Share

ตอนที่ 6

Author: Scince
last update Huling Na-update: 2025-05-14 12:11:14

“ถ้าเช่นนั้นก็ตามใจเจ้าแล้วกัน” ซ่งเวยหลงพูดขึ้น จากนั้นก็ดับไฟที่ตะเกียง แต่เมื่อก้าวขาขึ้นไปนอนบนเตียงเป็นต้องถอนหายใจ พร้อมทั้งลงจากเตียงเพื่อไปช้อนร่างบางขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกัน

          “ว้าย” เซี่ยซูมี่ร้องเสียงหลง ในความมืดมองไม่เห็นว่าชายหนุ่มเปลี่ยนใจแล้วมาอุ้มร่างตนขึ้นมา

          “ไปนอนด้วยกันบนเตียงนั่นแหละดีที่สุดแล้ว” ซ่งเวยหลงตัดสินใจ เพราะหากปล่อยให้นางนอนที่พื้น เขาเองก็คงจะนอนไม่หลับเช่นเดียวกัน

          “แต่ว่า” เซี่ยซูมี่กำลังจะเอ่ยค้าน

          “หากเจ้ายังไม่หยุดพูด ข้าจะทำให้เจ้าเงียบเดี๋ยวนี้เลยนะ หากไม่เชื่อเจ้าจะลองดูได้” ชายหนุ่มพูดขู่ เพราะทั้งสองคนเสียเวลากับเรื่องนี้นานเกินไปแล้ว สู้เอาเวลาที่ถกเถียงกันป่านนี้คงหลับได้เป็นตื่นแล้ว

เซี่ยซูมี่รีบคว้ามือมาปิดปากตัวเองไว้ในทันที นางไม่ควรท้าทายอำนาจใด ๆ ของชายบ้านป่า แม้ว่าจะรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่ก็ได้แต่คิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาคงไม่ทำอะไรเด็กอายุ 15 ปีเช่นตนเป็นแน่ นี่มันพรากผู้เยาว์เลยนะ

          “หึ” ซ่งเวยหลงหัวเราะในลำคอด้วยความพอใจ ที่หญิงสาวเงียบได้เสียที

เมื่อล้มตัวนอนลงจริง ๆ เตียงมันไม่ได้แคบอย่างที่นางพูด ออกจะกว้างเกินไปเสียด้วยซ้ำ หญิงสาวขยับตัวจนชิดผนังของบ้าน ส่วนตัวเขานั้นก็นอนชิดริมขอบเตียง เหลือช่องว่างตรงกลางให้นอนอีกราวๆ 2 คนเห็นจะได้

          “ขะ ข้าควรนอนด้านนอกไม่ใช่หรือเจ้าคะ?” นางเป็นหญิงควรนอนริม เพราะเวลาตื่นต้องตื่นก่อนสามี ลุกนั่งจะได้ไม่รบกวน

“เจ้านอนตรงนั้นถูกแล้ว ข้าตื่นเช้าอีกไม่กี่ชั่วยามต้องออกไปดูกับดักสัตว์” ซ่งเวยหลงพูดขึ้น

          “เจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่รับคำอย่างง่ายดาย เพราะเริ่มง่วงจึงไม่อยากจะต่อปากต่อคำอีก วันนี้เดินทางเข้าเมืองทั้งวัน เลยรู้สึกล้าเกินกว่าที่จะมาคิดหวาดระแวงกัน

ซ่งเวยหลงพยายามข่มตาหลับ แต่เป็นเพราะตื่นแล้วจึงยากที่จะข่มตาให้นอนหลับได้ เมื่อหันไปอีกทีร่างบางที่นอนข้าง ๆ ก็ผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอไปแล้ว คงจะเหนื่อยจากการเดินทางไม่น้อย อีกทั้งยังเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ราวกับว่าไม่เคยเห็นมาก่อน จะเป็นไปได้อย่างไรกัน เขาเองก็ไม่อยากจะเก็บเอาเรื่องไร้สาระมาคิดให้ปวดหัว แต่เมื่อคิดไปคิดมาก็เผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็เป็นเวลาที่ตนต้องออกไปดูกับดักที่วางเอาไว้เสียแล้ว

          เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นร่างบางนอนขดด้วยความหนาว อาจจะเป็นเพราะว่านางเอาผ้าห่มไปปูนอนที่พื้นแล้วไม่ได้เก็บขึ้นมา ตนจึงเอาผ้าผืนของเขานั้นห่มให้กับหญิงสาว จากนั้นก็เข้าป่าเพื่อไปดูกับดักสัตว์

“อือ” เซี่ยซูมี่รู้สึกตัวตื่นขึ้นในเช้าของอีกวัน หลังจากที่ได้นอนเต็มอิ่มก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที อีกทั้งที่นี่ยังอากาศบริสุทธิ์มาก ให้ความรู้สึกคล้ายว่าได้ลาพักร้อน เพื่อมาดื่มด่ำกับธรรมชาติ

