เย่หลีถูกพากลับมาที่จวนองค์ชายรอง ฟ่านเฉินให้คนตามหมอมาดูอาการของนาง ท่านหมอตรวจดูอาการอย่างละเอียดและพบว่านางไม่ได้เป็นอันใดมาก เพียงแค่อ่อนเพลียและพบเจอเรื่องสะเทือนจิตใจมากเกินไป ให้พักสักหน่อยอาการก็จะดีขึ้นมาเอง ฟ่านเฉินพยักหน้า ก่อนจะสั่งให้คนไปส่งท่านหมอออกจากจวนไป
เมื่อเย่หลีลืมตาตื่นขึ้นมาและพบว่าฟ่านเฉินกำลังนั่งมองนางอยู่ หญิงสาวก็หลับตาลงอีกคราทำเหมือนไม่ต้องการรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา ฟ่านเฉินเบนสายตาไปที่อื่น ก่อนจะเดินออกไปและไม่เอ่ยสิ่งใดกับนางแม้เพียงครึ่งคำ
สามวันต่อมา ไป๋ซู่ฮวาบุตรสาวจวนท่านราชครูก็แต่งเข้าจวนมาเป็นพระชายาเอกคนใหม่ เดิมทีนางชื่นชอบฟ่านเฉินมานานแล้ว เพราะเขารูปงามถูกใจนาง ได้อยู่กับบุรุษรูปงามไปทั้งชีวิตอย่างไรก็ย่อมมีความสุข
หลังจากแต่งงานกันแล้ว ฟ่านเฉินก็ไม่เคยเข้าหอกับไป๋ซู่ฮวาอีกเลย แม้แต่วันเข้าหอเขาก็ทิ้งให้นางอยู่ในห้องหอเพียงลำพัง ไป๋ซู่ฮวาโกรธจัดแต่ไม่อาจทำสิ่งใดได้ ทำได้เพียงระงับโทสะเก็บท่าทีเอาไว้ และเอาความโกรธทั้งหมดไปลงกับเย่หลี พระชายารองที่เกิดจากบุตรอนุคนนั้น
เมื่อแต่งพระชายาเอกแล้ว แน่นอนว่าพระชายารองเช่นเย่หลีก็ย่อมต้องเข้าไปมอบน้ำชา คำนับยามเช้า ไป๋ซู่ฮวากลั่นแกล้งนางสารพัด ทั้งให้นางยืนรอ อีกทั้งยังรินชาร้อนราดใส่มือของนาง เย่หลีเองก็ไม่ยอมคน ทำนางก่อนนางย่อมเอาคืนนางไม่สนหน้าไหนทั้งสิ้น เมื่อไป๋ซู่ฮวาราดชาร้อนใส่มือนาง นางจึงสาดชาร้อนใส่ใบหน้าของไป๋ซู่ฮวาคืนกลับไป ไป๋ซู่ฮวากรีดร้องเสียงหลง ใบหน้าบวมแดงไปหมด นางเกลียดชังเย่หลีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะแต่ก่อนเย่หลีชอบเอ่ยวาจากระทบกระเทียบนาง และวางตนโอ้อวดกดข่มผู้อื่น นางจึงสั่งให้คนโบยเย่หลีจนเจ็บปางตาย
เมื่อฟ่านเฉินกลับมาและทราบเรื่องเขาก็ปวดหัวไม่น้อยเลย เดิมทีเหตุการณ์เช่นนี้เขาเองต้องการให้ฟ่านหลิ่นเป็นคนประสบพบเจอ แล้วเหตุใดมันจึงกลายเป็นตัวเขาที่ต้องพบเจอแทนกันเล่า
ผ่านไปร่วมเดือนบาดแผลที่หลังของเย่หลีที่ถูกโบยก็เริ่มหายดีแล้ว แต่ทว่าจนแล้วจนรอดนางก็ไม่อาจส่งคนไปแจ้งข่าวใดกับท่านพ่อได้ ฟ่านเฉินสั่งให้คนจับตาดูนางอย่างไม่ให้ละสายตา นางคงทำได้เพียงมองดูลิขิตสวรรค์แล้ว
วันคืนก็ผ่านพ้นไปเช่นนี้ จากเดือนเลื่อนผ่านไปเป็นปี ในวังมีข่าวประกาศออกมาว่า ฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นนั้นประชวรหนักและยามนี้ได้สวรรคตแล้ว ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างโศกเศร้าเป็นอย่างยิ่ง เมื่อสิ้นฮ่องเต้แล้ว แน่นอนว่าจะต้องรีบให้ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นได้เขียนราชโองการเอาไว้ก่อนตาย