เมื่อออกมาจากสำนักศึกษาเหยาหลีแล้ว เย่หลีก็ประคองเย่หลิงให้ขึ้นมานั่งบนรถม้าด้วยกัน ก่อนจะสำรวจดูร่างกายของน้องสาวด้วยความเป็นกังวล
"เจ้าถูกนางรังแกได้เช่นไรกัน"
เย่หลิงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ก่อนจะตอบพี่สาว
"หลังจากเลิกเรียนแล้วข้ากำลังจะไปรอท่านที่รถม้า แต่กลับเดินชนนางเข้า ข้ายังไม่ได้ทำสิ่งใดนางเลยนะพี่สาว ข้าไม่ได้ทำ!"
"ข้ารู้แล้ว เจ้าใจเย็น ๆ ก่อนเถิด อย่างไรย่อมกลับจวนไปในสภาพนี้ไม่ได้ ข้าจะพาเจ้าไปหาชุดใหม่เปลี่ยนเสียก่อนแล้วค่อยไปที่โรงหมอตรวจอาการดูให้แน่ใจแล้วค่อยกลับจวน"
"พี่สาว ข้าไม่ได้เป็นอันใดเจ้าค่ะ"
"เชื่อข้าเถอะน่า เถาเป่าบอกคนขับรถม้าให้รีบไปที่ร้านอาภรณ์ก่อน"
เย่หลีเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันมาสำรวจดูตามร่างกายของเย่หลิงอีกครา นางรู้ดีกว่าผู้ใดว่าเย่หลิงมีนิสัยเช่นไร น้องสาวของนางอ่อนโยนและอ่อนต่อโลกมากเกินไป ย่อมไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของคน เมื่อคิดได้เช่นนั้นเย่หลีจึงเอ่ยกับน้องสาวด้วยสีหน้าจริงจัง
"เย่หลิง ต่อไปหากผู้ใดกล้าหาเรื่องเจ้าอีก เจ้าต้องสู้กลับ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะกลายเป็นเหยื่อ อย่าใจอ่อนเกินไปเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่"
เย่หลิงพยักหน้ารับ นางไม่เข้าใจเท่าใดนัก เดิมทีนางไม่ชอบมีปัญหากับผู้ใด นางรักความสงบ แต่นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดคนเหล่านั้นจึงต้องมาหาเรื่องนางเช่นนั้น
หรือเพียงเพราะแค่นางเป็นบุตรสาวของอนุเท่านั้นเองหรือ
ไม่นานรถม้าก็หยุดลงที่ร้านขายอาภรณ์ เย่หลีเลือกชุดที่ตัดสำเร็จพอดีตัวมาให้เย่หลิงใส่แก้ขัดไปก่อนชุดหนึ่ง อีกทั้งยังเลือกชุดที่ตัดสำเร็จเหมาะกับเย่หลิงมาอีกหลายชุดและสั่งให้เถ้าแก่ร้านนำไปส่งที่จวนตระกูลเย่ให้นางด้วย ก่อนจะตรงมาที่โรงหมอทันที เมื่อตรวจแล้วพบเพียงว่าบอบช้ำเล็กน้อย ท่านหมอจึงจัดยาเพียงไม่กี่เทียบให้เย่หลิงเท่านั้น เย่หลีรับยามาและจ่ายเงินให้ท่านหมอ ในขณะที่นางและน้องสาวกำลังจะเดินออกมา ก็พบเข้ากับหญิงชราผู้หนึ่งที่เดินกระวีกระวาดเข้ามาในโรงหมอ
นางจำได้ว่าหญิงชราผู้นั้นคือหนึ่งในคนที่เอ่ยวาจาเหยียดหยันนางว่าเป็นเพียงบุตรอนุในชาติก่อน และพาคนมาเอ่ยวาจาดูแคลนนางที่หน้าจวนตระกูลเย่ด้วย
เย่หลีไม่ได้รู้สึกโกรธอันใด นางเพียงมองดูหญิงชราผู้นั้นอยู่เงียบ ๆ
“ท่านหมอ ท่านโปรดไปที่เรือนข้าทีเถิด ช่วยข้าที บุตรชายของข้าจะไม่รอดแล้ว ข้าไม่อาจพาเขามาได้เพราะไม่มีรถม้า เงินจะจ้างเกวียนลากก็ไม่มี เดิมทีพวกเราอยู่ด้วยกันสองคนแม่ลูก เงินทองก็มีไม่มาก ได้โปรดท่านหมอเมตตาด้วย!"
