บทที่ 3.2 หลุดพ้นจากคนชั่ว
วันต่อมาซ่งไป๋ลู่ยังคงพาซ่งหานลู่ขึ้นเขาไปเก็บผลไม้ป่าตามปกติ รอจนตะวันใกล้ตกดินซ่งต้าลู่จึงมารับของไปส่งที่บ้านตระกูลกู้เช่นเดิม
“อาไป๋เจ้ามาพอดี ข้ากำลังจะเอาของพวกนี้ไปส่งที่บ้านเจ้า”
ซ่งไป๋ลู่มองเครื่องครัวที่แสนธรรมดา ทว่ายังคงใช้งานได้ดีแล้วยิ้มกว้างเอ่ยขอบคุณอีกฝ่าย
“เรื่องเล็กน้อยเหตุใดต้องขอบคุณด้วยเล่า”
ซ่งต้าลู่ขนผลไม้ลงจากรถลาก โดยที่สายตายังคงจดจ้องไปยังสหายที่ยืนสนทนากับน้องสาวของเขาอย่างสนิทสนม
“อ้อ... ส่วนนี่เป็นของที่เจ้าฝากให้ข้าไปซื้อมา”
กู้เหยียนส่งถุงหนังสัตว์ให้ซ่งไป๋ลู่ ริมฝีปากเล็กยิ้มกว้างรับของมาด้วยความยินดี ท่าทางสนิทสนมของคนทั้งสองทำให้คนเป็นพี่ใหญ่หงุดหงิดใจเป็นทบทวี จนอดเอ่ยถามไม่ได้
“น้องรอง เจ้าฝากอาเหยียนซื้ออะไรมาหรือ”
“นมแพะและเนื้อหมูเจ้าค่ะ”
ซ่งไป๋ลู่เอ่ยตอบพี่ชายของตน หากแต่ความสนใจกลับยังคงอยู่ที่พี่ชายต่างแซ่ ซ่งต้าลู่เม้มริมฝีปาก ตวัดหางตามองสหายด้วยความขุ่นเคือง โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว
“ลำบากพี่กู้เหยียนแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องรบกวนท่านอีก”
“ลำบากอะไรกัน เรื่องของเจ้าก็เหมือนเรื่องของข้า”
เพราะยุคนี้ไม่มีตู้เย็นซ่งไป๋ลู่จึงต้องให้กู้เหยียนนำของไปแลกนมแพะมาจากอีกฝ่ายแทน
“เพียงแต่ผลท้อครึ่งตะกร้าหากนำไปขายเปลี่ยนเป็นเงิน ย่อมซื้อนมแพะได้มากขึ้นอีกหนึ่งในสี่ถุง อาไป๋ข้าเอาผลท้อของเจ้าไปขายแล้วค่อยไปซื้อนมแพะไม่ดีกว่าหรือ”
“ผลท้อครึ่งตะกร้ากว่าจะขายหมดต้องเสียเวลาและเปลืองแรงของท่านไม่น้อย เทียบกันแล้วยอมเสียผลประโยชน์เล็กน้อยแลกกับความสบายของท่านย่อมคุ้มกว่า”
ใบหน้าของกู้เหยียนพลันแดงก่ำ ที่แท้ซ่งไป๋ลู่ยอมเสียเปรียบผู้อื่นก็เพราะห่วงใยเขานี่เอง
เกวียนของกู้ฉินหยุดลงที่หน้าบ้านสามพี่น้องตระกูลซ่ง
ซ่งต้าลู่และกู้เหยียนก็ช่วยกันขนของลงจากล้อเกวียน ซ่งไป๋ลู่เดินไปหยิบตะกร้าผักป่าและผลบ๊วยผลท้อส่งให้กู้ฉิน โดยไม่ลืมมอบค่าจ้างขนของให้เขาด้วย“ผลไม้กับผักป่าพวกนี้ฝากให้ท่านป้า ส่วนเงินนี่มอบให้ท่านลุงเจ้าค่ะ”
