เมื่อกลับมาถึงบ้านสหายของซ่งเวยหลงก็รับหน้าที่ไปยืมเกวียนบ้านท่านผู้นำหมู่บ้าน จากนั้นทั้งสองคนก็ขนหมูป่าตัวใหญ่เข้าไปขายในเมือง โดยกำชับให้เซี่ยซูมี่นั้นรอเขาอยู่ที่บ้าน
“ข้า” เซี่ยซูมีกำลังจะขอเข้าไปในเมืองด้วย เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ต้องเดินเท้าสบายกว่ากันเยอะ
“เจ้ารอพี่อยู่ที่บ้าน พี่ไปไม่นานจะรีบกลับมา” ซ่งเวยหลงพูดดักขึ้น เพราะเพียงแค่เห็นสายตาตื่นเต้นของหญิงสาวก็รู้ได้ทันทีว่าคิดอะไรอยู่
“ก็ได้เจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่ไม่คิดดึงดันที่จะขอไปด้วย เพราะตัวเองก็มีงานใหม่ที่ต้องทำ นั่นคือเดินไปเก็บลูกพลับที่เหลือ ถึงอย่างไรแล้ววันนี้ก็ว่างไม่มีอะไรทำ จึงทำอะไรที่ก่อให้เกิดประโยชน์มากกว่านั่งรอสามีกลับมาบ้าน
เซี่ยซูมี่ใช้เวลาเกือบค่อนวันเก็บลูกพลับ ซึ่งตอนนี้นั้นลานหน้าบ้านได้เต็มไปด้วยลูกพลับสีส้มส่งกลิ่นหอม จากนั้นก็ล้างทำความสะอาดเพื่อปอกเปลือก ทำเป็นลูกพลับตากแห้ง เอาไว้กินในหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึง นอกจากนั้นก็ตั้งใจว่าจะลองเอาไปขายที่ในเมืองอีกด้วย เท่าที่เดินดูมายังไม่เคยเห็นของกินจำพวกนี้มาก่อน
“เหนื่อยใช่ย่อยแฮะ” เซี่ยซูมี่บ่นกับตัวเองหลังจากที่ล้างลูกพลับลูกสุดท้ายเสร็จ แต่ตอนนี้ที่บ้านไม่ได้มีที่ตากที่มากพอ คงต้องให้สามีสานที่ตากเพิ่มไม่อย่างนั้นมีหวังได้เน่าก่อนที่จะตากแห้งหมดอย่างแน่นอน
ยามเซิน ( 15.00-16.59 น.) ซ่งเวยหลงเดินเข้ามาภายในบ้าน ทั่วทั้งบ้านของเขาตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยลูกพลับ ส่งกลิ่นตลบอบอวนชวนให้เวียนหัว แต่เขาเองก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่สอดสายตาเพื่อหาตัวการที่ขนลูกพลับทั้งป่ามาไว้ภายในบ้าน
“กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ? ท่านหิวหรือไม่ข้าอุ่นอาหารไว้รอท่านพอดีเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่ได้ยินเสียงเท้าของคนเข้ามาภายในบ้าน จึงคิดว่าน่าจะเป็นสามีพรานป่าจึงเดินออกมาดู
“อืม” ซ่งเวยหลงไม่ได้ปฏิเสธ ทั้งๆ ที่ก่อนจะกลับก็ได้แวะซื้อหมั่นโถวกินมาระหว่างทางกับสหายแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นท่านนั่งพักให้หายเหนื่อยก่อน รอข้าสักครู่นะเจ้าคะ” เซี่ยซูมี่บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงรู้สึกดี เวลาที่เราใส่ใจใครสักคน หรือรอเขากลับมาบ้านเพื่อกลับมากินฝีมือที่ตัวเองทำ
แต่เมื่อกำลังจะยกออกไปให้เขาที่โต๊ะอาหารกลับรู้สึกไม่มั่นใจ ไม่รู้ว่าเขาจะกินฝีมือของตนได้หรือไม่ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าตัวเองก็ไม่ได้ทำอาหารเก่งแต่อย่างใด วันๆเอาแต่ทำงานเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่เคยต้องมาทำอาหารให้ใครกิน