มอบตำแหน่งฮ่องเต้ให้ฟ่านหลิ่น และมอบที่ดินศักดินาสองที่นอกเมืองหลวงให้องค์ชายรองและองค์ชายสามไปใช้ชีวิตที่นั่น ห้ามกลับเข้าเมืองหลวงอีกเพื่อป้องกันการเข่นฆ่าในหมู่พี่น้อง ส่วนนางสนมคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้ให้กำเนิดองค์ชายก็ให้ไปบวชอยู่ที่วัด สวีกุ้ยเฟยนั้นได้ไปอยู่กับฟ่านจิ้งที่นอกเมืองหลวง ส่วนฟ่านเฉินนั้นก็มีที่ดินศักดินาอยู่ไม่ไกลกันนัก ย่อมสะดวกต่อการไปพบหน้า แต่ทว่าฟ่านหลิ่นกลับมีเมตตาไม่น้อย ไม่ได้เร่งรัดให้พวกนางแม่ลูกเดินทางออกไปในทันที ยังคงให้เวลาจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จเสียก่อน
ฟ่านหลิ่นขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ แต่งตั้งหนิงฮองเฮาขึ้นเป็นไทเฮา และยังรับเย่หลิงเข้าวังหลวงเป็นเย่ฮองเฮา
เย่หลีที่ได้ทราบข่าวยามนั้นนางกำลังถูกไป๋ซู่ฮวาทุบตี เมื่อได้ยินว่าเย่หลิงได้เป็นฮองเฮาแล้ว นางก็ไม่ได้แสดงท่าทีใด ไป๋ซู่ฮวาเอ่ยวาจากระทบกระเทียบนาง บอกว่าสุดท้ายน้องสาวของนางก็ได้ทุกอย่างไป แต่นางเองกลับกลายต้องมาเป็นหินรองมือรองเท้าของผู้อื่นไปชั่วชีวิต หลายเดือนมานี้นางถูกทุบตีทารุณเสียจนไร้ความรู้สึก นางด้านชาไปเสียแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกรู้สาอันใดกับคำพูดของไป๋ซู่ฮวา
นางถูกไป๋ซู่ฮวาทารุณทุกคราที่ฟ่านเฉินไม่อยู่ที่จวน นางเคยชินเสียจนไม่แม้แต่จะร้องไห้ ไม่แม้แต่จะตอบโต้ นางไม่เคยคิดว่าตนเองจะสิ้นหวังได้ถึงเพียงนี้
ไป๋ซู่ฮวาเมื่อกลั่นแกล้งเย่หลีจนพอใจก็กลับเรือนของตนไป นับตั้งแต่แต่งเข้ามาฟ่านเฉินไม่เคยแตะต้องตัวนาง มีหรือนางจะมองไม่ออกว่าเขายังอาลัยอาวรณ์นางสารเลวเย่หลีผู้นั้นอยู่
ก่อนหน้านี้นางได้ไปเยี่ยมสวีกุ้ยเฟยแม่สามี เสด็จแม่ได้เสนอแผนการดี ๆ ให้นางแผนการหนึ่ง ซึ่งนางเองก็เห็นดีเห็นงามด้วย เพียงแต่ต้องรอเวลาเท่านั้น
หลังจากฟ่านหลิ่นขึ้นครองราชย์กลับพบว่าฟ่านเฉินและฟ่านจิ้งคิดก่อการกบฏ แรกเริ่มพวกเขาบอกว่าจะเร่งย้ายออกจากเมืองหลวงเพื่อไม่ให้เป็นที่ครหา แต่ที่ไหนได้เขากลับไปเข้าร่วมกับไพร่พลที่ซ่องสุมกำลังเอาไว้ นำกำลังทหารหลายแสนนายเข้าก่อกบฏหวังชิงบัลลังก์ ยามนั้นฟ่านหลิ่นเพิ่งได้ขึ้นนั่งบนบัลลังก์มังกร สถานะยังไม่มั่นคงเท่าใดนัก คนที่พึ่งพาได้ก็มีไม่มาก เขาทำได้เพียงนั่งรอฟังข่าวอย่างหวาดระแวงไม่คิดว่าน้องชายที่เขาเอ็นดูมาตั้งแต่วัยเยาว์จะทำร้ายเขาได้ลงคอ