หลังจากที่บิดขี้เกียจเสร็จแล้วก็เข้าไปทำกิจวัตรประจำวัน อากาศช่วงเช้านี่ก็หนาวเอาเรื่องเหมือนกัน หญิงสาวห่อตัวด้วยความหนาว จากนั้นก็เดินไปในครัวเพื่อทำอาหารเช้ารอสามี เขาบอกเอาไว้ก่อนหน้านั้นแล้วว่าต้องตื่นเช้าเพื่อไปล่าสัตว์ วันนี้จึงไม่ต้องเสียเวลาเดินตามหา

สรุปว่าตนกลายมาเป็นสาวชาวป่าจริง ๆ แล้วสินะ อยากจะลองขึ้นเขาดูบ้างสักครั้งว่ามีอะไรบ้าง ป่าในยุคนี้คงจะอุดมสมบูรณ์มาก จะหาประโยชน์อะไรจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าดีนะ แต่ก่อนอื่นต้องรีบเตรียมอาหารเพื่อรอสามีในนามเสียก่อน

          เซี่ยซูมี่ทำอาหารง่ายๆ สำหรับมื้อเช้า เนื้อกระต่ายที่หมักเอาไว้ยังเหลืออยู่ จึงนำมันมาผัดแต่อาจจะต้องใช้เครื่องเทศเพื่อดับกลิ่นคาว ซึ่งก็หาได้ไม่ยากเลยเพราะบริเวณรอบ ๆ บ้านมีสมุนไพร เครื่องเทศเต็มไปหมด นี่มันคือชีวิตที่เคยโหยหามาตลอดนี่นา หลบหนีจากความวุ่นวายแล้วมาใช้ชีวิตเรียบง่าย แต่ที่เมื่อก่อนถอยไม่ได้ เพราะมีอีกหลายพันชีวิตที่จะต้องดูแล เมื่อก้าวขึ้นหลังเสือแล้วก็ยากที่จะลงได้

หลังจากที่ทำอาหารรอสามีแล้ว ตอนนี้ราวๆ ยามเฉินที่นั่งรอสามีกลับมาจากล่าสัตว์ ซึ่งตัวเซี่ยซูมี่เองก็ไม่รู้ว่าสามีจะกลับมาตอนไหน หญิงสาวเข้าไปพับผ้าห่ม จากนั้นก็ทำความสะอาดบ้าน ก่อนอื่นเลยจะต้องสร้างบ้านที่แข็งแรงและดีกว่านี้ให้ได้เสียก่อน

วันก่อนที่เข้าเมืองเพื่อไปซื้อของ ไม่เพียงแต่เลือกซื้อของอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังสำรวจสิ่งของที่ชาวบ้านขายกันอีกด้วย อีกทั้งยังจดจำราคาสิ่งของต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ หรือว่านี่จะเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวมา นั่นก็คือความจำอย่างนั้นหรือ สิ่งของที่ได้เห็นก็มีเพียงสินค้าพื้นบ้านทั่ว ๆ ไป ที่จะมีราคาแพงหน่อยก็คงจะเป็นพวกของใช้ เครื่องนุ่งห่มแล้วก็เครื่องประดับ แต่ตัวเองไม่ถนัดทางด้านนี้เลยนี่สินะจะทำอย่างไรดี

          เซี่ยซูมี่นั่งคิดว่าตัวเองจะทำอย่างไรต่อไปดี ก็บังเอิญได้ยินเสียงสัตว์ร้อง ซึ่งหากเดาไม่ผิดก็น่าจะเป็นสามีนั่นเองที่พาพวกมันมา

         

“กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่พูดออกไปตั้งแต่อยู่ในบ้าน จากนั้นก็เดินออกไปดูสามีที่หน้าบ้าน ว่าเสียงสัตว์ที่ได้ยินนั้นคือเสียงของอะไร

          “อืม” ซ่งเวยหลงรับคำในลำคอ เพราะเขากำลังสาละวนกับการขังลูกหมูป่าทั้ง 3 ตัวในคอก

          “หมูป่าหรือเจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่ถามย้ำ เมื่อเห็นเจ้าลูกหมูอายุน่าจะประมาณ 1-2 เดือน พวกมันส่งเสียงร้องอยู่ในคอกข้างๆบ้าน

“อืม แม่ของมันตกลงไปในกับดักที่ข้าทำเอาไว้ แต่ลูกของมันรอดชีวิต ก็เลยเอาพวกมันมาเลี้ยงรอให้โตกว่านี้ก่อน ค่อยเอาไปขายให้หลงจู๊ในเมือง” ซ่งเวยหลงอธิบาย