“อะ เอ่อ ข้าเองก็เพิ่งจะเคยทำอาหาร เมื่อตอนที่ย้ายมาอยู่กับท่าน หากว่า...” เซี่ยซูมี่พูดขึ้น แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ ซ่งเวยหลงก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน
“รสชาติดี” เขาพูดเพียงเท่านั้น จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตากินราวกับว่าไม่เคยกินมาก่อน คำพูดเพียงแค่นี้ก็สามารถทำให้คนฟังใจฟูขึ้นมาได้
“ถ้าเช่นนั้นก็กินเยอะๆนะเจ้าคะ” เซี่ยซูมี่เผลอยิ้มออกมา และพูดกับเขาด้วยอาการยิ้มแย้ม
“เจ้าเอาลูกพลับมาทำอะไรตั้งมากมาย” ซ่งเวยหลงนึกขึ้นได้จึงเอ่ยถามขึ้น
“อ่อ ข้าจะเอามาทำลูกพลับตากแห้ง ไว้กินในช่วงฤดูหนาวน่ะเจ้าค่ะ ตั้งใจว่าจะเข้าไปเก็บในป่าด้วย หากมีมากก็จะเอาไปขายในเมือง” เซี่ยซูมี่บอกความตั้งใจของตัวเองออกไป
“นี่เป็นเงินขายหมูป่า ครั้งนี้อาจจะได้ไม่มากเพราะมีส่วนแบ่งเพิ่ม” ซ่งเวยหลงล้วงมือเข้าไปหยิบถุงเงินในอกเสื้อมาให้กับภรรยา
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ว่าแต่ขายได้เท่าไหร่หรือเจ้าคะ” เซี่ยซูมี่เอ่ยถามขึ้น เพราะในถุงเงินนี้คล้ายว่าจะมีพวงเงินอยู่หลายพวงทีเดียว
“800 อีแปะ แต่ให้ให้อาจื่อไป 300 อีแปะ ที่เขามาช่วยแบกหมูป่าไปขายในเมือง” ซ่งเวยหลงอธิบาย เป็นไปไม่ได้ที่จะแบ่งกันคนละครึ่ง เพราะกับดักนี้ซ่งเวยหลงเป็นคนทำขึ้นมาคนเดียว ส่วนสหายของเขานั้นแค่มาช่วยยกมันขึ้นมาเท่านั้น ได้ไปตั้ง 300 อีแปะก็ถือว่ามากพอแล้ว
“เจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่รู้สึกเสียดาย หมูป่าน้ำหนักตัวราวๆ ร้อยกว่าชั่งได้เงินแค่ 800 อีแปะเองหรือ ถ้าเช่นนั้นก็นำมันมาแปรรูปเป็นอย่างอื่น แล้วเอาออกไปขายจะไม่ดีกว่าหรือ อย่างเช่นขาหมูรมควัน สามชั้นหมักเค็ม หรือไม่ก็แหนมหมู คิดว่ามันน่าจะขายได้ราคาที่ดีมากกว่าขายหมูเป็นตัวๆอย่างแน่นอน
“เจ้าจะไม่นับเงินในถุงนั่นก่อนหรือ” ซ่งเวยหลงพูดขึ้น เพราะหากเป็นบรรดาภรรยาของสหายเขาทั้งหลาย ทันทีที่พวกหล่อนได้เห็นห่อผ้าใส่เงิน เป็นต้องคลี่ออกมานับว่าขาดเกินอยู่เท่าไหร่ และจะต้องไล่บี้ถามเอาความจริงว่าเงินส่วนที่เหลือไปไหน ซึ่งแน่นอนว่าส่วนมากแล้วมักจะลงที่ไหสุรา เขาเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นนักร่ำสุรา เพียงแต่ช่วงนี้ไม่ยังไม่ว่างที่จะออกไปก็เท่านั้น
“ไม่เจ้าค่ะ ท่านพี่ว่าเท่าไหร่ข้าก็ว่าเท่านั้นจะต้องนับทำไมกันหลายรอบ” เซี่ยซูมี่แสดงออกว่าไว้ใจสามี
การที่คนสองคนจะใช้้ชีวิตอยู่ร่วมกันสิ่งสำคัญที่สุดคือความซื่อสัตย์ รองลงมาคือความไว้เนื้อเชื่อใจกัน หากมัวแต่มาใช้ชีวิตบนความหวาดระแวง แล้วจะหาความสุขได้อย่างไรกัน
“อืม” ซ่งเวยหลงเมื่อได้ยินคำตอบก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่คิดว่าภรรยาในนามจะไว้ใจตนมากถึงเพียงนี้ มันทำให้เขารู้สึกว่าเข้าใกล้คำว่าสามีภรรยาเพิ่ิมมากขึ้น นอกจากการกลับบ้านมาแล้วมีคนทำอาหารไว้รอ ซักเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้านเอาไว้ให้ และรอกินข้าวด้วยกันในทุกๆ มื้อ