“เรื่องเล็กน้อย เงินนี่เจ้าเก็บเอาไว้เถิด”
กู้ฉินไม่ใช่คนเห็นแก่เงิน น้ำใจและคำพูดชี้แนะเรื่องการค้าขายที่เด็กหญิงแบ่งปันให้ลูกชายของเขานั้นทำให้เขาซาบซึ้งยิ่ง
ยังจะรับเงินจากนางอีกได้อย่างไร“เป็นส่วนที่ควรมอบให้ท่านเจ้าค่ะ”
เมื่อถูกตอบกลับด้วยเหตุผลกู้ฉินก็ไม่อาจปฏิเสธ จำใจรับเงินของนางมาใส่ถุงเอาไว้ ภรรยาของเขากล่าวว่าอยากได้สตรีน้อยนางนี้มาเป็นสะใภ้ เช่นนั้นเงินก้อนนี้ก็ถือเสียว่าเขารับมาเก็บเอาไว้เป็นสินสอดสู่ขอนางให้ลูกชายหัวทึบของเขาในอนาคตก็แล้วกัน
“พี่ใหญ่ พี่รอง เกิดเรื่องแล้ว!”
เสียงร้องที่ดังออกมาจากในครัวทำให้ซ่งไป๋ลู่รีบเดินไปยังต้นเสียง ด้านหลังมีกู้ฉินตามมาด้วยอีกคน ดวงตากลมของซ่งไป๋ลู่เบิกกว้างเมื่อพบว่าในครัวมีสภาพราวกับถูกโจรเข้ามาปล้นของ
ทั้งข้าวสาร เครื่องปรุง ของแห้งล้วนถูกขโมยไปจนหมดสิ้น เท้าเล็กเดินไปในตัวบ้าน เมื่อพบว่าของทุกอย่างยังอยู่ครบก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แน่นอนว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะของในบ้านล้วนเป็นของเก่าไม่มีราคานั่นเอง“ต้องเป็นฝีมือท่านป้าใหญ่แน่ๆ”
ซ่งหานลู่เอ่ยบอกเสียงสั่น มองเชือกที่ร้อยเนื้อแห้งเอาไว้ด้วยสายตาแดงก่ำ
“ไร้หลักฐาน อย่าได้เอ่ยวาจาเลื่อนลอย”
ซ่งต้าลู่เอ่ยเตือนน้องชาย กู้ฉินถอนหายใจยาวมองสองพี่น้องด้วยสายตาสงสารแม้แต่เด็กน้อยอย่างอาหานยังคาดเดาคนร้ายได้ ตัวเขาจะคาดเดาไม่ได้ได้อย่างไร แต่เป็นเช่นที่ซ่งต้าลู่เอ่ยบอกไร้หลักฐานย่อมไม่อาจเอ่ยวาจาเลื่อนลอย
“เช่นนั้นข้าจะหาหลักฐานให้พวกท่านจับคนเอง”
เสียงของซ่งไป๋ลู่ที่เดินเข้าไปสำรวจข้าวของในบ้านเอ่ยขึ้น เรียกความสนใจของบุรุษทั้งสี่คนไปที่นางในทันที
“อาไป๋ เจ้าจะหาหลักฐานได้อย่างไรหรือ”
“พี่กู้เหยียนท่านไม่รู้อะไร ก่อนหน้านี้ข้าได้ให้ท่านหมอในเมืองตรวจร่างกาย เขาบอกว่าข้าเป็นโรคประหลาดต้องกินยาตำรับพิเศษ ข้าวสารในไหกับเนื้อที่ตากแห้งนี้จึงได้รมควันสมุนไพรเอาไว้ ทว่ายาสูตรนี้ต้องกินคู่กับสมุนไพรในนมแพะ ไม่เช่นนั้นจากยารักษาจะกลายเป็นยาพิษ ข้าจึงได้ให้ท่านซื้อนมแพะมาให้ทุกวันอย่างไรเล่า”