แม่ทัพเย่และเย่จิ้นอันเข้าสู่สมรภูมิรบ สุดท้ายตกตายในสนามรบทั้งคู่ด้วยน้ำมือของฟ่านจิ้ง เรื่องนี้สร้างความแตกตื่นไม่น้อย ฟ่านเฉินเองก็ตื่นตระหนกไม่ต่างกัน เดิมทีนี่ไม่ได้อยู่ในแผนการที่วางเอาไว้ อย่างน้อยแม่ทัพใหญ่เย่และเย่จิ้นอันยังสามารถเจรจายอมให้พวกเขาศิโรราบได้และอาจจะใช้ประโยชน์ได้อีก ฟ่านเฉินไม่ได้ต้องการให้ตายในทันที เขาต่อว่าฟ่านจิ้งไปหลายประโยค แต่น้องชายกลับไม่สนใจคำพูดของเขา
เย่ฮูหยินเมื่อทราบว่าสามีและบุตรชายของตนตายในสนามรบก็ถึงกับเป็นลมแล้วเป็นลมอีก ส่วนเย่หลิงที่อยู่ในวังหลวงเป็นฮองเฮาก็ร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง
ท่านพ่อ พี่ใหญ่สิ้นแล้ว แม่ทัพใหญ่สิ้นแล้ว บ้านเมืองจะเป็นเช่นไรต่อไป!
เย่หลิงเป็นห่วงมารดาทั้งสองจึงคิดจะกลับจวนอย่างลับ ๆ แต่ทว่าฟ่านหลิ่นกลับไม่เห็นด้วย เขาจึงสั่งให้องครักษ์ไปที่จวนตระกูลเย่รับตัวเย่ฮูหยินและอนุซ่งมาที่วังหลวง เมื่อเย่ฮูหยินได้พบกับเย่หลิงสองแม่ลูกก็กอดกันร้องไห้อย่างน่าเวทนา
สงครามมีแต่ความสูญเสีย เมื่อแม่ทัพเย่และเย่จิ้นอันตาย ฟ่านเฉินได้ยึดกองกำลังทหารของตระกูลเย่มาไว้ในกำมือของตน และนำกองทัพนั้น บุกเข้ามาโจมตีเมืองหลวง
ด้านเย่หลีนั้น เมื่อได้ทราบเรื่องที่บิดาและพี่ชายตายจากไปก็แทบล้มทั้งยืน ท่านพ่อและพี่ชายของนางตายในสนามรบ คนที่ก่อกบฏก็คือฟ่านเฉินและฟ่านจิ้ง!
เขาลงมือแล้ว!
เย่หลีเม้มริมฝีปากแน่น นางเชื่อว่าการตายของบิดาและพี่ชายต้องเป็นฟ่านเฉินที่ลงมือแน่นอน เขาไม่เก็บคนที่เป็นขวากหนามเอาไว้เลยแม้แต่คนเดียว
ฟ่านเฉินพานางไปไหว้หลุมศพของหยางกุ้ยเฟยผู้เป็นมารดาหลังจากแต่งงานกันได้ไม่นาน อีกทั้งยังขอให้พระนางอวยพรให้เขาและนางใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างราบรื่น มีสายลมพัดเข้ามาแผ่วเบาราวกับว่าหยางกุ้ยเฟยรับรู้ถึงคำขอของนางและฟ่านเฉินแล้วเดิมทีฟ่านเฉินตั้งใจว่าจะเอาเลือดของสวีกุ้ยเฟยมาเซ่นสังเวยหลุมศพมารดา แต่เมื่อได้คิดอีกคราเขากลับพบว่าตนเองคิดถูกที่ไม่ทำเช่นนั้น เพราะเสด็จแม่เองก็คงไม่ต้องการให้เลือดชั่วของสวีกุ้ยเฟยมาแปดเปื้อนหลุมศพของนาง!หนึ่งปีแรกหลังจากแต่งงาน เย่หลียังคงไม่ตั้งครรภ์ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเขาและนางเลยแม้แต่น้อย นางไม่มีแม่สามีคอยกดดัน อีกทั้งพ่อสามีก็ไม่เร่งรัดนางจากนั้นไม่นาน เย่หลีก็ได้เอ่ยถามฟ่านเฉินว่าเขาคิดจะถอนพิษให้ไป๋ซู่ฮวาหรือไม่ ยามนี้แผนการก็สำเร็จลุล่วงแล้ว อย่างไรก็ควรจะเมตตานางเสียหน่อย แต่ฟ่านเฉินกลับไม่ตกลงทำตามที่นางบอก เขาเอ่ยว่าไป๋ซู่ฮวากลับมาแล้วยังไม่รู้จักประมาณตน ปล่อยไว้ย่อมเป็นภัย ให้นางเป็นใบ้ไปชั่วชีวิตเช่นนั้นก็ดีแล้ว จะได้ไม่ก่อคลื่นลมให้เขาและนางต้องปวดหัวได้อีก เย่หลีเองก็ไม่ได้คัดค้านอันใดส่วนเย่หลิงนั้นนางได้แต่งงานกับหวังฉงคน