          “แล้วท่านพี่จะไปขนมันมาอย่างไรล่ะเจ้าคะ? ข้าได้ยินมาว่าหมูป่าตัวไม่ใช่เล็กๆ” เซี่ยซูมี่ถามขึ้น อย่าบอกนะว่าเขาจะให้ไปช่วยแบกหมูป่าน้ำหนักเป็นร้อย ๆ ชั่งกลับบ้าน

          “เรียกอาจื่อไว้แล้ว อีกชั่วครู่ก็คงตามมา” ซ่งเวยหลงพูดน้ำเสียงเนือยๆ หล่อนคิดว่าตนจะให้ไปช่วยแบกหมูหรืออย่างไรกัน แค่โดนลมพัดก็จะปลิวแล้ว ไปเป็นภาระน่ะสิไม่ว่า

          “ข้าขอไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ? อยากจะเดินสำรวจรอบ ๆ ป่า” เซี่ยซูมี่ขออนุญาตสามี เพราะถึงแม้ว่าเขาไม่อนุญาต ถึงอย่างไรก็จะสะกดรอยตามไปอยู่แล้ว

          “ตามใจเจ้าเถิด เดินไม่ไหวอย่ามาเป็นภาระข้าก็พอ” ซ่งเวยหลงไม่ได้ว่าอะไร เพราะกับดักที่หมูป่าตกลงไปนั้นไม่ได้ไกลจากบริเวณบ้านของตนสักเท่าไหร่

 เขามักจะทำกับดักเอาไว้ใกล้ๆ บริเวณรอบ ๆ บ้าน เพราะเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอยู่เสมอ หากว่ามันมาทีเผลอก็อาจจะโดนมันทำร้ายได้เช่นกัน

“ถ้าเช่นนั้นรอข้าสักครู่นะเจ้าคะ” เซี่ยซูมี่เข้าไปเปลี่ยนชุดเป็นชุดเก่า ๆ เช่นเดิม เดินป่าคงไม่ดีแน่หากใส่ชุดใหม่ไป

เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย คนที่สามีเรียกว่าอาจื่อก็มาพอดี เขาเพียงยิ้มทักทายเท่านั้น ซึ่งสามีเองก็ไม่คิดที่จะแนะนำสหายของเขาให้รู้จัก

เซี่ยซูมี่ได้แต่ยิ้มและก้มหัวให้เขาเล็กน้อย เพื่อแสดงการทักทายและเดินตามหลังสามีไปอย่างเงียบๆ ระหว่างทางเซี่ยซูมี่ก็สังเกตเส้นทางไปด้วย เผื่อว่าพลัดหลงกับสามีจะได้หาทางกลับบ้านถูก สองข้างทางเห็นผลไม้ป่ามากมาย นั่นมันลูกพลับนี่นา น่าจะเอามาตากไว้ขาย คนแถวนี้เขาไม่นิยมกินกันหรืออย่างไร

เมื่อถึงจุดหมายที่สามีบอก ซึ่งมาคำนวณดูแล้วมันก็ไม่ได้อยู่ห่างจากบริเวณบ้านไปมากเท่าไหร่ แล้วทำไมเขาถึงกลัวว่าตนจะเดินไม่ไหวกันนะ

          “ท่านพี่เจ้าคะ ข้าขอตัวไปเก็บลูกพลับตรงโน้นได้หรือไม่เจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่ถามสามีอย่างเกรงใจ ต่อหน้าผู้อื่นต้องให้เกียรติสามี เพราะยุคสมัยนี้สามีคือทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเจ้าชีวิต

“อย่าไปไกลมาก พี่ดึงหมูป่าขึ้นได้แล้วจะไปตาม” ซ่งเวยหลงพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต จากนั้นก็มองตามหลังของภรรยาไป จนพบว่านางไปหยุดที่ต้นพลับต้นหนึ่งจึงหันมาสนใจกับดักตรงหน้าต่อ

          “ข้าคิดว่าท่านจะไม่สนใจนางเสียอีก” อาจื่อ สหายคนสนิทพูดขึ้นหลังจากที่เงียบปากอยู่นาน เดิมทีเขาเป็นคนช่างพูด แต่เป็นเพราะสหายไม่ยอมแนะนำภรรยาให้รู้จัก ตนจึงคิดว่าทั้งสองคงไม่ลงรอยกันเท่าไหร่

          “พูดมาก รีบดึงมันขึ้นมาเถอะ” ซ่งเวยหลงไม่ได้ตอบคำถาม เรื่องภายในบ้านห้ามนำออก และเรื่องภายนอกห้ามนำเข้า เขาไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องภายในบ้านของตนเองให้ผู้อื่นฟัง และไม่คิดที่จะสนใจเรื่องของผู้อื่น