เมื่อได้ยินซ่งไป๋ลู่เอ่ยบอกถึงอาการป่วยของตน สีหน้าของกู้เหยียนก็พลันย่ำแย่ เขาอยู่ข้างกายนางแท้ๆ กลับไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย
“อาไป๋ เจ้าไม่ต้องกังวล เจ้าบอกชื่อร้านขายยามาข้าจะรีบเข้าเมืองไปซื้อสมุนไพรมารมข้าวสารและเนื้อให้เจ้า”
ได้ยินคำของลูกชายกู้ฉินก็ถอนหายใจยาว ตบหัวไล่ความโง่เขลาไปหนึ่งที
“ท่านพ่อท่านตีข้าอีกแล้ว”
“เจ้าตัวโง่งม”
กู้ฉินเอ่ยสบถด่าลูกชายหนึ่งคำก็หันมาทางเด็กหญิง
“อาไป๋ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ท่านป้าของเจ้าต้องจัดการได้ดีอย่างแน่นอน”
ซ่งไป๋ลู่ยิ้มกว้างก้มศีรษะขอบคุณอีกฝ่าย ยามที่คนจากไปแล้วซ่งหานลู่ก็เอ่ยถามเสียงสั่น
“พี่ใหญ่พี่รองเหตุใดท่านป้าต้องมาขโมยของของพวกเราด้วยขอรับ เช่นนี้ข้าจะไปขโมยของของนางบ้าง”
ซ่งไป๋ลู่หันมาสบตากับซ่งต้าลู่ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกับดวงตาที่ฉ่ำวาวไปด้วยน้ำตาของเด็กน้อย วางมือจับไหล่เล็กของเขาแล้วเอ่ยปลอบโยนเสียงจริงจัง
“น้องเล็กเจ้าฟังคำของพี่รองให้ดี เราไม่อาจหาเหตุผลกับการกระทำที่ต่ำช้าของผู้อื่น แต่ก็ไม่จำเป็นต้องตอบโต้ด้วยการกระทำที่ต่ำช้าเช่นเดียวกัน”
“เช่นนั้นเราต้องยอมถูกรังแกไปตลอดเช่นนี้หรือขอรับ”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เราแค่ต้องเรียนรู้ที่จะตอบโต้อย่างมีสติเท่านั้น”
ซ่งต้าลู่มองน้องสาวตัวน้อยเอ่ยสั่งสอนน้องชายแล้วขมวดคิ้วหนา ถ้อยคำพวกนี้น้องสาวที่อายุเพียงสิบขวบของเขากลับเอ่ยออกมาได้อย่างลื่นไหลราวกับอาจารย์อาวุโสในสำนักศึกษา หรือแท้จริงก่อนหน้านี้จะมีคนสอนหนังสือให้นาง เมื่อคิดถึงตำราบนชั้นที่เรียงตามลำดับตัวอักษรได้อย่างถูกต้องในใจของซ่งต้าลู่ก็ยิ่งมั่นใจในความคิดของตนเอง เพียงแต่คนที่สั่งสอนนางคือใครกัน แล้วเหตุใดก่อนหน้านี้นางจึงทำราวกับเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้ความเช่นนั้น
.......................................................................
