“อาหยวน” นางตะโกนเรียกน้องชาย พอได้ยินเสียงพี่สาวเขาก็ยกมือขึ้นสูง ๆ ให้รู้ว่าตนเองอยู่ตรงไหน
ฉินหลิวซีเดินมาหาน้องชายกลางทาง เขาเห็นพี่สาวก่อไฟเสร็จแล้วจึงจูงมือนางมาหาจุดที่มีพวกลูกไม้ที่ตนเจอ นางลูบศีรษะน้องชาย กล่าวชมทั้งรอยยิ้ม “เก่งมาก” เพียงคำสั้น ๆ แต่ดวงตาคู่น้อยนั้นก็เริ่มมีประกายขึ้นมา เป็นฉินหลิวซีที่ชะงักไปเสียเอง ต้องใช้ชีวิตมาแบบไหนที่ทำให้เด็กสามขวบห้าขวบมีแววตาหม่นหมองได้ขนาดนี้ ทั้งที่เป็นวัยที่แต่งแต้มเติมสีเข้าไปได้ง่ายที่สุด แต่ครอบครัวสกุลฉินกลับเลือกที่จะเติมสีดำให้บ้านรองอย่างพวกนาง “อาหยวนเก่งมาก ๆ เลย ไปเก็บผลไม้ด้วยกันเถอะ” ฉินหลิวซีให้น้องขี่คอ แม้จะทุลักทุเลไปสักหน่อย แต่ก็เอื้อมไปถึงผลไม้บนต้นได้ พอได้ทำอะไรด้วยตัวเอง ฉินซือหยวนก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมา นางกับน้องชายได้ลูกพลับมาสี่ผล จึงแบ่งกันคนละสองผล ฉินหลิวซีจูงมือน้องมานั่งตรงที่นางก่อไฟไว้แล้วให้เขานั่งเฝ้าปลา ส่วนตนเองก็เดินไปดูต้นไม้อีกต้นที่เห็นตอนเดินลงมาเมื่อครู่ เมื่อเดินมาใกล้ ๆ จึงเห็นว่าเป็นกล้วยหอมที่ยังโตไม่เต็มที่ ฉินหลิวซีไม่ลังเลที่จะใช้พลังธาตุเร่งการเจริญเติบโตของมัน นางหันมองน้องชายเป็นระยะว่า ยังอยู่ดีหรือไม่ เพราะพลังวิญญาณยังน้อยมันจึงใช้เวลานานสักนิด รออยู่ครู่ใหญ่จนฉินซือหยวนกินลูกพลับหมดไปทั้งสองผลพี่สาวจึงค่อยเดินกลับมาหลังจากนำกล้วยหอมเข้าไปเก็บในมิติเรียบร้อยแล้ว เด็กหญิงเดินกลับมาหาน้องชาย เขาไม่ค่อยพูดค่อยจา แต่เชื่อฟังที่นางบอกเป็นอย่างดี และถึงจะเห็นเป็นเช่นนี้แต่ก็รู้ความดีจนบางเรื่องนางรู้สึกได้เลยว่า ไม่ต้องบอกหรือสั่งห้ามเขาก็ได้ นางพูดผิวเผินเพียงครั้งเดียวเขาก็เข้าใจ กับเรื่องในวันนี้จึงไม่ได้เอ่ยย้ำ แค่พูดให้เข้าใจตรงกันเป็นพอ “อาหยวน เรื่องที่ได้กินปลาวันนี้ห้ามบอกใครนะ” “ท่านพ่อท่านแม่ด้วยหรือ?” “ท่านพ่อท่านแม่ด้วย” นางยืนยัน มารดานางยังหัวอ่อนยอมคนไปหมด ขืนบอกเรื่องนี้ออกไป ถ้าถูกกดดันมาก ๆ ก็คงพูดออกไปหมด ส่วนบิดา นางยังไม่อาจตัดสินเขาได้เพราะยังไม่เคยพูดคุยจริงจัง มีเพียงตัวตนที่มองผ่านสายตาของฉินหลิวซีที่เป็นเด็กห้าขวบ หากเป็นฉินหลิวซีอีกคนหนึ่งอาจคิดต่างไป หลังจากปลาที่รมควันไว้สุก นางก็แกะก้างแล้วแบ่งให้น้องชายคนละตัว ไม่ได้กินเนื้อมานานจนลิ้นแทบด้านชาไปถึงต่อมรับรส พอมีอะไรที่อร่อยกว่าข้าวต้มน้ำเปล่า ๆ มาให้ลิ้มลอง ทั้งนางทั้งน้องต่างก็น้ำลายไหลออกมา “อาหยวน ช้าลงหน่อยเดี๋ยวติดคอ” นางเอ่ยปรามเมื่อเห็นน้องกินเร็วเกินไป ความสุขทะลักออกมาผ่านสีหน้าและแววตา นอกจากเนื้อปลายังได้กินน้ำหวานอีกด้วย พอกินเข้าไปก็รู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมา เมื่อจัดการอาหารทั้งหมดจนรู้สึกอิ่มท้องแล้วเด็กหญิงก็อุ้มน้องชายขึ้นหลังกลับบ้าน