“จริงสิเจ้าคะ ท่านช่วยตัดไม้ไผ่มาสานกระด้งอันใหญ่ๆ ให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่นึกได้ว่ายังไม่มีที่สำหรับตากลูกพลับ
“ได้ พรุ่งนี้พี่จะจัดการให้ ว่าแต่เจ้าจะเอาไปทำสิ่งใดหรือ?” แค่เรื่องตัดไม้ไผ่มาสานกระด้งไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เพียงแต่นางจะเอาไปทำอะไร เพราะในบ้านก็มีแล้ว 2-3 อัน
“ข้าจะเอามาตากลูกพลับน่ะเจ้าค่ะ ทิ้งไว้นานเกรงว่ามันจะเน่าทิ้งเสียก่อน อีกอย่างข้าก็อยากจะเร่งไปเก็บต้นที่เหลือด้วย เพราะมันเริ่มจะสุกจนหมดแล้ว” เซี่ยซูมี่ไม่คิดปิดบัง เพราะหากให้ทำคนเดียวมีหวังตายก่อนรวยอย่างแน่นอน
“ถ้าเช่นนั้นพี่จะไปขอซื้อจากท่านลุงจูดีกว่า เพราะท่านลุงทำพวกนี่ขายโดยเฉพาะ หากมัวแต่รอพี่สานให้เจ้ามีหวังลูกพลับพวกนี้ของเจ้าได้เน่าก่อนเป็นแน่” เมื่อดูจากปริมาณที่ภรรยาเก็บมาแล้ว ซ่งเวยหลงคิดว่าคงจะต้องตากเลย การสานกระด้งไม่ใช่เรื่องยาก หากแต่ว่าจำเป็นต้องใช้เวลา เพราะต้องขึ้นเขาไปตัดไม้ไผ่ จากนั้นก็ต้องนำมาเหลาเป็นแผ่นบางๆ เพื่อสาน เกรงว่าจะใช้เวลาหลายวันกว่าจะเสร็จ
“ถ้าเช่นนั้นท่านพี่จัดการให้ข้าด้วยก็แล้วกันเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่มอบหมายหน้าที่นี้ให้กับสามี เพราะไม่รู้จักบ้านของพ่อเฒ่าจูว่าอยู่ที่ไหน หากจะพูดหรือบอกออกไปว่าไม่รู้จัก ก็กลัวว่าจะเป็นที่น่าสงสัยกันอีก สู้โยนให้เขารับผิดชอบเองเลยก็แล้วกันส่วนตนนั้นทำหน้าขึ้นเขาไปเก็บลูกพลับสบายใจกว่า
เช้าวันถัดมาซ่งเวยหลงตื่นขึ้นมาในยามอิ๋น ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตา จากนั้นก็เดินไปที่บ้านของพ่อเฒ่าจู ตามที่ได้รับคำสั่งจากภรรยา
ตอนที่ตนตื่นขึ้นมานั้นนางยังนอนอยู่ข้างๆ ไม่รู้สึกตัว อาจจะเป็นเพราะว่าเหนื่อยจากการขึ้นเขาไปเก็บลูกพลับมาทั้งวัน ดูจากปริมาณที่กองในพื้นห้องโถงบ้านก็น่าจะพอเดาได้คร่าวๆว่าไม่น่าจะต่ำกว่า 5-6 เที่ยวอย่างแน่นอน
“ท่านลุงจูตื่นหรือยังขอรับ?” ซ่งเวยหลงเดินเข้าไปบริเวณรั่วบ้านของพ่อเฒ่าจู ที่กล้าตะโกนเรียกเป็นเพราะว่าสังเกตเห็นตะเกียงภายในบ้านจุดอยู่ นั่นหมายความว่าคนในบ้านเองก็น่าจะตื่นแล้วเช่นเดียวกัน
“ตื่นแล้ว นั่นใครหรือ? เสียงเหมือนอาหลง ใช่อาหลงหรือไม่?” พ่อเฒ่าจูอาศัยอยู่คนเดียว เนื่องจากว่าภรรยาอันเป็นที่รักได้จากไปแล้ว ส่วนลูกสาวทั้งสองคนก็แต่งงานไปมีครอบครัวย้ายไปอยู่บ้านสามี ทำให้พ่อเฒ่าจูต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง ก็คงจะมีเพียงซ่งเวยหลงเท่านั้นที่มักจะเอาของป่ามาให้อยู่บ่อยๆ
“ข้าเองขอรับ” ซ่งเวยหลงขานรับ เพราะไม่อยากทำให้คนแก่ต้องเป็นกังวล
“เข้ามาในบ้านก่อนสิ มีเรื่องอันใดถึงได้มาเวลานี้เล่า” พ่อเฒ่าจูนึกแปลกใจ หากจะบอกว่าเขากลับจากหาของป่าก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเวลานี้มันยามอิ๋นเท่านั้น