เช้าวันต่อมาข่าวเรื่องซ่งไป๋ลู่ล้มป่วยเพราะข้าวสารที่รมยาในเรือนถูกขโมยก็ถูกพูดถึงไปทั้งหมู่บ้าน
“น่าสงสารนางหนูซ่งยิ่งนัก นางทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินไปซื้อข้าวสารรมยานั่นมากิน ตอนนี้ถูกขโมยไปจึงล้มป่วย”
“ข้าวสารรมยาอย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้วๆ นางล้มป่วยบ่อยๆ รักษาไม่หายเสียทีวันก่อนเจอหมอในเมืองช่วยตรวจดูก็จัดยามาให้นางสองชุด ชุดหนึ่งรมไว้ในข้าวสาร อีกชุดต้มผสมนมแพะดื่ม”
ว่านชุนที่กำลังนั่งซักผ้าอยู่ริมลำธารเหลือบตาเห็น
ซ่งหลี่เถียนก็จงใจเอ่ยเล่าเรื่องของซ่งไป๋ลู่“จะว่าไปนางหนูซ่งน่าสงสาร แต่คนที่ขโมยไปกลับ
น่าสมน้ำหน้า”“เหตุใดจึงน่าสมน้ำหน้าเล่า”
“เจ้าไม่รู้อะไร ยาที่รมอยู่ในข้าวสารต้องกินคู่กับยาที่อยู่ในนมแพะ หากกินแยกกันไม่เพียงไม่ช่วยรักษาร่างกายยังเป็นพิษร้ายสะสมด้วย”
เมื่อได้ยินคำว่า พิษร้าย ไม้ตีผ้าในมือซ่งหลี่เถียนก็หลุดร่วงในทันที ใบหน้าของนางซีดเซียว ไม่เอ่ยคำใดก็หมุนตัววิ่งไปที่บ้านของสามพี่น้องตระกูลซ่ง
“ซ่งไป๋ลู่ เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”
แม้เสียงร้องเรียกจะบอกให้เปิดประตู ทว่ายังไม่ทันมีผู้ใดลุกขึ้นประตูผุๆ ก็พังลงมาพร้อมกับซ่งหลี่เถียนที่ใบหน้าชุ่มไปด้วยเหงื่อ ยิ่งเห็นว่าซ่งไป๋ลู่นอนซมอยู่บนเตียงในใจของนางก็ยิ่งตื่นตระหนก
“มีพิษ มีพิษจริงๆ ด้วย รีบเอายาถอนพิษมาให้ข้า”
“ท่านป้าใหญ่ ท่านกำลังพูดถึงเรื่องอะไรหรือ”
ซ่งต้าลู่ลุกขึ้นยืน สายตาคมจดจ้องอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนหน้านี้เขาเห็นว่าสตรีตรงหน้าเป็นญาติผู้ใหญ่ หลายครั้งที่นางทำเรื่องเลวร้ายเขาก็มักปล่อยผ่านและถอยให้เสมอ ทว่าในเมื่อถอยให้ถึงเพียงนี้แล้วนางยังไม่ยอมรามือ เช่นนั้นวันนี้ก็คงต้องจัดการขั้นเด็ดขาดเสียที
“ไม่ต้องมาทำไขสือ ส่งยาถอนพิษมา”
ในขณะที่ซ่งหลี่เถียนยืนเต้นแร้งเต้นกาตะโกนถามหายาถอนพิษ ซ่งไป๋ลู่ก็ส่งสัญญาณให้กับซ่งหานลู่ที่ยืนอยู่นอกเรือน
“ท่านป้าใหญ่พวกเราไม่เข้าใจเรื่องที่ท่านพูดจริงๆ เจ้าค่ะ แค่กๆ”
ซ่งไป๋ลู่พูดเสียงแผ่วเบาก่อนจะแสร้งกระแอมไอชุดใหญ่ ท่าทางบอบบางราวกับคนป่วยหนักของนางแม้แต่ซ่งต้าลู่เองก็ยังเผลอคิดว่าเป็นเรื่องจริงหมุนตัวมารินชาร้อนให้นางดื่ม
“น้องรอง เจ้าดื่มชาก่อน”
ซ่งหลี่เถียนถูกสองพี่น้องเมินราวตนเองเป็นอากาศธาตุก็
อ้าปากเบิกตากว้าง ยกมือขึ้นชี้นิ้วด่าคน“เจ้าเด็กอกตัญญู เจ้ากล้าวางยาพิษในข้าวสารของข้าหรือ”
“ข้าวสารของท่านย่อมอยู่ในครัวท่าน พวกเราพี่น้องจะไปวางยาพิษได้อย่างไร นอกเสียจากท่านจะเป็นขโมยที่เข้ามาขโมยข้าวของพวกเรา”
“ข้าวของพวกเจ้าอะไรกัน ข้าเป็นป้าใหญ่ของพวกเจ้า
เลี้ยงดูพวกเจ้า ข้าวทุกเม็ดของทุกอย่างในบ้านเจ้าล้วนเป็นของข้าทั้งสิ้น”“ตั้งแต่ท่านพ่อแต่งงานก็แยกตัวออกมาจากบ้านใหญ่
ท่านป้าเรื่องนี้แม้แต่อาหานก็ยังรู้ ท่านก็อายุไม่น้อยแล้วเหตุใดจึงยังแยกแยะไม่ได้กัน”ซ่งไป๋ลู่ได้ยินคำของซ่งต้าลู่สวนกลับคนเป็นป้าก็อ้าปากค้าง ไม่คิดว่าคนที่พูดน้อยเช่นเขาเวลาอ้าปากโต้เถียงคนจะน่ากลัวถึงเพียงนี้
“เจ้ากล้าเถียงข้าหรือ เจ้าเด็กสารเลว! วันนี้ข้าจะตีพวกเจ้าสั่งสอนแทนบิดามารดาที่ไม่ได้ความพวกนั้น”
ซ่งหลี่เถียนด่าเพียงคำเดียวก็ก้าวเข้ามาเงื้อมือขึ้นตีคน
ซ่งไป๋ลู่ขมวดคิ้วเรียวเมื่อเห็นว่าฝ่ามือของซ่งหลี่เถียนตีลงบนตัวพี่ชายของนาง โทสะในใจก็ลุกโชน ทว่ายามที่กำลังคิดจะตอบโต้หางตาก็เห็นซ่งหานลู่พาคนมาแล้ว ริมฝีปากบางยกขึ้นยิ้มอย่างพึงพอใจซ่งหลี่เถียนวันนี้ข้าจะทวงคืนความยากลำบากทั้งหมด
บทพิเศษสายลมเหมันต์พัดผ่าน หิมะขาวโปรยปรายร่วงหล่นองค์ชายรองฟู่ฉ่าคังอันยืนอยู่บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมเสี่ยวอัน สายตาทอดมองไปยังถนนเบื้องล่าง“ถวายพระพรองค์ชายรอง”เสียงเอ่ยด้วยความนอบน้อมจากด้านหลังดึงสายตาของเขาให้หมุนตัวกลับมามองอีกฝ่าย“ลุกขึ้นเถิด ท่านอาจารย์หลิว หมอหลวงถัง”หลิวชงซิว และ ถังซานอี้ ขยับตัวลุกขึ้น หากแต่ยังคงอยู่ในท่าทางที่สงบ“หลายปีมานี้ลำบากพวกท่านแล้ว”“ได้ทำงานให้ฝ่าบาทนับเป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่ของพวกกระหม่อม”ฟู่ฉ่าคังอันยกมุมปากขึ้นยิ้ม สายตามองคนทั้งสองด้วยความภาคภูมิใจและขอบคุณอยู่ในที การซ่อนตัวแฝงกายเพื่อสืบข่าวในต่างแคว้นนั้นเป็นเรื่องยาก แต่ที่ยากกว่าคือการแทรกซึมขึ้นเป็นคนสำคัญที่ต่างแคว้นไว้วางใจ“ตอนนี้เจียงเป่ยและต้าหยางลงนามผูกพันธมิตรร้อยปี ต่อไปคงไม่มีสงครามอีก ดังนั้นเสด็จพ่อจึงเรียกตัวพวกท่านกลับเจียงเป่ยเพื่อตกรางวัล”เมื่อได้ยินว่าถูกเรียกตัวกลับบ้านเกิด สองสายลับก็ทรุดตัวลงก้มหน้าคุกเข่า“องค์ชายได้โปรดเมตตา พวกกระหม่อมไม่ปรารถนาของรางวัลหรือลาภยศใดๆ เพียงแต่ต่อจากนี้ขอให้ลบชื่อพวกเราออกจากบัญชีสายลับ”ลบชื่อออก นี่ไม่เท่ากับลบผลงานในหลายสิบ
