“นั่นเจ้าจะทำอะไร”
“!”
เสียงชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นขณะที่มู่อิงเถากำลังถือเสื้อผ้าของเขาเอาไว้ในมือ นางหันหลังกลับไปดูก็พบว่าเป็นซ่งอวี่ถงที่กำลังยืนถือถังใส่ปลาเอาไว้ในมือ ใบหน้าของเขามีความไม่พอใจแผ่ซ่านออกมาแต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้นแล้วก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม
มู่อิงเถายืนนิ่งพูดไม่ออกอยู่พักใหญ่เพราะคิดไม่ถึงว่าซ่งอวี่ถงจะกลับมาเร็วเช่นนี้ นางรนรานลุกขึ้นเดินไปยืนอยู่ข้างเตียงนอนที่จัดเตรียมเอาไว้ก่อนจะเอ่ยปากบอกผู้เป็นสามีว่า
“ขอโทษที่ข้าเข้าไปรื้อของๆท่าน ข้าแค่เพียงจะจัดเตรียมที่นอนเอาไว้ให้ท่านก็เท่านั้นเอง”
“เป็นเช่นนั้นหรือ เจ้าหยุดมือก่อนเถอะไปล้างเนื้อล้างตัวได้แล้ววันนี้ข้าจะทำอาหารเย็นเอง”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าทำเอง”
“เจ้าถูกท่านแม่ทุบตีมาเช่นนี้เนื้อตัวคงระบมแย่เลย ไปแช่น้ำอุ่นๆ ก่อนเถอะทางนี้ข้าจัดการเอง”
“เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ”
มู่อิงเถาช้อนสายตามองผู้เป็นสามีในนามที่กำลังเดินไปที่เพิงครัวที่เพิ่งทำขึ้นมาใหม่ๆ
“แล้วหงเอ๋อเล่า”
“อยู่หน้าบ้านกระมังเจ้าคะ”
“งั้นหรือ”
“ข้าไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน”
“อืม”
'คิดอะไรอยู่กันแน่นะ ดูแปลกคนเสียจริง’
แม้จะแต่งงานเป็นสามีภรรยากันแล้วแต่ทั้งคู่ก็ยังไม่ได้เข้าหอกัน ความทรงจำของเจ้าของร่างนี้ก็ลางเลือนยิ่งนักแต่เท่าที่นึกได้เพราะว่ามู่อิงเถาผู้นี้ทั้งขี้เหร่ อวบอ้วนผิวกายก็ดำด้านเนื้อตัวหยาบกระด้างยิ่งกว่าผิวหนังของบุรุษเสียอีก นางจึงไม่กล้าเข้าใกล้ผู้เป็นสามีเลยสักครั้ง
ครั้งที่อยู่บ้านใหญ่แม้นางจะอยู่ร่วมห้องกับเขาแต่ก็เลือกที่จะนอนบนพื้นแข็งๆแทนที่จะนอนบนเตียงเดียวกันนั่นเอง
‘เฮ้อ ร่างกายดูแย่เช่นนี้ช่างไม่ได้แตกต่างจากยุคที่จากมาเอาเสียเลย นี่นางถูกสาปให้เกิดมาอาภัพทุกๆชาติเช่นนี้เลยหรืออย่างไรนะ สามีที่คิดว่าดีที่สุดแล้วแต่กับทำเหมือนรังเกียจนางถึงเพียงนี้’
“ฮิๆ”
“เอ๋ นั่นเสียงใคร”
มู่อิงเถาจับที่ขอบถังไม้แน่น นางเปลือยกายลงอาบน้ำเช่นนี้หวังว่าจะไม่มีโรคจิตที่ไหนมาเห็นเข้าหรอกนะ
“มู่อิงเถา”
“ขะ ใคร? นั่นใครออกมาเดี่ยวนี้นะ!”