“ไม่ใช่หรอกขอรับ ข้าแค่จะมาถามซื้อกระด้งไปให้ภรรยาเท่านั้น” ซ่งเวยหลงปฏิเสธ
“ภรรยารึ เจ้าแต่งงานตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่อง” พ่อเฒ่าจูแปลกใจ งานสำคัญเพียงนี้ทำไมตนถึงไม่ได้ไปงาน
“ไม่ได้จัดงานใหญ่โตอะไรน่ะขอรับ มีเพียงพิธีกราบไหว้ฟ้าดินเท่านั้น ท่านลุงแก่แล้วเดินเหินไม่สะดวก เอาไว้ข้าจะหาเวลาพานางมาทำความเคารพท่านลุงนะขอรับ” ซ่งเวยหลงรู้สึกผิด เพราะตนเองก็นับถือพ่อเฒ่าจูเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง แต่เป็นเพราะปีนี้ท่านแก่ลงไปมากตนจึงไม่อยากทำให้คนแก่ลำบาก
“ดีๆ พาหลานสะใภ้มาให้ข้าเห็นหน้าก่อนตาย อยากจะเห็นหน้าแม่นางผู้นั้นว่าโชคดีมากเพียงใดที่ได้เจ้าเป็นสามี ฮ่าๆ” พ่อเฒ่าจูพูดเหย้าหลานชาย จากนั้นก็เข้าไปภายในห้องเก็บของ เพื่อหอบเอากระด้งมาให้หลานชายตามที่เขาต้องการ
“เท่าไหร่หรือขอรับ?” ซ่งเวยหลงเตรียมตัวจะล้วงเอาเงินในถุงผ้าที่ภรรยาเตรียมเอาไว้ให้
“ไอหยา…คนกันเองทั้งนั้นจะคิดเงินได้อย่างไรกัน นี่ถือว่าเป็นของขวัญแต่งงานให้หลานสะใภ้ก็แล้วกัน” พ่อเฒ่าจูส่ายหน้า พร้อมทั้งโบกมือไปมา เพราะเดิมทีก็ไม่คิดที่จะเก็บเงินกับหลานชายอยู่แล้ว แม้ว่าจะมีภรรยาหรือไม่ก็ตาม
“ขอบคุณครับท่านลุง ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” ซ่งเวยหลงพูดจบก็ขอตัวลา ในเมื่อเป็นของขวัญแต่งงานตนจะปฏิเสธได้อย่างไรกัน ถึงอย่างไรก็ต้องรับเอาไว้เป็นสินน้ำใจ หวังว่ากระด้งอันใหญ่ทั้ง 5 อันนี้น่าจะเพียงพอสำหรับการตากลูกพลับในครั้งนี้ของนาง
เมื่่อกลับถึงบ้านปรากฏว่าภายในบ้านมีการจุดตะเกียงขึ้นแล้ว นั่นแปลว่าภรรยาเขาตื่นแล้วอย่างนั้นหรือ ทำไมนางถึงตื่นเช้าเพียงนี้ เดิมทีตั้งใจว่าจะออกไปดูกับดักเสียหน่อย
“ทำไมตื่นเช้านักเล่า ไม่นอนต่ออีกสักหน่อย” ซ่งเวยหลงเข้าไปภายในบ้านเห็นร่างบางกำลังจะก่อไฟ
“นอนไม่หลับแล้วเจ้าค่ะ เมื่อคืนนอนเร็วทำให้นอนเต็มอิ่มแล้ว” เซี่ยซูมีตอบสามี ทั้งสองคนนอนบนเตียงเดียวกัน แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังคงเว้นระยะห่างกันไว้เป็นอย่างดี
เซี่ยซูมี่เองก็ตั้งใจว่าจะลองเปิดใจให้กับผู้ชายคนนี้ดู ไหนๆ ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว คงต้องมีนายหน้าหนวดนี้เป็นสามี แต่เมื่อสังเกตจากโครงหน้าของเขาแล้ว ก็อดที่จะคิดเข้าข้างตัวเองไมได้ว่าเขามีเสน่ห์ สายตาน่าหลงใหลชวนให้มองจ้องราวกับว่าถูกดึงดูดเข้าหากัน มีบางครั้งที่เผลอรู้สึกว่าเขาก็ดูดีไม่แพ้ชายใด แต่ก็เป็นเพียงเสี้ยวความรู้สึกเท่านั้น เพราะความจริงเรื่องที่ว่าสามีคือชายหนุ่มบ้านป่า หนวดยาวเฟื้อยก็ไม่ได้จางหายไปไหน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือข่าวลือที่ว่าเขาโหดเหี้ยมนั้น คงต้องบอกว่าไม่เป็นความจริงเลยสักนิด เพราะชายที่ยืนอยู่ข้างๆในเวลานี้นั้นช่างใจดีและแสนอบอุ่น