ท่านหมอมองหญิงชราพร้อมกับส่ายหน้าไปมา
"ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วย แต่ค่ายาคราวก่อนเจ้าก็ยังไม่ได้จ่ายให้ข้าเลย ครั้งนี้ข้าคงไม่อาจช่วยบุตรชายเจ้าได้ คนเราน่ะต้องหาเงินไว้กินไว้ใช้ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจข้านะ"
"ฮือ ท่านหมอโปรดเมตตาด้วย ท่านหมอ"
หญิงชราร้องไห้ครำครวญอย่างหนัก เย่หลีเมื่อเห็นเช่นนั้นจึงก้าวเดินเข้าไปหาท่านหมอ ก่อนจะเอ่ย
"ท่านหมอ ท่านช่วยไปรักษาคนก่อนเถิด เงินที่ท่านยายผู้นี้ติดค่ารักษาเอาไว้ข้าจะช่วยจ่ายให้ทั้งหมด และจะช่วยจ่ายค่ายาให้บุตรชายของนางด้วย ต่อไปหากพวกเขามาขอให้ทำการรักษาอีกท่านก็รักษาไป แล้วส่งคนไปเก็บเงินกับข้าที่จวนตระกูลเย่ ข้าจะรับผิดชอบค่ารักษาของพวกเขาเอง"
หญิงชราพลันหันขวับมามองเย่หลี ก่อนจะคุกเข่าคำนับไม่ยอมหยุด
"ขอบคุณคุณหนูท่านนี้มาก ท่านมีเมตตามากจริง ๆ บุญคุณนี้ข้าไม่มีทางลืมแน่นอนเจ้าค่ะ"
เย่หลีเพียงยิ้มออกมาเล็กนอย ก่อนจะมองดูหญิงชราผู้นั้นเดินตามท่านหมอไป ในชาติก่อนนางเคยเจอท่านยายผู้นี้ ยามนั้นเย่หลีมาซื้อยาบำรุงที่ร้านท่านหมอให้เย่ฮูหยิน กลับพบหญิงชราตัวเหม็นผู้นี้เข้า นางจึงไล่ท่านยายออกไปจากโรงหมอ ซ้ำยังต่อว่าท่านหมอว่าไม่ควรให้คนชนชั้นต่ำเข้ามาในโรงหมอให้เป็นที่อับอาย ท่านยายร้องอ้อนวอนว่าให้ไปช่วยรักษาบุตรชายให้ทีแต่กลับไม่ได้รับความเมตตา นางรู้ข่าวอีกคราก็ได้ยินว่าบุตรชายของท่านยายตายไปเสียแล้วเพราะไม่ได้รับการรักษา นับแต่นั้นยามที่พบเจอนางท่านยายก็มักจะด่าทอนางด้วยความเกลียดชัง
เย่หลียิ้มขมขื่นพลางครุ่นคิดในใจ
ท่านยาย ท่านไม่ต้องตอบแทนข้าหรอก ขอเพียงวันหน้าที่ข้าถึงคราวตกต่ำ ท่านก็อย่าซ้ำเติมข้าก็พอ ข้าขอโทษจากใจจริงกับเรื่องราวในชาติก่อนนั้น
เมื่อไม่มีสิ่งใดแล้วนางและเย่หลิงจึงกลับมาที่จวน ก่อนแยกจากกันนางกำชับให้เย่หลิงกินยาและทายาให้ครบตามเทียบยาที่ท่านหมอจัดให้ เย่หลิงพยักหน้ารับคำ ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้เย่หลีและกระซิบเสียงแผ่ว
"พี่สาว ขนมที่ท่านมอบให้ข้าวันนั้นอร่อยมาก ข้าชอบมาก แต่ข้ากลัวท่านแม่จะตำหนิจึงไม่กล้าไปขอท่านกินอีก"
เย่หลีเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มเต็มใบหน้า ก่อนจะเอ่ย
“เช่นนั้นเย็นนี้เจ้าก็มาที่เรือนของข้า ข้าจะทำขนมไว้รอเจ้า หากอนุซ่งจะต่อว่าเจ้า เจ้าก็อ้างชื่อข้า ดีหรือไม่"