          “ไม่เล่าก็ไม่เล่าตามใจท่านเถอะ” อาจื่อไม่เซ้าซี้ เพราะรู้จักนิสัยของสหายดี วันนี้ช่างเป็นวาสนาของตนยิ่งนักที่ได้มาช่วยสหายเอาหมูป่าตัวใหญ่ออกจากกับดักในครั้งนี้

ทั่วทั้งหมู่บ้านนี้ไม่มีใครไม่รู้จักฝีมือของซ่งเวยหลง ว่าเขานั้นเก่งกาจมากเพียงใด ไม่ใช่ว่ามีเขาเพียงคนเดียวที่เป็นนายพรานล่าสัตว์ แต่ไม่ค่อยมีใครยึดอาชีพนี้ทำงานเลี้ยงชีพ ส่วนมากแล้วแค่ล่าเพื่อเป็นอาหารของครอบครัวในฤดูหนาวเท่านั้น สัตว์ป่าดุร้ายไม่ใช่ใครก็จะล่าได้ง่าย ๆ ส่วนมากแล้วก็ทำไร่ทำนากันเพื่อเลี้ยงชีพทั้งนั้น

หลังจากที่พยายามกันอยู่ครึ่งชั่วยาม สองหนุ่มก็ลากหมูป่าขึ้นมาจากหลุมกับดักได้สำเร็จ

 เซี่ยซูมี่ที่กำลังเก็บลูกพลับจนเกือบจะเต็มตะกร้าที่พกติดตัวมาด้วย แต่เมื่อยกขึ้นสะพายหลังกลับพบว่าลุกไม่ขึ้น ช่างไม่ประมาณตนเอาเสียเลย ลืมไปว่าร่างนี้บอบบางมากแค่ไหน แม้จะผอมแต่ไม่ใช่ผอมแบบสุขภาพดี ผอมแบบผอมแห้งแรงน้อย พร้อมที่จะปลิวตามลมได้ทุกเมื่อ

“เหตใดถึงเก็บมามากมายเพียงนี้? มันมีอยู่ทั่วทั้งป่าจะมาอีกเมื่อไหร่ก็ย่อมได้” จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงสามีดังเข้ามาใกล้ และเมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเขายืนค้ำหัวอยู่

          “มีมากขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่ตาโต เพราะรู้สึกว่าจะเจอช่องทางหาเงินแล้ว

“มากมายนัก ไม่ค่อยมีผู้ใดกิน เพราะมันมีรสฝาด” ซ่งเวยหลงพูดขึ้น เขาเองก็เคยลองกินแล้ว มันมีรสฝาดจึงไม่คิดที่จะกินมันอีก

          “รสชาติดีเยี่ยมต่างหากล่ะเจ้าคะ ข้าจะทำให้ท่านพี่กินเอง” เซี่ยซูมี่คิดว่าที่เขาบอกว่ามีรสฝาดนั้น อาจจะเป็นเพราะกินตอนที่ผลของมันมีสีเหลือง แต่จะให้ดีต้องกินตอนมันสุก สีส้มรสชาติจะหวานกรอบมาก ๆ เลยด้วย แต่เดี๋ยวก่อนนะ หากว่าช่วงนี้ลูกพลับมีสีเหลืองเต็มต้นขนาดนี้ แสดงว่าก็ใกล้จะเข้าสู่หน้าหนาวแล้วน่ะสิ

          “ถือว่าข้าเตือนเจ้าแล้วก็แล้วกัน” ซ่งเวยหลงขี้เกียจต่อปากต่อคำ เพราะหากเขาชักช้ากว่านี้จะทำให้หมูป่าหมดราคา ไม่รู้ว่ามันตายมานานเท่าไหร่แล้ว โชคดีที่ตอนนี้ตัวมันยังอุ่น ๆ อยู่ต้องรีบไปขายเพื่อเรียกราคา

          “ท่านพี่เจ้าคะ ฤดูหนาวนี่หนาวมากหรือไม่เจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่ไม่สนใจคำขู่ของสามี เพราะรู้ว่ามีของอร่อยอยู่ตรงหน้า

          “หนาวไปจนถึงกระดูกเลยล่ะ อีกไม่กี่เดือนก็จะเข้าหน้าหนาวแล้ว เราคงต้องเริ่มเตรียมเสบียงกันในไม่ช้านี้” ซ่งเวยหลงขมวดคิ้วสงสัย แม่นางผู้นี้ทำราวกับว่าไม่เคยเจอฤดูหนาว แล้วนางโตมาได้อย่างไรกันถึง 15 ปี

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • สามีข้าคือพรานป่า   ตอนที่ 63