“เสี่ยวไป๋!”น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาในคราวแรกนั้นค่อนข้างตื่นตระหนกดีใจ หากแต่เพียงพริบตาก็กลับเป็นเศร้าหมอง ยืนนิ่งเอ่ยออกมาเสียงบางเบา“สบายดีหรือไม่”ซ่งไป๋ลู่ในชุดสีแดงอ่อนแถบขาว เม้มริมฝีปากบางพยักหน้าตอบกลับ เมิ่งเฟยอวี่ยิ้มด้วยสายตาเจือความทุกข์ เอ่ยถามเสียงสั่น“มีเรื่องทุกข์ใจ หรือใครทำให้รู้สึกยากลำบากไหม”ดวงตาคมมองใบหน้าที่ส่ายไปมา ด้วยใจคะนึงหาก่อนจะเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกเมื่อเห็นเท้าเล็กก้าวเข้ามาหาตน“อย่า อย่าเข้ามา...”“อาเล่อ ทำไม...”“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเพียงภาพลวงตา แต่ช่วยอยู่ให้นานหน่อยได้หรือไม่”คิ้วเรียวที่ขมวดเข้าหากันของซ่งไป๋ลู่พลันคลายออก ในดวงตาปรากฏความรู้สึกผิดที่ชัดเจน ไม่สนใจคำห้ามปรามของเขาวิ่งเร็วพร้อมโถมตัวเข้าโอบกอดร่างหนา“เสี่ยวไป๋ ทำไมเจ้าจึงกอดข้าได้”เมิ่งเฟยอวี่ยังคงตื่นตกใจ สองมือแข็งค้างอยู่กลางอากาศไม่กล้าแม้แต่จะขยับปลายนิ้ว ด้วยกลัวว่าความอบอุ่นนี้จะจางหายไป“ข้าไม่เพียงแค่กอดเจ้าได้แต่ยัง... จูบเจ้าได้ด้วย”ซ่งไป๋ลู่กล่าวจบสองมือที่กอดกายหนาก็ขยับขึ้นโอบลำคอแกร่ง เขย่งปลายเท้ากดแนบริมฝีปากของตนลงบนปากหยักของเมิ่งเฟยอวี่ร่างกายของเมิ่งเฟยอวี
ห้าวันต่อมาทั่วทั้งต้าหยางก็เกิดเรื่องที่ทำให้ทุกคนตื่นตระหนก เมื่อราชโองการถูกประกาศออกมาว่าองค์ชายห้าหลงเจิ้นซีก่อกบฏ ตระกูลจางเก้ารุ่นถูกสังหารภายในคืนเดียว บรรดาขุนนางที่ร่วมมือถูกประหารไปนับสิบคน พระสนมจางเฟยถูกส่งเข้าตำหนักเย็น ราชสำนักปั่นป่วนวุ่นวาย หากแต่เพียงครึ่งเดือนต่อมาทุกอย่างก็สงบลง“ได้ยินว่าองค์ชายห้าใช้โอกาสตอนไปจัดการปัญหาทางเหนือ ซ่องสุมกำลังพลเอาไว้ โชคดีที่องค์ชายรองแคว้นเจียงเป่ยยื่นมือเข้ามาช่วยเปิดโปง ไม่เช่นนั้นหากเกิดกบฏกลางเมืองขึ้นมาจริงๆ ชาวบ้านอย่างพวกเราไม่รู้จะมีชะตากรรมอย่างไร”“ยังต้องขอบคุณที่ปรึกษาเมิ่งด้วย