"ดีเจ้าค่ะ ข้ารู้สึกว่าท่านแม่จะเชื่อท่านมากกว่าเชื่อข้าเสียอีก ข้าไปก่อนล่ะ แล้วจะไปพบท่านตามนัดของเรา"
"อืม"
เย่หลีมองเย่หลิงที่เดินจากไปก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย ด้านอนุซ่งเมื่อเห็นว่าบุตรสาวกลับมาแล้วก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใด แม้กระทั่งบาดแผลบนใบหน้านางก็ไม่ได้เอ่ยถามถึงสาเหตุ เพราะคิดว่าเย่หลิงคงไปถูกใครรังแกมา นางเตือนแล้วเย่หลิงก็ไม่ฟังสำนักศึกษาเหยาหลีเป็นสถานที่เช่นไรเย่หลิงก็รู้ดี คุณหนูที่เข้าไปเรียนล้วนหยิ่งผยองไม่เห็นหัวผู้ใดทั้งนั้น
อนุซ่งถอนหายใจออกมา ระยะนี้คล้ายว่าเย่หลีจะแปลกไปกว่าเดิม นางเข้ามาเกี่ยวพันกับเย่หลิงมากขึ้น อีกทั้งแววตาที่มองนางก็แปลกประหลาดจนนางคาดเดาไม่ออก
แววตาที่เหมือนรู้สึกผิดและแฝงเอาไว้ด้วยการไม่ยอมรับและดึงดันนั่นมันคือสิ่งใดกัน!
อยู่ ๆ นางก็รู้สึกหนาวสะท้านในใจอย่างบอกไม่ถูก
ยามเย็นของวันนั้นเย่หลิงก็มาหาเย่หลีที่เรือนใหญ่ตามนัดจริง ๆ เย่หลีสั่งให้คนนำขนมที่เย่หลิงชอบมาให้นางกิน ด้านเย่ฮูหยินนั้นแม้จะแปลกใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดให้มากความ บ้านสงบร่มเย็นย่อมเป็นเรื่องดีนั่นบ่งบอกว่านางที่เป็นฮูหยินใหญ่จัดการเรือนหลังได้อย่างราบรื่น
อีกอย่างเด็กสาวที่ชื่อเย่หลิงผู้นั้น นางก็รู้สึกถูกชะตาไม่น้อยเลย
ก่อนหน้านี้นางเคยถามเย่หลี ได้ความเพียงว่าเพราะฝันในครั้งนั้นเย่หลีกลัวว่าทุกคนจะตายจากนางไป จึงอยากทำดีกับคนในจวนบ้าง เพราะกลัวความฝันจะเกิดขึ้นจริง เย่หลีบอกว่านางโตแล้วจะทำนิสัยไม่ดีเช่นเดิมก็คงไม่ดีนัก
แม้จะเป็นคำตอบที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าใดนัก แต่ก็นับเป็นเรื่องดีที่เย่หลีไม่ก่อปัญหา
อีกไม่นานสามีและบุตรชายของนางก็จะกลับมาแล้ว
เย่หลิงอยู่พูดคุยกับเย่หลีไม่นานก็กลับไปพร้อมขนมกล่องใหญ่ เย่หลีเองก็เหนื่อยล้าไม่น้อย นางอาบน้ำเปลี่ยนชุดและไปร่วมกินมื้อเย็นกับเย่ฮูหยิน อีกทั้งยังสั่งให้คนนำอาหารแบ่งไปที่เรือนของอนุซ่งด้วย
กลางดึกคืนนั้นก็มีเสียงกลองดังขึ้นและมีข่าวร้ายจากในวังหลวงว่าองค์ชายรองฟ่านเฉินสวรรคตแล้ว เย่หลีที่ได้ยินเช่นนั้นก็ลุกพรวดขึ้นมาจากเตียงนอน พร้อมกับย่นหัวคิ้ว
ฟ่านเฉินตายแล้วจริงหรือ!
มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน!
เหตุใดเรื่องราวในชาตินี้จึงดำเนินไปไม่เหมือนในชาติก่อนเลยเล่า!
ฟ่านเฉินพานางไปไหว้หลุมศพของหยางกุ้ยเฟยผู้เป็นมารดาหลังจากแต่งงานกันได้ไม่นาน อีกทั้งยังขอให้พระนางอวยพรให้เขาและนางใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างราบรื่น มีสายลมพัดเข้ามาแผ่วเบาราวกับว่าหยางกุ้ยเฟยรับรู้ถึงคำขอของนางและฟ่านเฉินแล้วเดิมทีฟ่านเฉินตั้งใจว่าจะเอาเลือดของสวีกุ้ยเฟยมาเซ่นสังเวยหลุมศพมารดา แต่เมื่อได้คิดอีกคราเขากลับพบว่าตนเองคิดถูกที่ไม่ทำเช่นนั้น เพราะเสด็จแม่เองก็คงไม่ต้องการให้เลือดชั่วของสวีกุ้ยเฟยมาแปดเปื้อนหลุมศพของนาง!หนึ่งปีแรกหลังจากแต่งงาน เย่หลียังคงไม่ตั้งครรภ์ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเขาและนางเลยแม้แต่น้อย นางไม่มีแม่สามีคอยกดดัน อีกทั้งพ่อสามีก็ไม่เร่งรัดนางจากนั้นไม่นาน เย่หลีก็ได้เอ่ยถามฟ่านเฉินว่าเขาคิดจะถอนพิษให้ไป๋ซู่ฮวาหรือไม่ ยามนี้แผนการก็สำเร็จลุล่วงแล้ว อย่างไรก็ควรจะเมตตานางเสียหน่อย แต่ฟ่านเฉินกลับไม่ตกลงทำตามที่นางบอก เขาเอ่ยว่าไป๋ซู่ฮวากลับมาแล้วยังไม่รู้จักประมาณตน ปล่อยไว้ย่อมเป็นภัย ให้นางเป็นใบ้ไปชั่วชีวิตเช่นนั้นก็ดีแล้ว จะได้ไม่ก่อคลื่นลมให้เขาและนางต้องปวดหัวได้อีก เย่หลีเองก็ไม่ได้คัดค้านอันใดส่วนเย่หลิงนั้นนางได้แต่งงานกับหวังฉงคน
เมื่อทุกอย่างจบลง แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องทำคือการปลอบขวัญกำลังใจเหล่าทหารกล้า พวกเขาทุกคนช่วยกันนำศพไปฝังเพราะอย่างไรเสียคงไม่อาจนำศพของพวกเขากลับบ้านเกิดได้อีกแล้ว เหล่าชาวบ้านก็ล้มตายไปไม่น้อยที่เหลือรอดก็มีอยู่ไม่มากและยังคงหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฟ่านหลิ่นและฟ่านเฉินจึงสั่งให้ทหารช่วยดูแลชาวบ้านและปลอบขวัญพวกเขาจนมีอาการดีขึ้นเวลาผ่านมาร่วมหลายวัน คนทั้งหมดก็เดินทางกลับเมืองหลวง อย่างไรเสียย่อมต้องกลับไปรายงานความดีความชอบนี้ให้ฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นได้ทราบเสียก่อน ส่วนเรื่องอื่นนั้นค่อยจัดการหารือกันภายหลังระหว่างที่เดินทางกลับนั้นเย่หลีนั่งรถม้ามาพร้อมกับสาวใช้น้อยนางนั้น เดิมทีเย่หลีไม่ได้คิดจะพานางติดตามกลับเมืองหลวงมาด้วย แต่เพราะสตรีนางนั้นบอกว่าไม่มีที่ไปแล้ว เย่หลีสงสารจึงรับนางเอาไว้และตั้งชื่อให้ว่าอาหลวนเดินทางมาจนถึงจุดพักม้าอย่างไรย่อมต้องหยุดพักเสียหน่อยเพราะอีกหลายวันกว่าจะเดินทางถึงเมืองหลวงและยามนี้ม้าก็อ่อนแรงลงไปไม่น้อยแล้ว ทางการรีบจัดที่พักให้พวกเขาและดูแลเรื่องอาหารอย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เย่หลีได้พักที่เรือนรับรองที่สะดวกสบายที่สุด เดิมทีเรือนนี้คนของท