“ท่านพี่เจ้าคะ ข้าเจ็บท้องเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่ปลุกสามีในช่วงกลางดึกของคืนฝนตกหนักคืนหนึ่ง วันนี้กลับไม่โชคดีเหมือนครั้งที่คลอดซ่งอี้เทียน เพราะยังไม่ถึงกำหนดคลอดทุกคนจึงยังไม่มีการเตรียมการใดๆ “เจ็บอย่างไร ทนได้หรือไม่” ซ่งเวยหลงรีบลุกขึ้นเพื่อดูอาการของภรรยา ไม่หลงเหลือความง่วงเลยสักนิด “ไม่ไหวเจ้าค่ะ ให้คนไปตามหมอตำแยให้น้องทีเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่เค้นเสียงออกมา แม้ว่าภายในใจจะไม่อยากพูดคุยอะไรไปมากกว่านี้เลยก็ตามทันทีที่ฟังภรรยาพูดจบ ซ่งเวยหลงก็ออกไปสั่งการสาวใช้ที่คอยรับใช้หน้าห้อง ให้ไปตามหมอตำแยมาโดยด่วน ฮูหยินซ่งกำลังจะคลอดลูกแล้ว สาวใช้ในเรือนรีบลุกเพื่อไปทำหน้าที่ของตนเองที่ได้รับมอบหมายอย่างไม่มีอิดออด แม้จะสงสัยอยู่บ้างว่ายังไม่ครบกำหนดจะคลอดได้อย่างไร แต่ก็มีเสียงแตกหลายเสียง เนื่องจากว่าครรภ์ของฮูหยินนั้นใหญ่ผิดปกติหลังจากนั้นราวๆ 2 ชั่วยาม เซี่ยซูมี่ก็ได้ให้กำเนิดทายาทสกุลซ่ง แต่ที่น่ายินดีไปมากกว่านั้นคือเป็นแฝดชาย แม้ว่าจะคลอดก่อนกำหนด แต่แฝดทั้งสองก็สมบูรณ์แข็งแรงดี เมื่อแฝดทั้งสองคลอดฟ้าฝนกลับหยุดลง จากนั้นก็มีแสงใหม่ของอีกวันโผล่ขึ้น คล้ายจะบอกเป็น
3 ปีผ่านไป ซ่งอี้เทียนเริ่มโตขึ้นมาก อีกทั้งยังเป็นเด็กที่รู้มากอีกด้วย เซี่ยซูมี่สอนลูกชายอ่านเขียนตั้งแต่ยังเด็ก ด้วยหวังว่าโตขึ้นไปในภายภาคหน้าเขาจะสามารถดูแลตัวเองได้ ส่วนกิจการของบ้านซ่งต้องบอกว่าขยายใหญ่โตมาก อีกทั้งยังสร้างโรงเตี๊ยมขึ้นมา เพื่อแข่งกับโรงเตี๊ยมเหอฟู่อีกด้วย โดยให้ชื่อโรงเตี๊ยมว่า หลงโถว เช่นเดียวกับร้านค้า ผู้คนในเมืองรวมไปถึงลูกค้าต่างเมือง ต่างรู้จักร้านหลงโถวนี้เป็นอย่างดีทางด้านคุณชายเหอได้ถูกทางการจับตัว เนื่องจากว่ามีคนมาร้องเรียนเรื่องที่ลูกสาวหายตัวไป หลังจากที่แต่งเข้าไปเป็นอนุ เมื่อมีคนมาร้องเรียนกับทางการ อีกหลายๆคนที่ได้ข่าวก็เริ่มมาร้องเรียนบ้าง เนื่องจากว่าเมื่อก่อนชาวบ้านต่างเกรงกลัวอำนาจและบารมีของสกุลเหอ อีกทั้งยังมีท่านเจ้าเมืองหนุนหลัง ทำให้ไม่มีใครแจ้งความเอาผิด แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อมีท่านรองแม่ทัพหยางเข้ามาประจำการในเมืองนี้ ทำให้ชาวบ้านสามารถเข้าถึงทางการได้ง่ายขึ้น“มีชาวบ้านเข้ามารองเรียนเรื่องคนหายไม่เว้นวัน” ท่านเจ้าเมืองถอนหายใจ ไม่คิดเลยว่าสหายที่เติบโตด้วยกันมาจะเป็นคนเช่นนี้ เดิมทีเหอฟู่ผู้นี้เป็นคนจิตใจดีมีเมตตา