เมื่อทุกอย่างจบลง แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องทำคือการปลอบขวัญกำลังใจเหล่าทหารกล้า พวกเขาทุกคนช่วยกันนำศพไปฝังเพราะอย่างไรเสียคงไม่อาจนำศพของพวกเขากลับบ้านเกิดได้อีกแล้ว เหล่าชาวบ้านก็ล้มตายไปไม่น้อยที่เหลือรอดก็มีอยู่ไม่มากและยังคงหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฟ่านหลิ่นและฟ่านเฉินจึงสั่งให้ทหารช่วยดูแลชาวบ้านและปลอบขวัญพวกเขาจนมีอาการดีขึ้นเวลาผ่านมาร่วมหลายวัน คนทั้งหมดก็เดินทางกลับเมืองหลวง อย่างไรเสียย่อมต้องกลับไปรายงานความดีความชอบนี้ให้ฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นได้ทราบเสียก่อน ส่วนเรื่องอื่นนั้นค่อยจัดการหารือกันภายหลังระหว่างที่เดินทางกลับนั้นเย่หลีนั่งรถม้ามาพร้อมกับสาวใช้น้อยนางนั้น เดิมทีเย่หลีไม่ได้คิดจะพานางติดตามกลับเมืองหลวงมาด้วย แต่เพราะสตรีนางนั้นบอกว่าไม่มีที่ไปแล้ว เย่หลีสงสารจึงรับนางเอาไว้และตั้งชื่อให้ว่าอาหลวนเดินทางมาจนถึงจุดพักม้าอย่างไรย่อมต้องหยุดพักเสียหน่อยเพราะอีกหลายวันกว่าจะเดินทางถึงเมืองหลวงและยามนี้ม้าก็อ่อนแรงลงไปไม่น้อยแล้ว ทางการรีบจัดที่พักให้พวกเขาและดูแลเรื่องอาหารอย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เย่หลีได้พักที่เรือนรับรองที่สะดวกสบายที่สุด เดิมทีเรือนนี้คนของท
เช้าวันต่อมาหลังจากที่เย่หลีตื่นขึ้นมา ก็พบว่าฟ่านเฉินรวมถึงบิดาและพี่ชายของนางได้ออกรบกับแคว้นฉีอีกครั้งแล้วเมื่อคืนนี้หลังจากปรับความเข้าใจกันได้แล้ว นางก็กลับมาพักยังที่พักของตน ยามนอนหลับนางฝันดีตลอดทั้งคืนในขณะที่เย่หลีเพิ่งจะกินมื้อเช้าเสร็จและเดินออกมาภายนอกกระโจมก็พบว่ายามนี้ภายในค่ายทหารกำลังวุ่นวายเป็นอย่างมาก เหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บถูกหามเข้ามาคนแล้วคนเล่า บางคนถูกธนูยิงจนทะลุหน้าอก บางคนแขนขาด บางคนเลือดไหลโทรมกาย ช่างเป็นภาพที่น่าหวาดกลัวไม่น้อยเลย สาวใช้น้อยข้างกายของนางถึงกับเบือนหน้าหนีไม่กล้ามองเพราะหวาดกลัวเย่หลีย่นหัวคิ้ว ไม่คิดว่าทหารของแคว้นซ่งจะได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ นางมองไปโดยรอบก่อนจะพบกับฟ่านหลิ่นที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นางจึงรีบเอ่ยกับเขาทันที"คังอ๋อง เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเพคะ"ฟ่านหลิ่นมองเย่หลีก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีเท่าใดนัก"เสด็จอาเล่นลูกไม้สกปรก ลอบส่งทหารไปซุ่มโจมตีทหารของพวกเราจากที่ลับ ก่อนหน้านี้ก็ส่งคนมาเผาเสบียงอาหาร อีกทั้งยังใช้ดินประสิวระเบิดภูเขาทำให้ก้อนหินร่วงลงมาทับทหารของแคว้นซ่งตายไปหลายพันนาย สถานกา