“ชู่ว์อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวสามีของเจ้าก็ได้ยินหรอก”
“เจ้าเป็นใคร”
“หลับตาสิ”
‘หลับก็โง่สิ’
“ข้าได้ยินนะอยากรู้ว่าข้าเป็นใครก็หลับตา ไม่อยากรู้ก็ไม่ต้องหลับ”
ให้ตายสิเพราะความอยากรู้แท้ๆ ทำให้นางอดใจไม่ไหวจนต้องหลับตาลงตามคำสั่งของใครก็ไม่รู้ทันที
“ลืมตาได้แล้ว”
นางรีบลืมตาขึ้นตามคำสั่งนั้นก่อนจะตื่นตกใจกับภาพตรงหน้าที่เห็น
“พับผ่าสิที่นี่ที่ไหนกัน”
“ที่นี่คือมิติวิเศษและข้าก็คือเจ้าของมิติแห่งนี้ เจ้าช่วยย้ายร่างของเจ้าเข้าไปในโรงนานั่นเสียทีสิที่นั่นมีเสื้อผ้าสตรีอยู่สองสามชุดไปเลือกใส่เอาเถิด เจ้าอยู่สภาพนี้ช่างอุจาดตาข้ายิ่งนัก”
“อยากให้มองนักล่ะ”
มู่อิงเถาเข้าไปในโรงนาก่อนจะเห็นว่าข้างในนั้นเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ละลานตาอยู่เต็มไปหมด
‘จะว่าไปข้างนอกโรงนาก็เล็กนิดเดียวเหตุใดพอเข้ามาข้างในแล้วถึงได้กว้างใหญ่เช่นนี้กันเล่า’
“อย่าได้สงสัยอะไรให้มาก รีบเลือกแล้วก็รีบออกมาได้แล้ว”
“รู้แล้วน่า”
นางเลือกชุดมาใส่หนึ่งชุดแต่ก่อนที่จะก้าวขาออกไปสายตาดันเหลือบไปเห็นชุดของบุรุษ นางจึงเลือกหยิบติดมือมาอีกสองชุดเผื่อเอาไว้ให้สองคนนั้นนั่นเอง
“ข้าให้เจ้าเลือกเพียงชุดของตนเอง ไหนเลยจึงกล้าหยิบของคนอื่นออกมาอีกเล่า”
“ที่นี่ไม่เห็นมีใครเลยสามีของข้าและหลานชายของเขาเองก็ไม่มีเสื้อผ้าดีๆใส่ ไหนๆ เจ้าก็เมตตาช่วยเหลือข้าแล้วก็เผื่อแผ่ไปถึงพวกเขาด้วยจะเป็นไรไป ถือว่าทำบุญเถอะ”
“เฮ้อ…ช่างเถอะ ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องทำงานให้ข้าอยู่ดี”
“ทำอะไรนะ?”
“เจ้าคิดว่าบนโลกใบนี้จะได้ของมาใช้ฟรีๆ โดยไม่มีอะไรแลกเปลี่ยนกันเลยงั้นหรือ”
“เจ้าอย่าบอกนะว่า”
มู่อิงเถาใช้แขนทั้งสองข้างปกปิดเรือนร่างอวบอ้วนของนางเอาไว้
“บัดซบ! เจ้าคิดได้อย่างไรข้าไม่ใช่คนเช่นนั้นนะ”
“แล้วเจ้าต้องการอะไร”
“เจ้าต้องมาทำไร่ทำสวนในมิติแห่งนี้เพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งของที่เจ้าหยิบออกไปอย่างไรเล่า”
“แค่นั้นหรือ”
นางก็นึกว่าจะต้องทำอะไรที่พิลึกพิลั่นมากกว่านี้เสียอีก
“อย่าให้ภาพมันลวงตาเจ้าดูดีๆ สิที่แห่งนี้กว้างใหญ่มากเพียงใด คิดหรือว่าจะได้อยู่สบายๆ หากว่าเจ้าทำตามเงื่อนไขของข้าได้ไม่ว่าต้องการอะไรข้าให้เจ้าได้ทุกสิ่ง”
“จริงๆ หรือ”
“ข้าไม่เคยโป้ปด”
“เช่นนั้นก็ได้”
“ชื่อของข้าคือหลิงฮุย จำเอาไว้ให้ดีตอนนี้เจ้าออกไปได้แล้วสามีของเจ้ามาตามแล้ว”
“เอ๋?”