    “ท่านพี่เจ้าคะ ข้าเจ็บท้องเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่ปลุกสามีในช่วงกลางดึกของคืนฝนตกหนักคืนหนึ่ง วันนี้กลับไม่โชคดีเหมือนครั้งที่คลอดซ่งอี้เทียน เพราะยังไม่ถึงกำหนดคลอดทุกคนจึงยังไม่มีการเตรียมการใดๆ “เจ็บอย่างไร ทนได้หรือไม่” ซ่งเวยหลงรีบลุกขึ้นเพื่อดูอาการของภรรยา ไม่หลงเหลือความง่วงเลยสักนิด “ไม่ไหวเจ้าค่ะ ให้คนไปตามหมอตำแยให้น้องทีเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่เค้นเสียงออกมา แม้ว่าภายในใจจะไม่อยากพูดคุยอะไรไปมากกว่านี้เลยก็ตามทันทีที่ฟังภรรยาพูดจบ ซ่งเวยหลงก็ออกไปสั่งการสาวใช้ที่คอยรับใช้หน้าห้อง ให้ไปตามหมอตำแยมาโดยด่วน ฮูหยินซ่งกำลังจะคลอดลูกแล้ว สาวใช้ในเรือนรีบลุกเพื่อไปทำหน้าที่ของตนเองที่ได้รับมอบหมายอย่างไม่มีอิดออด แม้จะสงสัยอยู่บ้างว่ายังไม่ครบกำหนดจะคลอดได้อย่างไร แต่ก็มีเสียงแตกหลายเสียง เนื่องจากว่าครรภ์ของฮูหยินนั้นใหญ่ผิดปกติหลังจากนั้นราวๆ 2 ชั่วยาม เซี่ยซูมี่ก็ได้ให้กำเนิดทายาทสกุลซ่ง แต่ที่น่ายินดีไปมากกว่านั้นคือเป็นแฝดชาย แม้ว่าจะคลอดก่อนกำหนด แต่แฝดทั้งสองก็สมบูรณ์แข็งแรงดี เมื่อแฝดทั้งสองคลอดฟ้าฝนกลับหยุดลง จากนั้นก็มีแสงใหม่ของอีกวันโผล่ขึ้น คล้ายจะบอกเป็น

  • สามีข้าคือพรานป่า   ตอนที่ 62

    3 ปีผ่านไป ซ่งอี้เทียนเริ่มโตขึ้นมาก อีกทั้งยังเป็นเด็กที่รู้มากอีกด้วย เซี่ยซูมี่สอนลูกชายอ่านเขียนตั้งแต่ยังเด็ก ด้วยหวังว่าโตขึ้นไปในภายภาคหน้าเขาจะสามารถดูแลตัวเองได้ ส่วนกิจการของบ้านซ่งต้องบอกว่าขยายใหญ่โตมาก อีกทั้งยังสร้างโรงเตี๊ยมขึ้นมา เพื่อแข่งกับโรงเตี๊ยมเหอฟู่อีกด้วย โดยให้ชื่อโรงเตี๊ยมว่า หลงโถว เช่นเดียวกับร้านค้า ผู้คนในเมืองรวมไปถึงลูกค้าต่างเมือง ต่างรู้จักร้านหลงโถวนี้เป็นอย่างดีทางด้านคุณชายเหอได้ถูกทางการจับตัว เนื่องจากว่ามีคนมาร้องเรียนเรื่องที่ลูกสาวหายตัวไป หลังจากที่แต่งเข้าไปเป็นอนุ เมื่อมีคนมาร้องเรียนกับทางการ อีกหลายๆคนที่ได้ข่าวก็เริ่มมาร้องเรียนบ้าง เนื่องจากว่าเมื่อก่อนชาวบ้านต่างเกรงกลัวอำนาจและบารมีของสกุลเหอ อีกทั้งยังมีท่านเจ้าเมืองหนุนหลัง ทำให้ไม่มีใครแจ้งความเอาผิด แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อมีท่านรองแม่ทัพหยางเข้ามาประจำการในเมืองนี้ ทำให้ชาวบ้านสามารถเข้าถึงทางการได้ง่ายขึ้น“มีชาวบ้านเข้ามารองเรียนเรื่องคนหายไม่เว้นวัน” ท่านเจ้าเมืองถอนหายใจ ไม่คิดเลยว่าสหายที่เติบโตด้วยกันมาจะเป็นคนเช่นนี้ เดิมทีเหอฟู่ผู้นี้เป็นคนจิตใจดีมีเมตตา