เช้าวันต่อมาหลังจากที่เย่หลีตื่นขึ้นมา ก็พบว่าฟ่านเฉินรวมถึงบิดาและพี่ชายของนางได้ออกรบกับแคว้นฉีอีกครั้งแล้วเมื่อคืนนี้หลังจากปรับความเข้าใจกันได้แล้ว นางก็กลับมาพักยังที่พักของตน ยามนอนหลับนางฝันดีตลอดทั้งคืนในขณะที่เย่หลีเพิ่งจะกินมื้อเช้าเสร็จและเดินออกมาภายนอกกระโจมก็พบว่ายามนี้ภายในค่ายทหารกำลังวุ่นวายเป็นอย่างมาก เหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บถูกหามเข้ามาคนแล้วคนเล่า บางคนถูกธนูยิงจนทะลุหน้าอก บางคนแขนขาด บางคนเลือดไหลโทรมกาย ช่างเป็นภาพที่น่าหวาดกลัวไม่น้อยเลย สาวใช้น้อยข้างกายของนางถึงกับเบือนหน้าหนีไม่กล้ามองเพราะหวาดกลัวเย่หลีย่นหัวคิ้ว ไม่คิดว่าทหารของแคว้นซ่งจะได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ นางมองไปโดยรอบก่อนจะพบกับฟ่านหลิ่นที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นางจึงรีบเอ่ยกับเขาทันที"คังอ๋อง เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเพคะ"ฟ่านหลิ่นมองเย่หลีก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีเท่าใดนัก"เสด็จอาเล่นลูกไม้สกปรก ลอบส่งทหารไปซุ่มโจมตีทหารของพวกเราจากที่ลับ ก่อนหน้านี้ก็ส่งคนมาเผาเสบียงอาหาร อีกทั้งยังใช้ดินประสิวระเบิดภูเขาทำให้ก้อนหินร่วงลงมาทับทหารของแคว้นซ่งตายไปหลายพันนาย สถานกา
ฟ่านเฉินรีบหันกลับมามองก่อนจะต้องตกตะลึงอยู่เช่นนั้น เขาคิดว่าตนเองคงจะฝันไป แต่เมื่อได้เห็นว่ายามนี้สตรีตรงหน้ากำลังแย้มยิ้มให้เขา เขาจึงตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่ความฝันแต่เป็นนางจริง ๆเย่หลีมองพิจารณาบุรุษตรงหน้า ยามนี้เขายังคงดูหล่อเหลาเช่นเดิม แต่ทว่าผิวกลับคล้ำลงไปไม่น้อย ดูคมเข้มชวนมองขึ้นกว่าแต่ก่อนมากนัก"เจ้ามาได้เช่นไร"ฟ่านเฉินเอ่ยถามเย่หลีด้วยความสงสัย เขาเองก็มองนางอย่างพิจารณาเช่นเดียวกัน แม้ยามนี้ผิวของนางจะดูคล้ำลงแต่ความงามนั้นไม่ด้อยลงไปเลยแม้แต่น้อยเย่หลียิ้มก่อนจะตอบ"ข้าก็เดินทางมากับขบวนเสบียงน่ะสิ มาพร้อมพี่ชายของท่าน"เมื่อได้ยินว่าเย่หลีมาพร้อมกับฟ่านหลิ่น ในใจของฟ่านเฉินก็พลันขมขื่นขึ้นมา