พวกชั่ววูบนางก็เหมือนถูกใครผลักออกมาจากมิตินั้นก่อนจะมายืนโผล่อยู่ที่ห้องอาบน้ำข้างๆ ถังไม้ตัวเดิมนั้น
“อิงเถาเจ้าอยู่ในนั้นหรือไม่”
“อยู่เจ้าค่ะ มีอะไรหรือ”
“เจ้าเข้าไปนานมากแล้วไม่เห็นออกมาข้าจึงมาตาม อาหารเย็นเสร็จแล้วออกมากินข้าวได้แล้ว”
“อ้อ ข้ารู้แล้ว”
นางวางเสื้อผ้าสำหรับบุรุษสองชุดเอาไว้ในห้องอาบน้ำก่อนจะเทน้ำลงไปในถังอาบน้ำเพิ่มเผื่อให้พวกเขาชำระล้างร่างกายต่อนั่นเอง
มู่อิงเถาเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องแอบมองอยู่ตรงขอบประตูชำเลืองไปยังบุรุษต่างวัยทั้งสองคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่สภาพแทบจะผุพังอยู่รอมร่ออยู่แล้ว
หนึ่งบุรุษหนุ่มที่อยู่ในวัยกลัดมันนั้นก็คือตัวร้ายที่นางอ่านแล้วก็เกลียดยิ่งนัก ไม่รู้เพราะอะไรเขาถึงได้ลงมือทำร้ายภรรยาที่อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาตั้งแต่ครอบครัวยังไม่มีอะไรเลยได้ลงคอ
ส่วนอีกหนึ่งบุรุษที่อายุน้อยที่สุดนั่นก็กลายเป็นมือปราบที่ฝีมือไม่ได้ยิบย่อยไปกว่าผู้เป็นอาเอาเสียเลย
ทั้งคู่นั่งอยู่ต่อหน้านางแล้วต่างก็เป็นคนอันตรายกับชีวิตของนางอย่างยิ่ง ในใจที่รู้จุดจบของตนเองมาก่อนแล้วๆ แบบนี้นางจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรต่อไปกัน
“อิงเอ๋อ อิงเอ๋อ!”
“จะ เจ้าคะ”
“ไปยืนทำอะไรตรงนั้น?”
เรื่องทุกอย่างดูจะคลี่คลายลงไปแล้วแต่เช้าวันนี้ที่หน้าประตูจวนกลับมีทหารรักษาประตูที่วิ่งมารายงานนางว่า เวลานี้มีสตรีสองคนกำลังยืนถกเถียงกันอย่างไม่ยอมกันมู่อิงเถาเดินไปที่หน้าประตูจวนก็พบกับซูม่านอวี้และเซี่ยเย่อิง ทั้งคู่ดูจะไม่สนใจสิ่งรอบข้างเพราะเวลานี้เอาแต่เถียงกันไม่หยุดนั่นเอง“เซี่ยเย่อิงเจ้าเป็นอะไรกับข้านักหนากันนะถึงได้ตามติดข้าเช่นนี้”“เฮ้อ…ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วข้าก็ไม่อยากปิดบังความรู้สึกอีกต่อไป”“พูดเรื่องอะไรของเจ้า”“ข้าชอบเจ้านะ”“อะ อะไรนะ!”