ฟ่านเฉินรีบหันกลับมามองก่อนจะต้องตกตะลึงอยู่เช่นนั้น เขาคิดว่าตนเองคงจะฝันไป แต่เมื่อได้เห็นว่ายามนี้สตรีตรงหน้ากำลังแย้มยิ้มให้เขา เขาจึงตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่ความฝันแต่เป็นนางจริง ๆเย่หลีมองพิจารณาบุรุษตรงหน้า ยามนี้เขายังคงดูหล่อเหลาเช่นเดิม แต่ทว่าผิวกลับคล้ำลงไปไม่น้อย ดูคมเข้มชวนมองขึ้นกว่าแต่ก่อนมากนัก"เจ้ามาได้เช่นไร"ฟ่านเฉินเอ่ยถามเย่หลีด้วยความสงสัย เขาเองก็มองนางอย่างพิจารณาเช่นเดียวกัน แม้ยามนี้ผิวของนางจะดูคล้ำลงแต่ความงามนั้นไม่ด้อยลงไปเลยแม้แต่น้อยเย่หลียิ้มก่อนจะตอบ"ข้าก็เดินทางมากับขบวนเสบียงน่ะสิ มาพร้อมพี่ชายของท่าน"เมื่อได้ยินว่าเย่หลีมาพร้อมกับฟ่านหลิ่น ในใจของฟ่านเฉินก็พลันขมขื่นขึ้นมา นางมาพร้อมพี่ชายของเขา ไม่คิดว่าเวลาเพียงไม่นานความสัมพันธ์ของคนทั้งสองจะก้าวหน้ามาถึงขั้นนี้แล้วที่นางเคยบอกว่าไม่ชอบพี่ชายเขา คงเป็นเพราะนางจะยังไม่รู้หัวใจตนเองใช่หรือไม่ เมื่อรู้แล้วนางจึงเลือกพี่ชายของเขาอย่างไม่ลังเลเมื่อเห็นว่าฟ่านเฉินเอาแต่เงียบ เย่หลีก็รู้สึกสงสัยไม่น้อย อันใดกัน ไม่เจอกันนานก็ไม่มีเรื่องจะสนทนากันแล้วหรือเมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงเอ่ยถามเขาอีกครั
เย่หลีนั่งอยู่ในเรือนนั้นอีกสักพัก ก่อนที่นางจะตัดสินใจเรื่องราวบางอย่างได้ ก่อนกลับนางได้บอกกับอาหลันว่าให้นำชุดแต่งงานสองชุดนั้นส่งกลับไปให้นางที่จวนตระกูลเย่ด้วย อาหลันรับคำ เย่หลีพยักหน้ารับก่อนจะกลับจวนของตนไปเมื่อเย่หลีกลับมาที่จวนนางก็จัดการล้างหน้าของตนให้สะอาด ทำเหมือนกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เช้าวันต่อมานางก็ได้ยินข่าวหนึ่ง นับว่าเป็นข่าวดีของแคว้นซ่ง เมื่อมีจดหมายจากชายแดนว่าครั้งนี้ได้รับชัยชนะต่อเนื่องกัน พวกกบฏแคว้นฉีระส่ำระสาย เรื่องนี้สร้างความดีใจต่อฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นไม่น้อย เดิมทีเขาคิดว่าหากฟ่านเฉินกลับมาอาจจะมอบตำแหน่งดี ๆ ใหบุตรชาย เพราะยามนี้เหล่าขุนนางต่างถกเถียงกันว่าคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งองค์รัชทายาทก็คือหลิงอ๋อง เพราะการศึกที่ชนะได้ในครั้งนี้เก้าในสิบส่วนเพราะเป็นความปรีชาสามารถของหลิงอ๋องแต่ทว่านอกจากจดหมายของทางการทหารแล้ว กลับมีจดหมายของฟ่านเฉินแนบมาด้วย เมื่อเขาเปิดออกก็ถึงกับทอดถอนใจออกมาฟ่านเฉินบอกว่าไม่ต้องการตำแหน่งใดทั้งสิ้นเพราะหลังจบสงครามก็จะไม่ขอกลับเมืองหลวงอีก จะใช้ชีวิตอยู่ที่ชายแดนเยี่ยงคนธรรมดาสามัญ นับแต่นี้ท่องเที่ยวไปทั่วใต้หล้า ไม่
