“เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ”
“!”
“พวกท่านดูสินางอัปลักษณ์คนนี้มันทำร้ายข้าดูสิเลือดข้าไหลอาบเต็มหน้าไปหมดแล้ว”
‘อยากรับบทเป็นเหยื่อสินะ ข้าจะสอนพวกเจ้าเองว่าเหยื่อที่ดีต้องทำอย่างไร’
“หากพวกท่านมีตาก็คงเห็นว่านางเข้ามาทำลายข้าวของในบ้านข้าแล้วยังจะมาทุบตีหงเอ๋ออีก กล้าดีอย่างไรถึงมาทำตัวน่าสงสารใส่ความว่าข้าทำร้ายเจ้ากัน”
“นั่นนะสิ”
เสียงของชาวบ้านต่างก็เห็นด้วยกับมู่อิงเถา คิดไปในทิศทางเดียวกันกับนาง ไม่มีใครเห็นด้วยกับสะใภ้ใหญ่ซ่งเลยสักคน
“จะ เจ้า เจ้ากล้าใส่ความข้างั้นหรือ”
“หรือไม่จริงล่ะคนบ้าที่ไหนจะทำลายข้าวของๆตนเองกัน แล้วข้าเองก็เพิ่งจะกลับมาจากคลองท้ายหมู่บ้านแล้วจะไปมีเวลามาทำเรื่องระยำพวกนี้ได้อย่างไร”
มู่อิงเถาชี้ไปที่ถังใส่ผ้าห่มที่เพิ่งถูกซักมาใหม่ๆ ทุกคนต่างก็เห็นว่านางพูดความจริง สะใภ้ใหญ่ซ่งที่เห็นท่าไม่ดีกำลังจะเดินหนีไปประจวบเหมาะกับที่ฮูหยินซ่งเดินเข้ามาได้เวลาพอดี
“ท่านแม่ ท่านแม่เจ้าคะช่วยข้าด้วย นางอัปลักษณ์นี้ตีข้าๆ ก็เพียงแค่มาทวงเอาของที่นางแอบเอาออกมาด้วยก็เท่านั้น ของชิ้นนั้นเป็นของๆ เราเลยนะเจ้าคะ”
“เจ้าแอบเอาของในบ้านของข้ามาด้วยงั้นหรือ”
“ของอะไร”
“ยังจะทำเป็นไม่รู้เรื่องอีก”
“ของสกปรกในบ้านของพวกท่านข้าไม่มีทางหยิบมันออกมาให้แปดเปื้อนมือข้าหรอก”
“ปากดีนักนะนักอัปลักษณ์นี่ เจอข้าหน่อยเป็นอย่างไร”
ฮูหยินซ่งกำลังจะใช้ไม้เท้าหวดไปที่ตัวของมู่อิงเถาแต่ในขณะนั้นก็มีใครบางคนจับไปที่ไม้เท้าได้ทันเวลาพอดี
ซ่งอวี่ถงจับไม้เท้านั้นไว้แน่นก่อนจะดึงมันออกมาจากมือของฮูหยินซ่ง นางตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยวาจาหยาบคายออกมาทันที
“เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครถึงกล้ามาขวางทางข้า ถอยออกไปข้าจะสั่งสอนนักอัปลักษณ์ผู้นี้”
“ท่านต่างหากที่ต้องถอยออกไป”
“เจ้าว่าอะไรนะ”
“เมื่อวานไม่ใช่ว่าท่านหรือที่ออกปากไล่พวกข้าบ้านสามออกจากบ้านใหญ่ เป็นตายก็ไม่เกี่ยวข้องกันผู้ใหญ่บ้านก็ลงบันทึกไว้เรียบร้อยและเอารายชื่อพวกข้าออกจากตระกูลซ่งแล้ว ในเวลานี้แม้จะมีแซ่ซ่งแต่ก็ไม่ใช่ซ่งที่มาจากตระกูลของท่าน”
“นี่เจ้า”
“ออกไปจากบ้านของข้าไปได้แล้วหากว่าพวกท่านยังกล้ามาทำลายของๆ พวกข้าและทำร้ายคนของข้าอีกก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
ซ่งอวี่ถงมีแววตาดุดันและดูดุร้ายมากในสายตาของฮูหยินซ่ง นางเองก็นึกหวาดกลัวบุรุษตรงหน้าไม่น้อยแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมลดราวาศอกเพราะกลัวตนเองจะเสียหน้าจึงเอ่ยออกไปเพียงว่า