หลังจากที่ให้ลูกชายกินนม เซี่ยซูมี่จึงพาลูกชายออกมายังห้องโถง ซึ่งแม่บ้านเห่ยนำเตาขนาดเล็กมาวางไว้รอบๆ ห้อง เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับภายในบ้าน ทำให้บ้านไม่หนาวเย็นอย่างที่ควรจะเป็น “มาแล้วหรือหลานชายของป้า มาให้ป้าอุ้มให้หายคิดหน่อยหน่อยเถิด” เซี่ยซือมั่นเงยหน้าจากผ้าที่กำลังปักอยู่ จากนั้นก็ยื่นงานปักให้สาวใช้คนสนิททำต่อ ส่วนนางนั้นเอื้อมมือเพื่อที่จะไปอุ้มหลายชายเข้าสู่อ้อมกอดซ่งอี้เทียนเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความรักความเอ็นดูที่ท่านป้าหมาดๆของเขามีให้ ทารกน้อยอายุเพียง 1 เดือน จากตอนแรกที่อยู่ในอ้อมกอดมารดา จึงยอมให้ท่านป้าของเขาอุ้มเข้าไปกอดอย่างง่ายดายส่วนทางด้านท่านป้าที่เมื่อได้อุ้มหลานชายแล้วนั้น ก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่าหลานชายไม่ได้ผอมแห้งดังเช่นที่ตนนั้นกังวล แต่เขากลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ทารกน้อยมีน้ำหนักหากจะพูดแล้วนั้น น่าจะหนักกว่าเด็กทั่วๆ ไปเสียด้วยซ้ำ คิดไม่ถึงว่าทารกที่กินเพียงน้ำนมของผู้เป็นแม่เพียงอย่างเดียวจะอุดมสมบูรณ์ได้ “เป็นไรไปหรือเจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่สังเกตเห็นสีหน้าฉงนของพี่สาวจึงอดที่จะเอ่ยถามออกไปไม่ได้ “เสี่
1 เดือนผ่านไปเซี่ยซูมี่ออกจากการอยู่ไฟแล้วเรียบร้อย อีกทั้งวันนี้ยังมีแขกมาเยี่ยม ซ่งอี้เทียน นั่นก็คือท่านป้าและท่านลุงหยางหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือท่านรองแม่ทัพหยางนั่นเองกล่าวถึงเซี่ยซือมั่นเมื่อเข้าไปทำงานยังจวนของท่านรองแม่ทัพ ก็ได้มีโอกาสศึกษาดูใจกับรองแม่ทัพหนุ่มมากขึ้น ทำให้ทั้งสองคนมีโอกาสได้ใกล้ชิดกัน อีกทั้งหญิงสาวยังรับหน้าที่ในการทำอาหารขึ้นโต๊ะให้แก่เขาเองอีกด้วย คุณสมบัติเพียบพร้อมเช่นนั้นจะหนีจากฮูหยินใหญ่ของเขาไปได้อย่างไรกัน“หลานชายของป้า น่าตีท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้ายิ่งนัก หลานชายคลอดทั้งที กลับไม่ส่งข่าวคราวให้ป้าบ้างเลย” เซี่ยซือมั่นทำทีเป็นบ่นกับหลานชาย ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วพ่อกับแม่ของเจ้าก้อนกลมนั้นก็นั่งอยู่ด้วย “หิมะตกหนัก อีกทั้งข้าเองก็เพิ่งจะออกจากการอยู่ไฟ ป้าเห่ยไม่ยอมให้ข้าเห็นเดือนเห็นตะวันเลยล่ะเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่อดที่จะบ่นแม่บ้านของตัวเองไม่ได้ เพราะนางไม่ยอมให้ออกไปไหนเลยแม้ว่าจะอ้อนวอนมากเพียงใดก็ตาม เซี่ยซูมี่เป็นคนสะอาด จะยอมให้ผมตัวเองมันเยิ้มได้อย่างไรกัน นอกจากมันแล้วก็ยังรู้สึกคันหนังหัวแต่ไม่อยากสอดนิ้วมือเข้าไปเพราะหนังหัวช่
เซี่ยซูมี่ลืมตาตื่นในเช้าของอีกวัน คิดว่าตัวเองฝันไปหรือเป็นเรื่องจริง แต่เมื่อใช้มือคลำสัมผัสที่หน้าท้องกลับพบว่ามันยุบลง ไม่ป่องเหมือนเมื่อวาน นอกจากนั้นแล้วในยามที่ขยับตัวก็รู้สึกเจ็บ อีกทั้งยังเหมือนได้ยินเสียงร้องงอแงของเด็กอีกด้วย “อือ” คุณแม่มือใหม่ส่งเสียงในลำคอ “ลูกพ่อ แม่ของลูกตื่นแล้ว” ซ่งเวยหลงตอนนี้กำลังอุ้มลูกชายอยู่สืบเนื่องจากเมื่อคืนที่ได้บอกกับหมอตำแยเอาไว้ว่าจะให้ลูกกินนมของภรรยาเป็นคนแรกนั้นต้องหยุดลง เนื่องจากว่าลูกชายร้องไห้งอแงในยามเช้าแต่ภรรยาเขากลับยังไม่ได้สติ ตนจึงจำเป็นต้องให้แม่นมที่เตรียมไว้สำหรับลูกชายทำหน้าที่แทนทารกน้อยราวกับว่ารับรู้และเข้าใจในสิ่งที่บิดาพูด ทันทีที่พูดถึงมารดาเขากลับเงียบเสียงลง คล้ายกำลังฟังเสียงการเคลื่อนไหวของมารดา แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเหมือนตอนที่อยู่ในท้อง เขากลับเริ่มเบะปากเตรียมที่จะร้องไห้อีกครั้ง “ท่านพี่ นะ น้ำเจ้าค่ะ น้องขอน้ำ” เซี่ยซูมี่รู้สึกลำคอแห้งผาก แม้ว่าอยากจะลุกขึ้นไปอุ้มลูกชายมากเพียงใด แต่ตอนนี้ตนต้องได้กินน้ำเพื่อให้ร่างกายมีแรงขึ้นมาก่อน “ฮูหยิน น้ำเจ้าค่ะ”
หลังจากที่ไปส่งพี่สาวที่จวนของท่านรองแม่ทัพ เรียกได้ว่าหายห่วงไปได้มากทีเดียว เดิมทีเซี่ยซูมี่ตั้งใจจะพาพี่สาวไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ให้สมกับตำแหน่งแม่บ้านใหญ่ของจวนท่านรองแม่ทัพ แต่กลับถูกเจ้าของจวนขัดขึ้นเสียก่อน เนื่องจากว่าเขาได้ให้คนงานจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อไปถึงจวนก็ไปดูที่พักของพี่สาว คงต้องบอกว่าไม่เหมือนกับที่พักพิงของคนงานเลยสักนิด แม้จะบอกว่าไม่ได้ให้เข้าทำงานมาเป็นทาส หรือแม้กระทั่งยกตำแหน่งแม่บ้านใหญ่ให้ ก็ยังดูไม่ใช่ที่พักของคนงานอยู่ดี แต่คล้ายว่าเป็นห้องนอนของแขกคนสำคัญมากกว่าเซี่ยซือมั่นได้แต่มองหน้าน้องสาวเพื่อขอความคิดเห็น แต่เซี่ยซูมี่กับเดินตัวติดกับสามี ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสายตาที่พี่สาวพยายามจะส่งมาให้ ได้เห็นการต้อนรับที่อบอุ่นเช่นนี้แล้วเซี่ยซูมี่เองก็เบาใจ “ท่านว่าพี่ชายของท่านจะจริงจังกับพี่สาวของข้ามากน้อยเพียงใดเจ้าคะ?” ระหว่างที่กลับบ้านป่า เซี่ยซูมี่ก็ชวนสามีพูดคุยเพื่อให้ไม่เหงาปากมากจนเกินไป “ชู่ว หยุดพูดจาส่งเดช มีคนตามมาส่งเราด้วย” ซ่งเวยหลงทำเสียงเป็นเชิงบอกให้ภรรยาหยุดพากพิงถึงบุคคลอื่น เนื่องจากว่าพี่ชายได้
“คารวะท่ารองแม่ทัพเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่และพี่สาวทำความเคารพรองแม่ทัพหนุ่มอีกครั้ง “ตามสบายเถิดน้องสะใภ้ ไม่ต้องมากพิธี” รองแม่ทัพกล่าวทักทายภรรยาของสหายอย่างเป็นกันเอง ทั้งๆที่ความเป็นจริงคือเขาเป็นคนที่ค่อนข้างระวังตัว ด้วยมีหน้าที่ที่ต้องถวายอารักขาความปลอดภัยให้แก่องค์ชายห้ามาตั้งแต่เด็กๆ “ท่านมาก็ดีแล้วขอรับ ข้าขอขอบคุณสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ด้วย” ซ่งเวยหลงเอ่ยขึ้น ช่วงที่ไปล่าสัตว์ด้วยกันเขาได้เรียนรู้หลายๆอย่างเกี่ยวกับวิชาป้องกันตัว รองแม่ทัพหนุ่มเองก็ได้เรียนรู้วิชาเอาตัวรอดเมื่ออยู่ในป่าเช่นกัน ทำให้ทั้งสองคนสนิทกันมาก “ไม่เป็นไร เรื่องของเจ้าก็เหมือนเรื่องขอข้า ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อจะมาทำเรื่องที่พูดเอาไว้ให้สำเร็จลุล่วง ซ่งเวยหลง เจ้าต้องการที่จะเป็นพี่น้องสาบานร่วมกับข้าหรือไม่?” รองแม่ทัพเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งจ้องมองหน้าสหายที่ตนเอ็นดูเหมือนน้องชายแท้ๆ “ไมตรีที่ท่านมอบให้ ข้าซ่งเวยหลงไม่อาจที่จะปฏิเสธได้ อีกทั้งยังรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้เป็นพี่น้องกับท่าน” ซ่งเวยหลงไม่คิดปฏิเสธ เพราะเขาเองก็รับรู้ได้ถึงความเมตตาที่รองแม่