  • สามีข้าคือพรานป่า   ตอนที่ 61

    หลังจากที่ให้ลูกชายกินนม เซี่ยซูมี่จึงพาลูกชายออกมายังห้องโถง ซึ่งแม่บ้านเห่ยนำเตาขนาดเล็กมาวางไว้รอบๆ ห้อง เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับภายในบ้าน ทำให้บ้านไม่หนาวเย็นอย่างที่ควรจะเป็น “มาแล้วหรือหลานชายของป้า มาให้ป้าอุ้มให้หายคิดหน่อยหน่อยเถิด” เซี่ยซือมั่นเงยหน้าจากผ้าที่กำลังปักอยู่ จากนั้นก็ยื่นงานปักให้สาวใช้คนสนิททำต่อ ส่วนนางนั้นเอื้อมมือเพื่อที่จะไปอุ้มหลายชายเข้าสู่อ้อมกอดซ่งอี้เทียนเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความรักความเอ็นดูที่ท่านป้าหมาดๆของเขามีให้ ทารกน้อยอายุเพียง 1 เดือน จากตอนแรกที่อยู่ในอ้อมกอดมารดา จึงยอมให้ท่านป้าของเขาอุ้มเข้าไปกอดอย่างง่ายดายส่วนทางด้านท่านป้าที่เมื่อได้อุ้มหลานชายแล้วนั้น ก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่าหลานชายไม่ได้ผอมแห้งดังเช่นที่ตนนั้นกังวล แต่เขากลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ทารกน้อยมีน้ำหนักหากจะพูดแล้วนั้น น่าจะหนักกว่าเด็กทั่วๆ ไปเสียด้วยซ้ำ คิดไม่ถึงว่าทารกที่กินเพียงน้ำนมของผู้เป็นแม่เพียงอย่างเดียวจะอุดมสมบูรณ์ได้ “เป็นไรไปหรือเจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่สังเกตเห็นสีหน้าฉงนของพี่สาวจึงอดที่จะเอ่ยถามออกไปไม่ได้ “เสี่

  • สามีข้าคือพรานป่า   ตอนที่ 60

    1 เดือนผ่านไปเซี่ยซูมี่ออกจากการอยู่ไฟแล้วเรียบร้อย อีกทั้งวันนี้ยังมีแขกมาเยี่ยม ซ่งอี้เทียน นั่นก็คือท่านป้าและท่านลุงหยางหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือท่านรองแม่ทัพหยางนั่นเองกล่าวถึงเซี่ยซือมั่นเมื่อเข้าไปทำงานยังจวนของท่านรองแม่ทัพ ก็ได้มีโอกาสศึกษาดูใจกับรองแม่ทัพหนุ่มมากขึ้น ทำให้ทั้งสองคนมีโอกาสได้ใกล้ชิดกัน อีกทั้งหญิงสาวยังรับหน้าที่ในการทำอาหารขึ้นโต๊ะให้แก่เขาเองอีกด้วย คุณสมบัติเพียบพร้อมเช่นนั้นจะหนีจากฮูหยินใหญ่ของเขาไปได้อย่างไรกัน“หลานชายของป้า น่าตีท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้ายิ่งนัก หลานชายคลอดทั้งที กลับไม่ส่งข่าวคราวให้ป้าบ้างเลย” เซี่ยซือมั่นทำทีเป็นบ่นกับหลานชาย ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วพ่อกับแม่ของเจ้าก้อนกลมนั้นก็นั่งอยู่ด้วย “หิมะตกหนัก อีกทั้งข้าเองก็เพิ่งจะออกจากการอยู่ไฟ ป้าเห่ยไม่ยอมให้ข้าเห็นเดือนเห็นตะวันเลยล่ะเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่อดที่จะบ่นแม่บ้านของตัวเองไม่ได้ เพราะนางไม่ยอมให้ออกไปไหนเลยแม้ว่าจะอ้อนวอนมากเพียงใดก็ตาม เซี่ยซูมี่เป็นคนสะอาด จะยอมให้ผมตัวเองมันเยิ้มได้อย่างไรกัน นอกจากมันแล้วก็ยังรู้สึกคันหนังหัวแต่ไม่อยากสอดนิ้วมือเข้าไปเพราะหนังหัวช่