"พี่สาวท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ"เย่หลีที่กำลังคิดสิ่งใดไปเรื่อยเปื่อยพลันได้สติกลับคืนมาเมื่อเย่หลิงเอ่ยถามตน นางหันไปยิ้มให้น้องสาวก่อนจะส่ายหน้าไปมา แล้วจึงเอ่ยกับเย่หลิง"ข้าจะไปหาที่เดินเล่นสงบใจเสียหน่อย อีกไม่นานจะกลับมา""เจ้าค่ะ"เย่หลีเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นเดินไปพร้อมกับเถาเป่า เดิมทีนางอยากนั่งอยู่เงียบ ๆ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดอยู่ ๆ นางจึงอยากจะเดินเล่นรอบ ๆ จวนองค์ชายรองที่ยามนี้กลายเป็นจวนหลิงอ๋องเสียหน่อย"เจ้าไม่ต้องตามข้ามา รออยู่ตรงนี้ก็พอ""เจ้าค่ะคุณหนู"เถาเป่าพยักหน้ารับเพราะไม่กล้าขัดคำสั่งเจ้านาย เย่หลีเดินตามทางมาเรื่อย ๆ ยามนี้โดยรอบจวนอ๋องมีดอกไม้และใบไม้เขียวชอุ่มให้ความรู้สึกที่สบายตาไม่น้อยเลย สายลมพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของนางเล็กน้อย เย่หลีมองไปโดยรอบด้วยแววตาที่วูบไหว อยู่ ๆ นางก็หยุดฝีเท้าอยู่ที่ด้านหน้าเรือนแห่งหนึ่งมันคือเรือนที่นางเคยอยู่ในชาติก่อนที่จวนแห่งนี้เดิมทีมีแต่ความทรงจำที่ขมขื่นและเจ็บปวดมากมาย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงอยากจะมองมันให้ชัดเจนอีกสักคราราวกับว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางจะได้เยียบย่างเข้ามาในที่ที่เป็นความหลังแห่งนี้ราวกับภา
เวลาผ่านมาร่วมหลายวัน ในที่สุดอาการบาดเจ็บของฟ่านเฉินก็หายดีจนเป็นปกติ เพราะได้รับบาดเจ็บระยะนี้จึงได้รับอนุญาตให้ไม่ต้องเข้าร่วมประชุมยามเช้าที่วังหลวงหลังจากกินมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็มุ่งหน้ามาที่วังหลวงเพื่อเยี่ยมเยือนบิดา ฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นเมื่อเห็นว่าบุตรชายไม่เป็นอันใดแล้วก็ดีใจไม่น้อย ฟ่านเฉินอยู่สนทนากับบิดาต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนจะขอตัวกลับเมื่อเดินออกมาแล้ว เขากลับยังไม่ได้ออกจากวังหลวง ชายหนุ่มเดินตรงมาที่คุกหลวงซึ่งเป็นสถานที่กักขังสวีกุ้ยเฟยเอาไว้ นางยังไม่ถูกลงโทษ เพราะเสด็จพ่อเดิมทีก็เหมือนจะมีเยื่อใยต่อนางอยู่ไม่น้อยเขาเดินเข้ามาในคุกหลวงที่มืดมิด ได้กลิ่นสาบจาง ๆ โชยมาต้องนาสิกเป็นระยะ แต่ทว่าชายหนุ่มกลับหาได้สนใจแม้แต่น้อย เขาเดินตรงมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าห้องขังห้องหนึ่ง เมื่อมองเข้าไปก็พบกับสตรีวัยกลางคนที่กำลังนั่งพิงกำแพงอยู่ ใบหน้าของนางที่เคยงดงามยามนี้แก่ชราลงไปหลายปี ผมเผ้ารุงรัง เสื้อผ้าสกปรกมอมแมม เมื่อได้ยินเสียงห้องขังเปิดออกนางจึงหันมามอง เมื่อพบว่าเป็นฟ่านเฉิน นางก็รีบลนลานเข้ามากอดเขาเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย"เฉินเอ๋อร์ ช่วยแม่ด้วย ได้โปรดช่วยแม่ด้วย