“ทีแรกข้าชอบแม่นางมู่ แต่ว่าตอนนี้นางเป็นถึงพระชายาของเจิ้นอ๋องเช่นนี้แล้วข้าคงไม่อาจเอื้อมอีกต่อไป ดังนั้นข้าจึงคิดว่าจะหันมาชอบเจ้าแทนดีกว่า”“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร”“ทำไมล่ะ ในแคว้นต้าฮั่นต่างก็เป็นเสรีแล้วฮ่องเต้ไม่ได้กำหนดบทลงโทษของคนที่ชอบเพศเดียวกันไว้เสียหน่อย ดังนั้นตอนนี้ข้าชอบเจ้าพวกเรามาทำความรู้จักกันดีหรือไม่”“กรี๊ด! เจ้าไปไกลๆ ข้าเลยนะ”“โธ่…แม่นางซูท่านน่ารักถึงเพียงนี้หากท่านอ๋องไม่ชอบ เจ้าก็หันมาหาข้าก็ได้นี่นา”“ไม่! พวกเจ้าสองคนยืนทำอะไรมาเอานางออกไปจากข้าเสียทีสิ”“เจ้าค่ะคุณหนู”เซี่ยเย่อิงยิ้มหัวเราะช
เพราะเมื่อคืนวานมู่อิงเถามัวแต่สนทนากับพระชายารัชทายาทที่เป็นสหายคนสนิทของนางไปหลายชั่วยาม กว่าจะกลับถึงจวนก็เป็นเวลาเกือบยามสาม[1] แล้วเช้านี้จึงเป็นอีกวันที่นางนอนตื่นสาย เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าคนข้างกายนั้นได้ตื่นก่อนนางเป็นที่เรียบร้อย“น่าอายจัง นอนตื่นสายจนได้”มู่อิงเถารีบจัดการตนเองก่อนจะออกไปนั่งเล่นที่ศาลาหน้าตำหนัก นางกำลังจ้องมองฝูงปลาที่แหวกว่ายไปมาด้วยความเบิกบานใจยิ่งนักโดยมีสาวใช้ข้างกายที่คอยปรนนิบัติดูแลอยู่ไม่ห่างที่หน้าเรือนใหญ่ซ่งอวี่ถงกำลังยืนจับจ้องนางอยู่อย่างไม่วางตา ก่อนที่มู่เฉินจะมารายงานเขาว่าใต้เท้าโจวมาถึงแล้ว“ใต้เท้าโจวท่านมาแต่เช้าเลยนะขอรับ”“พระชายานางเป็นอย่างไรบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะท่านอ่อง”
-เจ็ดวันผ่านไป-เมื่องานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้นบรรดาเหล่าขุนนางและฮูหยินของพวกเขาต่างก็ทยอยเดินเข้ามาในงานเรื่อยๆ ขณะที่มู่อิงเถาเดินอยู่เคียงข้างกับเซ่งอวี่ถงอยู่นั้นก็ได้ยินขุนนางที่ยืนจับกลุ่มกันอยู่นั้นกำลังซุบซิบนินทานางอยู่ แม้จะพูดคุยกันด้วยเสียงอันเบาแต่กับคนที่มีวรยุทธ์แล้วนั้นย่อมได้ยินชัดทุกถ้อยคำ“ท่านอ๋องผู้นี้ช่างเก่งกาจและมีบุญบารมีมากเหลือเกินแต่น่าเสียดายที่ชายาของเขานั้นกลับเป็นหน้าเป็นตาให้เขาไม่ได้”“จริงดังที่ใต้เท้ากล่าว สตรีผู้นั้นเป็นเพียงคนธรรมดาไหนเลยจะส่งเสริมท่านอ๋องได้กัน”“บุตรสาวของใต้เท้าซู ซูม่านอวี้ผู้นั้นท่านว่าเป็นอย่างไรนางพึ่งผ่านวัยปิ่นปักไปได้ไม่นานทั้งยังไม่มีคู่ครองอีกด้วย ดูเหมือนว่า….”