต่อไปด้วยย่างก้าวที่เร็วขึ้นเหมือนไม่ต้องการที่จะเดินอยู่เคียงข้างเขาอย่างไรอย่างนั้น จนซ่งอวี่ถงต้องเร่งฝีเท้าขึ้นไปประชิดจนถึงตัวของนางก่อนจะคว้าแขนเล็กนั้นเอาไว้มั่น“อิงเอ๋อข้าบอกว่าอย่าเดินเร็วอย่างไรเล่า เดี๋ยวก็หกล้มหรอก”“ท่านสนใจด้วยหรือ”“เป็นอะไร”มู่อิงเถาหลับตาลงก่อนจะพยายามสงบจิตใจที่ว้าวุ่นของนาง‘ใช่นางเป็นอะไรไป พักนี้ก็ยังไม่เข้าใจตนเองเท่าใดนักก็แค่สตรีคนนั้นคนเดียวนางจะคิดอะไรมากกัน’“ท่านมีอะไรจะพูดกับข้า”“เข้าไปข้างในกันเถอะ”“พูดตรงนี้ก็ได้”ซ่งอวี่ถงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านางมืออีกข้างของเขาล้วงเข้าไปในแขนเสื้อหยิบบางอย่างออกมาก่อนจะจับไปมือของนาง มู่อิงเถาคิดอยากจะสะบัดออกแต่ซ่งอวี่ถงกับจับมือของนางเอาไว้แน่น“อยู่นิ่งๆ สิ”“ท่านจะทำอะไร”ซ่งอวี่ถงไม่ตอบเขาชำเลืองมองนางเล็กน้อยก่อนจะหยิบของสิ่งนั้นมาสวมที่นิ้วมือของนาง‘นี่มันแหวนที่ข้าไปจำน
-ท้องพระโรง-มู่อิงหลันเคยเป็นหนึ่งในกุ้ยเหรินของฮ่องเต้มู่หรงฉีนางเคยร่วมมือกับเสียนเฟยมารดาขององค์ชายใหญ่ลอบทำร้ายอดีตฮองเฮา แต่ถูกเสียนเฟยโยนความผิดให้นางทั้งหมดจึงถูกขับไล่ออกจากวังหลวงนางจึงได้คิดการก่อเรื่องราวใหญ่โตจนนำมาสู่โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่เสียนเฟยที่ก่อนหน้านี้ถูกลดอำนาจกักขังเพียงในตำหนักของตนแต่เมื่อถูกเยี่ยอ๋องรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมาและปรากฎว่าเป็นนางที่เป็นคนบงการให้สังหารอดีตฮองเฮาจึงได้ถูกฮ่องเต้ตัดสินให้จองจำในตำหนักเย็นจากนั้นเป็นต้นมาซูเฟยพระมารดาของรุ่ยอ๋องเองก็มีความผิดฐานยุยงส่งเสริมและเคยมอบกองกำลังของสกุลซูแก่องค์ชายใหญ่นางจึงถูกเนรเทศให้ไปอยู่ที่เมืองเล่อซีแดนตะวันตกกับรุ่ยอ๋องโอรสของนางที่เดินทางไปก่อนหน้านี้แล้วนั่นเองฮ่องเต้น่าจะระแคะระคายเรื่องนี้มาบ้างแล้วถึงได้ส่งองค์ชายสามรุ่ยอ๋องไปก่อนแล้วจึงส่งซูเฟยให้ตามเขาไปทีหลัง นับว่าเขายังมีคุณธรรมมากพอไม่คิดสังหารลูกเมียไปจนหมดสิ้นเรื่องราวในราชวงศ์ซับซ้อนและน่ากลัวดังที่เยี่ยอ๋องหรือก็คือซ่งอวี่ถงเคยพูดเอาไว้นั่นเอง เขาจึงไม่มีความคิดอยากที่จะมาเหยียบที่แห่งนี้เลยสักเพียงนิดหากไม่ใช่เพราะอยากเรียกร้องที่มารด
การเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงนั้นใช้เวลาถึงสิบวันเต็มเมื่อครั้งที่นางหนีจากเมืองเป่ยเย่ไปยังเมืองฉางอันใช้วิธีล่องเรือไปนั่นก็ทรมานปวดมวนท้องไปตลอดเส้นทางแล้ว มาครั้งนี้การที่ต้องมานั่งอยู่บนรถม้าก็ยิ่งทำให้นางปวดระบมไปทั้งตัวจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว“อดทนหน่อยนะอีกไม่กี่ลี้ก็ถึงเมืองหลวงแล้ว”“ข้าทนได้”“ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วว่าอย่าเพิ่งกลับมาก็ไม่เชื่อเห็นหรือไม่ว่าตอนนี้ร่างกายของเจ้ายิ่งแย่เข้าไปใหญ่”“ที่ข้าปวดเนื้อปวดตัวนั่นไม่ใช่เพราะท่านหรอกหรือ”“พูดอะไร”เขาจ้องมองนางเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่นางพูดหรือเขาแค่คิดไม่ทันกันแน่ ชายหนุ่มได้แต่บีบๆ นวดๆ ให้นางเพื่อให้อาการปวดเกร็งนั้นผ่อนคลายลงแต่นั่นกลับยิ่งทำให้นางเจ็บปวดมากขึ้น“พอแล้วๆ น้ำหนักมือของท่านมากเกินไปมันทำให้ข้าเจ็บมากกว่าเดิมเสียอีก”“ข้าทำเบามือสุดๆ แล้วนะ”มู่อิงเถาหันขวับไปจ้องมองใบหน้าใสซื่อของคนด้านข้าง“เบากระนั้นหรือเมื่อคืนวานไม่ใช่ท่านเป็นคนบอกข้าเองหรอกหรือว่าจะทะนุถนอมข้า แต่เหตุไฉนถึงได้เอาแต่ใจตนเองเช่นนั้นเห็นร่องรอยบนตัวข้าหรือไม่ยังดีที่เย่หยุนฟางเอาแต่ตามติดคุณชายเซี่ยนางถึงไม่ทันได้สังเกตมิเช่นนั้นข้าคงได้
สวนไผ่ที่ตั้งอยู่หลังบ้านเล็กๆ ริมทะเลสาบของนางนั้นเต็มไปด้วยต้นไผ่เขียวชอุ่มที่สั่นไหวไปตามแรงลมเสียงใบไผ่เสียดสีกันดังเป็นจังหวะ เมื่อก่อนนางมักมาเดินเล่นและพักผ่อนในที่แห่งนี้เป็นประจำหลังอาหารมื้อบ่ายมู่อิงเถาตั้งใจจะนอนพักสักงีบแต่ไม่ว่าอย่างไรหญิงสาวก็ไม่อาจหลับตาลงได้จึงออกมาเดินเล่นรับลมในที่แห่งนี้ก่อนที่สองเท้าจะพาตนเองเดินทอดน่องไปจนถึงทะเลสาบที่อยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านนักมู่อิงเถาเข้าไปนั่งเล่นที่ศาลาไม้มองเห็นเรือไม้ลำเล็กที่ถูกผูกเอาไว้ที่ท่าน้ำ น่าจะเป็นเรือที่ซ่งอวี่ถงจัดหามานั่นเอง“อากาศเย็นเพียงนี้ยังออกมาเดินเล่นอีกเดี๋ยวก็ได้เป็นหวัดหรอก เหตุใดถึงไม่ใส่เสื้อหนาๆ มาด้วยนะ”‘ตะ ตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย’ชายหนุ่มถอดเสื้อคลุมตัวนอกของเขาออกก่อนจะคลุมไปที่ไหล่บางของนาง ความอบอุ่นของเสื้อคลุมที่เพิ่งถอดออกจากตัวของเขาและกลิ่นกายที่คุ้นเคยนั้นทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเสียอย่างนั้นปากของเขาก็เอาแต่พร่ำบ่นไม่มีหยุด‘บ่นเป็นตาแก่ไปได้’“เมื่อก่อนท่านไม่เห็นบ่นเช่นนี้เลยนะ”“นั่นมันเมื่อก่อน”พูดจบก็นั่งลงข้างๆ นางจ้องมองใบหน้าหวานนั้นไม่วางตา“เมื่อก่อนข้านั้นโง่เขลายิ