ได้ยินว่าเขาให้บัณฑิตใหม่ปีนี้แฝงตัวเข้าสืบความ จึงได้รายชื่อขุนนางโฉดทั้งหมดออกมา”“ใช่ๆ เขายังเป็นพันธมิตรที่ดีกับหัวหน้าหวงแห่งกองอาชาเหล็กร่วมมือกันเข้าจับกุมองค์ชายกบฏ ดังนั้นจึงจัดการทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วและไม่เดือดร้อนชาวบ้านอย่างพวกเราเลย”เรื่องราวการปราบกบฏครั้งนี้ถูกเล่าลือไปทั่วเมืองด้วยความตื่นเต้นของชาวบ้าน ขณะที่ซ่งไป๋ลู่ได้แต่รับฟังอย่างสงบ“พี่รอง เหตุใดท่านจึงดูสงบนัก ราวกับว่ารู้ทุกอย่างอยู่แล้ว”“หากข้าบอกว่าข้ารู้ทุกอย่าง
“อาไป๋นอนหรือยัง”เสียงซ่งต้าลู่ดังขึ้นที่หน้าห้อง ซ่งไป๋ลู่ก็หมุนตัวออกมาเปิดประตูในทันที“พี่ใหญ่ มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”เพราะช่วงนี้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ดังนั้นซ่งไป๋ลู่จึงตื่นตัวและกังวลอยู่ตลอดเวลา“ไม่ได้มีเรื่องร้ายอะไร ข้าเพียงต้องการบอกบางอย่างกับเจ้า”ซ่งไป๋ลู่เห็นใบหน้าของพี่ชายมีความกังวลแฝงอยู่ก็คาดเดาได้ว่าบางอย่างที่เขากำลังจะบอกกับนางนั้นน่าจะเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นจึงให้เขาเข้ามานั่งด้านในห้อง รินชาร้อนแล้วส่งให้เขาซ่งต้าลู่รับถ้วยชามาจากน้องสาว ทว่ากลับไม่ได้ยกมันขึ้นดื่ม มือข้างหนึ่งกำถ้วยชาแน่น ส่วนอีกข้างกำกล่องไม้บนตักเอาไว้แน่นหากซ่งไป๋ลู่รู้ว่าระหว่างเขากับนางไม่มีสายสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด สายตาที่ห่วงใยนี้จะเปลี่ยนไปหรือไม่ซ่งต้าลู่ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย แต่ที่เขากลัวก็คือ สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความไว้วางใจ และห่วงใยคู่นี้จะเปลี่ยนไป เพียงแต่ให้หวาดกลัวเพียงใดเรื่องนี้ก็ไม่อาจปิดบังได้อีก ดังนั้นมือหนาจึงวางกล่องไม้ที่เขาเก็บเอาไว้เกือบสิบหกปีลงตรงหน้าซ่งไป๋ลู่“พี่ใหญ่นี่คือ...”“ของที่มารดาเจ้ามอบไว้ให้”มารดาของนาง ไม่ใช่มารดาของเขาหรือ