“ข้าก็ไม่ได้อยากมาเหยียบที่นี่นักหรอกสกปรกถึงเพียงนี้ หากไม่ใช่ว่ามาเอาของๆ ข้าคืนมีหรือที่ข้าจะเสียเวลามา”
“สิ่งนี้หรือที่ท่านอยากได้”
มู่อิงเถาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของหญิงสูงวัยผู้นั้นก่อนจะชูมือขึ้นแล้วยิ้มอย่างเยือกเย็น
“เจ้ามาเอาไปสิ”
ฮูหยินซ่งสั่งสะใภ้ใหญ่ซ่งให้รีบเข้าไปเอาของในมือของมู่อิงเถา นางยิ้มกรีดกรายก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าของมู่อิเถา ขณะที่กำลังจะยื่นมือไปหยิบเอาของสิ่งนั้นแต่มู่อิงเถากลับปล่อยมือลงจนถ้วยกระเบื้องเคลือบที่ดูจะมีราคาสูงลิบลิ่วตกลงบนพื้นจนแตกกระจายไปทันที
“กรี๊ด! นังบ้ากล้าดีอย่างไรถึงทำของๆ พวกข้าแตกเช่นนี้ เจ้าต้องชดใช้”
“ใครบอกว่านี่เป็นของๆ เจ้ากัน กระเบื้องเคลือบนี้เป็นของที่ท่านแม่ของข้ามอบมันให้กับข้าก่อนจะออกเรือน เป็นพวกเจ้าต่างหากเล่าที่ขโมยมันไปจากข้า ของมีราคาเช่นนี้ข้าเองก็นึกเสียดายแต่หากต้องตกไปอยู่ในมือของคนเช่นพวกเจ้า สู้ให้มันแตกไปแบบนี้ข้าสะใจกว่า”
“นังอัปลักษณ์!”
“หุบปาก! ออกไปจากบ้านข้าเดี๋ยวนี้”
“นังเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า เจ้ากล้าดีอย่างไรมาไล่พวกข้า”
“หากนางไล่ท่านไม่ได้เช่นนั้นข้านี่ล่ะที่จะเป็นคนไล่ท่านเอง”
“ฮูหยินซ่งข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าท่านจะเป็นคนใจหยาบถือสาแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ อะไรที่ไม่ใช่ของตนเองท่านก็ยังจะเอามาเป็นของตนเองช่างน่าแปลกใจเสียจริงที่ท่านพ่อชื่นชมท่านนักหนา”
“นี่เจ้า!”
“ท่านแม่กลับกันเถอะเจ้าค่ะคนมามุงดูกันใหญ่แล้ว”
“เมื่อครู่ไม่เห็นอาย”
ฮูหยินซ่งเอ่ยออกมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว นางเสียดายกระเบื้องเคลือบชิ้นนั้นจริงๆ เนื่องจากเป็นลวดลายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนและน่าจะมีราคาที่สูงลพอตัวน่าแปลกที่ครอบครัวตระกูลมู่ของนางที่ถือว่าไม่ได้ร่ำรวยมากแต่กลับได้ครอบครองของล้ำค่าเช่นนั้น
‘ไปได้มาจากไหนกันนะ’
แต่ในเมื่อมันแตกไปแล้วเช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะมายืนต่อล้อต่อเถียงกับคนถ่อยๆ พวกนี้ นางเหลือบไปมองมู่อิงเถาเล็กน้อยก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกจากบ้านซ่อมซ่อหลังนั้นด้วยความรวดเร็ว
“เฮ้อ..ไปได้เสียที หงเอ๋อเจ้าเจ็บมากหรือไม่”
“ท่านอาสะใภ้แผลเล็กแค่นี้ข้าไม่เป็นไร โอ๊ย!”