นางมาพร้อมพี่ชายของเขา ไม่คิดว่าเวลาเพียงไม่นานความสัมพันธ์ของคนทั้งสองจะก้าวหน้ามาถึงขั้นนี้แล้วที่นางเคยบอกว่าไม่ชอบพี่ชายเขา คงเป็นเพราะนางจะยังไม่รู้หัวใจตนเองใช่หรือไม่ เมื่อรู้แล้วนางจึงเลือกพี่ชายของเขาอย่างไม่ลังเลเมื่อเห็นว่าฟ่านเฉินเอาแต่เงียบ เย่หลีก็รู้สึกสงสัยไม่น้อย อันใดกัน ไม่เจอกันนานก็ไม่มีเรื่องจะสนทนากันแล้วหรือเมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงเอ่ยถามเขาอีกครั
เย่หลีนั่งอยู่ในเรือนนั้นอีกสักพัก ก่อนที่นางจะตัดสินใจเรื่องราวบางอย่างได้ ก่อนกลับนางได้บอกกับอาหลันว่าให้นำชุดแต่งงานสองชุดนั้นส่งกลับไปให้นางที่จวนตระกูลเย่ด้วย อาหลันรับคำ เย่หลีพยักหน้ารับก่อนจะกลับจวนของตนไปเมื่อเย่หลีกลับมาที่จวนนางก็จัดการล้างหน้าของตนให้สะอาด ทำเหมือนกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เช้าวันต่อมานางก็ได้ยินข่าวหนึ่ง นับว่าเป็นข่าวดีของแคว้นซ่ง เมื่อมีจดหมายจากชายแดนว่าครั้งนี้ได้รับชัยชนะต่อเนื่องกัน พวกกบฏแคว้นฉีระส่ำระสาย เรื่องนี้สร้างความดีใจต่อฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นไม่น้อย เดิมทีเขาคิดว่าหากฟ่านเฉินกลับมาอาจจะมอบตำแหน่งดี ๆ ใหบุตรชาย เพราะยามนี้เหล่าขุนนางต่างถกเถียงกันว่าคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งองค์รัชทายาทก็คือหลิงอ๋อง เพราะการศึกที่ชนะได้ในครั้งนี้เก้าในสิบส่วนเพราะเป็นความปรีชาสามารถของหลิงอ๋องแต่ทว่านอกจากจดหมายของทางการทหารแล้ว กลับมีจดหมายของฟ่านเฉินแนบมาด้วย เมื่อเขาเปิดออกก็ถึงกับทอดถอนใจออกมาฟ่านเฉินบอกว่าไม่ต้องการตำแหน่งใดทั้งสิ้นเพราะหลังจบสงครามก็จะไม่ขอกลับเมืองหลวงอีก จะใช้ชีวิตอยู่ที่ชายแดนเยี่ยงคนธรรมดาสามัญ นับแต่นี้ท่องเที่ยวไปทั่วใต้หล้า ไม่
"พี่สาวท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ"เย่หลีที่กำลังคิดสิ่งใดไปเรื่อยเปื่อยพลันได้สติกลับคืนมาเมื่อเย่หลิงเอ่ยถามตน นางหันไปยิ้มให้น้องสาวก่อนจะส่ายหน้าไปมา แล้วจึงเอ่ยกับเย่หลิง"ข้าจะไปหาที่เดินเล่นสงบใจเสียหน่อย อีกไม่นานจะกลับมา""เจ้าค่ะ"เย่หลีเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นเดินไปพร้อมกับเถาเป่า เดิมทีนางอยากนั่งอยู่เงียบ ๆ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดอยู่ ๆ นางจึงอยากจะเดินเล่นรอบ ๆ จวนองค์ชายรองที่ยามนี้กลายเป็นจวนหลิงอ๋องเสียหน่อย"เจ้าไม่ต้องตามข้ามา