“เช่นนั้นคงต้องรบกวนองค์ชายห้า แสดงของในมือแล้ว”“เมิ่งเฟยอวี่!”“กระหม่อมอยู่นี่ รอดูของในมือพระองค์ด้วยความตั้งใจ”“บังอาจ! เหวินเสียนไปชิงสตรีของข้าคืนมา”สิ้นคำสั่งของหลงเจิ้นซี องครักษ์ลับร่วมห้าสิบชีวิตก็ปรากฏเบื้องหน้า ทว่าแม้จะตกเป็นรองแต่เมิ่งเฟยอวี่ก็ยังคงอยู่ในอารมณ์ที่สงบนิ่ง ดวงตาคมดุจดจ้องมองไปยังอีกฝ่ายอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะโต้กลับด้วยเสียงเยือกเย็น“มีใครกล้าก็เข้ามา”มือหนาดึงซ่งไป๋ลู่ไปไว้เบื้องหลัง ขยับเท้าอยู่ในท่าพร้อมปะทะอย่างไม่หวั่นเกรง ข้างกายมีคนติดตามอีกร่วมสิบชีวิตกระชับกระบี่ในมือด้วยท่าพร้อมสู้เช่นเดียวกัน“ปกป้องแม่นางซ่ง!”เสียงปริศนาดังขึ้น พริบตาชายในชุดสีน้ำตาลก็ทะยานตัวมาเป็นเกราะคุ้มกันที่ด้านหน้าเมิ่งเฟยอวี่อีกชั้น หลงเจิ้นซีตวัดสายตามองไปยังต้นเสียงก็เห็นร่างสูงโปร่งในชุดผ้าไหมเนื้อดีตามแบบวัฒนธรรมชาวเจียงเป่ย“องค์ชายรองฟู่ฉ่าคังอัน!”คำเรียกขานที่แจ้งสถานะของผู้สอดมือทำให้องค์ชายห้าหลงเจิ้นซีขบกรามแน่น“นี่เป็นเรื่องภายในของต้าหยาง องค์ชายรองฟู่ฉ่าคังอันทำเช่นนี้ดูไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง”“แม่นางซ่งเป็นน้อง... เป็นผู้มีพระคุณของข้า ดังนั้นไม่ว่าใคร
เสวียนรั่วซีกำกระบี่ในมือแน่น นางอยู่บ้านซ่งมาหลายปีเสี่ยวโกวแม้เป็นเพียงสุนัขแต่ก็ผูกพันราวญาติคนหนึ่ง หากแต่แม้แค้นเคืองจนตัวสั่นทว่าเสวียนรั่วซีก็ไม่คิดทำให้ซ่งไป๋ลู่เดือดร้อนเพราะความวู่วามของตน“สักวันข้าจะต้องทวงคืนความยุติธรรมให้เสี่ยวโกว”“รั่วซีระวังหน่อย”ซ่งไป๋ลู่เอ่ยเตือนออกมาเสียงเบา แม้คำพูดของเสวียนรั่วซีจะดังเพียงแค่ให้ได้ยินเข้ามาในเกี้ยว แต่คนของหลงเจิ้นซีล้วนมากฝีมือ ดังนั้นจึงควรระวังให้มาก เพียงแต่แม้จะเอ่ยเตือนเสวียนรั่วซีไปเช่นนั้น ทว่าในความเป็นจริงตัวนางเองก็ยากจะควบคุมโทสะในใจ มือกำเข้าหากันแน่น จนปลายเล็บกดลงไปในอุ้งมือเป็นรอยแผล สองตาแดงก่ำใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตาตำหนักเจิ้นซีอยู่ทางตะวันออกของเมืองหลวง ในขณะที่จวนซ่งอยู่ทางตะวันตกดังนั้นขบวนเจ้าสาวนี้จึงเดินทางผ่านผู้คนมากมายกว่าครึ่งเมือง เพียงไม่นานเรื่องที่ซ่งไป๋ลู่ทิ้งกู้เหยียน ขึ้นเกี้ยวใหม่แต่งเข้าเป็นพระชายาองค์ชายห้าก็ดังไปทั่ว“หยุดเกี้ยว!”เสียงแม่สื่อด้านหน้าขบวนร้องบอก ก่อนที่เกี้ยวเจ้าสาวจะหยุดลง ซ่งไป๋ลู่ใจสั่นระรัว แม้จะบอกว่านางเตรียมตัวรับมือกับเรื่องนี้แล้ว แต่ส่วนลึกก็ยังคงคาดหวังว่าสวรรค์จ