  • สามีข้าคือพรานป่า   ตอนที่ 59

    เซี่ยซูมี่ลืมตาตื่นในเช้าของอีกวัน คิดว่าตัวเองฝันไปหรือเป็นเรื่องจริง แต่เมื่อใช้มือคลำสัมผัสที่หน้าท้องกลับพบว่ามันยุบลง ไม่ป่องเหมือนเมื่อวาน นอกจากนั้นแล้วในยามที่ขยับตัวก็รู้สึกเจ็บ อีกทั้งยังเหมือนได้ยินเสียงร้องงอแงของเด็กอีกด้วย “อือ” คุณแม่มือใหม่ส่งเสียงในลำคอ “ลูกพ่อ แม่ของลูกตื่นแล้ว” ซ่งเวยหลงตอนนี้กำลังอุ้มลูกชายอยู่สืบเนื่องจากเมื่อคืนที่ได้บอกกับหมอตำแยเอาไว้ว่าจะให้ลูกกินนมของภรรยาเป็นคนแรกนั้นต้องหยุดลง เนื่องจากว่าลูกชายร้องไห้งอแงในยามเช้าแต่ภรรยาเขากลับยังไม่ได้สติ ตนจึงจำเป็นต้องให้แม่นมที่เตรียมไว้สำหรับลูกชายทำหน้าที่แทนทารกน้อยราวกับว่ารับรู้และเข้าใจในสิ่งที่บิดาพูด ทันทีที่พูดถึงมารดาเขากลับเงียบเสียงลง คล้ายกำลังฟังเสียงการเคลื่อนไหวของมารดา แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเหมือนตอนที่อยู่ในท้อง เขากลับเริ่มเบะปากเตรียมที่จะร้องไห้อีกครั้ง “ท่านพี่ นะ น้ำเจ้าค่ะ น้องขอน้ำ” เซี่ยซูมี่รู้สึกลำคอแห้งผาก แม้ว่าอยากจะลุกขึ้นไปอุ้มลูกชายมากเพียงใด แต่ตอนนี้ตนต้องได้กินน้ำเพื่อให้ร่างกายมีแรงขึ้นมาก่อน “ฮูหยิน น้ำเจ้าค่ะ”

  • สามีข้าคือพรานป่า   ตอนที่ 58

    หลังจากที่ไปส่งพี่สาวที่จวนของท่านรองแม่ทัพ เรียกได้ว่าหายห่วงไปได้มากทีเดียว เดิมทีเซี่ยซูมี่ตั้งใจจะพาพี่สาวไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ให้สมกับตำแหน่งแม่บ้านใหญ่ของจวนท่านรองแม่ทัพ แต่กลับถูกเจ้าของจวนขัดขึ้นเสียก่อน เนื่องจากว่าเขาได้ให้คนงานจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อไปถึงจวนก็ไปดูที่พักของพี่สาว คงต้องบอกว่าไม่เหมือนกับที่พักพิงของคนงานเลยสักนิด แม้จะบอกว่าไม่ได้ให้เข้าทำงานมาเป็นทาส หรือแม้กระทั่งยกตำแหน่งแม่บ้านใหญ่ให้ ก็ยังดูไม่ใช่ที่พักของคนงานอยู่ดี แต่คล้ายว่าเป็นห้องนอนของแขกคนสำคัญมากกว่าเซี่ยซือมั่นได้แต่มองหน้าน้องสาวเพื่อขอความคิดเห็น แต่เซี่ยซูมี่กับเดินตัวติดกับสามี ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสายตาที่พี่สาวพยายามจะส่งมาให้ ได้เห็นการต้อนรับที่อบอุ่นเช่นนี้แล้วเซี่ยซูมี่เองก็เบาใจ “ท่านว่าพี่ชายของท่านจะจริงจังกับพี่สาวของข้ามากน้อยเพียงใดเจ้าคะ?” ระหว่างที่กลับบ้านป่า เซี่ยซูมี่ก็ชวนสามีพูดคุยเพื่อให้ไม่เหงาปากมากจนเกินไป “ชู่ว หยุดพูดจาส่งเดช มีคนตามมาส่งเราด้วย” ซ่งเวยหลงทำเสียงเป็นเชิงบอกให้ภรรยาหยุดพากพิงถึงบุคคลอื่น เนื่องจากว่าพี่ชายได้

  • สามีข้าคือพรานป่า   ตอนที่ 57

    “คารวะท่ารองแม่ทัพเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่และพี่สาวทำความเคารพรองแม่ทัพหนุ่มอีกครั้ง “ตามสบายเถิดน้องสะใภ้ ไม่ต้องมากพิธี” รองแม่ทัพกล่าวทักทายภรรยาของสหายอย่างเป็นกันเอง ทั้งๆที่ความเป็นจริงคือเขาเป็นคนที่ค่อนข้างระวังตัว ด้วยมีหน้าที่ที่ต้องถวายอารักขาความปลอดภัยให้แก่องค์ชายห้ามาตั้งแต่เด็กๆ “ท่านมาก็ดีแล้วขอรับ ข้าขอขอบคุณสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ด้วย” ซ่งเวยหลงเอ่ยขึ้น ช่วงที่ไปล่าสัตว์ด้วยกันเขาได้เรียนรู้หลายๆอย่างเกี่ยวกับวิชาป้องกันตัว รองแม่ทัพหนุ่มเองก็ได้เรียนรู้วิชาเอาตัวรอดเมื่ออยู่ในป่าเช่นกัน ทำให้ทั้งสองคนสนิทกันมาก “ไม่เป็นไร เรื่องของเจ้าก็เหมือนเรื่องขอข้า ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อจะมาทำเรื่องที่พูดเอาไว้ให้สำเร็จลุล่วง ซ่งเวยหลง เจ้าต้องการที่จะเป็นพี่น้องสาบานร่วมกับข้าหรือไม่?” รองแม่ทัพเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งจ้องมองหน้าสหายที่ตนเอ็นดูเหมือนน้องชายแท้ๆ “ไมตรีที่ท่านมอบให้ ข้าซ่งเวยหลงไม่อาจที่จะปฏิเสธได้ อีกทั้งยังรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้เป็นพี่น้องกับท่าน” ซ่งเวยหลงไม่คิดปฏิเสธ เพราะเขาเองก็รับรู้ได้ถึงความเมตตาที่รองแม่