รออยู่ตรงนี้ก็พอ""เจ้าค่ะคุณหนู"เถาเป่าพยักหน้ารับเพราะไม่กล้าขัดคำสั่งเจ้านาย เย่หลีเดินตามทางมาเรื่อย ๆ ยามนี้โดยรอบจวนอ๋องมีดอกไม้และใบไม้เขียวชอุ่มให้ความรู้สึกที่สบายตาไม่น้อยเลย สายลมพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของนางเล็กน้อย เย่หลีมองไปโดยรอบด้วยแววตาที่วูบไหว อยู่ ๆ นางก็หยุดฝีเท้าอยู่ที่ด้านหน้าเรือนแห่งหนึ่งมันคือเรือนที่นางเคยอยู่ในชาติก่อนที่จวนแห่งนี้เดิมทีมีแต่ความทรงจำที่ขมขื่นและเจ็บปวดมากมาย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงอยากจะมองมันให้ชัดเจนอีกสักคราราวกับว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางจะได้เยียบย่างเข้ามาในที่ที่เป็นความหลังแห่งนี้ราวกับภา
เวลาผ่านมาร่วมหลายวัน ในที่สุดอาการบาดเจ็บของฟ่านเฉินก็หายดีจนเป็นปกติ เพราะได้รับบาดเจ็บระยะนี้จึงได้รับอนุญาตให้ไม่ต้องเข้าร่วมประชุมยามเช้าที่วังหลวงหลังจากกินมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็มุ่งหน้ามาที่วังหลวงเพื่อเยี่ยมเยือนบิดา ฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นเมื่อเห็นว่าบุตรชายไม่เป็นอันใดแล้วก็ดีใจไม่น้อย ฟ่านเฉินอยู่สนทนากับบิดาต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนจะขอตัวกลับเมื่อเดินออกมาแล้ว เขากลับยังไม่ได้ออกจากวังหลวง ชายหนุ่มเดินตรงมาที่คุกหลวงซึ่งเป็นสถานที่กักขังสวีกุ้ยเฟยเอาไว้ นางยังไม่ถูกลงโทษ เพราะเสด็จพ่อเดิมทีก็เหมือนจะมีเยื่อใยต่อนางอยู่ไม่น้อยเขาเดินเข้ามาในคุกหลวงที่มืดมิด ได้กลิ่นสาบจาง ๆ โชยมาต้องนาสิกเป็นระยะ แต่ทว่าชายหนุ่มกลับหาได้สนใจแม้แต่น้อย เขาเดินตรงมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าห้องขังห้องหนึ่ง เมื่อมองเข้าไปก็พบกับสตรีวัยกลางคนที่กำลังนั่งพิงกำแพงอยู่ ใบหน้าของนางที่เคยงดงามยามนี้แก่ชราลงไปหลายปี ผมเผ้ารุงรัง เสื้อผ้าสกปรกมอมแมม เมื่อได้ยินเสียงห้องขังเปิดออกนางจึงหันมามอง เมื่อพบว่าเป็นฟ่านเฉิน นางก็รีบลนลานเข้ามากอดเขาเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย"เฉินเอ๋อร์ ช่วยแม่ด้วย ได้โปรดช่วยแม่ด้วย