“อะไรกันข้าก็แค่จับเบาๆ เองนะ”
ซ่งอวี่ถงหันไปมองหลานชายของตนเองก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วจับดูที่แขนของเขาเบาๆ ดูแล้วเหมือนโดนของแข็งทุบตีจนช้ำไปหมดไม่แน่อาจจะกระดูกหักไปแล้ว
มู่อิงเถาชำเลืองมองไปที่ซ่งอวี่ถงเล็กน้อย นางรู้อยู่เต็มอกว่าตอนนี้ซ่งหงอี้นั้นกระดูกแขนหักเป็นที่เรียบร้อย สงสารก็สงสารแต่ใจก็อยากจะรู้ว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าของนางนี้จะจัดการเช่นไรต่อไป
“เจ้าช่วยอยู่เป็นเพื่อนเขาทีข้าจะไปตามท่านหมอมาดูอาการเสียหน่อย”
“ท่านมีเงินงั้นหรือ”
“มีเพียงเล็กน้อยในตอนที่ข้าไปขายของป่าในเมืองได้หาเวลาว่างไปรับจ้างทำงานอยู่บ้าง เก็บเงินไว้ใช้ในบ้านน่ะ”
‘เป็นคนดีอะไรเช่นนี้นี่เป็นตัวร้ายแน่นะ’
“จะว่าไปแล้วเหตุใดท่านถึงกลับมาเร็วนักล่ะหรือว่าลืมของ”
มู่อิงเถาเอ่ยปากถามซ่งอวี่ถงเมื่อเห็นว่าเขากลับมาเร็วเกินไป แม้หุบเขาจะอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านก็จริงแต่ก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วยามในการเดินทางไปกลับแต่นี่เขากลับใช้เวลาเพียงสองชั่วยามเท่านั้น
'ไปทำอะไรกันแน่นะ'
“ข้าเพียงแค่นำลอบดักสัตว์ไปวางไว้ก็เท่านั้นแล้วก็รีบกลับมา สังหรณ์ใจแปลกๆ ว่าที่บ้านอาจมีเรื่องแล้วก็ใช่มีจริงๆ”
“ท่านอย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะหงเอ๋อก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว อีกอย่างบ้านใหญ่ก็คงไม่มาละลานพวกเราอีกนานเลย นี่ก็ใกล้ยามซื่อแล้ว (09.00-11.00 น.) ท่านรีบไปเถอะกว่าจะเดินทางกลับเดี๋ยวจะมืดค่ำไปเสียก่อน”
“อืม”
เพราะที่ผ่านเซี่ยอิงอิงต้องไปเรียนปักผ้าตามที่มารดาเลี้ยงของนางต้องการจึงไม่มีเวลามาพบปะสนทนากับมู่อิงเถานั่นเอง วันนี้ทั้งวันนางจึงมาอยู่เฝ้าพูดคุยกับมู่อิงเถาจนเวลาล่วงเลยไปถึงยามเย็น เมื่อถึงเวลากลับบ้านดูสาวน้อยผู้นั้นจะอาลัยอาวรณ์นางอยู่ไม่น้อยมู่อิงเถาออกมาส่งนางที่หน้าประตูจวนทั้งยังโบกมือลาให้เด็กสาวเมื่อรถม้าของนางพ้นจากระยะสายตาแล้วก็ได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งพูดขึ้นมาว่า“นั่นแม่นางเซี่ยนี่นา นางมาทำไมหรือขอรับอาสะใภ้”“หืม หงเอ๋อเจ้าเองหรอกหรือหายไปไหนมาข้าไม่เจอเจ้าเลยตั้งแต่ที่เข้าเมืองหลวง”“ข้าไปฝึกเรียนวรยุทธ์มาน่ะขอรับอาสะใภ้ ไม่ใช่สิพระชายา”“เรียกข้าว่าอาสะใภ้แบบเดิมน่ะดีแล้ว”“ไม่ได้หรอกขอรับตอนนี้ท่านเป็นถึงพระชายาแล้วจะให้เรียกแบบเดิมได้อย่างไรกัน”“ตามใจเจ้าเถอะ แล้ววันนี้ไม่มีเรียนงั้นหรือ”“ท่านอาจารย์ให้ข้าหยุดได้สิบวันขอรับ ข้าจึงรีบเดินทางมาหาพวกท่าน”“ดีเลยเช่นนั้นช่วงเวลาสิบวันนี้ก็ทำตัวให้ว่างล่ะพวกเราจะไปเที่ยวกัน”“เที่ยว?”“อืม”“ไปไหนขอรับ”หมู่บ้านต้าไห่ เมืองเป่ยเย่-บ้านตระกูลซ่ง-“ท่านแม่ท่านรู้มานานแล้วเช่นนั้นหรือ ที่ท่านไม่อยากให้ข้าไป
-เจ็ดวันผ่านไป-เมื่องานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของพระชายารัชทายาทและองค์ชายน้อยมาถึงในวังหลวงก็ดูจะครึกครื้นกันยิ่งนักบรรดาเหล่าขุนนางและฮูหยินของพวกเขาต่างก็ทยอยเดินเข้ามาในงานกันเรื่อยๆขณะที่มู่อิงเถาเดินอยู่เคียงข้างกับเยี่ยอ๋องอยู่นั้นก็ได้ยินขุนนางที่ยืนจับกลุ่มกันกำลังซุบซิบนินทานางอยู่แม้จะพูดคุยกันด้วยเสียงอันเบาแต่กับคนที่มีวรยุทธ์แล้วนั้นย่อมได้ยินชัดทุกถ้อยคำ“ท่านอ๋องผู้นี้ช่างเก่งกาจและมีบุญบารมีมากเหลือเกินแต่น่าเสียดายที่ชายาของเขานั้นกลับเป็นหน้าเป็นตาให้เขาไม่ได้”“จริงดังที่ใต้เท้ากล่าวสตรีผู้นั้นเป็นเพียงคนธรรมดาไหนเลยจะส่งเสริมท่านอ๋องได้กัน”“บุตรสาวของใต้เท้าซู ‘ซูม่านอวี้’ ผู้นั้นท่านว่าเป็นอย่างไรนางพึ่งผ่านวัยปิ่นปักไปได้ไม่นานทั้งยังไม่มีคู่ครองอีกด้วยดูเหมือนว่า….”เยี่ยอ๋องที่หยุดเดินกะทันหันก็ทำให้มู่อิงเถางุนงงไปไม่น้อย“มีอะไรหรือเจ้าคะ”เยี่ยอ๋องไม่ตอบนาง เขาหันหลังกลับไปจ้องมองขุนนางกลุ่มนั้นก่อนจะชำเลืองมองไปด้วยแววตาที่น่ากลัวยิ่งนักทำเอาใจของคนที่พบเห็นใจสั่นไหวไม่น้อย“ใต้เท้าผู้นี้พูดถึงชายาของข้าอยู่กระนั้นหรือ”“อะ เอ่อกระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะท
มู่อิงเถาไม่มีอารมณ์เดินเที่ยวเล่นต่อแล้วนางเลือกที่จะกลับจวนก่อนจะเดินหนีเขาเพื่อกลับไปที่ห้องอย่างรวดเร็ว“เจ้าเดินช้าๆ หน่อยสิเดี๋ยวก็หกล้มหรอก”“ข้าไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ”มู่อิงเถาไม่หยุดฟังเขาพูด นางเดินต่อไปด้วยย่างก้าวที่เร็วขึ้นเหมือนไม่ต้องการที่จะเดินอยู่เคียงข้างเขาอย่างไรอย่างนั้น จนซ่งอวี่ถงต้องเร่งฝีเท้าขึ้นไปประชิดจนถึงตัวของนางก่อนจะคว้าแขนเล็กนั้นเอาไว้มั่น“อิงเอ๋อข้าบอกว่าอย่าเดินเร็วอย่างไรเล่า