ซ่งอวี่ถงที่หยุดเดินไปนั้นก็ทำให้มู่อิงเถางุนงงไปไม่น้อย“มีอะไรหรือเจ้าคะ”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเหตุใดข้าถึงไม่เห็นเจ้าอยู่ที่จวนของท่านอ๋องล่ะ เจ้ารู้อะไรหรือไม่ข้านั้นตกใจแทบสิ้นสติเลยนะ”“ทำไมหรือ”“ก็ครั้งที่อยู่เมืองเป่ยเย่ข้าด่าสามีของเจ้าไปมากเลยทีเดียว”ประโยคหลังนางกระซิบกับมู่อิงเถาแทนด้วยกลัวว่าจะมีใครได้ยินคำพูดของนาง ซ่งอวี่ถงเวลานี้เป็นถึงท่านอ๋องย่อมมีคนเป็นหูเป็นตาให้เขามากมายจะพูดอะไรคงต้องระวังให้มากขึ้นเสียแล้ว“ฮ่าๆๆ เรื่องนั้นเจ้าอย่าใส่ใจไปเลย”“ไม่ใส่ใจคงไม่ได้ หากเขาไล่เอาทีละคนข้าไม่แย่หรือ”“ไม่หรอกน่า”“เย่เอ๋อกลับจวนกันได้แล้ว หากช้าไปกว่านี้ท่านพ่อจะดุเจ้าเอาได้นะ”“โธ่ท่านพี่ ให้ข้าได้สนทนากับสหายเสียหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร”
การเดินทางเข้าเมืองหลวงกินเวลาไปถึงสิบวันแม้ความเป็นจริงคนทั่วๆ ไปนั้นจะใช้เวลาเดินทางแค่เพียงห้าวันเท่านั้น เพราะทั้งสองเอาแต่งอนง้อกันตลอดทั้งเส้นทางทำให้ใช้เวลาในการเดินทางเพิ่มขึ้นถึงสองเท่ามู่เฉินปาดเหงื่อทุกครั้งที่ท่านอ๋องของเขาเริ่มบทรักร้อนแรงกับพระชายา เขาทำเป็นไม่ได้ยินเสียงใดๆ ที่เล็ดลอดออกมาจากรถม้าในยามกลางวันนั้นจนเมื่อระยะทางสุดท้ายก่อนเข้าเมืองหลวงก็มาถึง มู่เฉินถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอกมู่อิงเถาเลิกผ้าม่านขึ้นเพื่อมองดูบรรยากาศข้างนอกสองข้างทางเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดจากที่มีเพียงป่าเขา เวลานี้เริ่มมีบ้านเรือนของผู้คนมากขึ้นทุกทีแล้วที่นางยอมสงบลงไม่ใช่เพราะติดใจในรสสัมผัสของเขาแต่เพราะว่าอยากฟังเรื่องราวระหว่างที่นางหนีเขาไปต่างหากเล่า‘ถ้าไม่อยากรู้เรื่องชาวบ้านข้าไม่ยอมคุยกับเขาดีๆ แน่’‘หนะ
“นั่นเจ้าจะทำอะไรไปฉุดลูกสาวใครเขามา”“นางเป็นเมียข้า”“เมีย? บังเอิญอะไรเช่นนี้แล้วเหตุใดนางถึงมาอยู่ที่เมืองเดียวกันกับชายาของข้าได้ล่ะ”“ข้าจะไปรู้หรือ สตรีที่อยู่ในห้องอีกคนนั้นน่าจะเป็นมารดาของเด็กคนนั้น พวกนางสองคนรู้จักกันที่เหลือท่านจัดการเองก็แล้วกันข้าคงต้องขอตัวไปจัดการเรื่องในบ้านของข้าก่อน”‘หากปล่อยให้พวกนางอยู่ด้วยกันชาตินี้พวกเขาอย่าหวังที่จะได้เมียคืนเลย’“เตรียมตัวพร้อมแล้วใช่หรือไม่”“ขอรับท่านอ๋อง”ซ่งอวี่ถงพูดจบก็อุ้มนางขึ้นไปนั่งในรถม้าด้วยความรวดเร็ว มู่เฉินผู้รับหน้าที่เป็นสารถีก็รีบออกรถม้าทันทีด้วยกลัวว่าสตรีที่อยู่ข้างในจะกระโดดออกมาเสียก่อน“ท่านจับข้ามา