  • สามีข้าคือพรานป่า   ตอนที่ 56

    ทุกคนถูกจับตัวไปที่ศาลของท่านเจ้าเมืองเพื่อช่วยตัดสิน โดยท่านลุงไท่ร้องทุกข์แก่ท่านเจ้าเมืองทันทีที่ไปถึง รวมไปถึงเซี่ยซูมี่และซ่งเวยหลงเองก็ถูกควบคุมตัวมาในที่นี้ด้วย “จับตัวข้ามาด้วยเรื่องอันใดกัน ข้าจะกลับหมู่บ้านป่า” นางเซี่ยโวยวายในขณะที่ถูกจับกุมตัวมีเพียงซ่งเวยหลงและภรรยาเท่านั้นที่ไม่ถูกควบคุมตัวโดยทหาร หากจะบอกว่าทหารเหล่านั้นเกรงกลัวสายตาของซ่งเวยหลงที่จ้องมองในตอนที่กำลังจะไปคุมตัวคนท้องก็คงจะไปผิด ทหารผู้น้อยจึงทำได้เพียงผายมือเชิญทั้งสองคนไปยังศาล ซึ่งเซี่ยซูมี่ก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด “หุบปาก ต่อหน้าท่านเจ้าเมืองห้ามเสียมารยาท” ลูกน้องคนสนิทของท่านเจ้าเมืองเอ่ยขึ้นน้ำเสียงน่าเกรงขาม ทำให้ชาวบ้านที่ตามมาดูคำตัดสินต่างเงียบไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใดออกมา หลังจากที่ท่านเจ้าเมืองเข้ามานั่งประจำตำแหน่งก็เริ่มทำการสอบสวน ซึ่งเปิดโอกาสให้กับผู้ร้องทุกข์นั่นก็คือท่านลุงไท่เป็นคนพูดก่อน “เซี่ยซือมั่น สิ่งที่ไท่หานพูดเป็นความจริงหรือไม่” ท่านเจ้าเมืองเริ่มทำการสอบสวน “ข้าน้อยเซี่ยซือมั่นคารวะท่านเจ้าเมือง สิ่งที่ท่านลุงไท่พูดเป็นความจริ

  • สามีข้าคือพรานป่า   ตอนที่ 55

    เซี่ยซือมั่นถูกบิดาจับข้อมือเอาไว้ แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่มารดาตะโกนออกมาจนสุดเสียง ท่านลุงไท่เองก็ตกใจเมื่ออยู่ดีๆ ก็ถูกกล่าวหาว่าคดโกง สมัยนี้เรื่องโกงต่างๆ ไม่ค่อยมีเกิดขึ้น ทุกคนอยู่ด้วยกันด้วยความซื่อสัตย์ รักเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเองเป็นอย่างมาก “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” ท่านลุงไท่มองตาเขียวรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก คนในเมืองรู้จักตนอยู่ไม่น้อย เพราะมีอาชีพรับของป่าจากหมู่บ้านต่างๆ มาขาย หากเรื่องนี้ถูกผู้คนเข้าใจผิด แล้วตนจะทำงานต่อไปอย่างไร “หมายความว่าที่ผ่านมาเจ้าคดโกงข้า วันนี้หากข้าไม่มารับเงินกับลูกสาวด้วยมือของข้าเอง ก็หารู้ไม่ว่าเจ้าโกงเงินข้าทุกเดือน เร่เข้ามา… มาดูคนหน้าด้านโกงได้แม้กระทั่งเงินอีแปะ” นางเซี่ยแผดเสียงออกไปเพื่อต้องการให้ทุกคนมามุงและสนใจ “นี่เจ้า….” ท่านลุงไท่ชี้หน้านางเซี่ยด้วยความโมโห จากนั้นก็หันไปสบตากับเซี่ยซือมั่น เพื่อต้องการให้นางพูดและอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น ตนไม่เคยคิดที่จะเปิดดูถุงผ้านั้นว่ามีเงินอยู่จำนวนเท่าใด เพราะความสงสารหญิงสาวที่จากบ้านมาทำงานไกลถึงในเมือง อยู่กินตัวคนเดียวเป็นสาวเป

Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status