ยามนี้ฟ่านเฉินกำลังควบม้ามุ่งหน้าตรงมาที่จวนของฟ่านหรง เมื่อมาถึงเขาก็สั่งให้คนค้นทั่วทั้งจวน หลังจากสำรวจโดยรอบอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ถึงกับส่งเสียงเหอะออกมาคาดเดาว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตระกูลสวีก่อนหน้านี้จะต้องเป็นฝีมือของฟ่านหรงถึงสิบส่วน คนของเขาบอกว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนสวีกุ้ยเฟยคลุ้มคลั่งแทบเสียสติเพราะตราคำสั่งทางทหารของบิดานางหายไป เขาเคยเห็นตราสั่งการทางทหารนั้นมาก่อน ย่อมจำได้เป็นอย่างดี การที่ฟ่านหรงหนีไปครั้งนี้ย่อมไม่ได้หนีไปตัวเปล่า แต่เขานำกองกำลังนั้นไปด้วย หากเป็นเช่นนี้ก็ย่อมอันตรายมากยิ่งนักเมื่อเขาออกมาจากจวนฟ่านหรงก็พบกับเย่จิ้นอันที่ควบม้าตามมา ชายหนุ่มมองฟ่านเฉินครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"องค์ชายรอง คนเล่า เขาหนีไปได้เช่นไร เห็นอยู่ว่าพิการเช่นนั้นไปแล้ว"ฟ่านเฉินมองเย่จิ้นอันก่อนจะเอ่ยตอบ"ถึงเขาจะพิการ แต่คนของเขาฝีมือไม่ได้ด้อย ข้าเชื่อว่าเขาต้องหนีไปพร้อมกับตราคำสั่งทางทหารของสวีกุ้ยเฟย อีกทั้งการที่ทหารในค่ายถูกโยกย้ายไปก่อนหน้านี้ล้วนเป็นฝีมือของเขารวมไปถึงการที่จวนตระกูลสวีเกิดเหตุในคืนนั้นก็เป็นฝีมือเขาด้วยเช่นกัน""เกิดการหักหลังกันเช่นนั้นหรือ""ถูกต้อง"เ
ฟ่านเฉินเกรงว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์นอกเหนือความคาดหมายทำให้เขารับมือไม่ได้ จึงบอกให้เย่จิ้นอันจับตาดูฟ่านหรงเอาไว้เย่จิ้นอันพยักหน้ารับคำ เอ่ยปากอำลากลับมาที่จวนของตนเรื่องนี้เขาได้ปรึกษากับบิดาก่อนหน้านี้แล้ว ท่านพ่อเองก็คอยช่วยเหลือพวกเขาอย่างลับ ๆ อีกอย่างค่ายทหารที่ฟ่านเฉินบอกก็เป็นความจริง ชายหนุ่มนั่งสนทนากับบิดา ก่อนจะเอ่ย"ท่านพ่อ ก่อนหน้านี้ความฝันของหลีเอ๋อร์เหมือนจะเป็นจริงหลายส่วน แต่ว่าไม่ตรงกับฟ่านเฉิน เขาไม่ได้เลวร้ายหรือคิดแย่งบัลลังก์ เรื่องนี้ท่านคิดเห็นเช่นไร"แม่ทัพใหญ่เย่มีท่าทางครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้า"บางทีความฝันก็อาจจะไม่เป็นจริงเสมอไป เอาเถิด เจ้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำก็ทำอย่างรอบคอบ หากต้องการความช่วยเหลือพ่อจะคอยช่วยเจ้าอีกแรง ไว้จับคนร้ายได้เมื่อไหร่และเปิดโปงคนชั่วได้สำเร็จ คาดว่าเรื่องนี้คงจะทำให้ฝ่าบาทปวดหัวไม่น้อยเลย เรื่องนี้พ่อไม่ได้ทูลฝ่าบาทเพราะเกรงว่าอาจกระทบกับแผนการที่พวกเจ้าลงมืออยู่ แต่อย่างไรพ่อจะคอยช่วยเหลืออยู่ห่าง ๆ”"ขอรับท่านพ่อ"เย่จิ้นอันพยักหน้าแล้วขอตัวเดินออกมา ระหว่างทางได้พบกับเย่หลีที่เพิ่งเดินกลับมาจากเรือนใหญ่พอดี สองพี่น้องยิ้ม