ทุกคนถูกจับตัวไปที่ศาลของท่านเจ้าเมืองเพื่อช่วยตัดสิน โดยท่านลุงไท่ร้องทุกข์แก่ท่านเจ้าเมืองทันทีที่ไปถึง รวมไปถึงเซี่ยซูมี่และซ่งเวยหลงเองก็ถูกควบคุมตัวมาในที่นี้ด้วย “จับตัวข้ามาด้วยเรื่องอันใดกัน ข้าจะกลับหมู่บ้านป่า” นางเซี่ยโวยวายในขณะที่ถูกจับกุมตัวมีเพียงซ่งเวยหลงและภรรยาเท่านั้นที่ไม่ถูกควบคุมตัวโดยทหาร หากจะบอกว่าทหารเหล่านั้นเกรงกลัวสายตาของซ่งเวยหลงที่จ้องมองในตอนที่กำลังจะไปคุมตัวคนท้องก็คงจะไปผิด ทหารผู้น้อยจึงทำได้เพียงผายมือเชิญทั้งสองคนไปยังศาล ซึ่งเซี่ยซูมี่ก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด “หุบปาก ต่อหน้าท่านเจ้าเมืองห้ามเสียมารยาท” ลูกน้องคนสนิทของท่านเจ้าเมืองเอ่ยขึ้นน้ำเสียงน่าเกรงขาม ทำให้ชาวบ้านที่ตามมาดูคำตัดสินต่างเงียบไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใดออกมา หลังจากที่ท่านเจ้าเมืองเข้ามานั่งประจำตำแหน่งก็เริ่มทำการสอบสวน ซึ่งเปิดโอกาสให้กับผู้ร้องทุกข์นั่นก็คือท่านลุงไท่เป็นคนพูดก่อน “เซี่ยซือมั่น สิ่งที่ไท่หานพูดเป็นความจริงหรือไม่” ท่านเจ้าเมืองเริ่มทำการสอบสวน “ข้าน้อยเซี่ยซือมั่นคารวะท่านเจ้าเมือง สิ่งที่ท่านลุงไท่พูดเป็นความจริ
เซี่ยซือมั่นถูกบิดาจับข้อมือเอาไว้ แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่มารดาตะโกนออกมาจนสุดเสียง ท่านลุงไท่เองก็ตกใจเมื่ออยู่ดีๆ ก็ถูกกล่าวหาว่าคดโกง สมัยนี้เรื่องโกงต่างๆ ไม่ค่อยมีเกิดขึ้น ทุกคนอยู่ด้วยกันด้วยความซื่อสัตย์ รักเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเองเป็นอย่างมาก “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” ท่านลุงไท่มองตาเขียวรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก คนในเมืองรู้จักตนอยู่ไม่น้อย เพราะมีอาชีพรับของป่าจากหมู่บ้านต่างๆ มาขาย หากเรื่องนี้ถูกผู้คนเข้าใจผิด แล้วตนจะทำงานต่อไปอย่างไร “หมายความว่าที่ผ่านมาเจ้าคดโกงข้า วันนี้หากข้าไม่มารับเงินกับลูกสาวด้วยมือของข้าเอง ก็หารู้ไม่ว่าเจ้าโกงเงินข้าทุกเดือน เร่เข้ามา… มาดูคนหน้าด้านโกงได้แม้กระทั่งเงินอีแปะ” นางเซี่ยแผดเสียงออกไปเพื่อต้องการให้ทุกคนมามุงและสนใจ “นี่เจ้า….” ท่านลุงไท่ชี้หน้านางเซี่ยด้วยความโมโห จากนั้นก็หันไปสบตากับเซี่ยซือมั่น เพื่อต้องการให้นางพูดและอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น ตนไม่เคยคิดที่จะเปิดดูถุงผ้านั้นว่ามีเงินอยู่จำนวนเท่าใด เพราะความสงสารหญิงสาวที่จากบ้านมาทำงานไกลถึงในเมือง อยู่กินตัวคนเดียวเป็นสาวเป