ยามนี้ฟ่านเฉินกำลังควบม้ามุ่งหน้าตรงมาที่จวนของฟ่านหรง เมื่อมาถึงเขาก็สั่งให้คนค้นทั่วทั้งจวน หลังจากสำรวจโดยรอบอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ถึงกับส่งเสียงเหอะออกมาคาดเดาว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตระกูลสวีก่อนหน้านี้จะต้องเป็นฝีมือของฟ่านหรงถึงสิบส่วน คนของเขาบอกว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนสวีกุ้ยเฟยคลุ้มคลั่งแทบเสียสติเพราะตราคำสั่งทางทหารของบิดานางหายไป เขาเคยเห็นตราสั่งการทางทหารนั้นมาก่อน ย่อมจำได้เป็นอย่างดี การที่ฟ่านหรงหนีไปครั้งนี้ย่อมไม่ได้หนีไปตัวเปล่า แต่เขานำกองกำลังนั้นไปด้วย หากเป็นเช่นนี้ก็ย่อมอันตรายมากยิ่งนักเมื่อเขาออกมาจากจวนฟ่านหรงก็พบกับเย่จิ้นอันที่ควบม้าตามมา ชายหนุ่มมองฟ่านเฉินครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"องค์ชายรอง คนเล่า เขาหนีไปได้เช่นไร เห็นอยู่ว่าพิการเช่นนั้นไปแล้ว"ฟ่านเฉินมองเย่จิ้นอันก่อนจะเอ่ยตอบ"ถึงเขาจะพิการ แต่คนของเขาฝีมือไม่ได้ด้อย ข้าเชื่อว่าเขาต้องหนีไปพร้อมกับตราคำสั่งทางทหารของสวีกุ้ยเฟย อีกทั้งการที่ทหารในค่ายถูกโยกย้ายไปก่อนหน้านี้ล้วนเป็นฝีมือของเขารวมไปถึงการที่จวนตระกูลสวีเกิดเหตุในคืนนั้นก็เป็นฝีมือเขาด้วยเช่นกัน""เกิดการหักหลังกันเช่นนั้นหรือ""ถูกต้อง"เ
ฟ่านเฉินเกรงว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์นอกเหนือความคาดหมายทำให้เขารับมือไม่ได้ จึงบอกให้เย่จิ้นอันจับตาดูฟ่านหรงเอาไว้เย่จิ้นอันพยักหน้ารับคำ เอ่ยปากอำลากลับมาที่จวนของตนเรื่องนี้เขาได้ปรึกษากับบิดาก่อนหน้านี้แล้ว ท่านพ่อเองก็คอยช่วยเหลือพวกเขาอย่างลับ ๆ อีกอย่างค่ายทหารที่ฟ่านเฉินบอกก็เป็นความจริง ชายหนุ่มนั่งสนทนากับบิดา ก่อนจะเอ่ย"ท่านพ่อ ก่อนหน้านี้ความฝันของหลีเอ๋อร์เหมือนจะเป็นจริงหลายส่วน แต่ว่าไม่ตรงกับฟ่านเฉิน เขาไม่ได้เลวร้ายหรือคิดแย่งบัลลังก์ เรื่องนี้ท่านคิดเห็นเช่นไร"แม่ทัพใหญ่เย่มีท่าทางครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้า"บางทีความฝันก็อาจจะไม่เป็นจริงเสมอไป เอาเถิด เจ้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำก็ทำอย่างรอบคอบ หากต้องการความช่วยเหลือพ่อจะคอยช่วยเจ้าอีกแรง ไว้จับคนร้ายได้เมื่อไหร่และเปิดโปงคนชั่วได้สำเร็จ คาดว่าเรื่องนี้คงจะทำให้ฝ่าบาทปวดหัวไม่น้อยเลย เรื่องนี้พ่อไม่ได้ทูลฝ่าบาทเพราะเกรงว่าอาจกระทบกับแผนการที่พวกเจ้าลงมืออยู่ แต่อย่างไรพ่อจะคอยช่วยเหลืออยู่ห่าง ๆ”"ขอรับท่านพ่อ"เย่จิ้นอันพยักหน้าแล้วขอตัวเดินออกมา ระหว่างทางได้พบกับเย่หลีที่เพิ่งเดินกลับมาจากเรือนใหญ่พอดี สองพี่น้องยิ้ม