เดี๋ยวก็หกล้มหรอก”“ท่านสนใจด้วยหรือ”“เป็นอะไร”มู่อิงเถาหลับตาลงก่อนจะพยายามสงบจิตใจที่ว้าวุ่นของนาง‘ใช่นางเป็นอะไรไป พักนี้ก็ยังไม่เข้าใจตนเองเท่าใดนักก็แค่สตรีคนนั้นคนเดียวนางจะคิดอะไรมากกัน’“ท่านมีอะไรจะพูดกับข้า”“เข้าไปข้างในกันเถอะ”“พูดตรงนี้ก็ได้”ซ่งอวี่ถงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านางมืออีกข้างของเขาล้วงเข้าไปในแขนเสื้อหยิบบางอย่างออกมาก่อนจะจับไปมือของนาง มู่อิงเถาคิดอยากจะสะบัดออกแต่ซ่งอวี่ถงกับจับมือของนางเอาไว้แน่น“อยู่นิ่งๆ สิ”“ท่านจะทำอะไร”ซ่งอวี่ถงไม่ตอบเขาชำเลืองมองนางเล็กน้อยก่อนจะหยิบของสิ่งนั้นมาสวมที่นิ้วมือของนาง‘นี่มันแหวนที่ข้าไปจำน
-ท้องพระโรง-มู่อิงหลันเคยเป็นหนึ่งในกุ้ยเหรินของฮ่องเต้มู่หรงฉีนางเคยร่วมมือกับเสียนเฟยมารดาขององค์ชายใหญ่ลอบทำร้ายอดีตฮองเฮา แต่ถูกเสียนเฟยโยนความผิดให้นางทั้งหมดจึงถูกขับไล่ออกจากวังหลวงนางจึงได้คิดการก่อเรื่องราวใหญ่โตจนนำมาสู่โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่เสียนเฟยที่ก่อนหน้านี้ถูกลดอำนาจกักขังเพียงในตำหนักของตนแต่เมื่อถูกเยี่ยอ๋องรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมาและปรากฎว่าเป็นนางที่เป็นคนบงการให้สังหารอดีตฮองเฮาจึงได้ถูกฮ่องเต้ตัดสินให้จองจำในตำหนักเย็นจากนั้นเป็นต้นมาซูเฟยพระมารดาของรุ่ยอ๋องเองก็มีความผิดฐานยุยงส่งเสริมและเคยมอบกองกำลังของสกุลซูแก่องค์ชายใหญ่นางจึงถูกเนรเทศให้ไปอยู่ที่เมืองเล่อซีแดนตะวันตกกับรุ่ยอ๋องโอรสของนางที่เดินทางไปก่อนหน้านี้แล้วนั่นเองฮ่องเต้น่าจะระแคะระคายเรื่องนี้มาบ้างแล้วถึงได้ส่งองค์ชายสามรุ่ยอ๋องไปก่อนแล้วจึงส่งซูเฟยให้ตามเขาไปทีหลัง นับว่าเขายังมีคุณธรรมมากพอไม่คิดสังหารลูกเมียไปจนหมดสิ้นเรื่องราวในราชวงศ์ซับซ้อนและน่ากลัวดังที่เยี่ยอ๋องหรือก็คือซ่งอวี่ถงเคยพูดเอาไว้นั่นเอง เขาจึงไม่มีความคิดอยากที่จะมาเหยียบที่แห่งนี้เลยสักเพียงนิดหากไม่ใช่เพราะอยากเรียกร้องที่มารด
การเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงนั้นใช้เวลาถึงสิบวันเต็มเมื่อครั้งที่นางหนีจากเมืองเป่ยเย่ไปยังเมืองฉางอันใช้วิธีล่องเรือไปนั่นก็ทรมานปวดมวนท้องไปตลอดเส้นทางแล้ว มาครั้งนี้การที่ต้องมานั่งอยู่บนรถม้าก็ยิ่งทำให้นางปวดระบมไปทั้งตัวจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว“อดทนหน่อยนะอีกไม่กี่ลี้ก็ถึงเมืองหลวงแล้ว”“ข้าทนได้”“ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วว่าอย่าเพิ่งกลับมาก็ไม่เชื่อเห็นหรือไม่ว่าตอนนี้ร่างกายของเจ้ายิ่งแย่เข้าไปใหญ่”“ที่ข้าปวดเนื้อปวดตัวนั่นไม่ใช่เพราะท่านหรอกหรือ”“พูดอะไร”เขาจ้องมองนางเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่นางพูดหรือเขาแค่คิดไม่ทันกันแน่ ชายหนุ่มได้แต่บีบๆ นวดๆ ให้นางเพื่อให้อาการปวดเกร็งนั้นผ่อนคลายลงแต่นั่นกลับยิ่งทำให้นางเจ็บปวดมากขึ้น“พอแล้วๆ น้ำหนักมือของท่านมากเกินไปมันทำให้ข้าเจ็บมากกว่าเดิมเสียอีก”“ข้าทำเบามือสุดๆ แล้วนะ”มู่อิงเถาหันขวับไปจ้องมองใบหน้าใสซื่อของคนด้านข้าง“เบากระนั้นหรือเมื่อคืนวานไม่ใช่ท่านเป็นคนบอกข้าเองหรอกหรือว่าจะทะนุถนอมข้า แต่เหตุไฉนถึงได้เอาแต่ใจตนเองเช่นนั้นเห็นร่องรอยบนตัวข้าหรือไม่ยังดีที่เย่หยุนฟางเอาแต่ตามติดคุณชายเซี่ยนางถึงไม่ทันได้สังเกตมิเช่นนั้นข้าคงได้
สวนไผ่ที่ตั้งอยู่หลังบ้านเล็กๆ ริมทะเลสาบของนางนั้นเต็มไปด้วยต้นไผ่เขียวชอุ่มที่สั่นไหวไปตามแรงลมเสียงใบไผ่เสียดสีกันดังเป็นจังหวะ เมื่อก่อนนางมักมาเดินเล่นและพักผ่อนในที่แห่งนี้เป็นประจำหลังอาหารมื้อบ่ายมู่อิงเถาตั้งใจจะนอนพักสักงีบแต่ไม่ว่าอย่างไรหญิงสาวก็ไม่อาจหลับตาลงได้จึงออกมาเดินเล่นรับลมในที่แห่งนี้ก่อนที่สองเท้าจะพาตนเองเดินทอดน่องไปจนถึงทะเลสาบที่อยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านนักมู่อิงเถาเข้าไปนั่งเล่นที่ศาลาไม้มองเห็นเรือไม้ลำเล็กที่ถูกผูกเอาไว้ที่ท่าน้ำ น่าจะเป็นเรือที่ซ่งอวี่ถงจัดหามานั่นเอง“อากาศเย็นเพียงนี้ยังออกมาเดินเล่นอีกเดี๋ยวก็ได้เป็นหวัดหรอก เหตุใดถึงไม่ใส่เสื้อหนาๆ มาด้วยนะ”‘ตะ ตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย’ชายหนุ่มถอดเสื้อคลุมตัวนอกของเขาออกก่อนจะคลุมไปที่ไหล่บางของนาง ความอบอุ่นของเสื้อคลุมที่เพิ่งถอดออกจากตัวของเขาและกลิ่นกายที่คุ้นเคยนั้นทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเสียอย่างนั้นปากของเขาก็เอาแต่พร่ำบ่นไม่มีหยุด‘บ่นเป็นตาแก่ไปได้’“เมื่อก่อนท่านไม่เห็นบ่นเช่นนี้เลยนะ”“นั่นมันเมื่อก่อน”พูดจบก็นั่งลงข้างๆ นางจ้องมองใบหน้าหวานนั้นไม่วางตา“เมื่อก่อนข้านั้นโง่เขลายิ