ยังไม่มีใครกลับมาเวลานี้ ต่างคนต่างยังแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ บ้านหลักนั้นนางไม่ได้ย่างกรายเข้าไปยุ่งเกี่ยวนอกจากตอนไปกินอาหารให้พร้อมหน้า ระหว่างที่ยังไม่มีใครกลับมา ฉินหลิวซีก็ต้มน้ำแล้วนำน้ำพุวิญญาณมาผสมใส่ในโอ่งเล็ก เอามาไว้ในห้องนอนของนางกับครอบครัวก่อนหน้านี้ยังไม่ทันได้คิดอะไร แต่อยู่มาระยะหนึ่งจนตอนนี้ ฉินหลิวซีอดคิดไม่ได้แล้วว่าครอบครัวของนางเป็นที่ระบายความเครียดของบ้านหลัก หากคนพวกนั้นไม่ได้เหน็บแนมสักวันละสิบประโยคคงจะนอนไม่หลับ ไม่ได้หาเรื่องต่อว่าแล้วใช้งานคงจะผื่นขึ้น ออกอาการเหมือนคนกินของแสลงผิดสำแดงเข้าไป
“ฉินหลิวซี ทำไมยังไม่ไปช่วยแม่เจ้าซักผ้าอีก” ท่านย่าบังเอิญเดินผ่านทางมาสวนกับนางเข้าก็เอ่ยทักทายอย่างอบอุ่นด้วยประโยคนี้ทันที ก็กำลังเดินไปอยู่นี่ไง ไม่เห็นหรือ ถ้าตอบประโยคที่คิดในใจออกไปไม่พ้นโดนไม้เรียวเป็นแน่ เผลอ ๆ อาจจะลามไปต่อว่ามารดาของนางที่ไม่สั่งสอนบุตร สถานะที่ทางบ้านเป็นรองเกือบทุกด้านแบบนี้จะงัดข้อกลับไปก็ลำบาก ฉินหลิวซีไม่รู้ต้องใจเย็นอีกนานเท่าไรจึงจะตอบโต้กลับไปได้บ้าง “มารดาล่วงหน้าไปก่อน ข้ากำลังจะตามไปเจ้าค่ะ” “ตื่นสายละสิ กินข้าวกินน้ำให้เปลืองแท้ ๆ” ฉินหลิวซีคิดว่าตนเองเป็นคนใจร้อนมาตลอด แต่พอมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้นางกลับคิดว่านางอาจเป็นคนที่ใจเย็นที่สุดในโลกตอนนี้แล้วก็ได้ “เจ้าค่ะ” เด็กหญิงขานรับทั้งใบหน้ายิ้มแย้ม ยิ้มค้างไว้อย่างนั้นจนกระทั่งเดินเลยมารดาของผู้เป็นพ่อไป พอพ้นสายตาผู้ใหญ่ใบหน้าของนางก็แข็งตึง พ้นรั้วบ้านออกมาก็นึกว่าจะเป็นอิสระแล้ว ที่ไหนได้ยังมีด่านอื่นให้นานต้องประสบพบเจอ ถ้านี่เป็นเกมฝึกความอดทนนางคง Level Max เร็วกว่าใครแน่ “ฉินหลิวซี ทำไมเจ้ายังอยู่นี่ไม่รีบไปช่วยมารดาซักผ้า คิดจะอู้งานหรือ สั่งอดข้าวเจ้าเสียดีไหม” “ท่านแม่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วเจ้าค่ะ ข้ากำลังจะตามไป” ฉินหลิวซีตอบป้าสะใภ้อย่างใจเย็น แววตามองพวกเขาดูใสซื่อเพราะไม่อยากมีปัญหาตอนนี้ อีกอย่างตอนนี้เธอแค่เด็กห้าขวบจะไปอะไรได้ “ก็รีบไปเสียสิ มายืนต่อล้อต่อเถียงข้าอยู่ได้” “...” หา!? นี่เกมชีวิตฝึกความอดทนใช่ไหม! ฉินหลิวซีตะโกนถามกับสวรรค์ครั้งที่พัน นี่คงเป็นด่านเคราะห์ของเธอก่อนจะขึ้นสวรรค์ใช่หรือไม่?"ท่านแม่ทำยา""อุ๊บ! ฮ่า ๆ ๆ ขอโทษด้วยนะ แต่แม่ไม่ได้เป็นกระต่ายหรอก" ฉินหลิวซีขำพรืดก่อนเอี้ยวตัวมาลูบศีรษะบุตรชายด้วยความเอ็นดู"ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่เสี่ยวไป๋สามารถเป็นได้ทุกอย่างที่ลูกอยากเป็นเลย จะเป็นกระต่ายหรือดวงดาวก็ได้ แม้จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ก็อย่าได้ทิ้งสิ่งนี้ที่อยู่ในใจของลูกไปเลยนะ"เมื่อการเติบโตทำให้ความรับผิดชอบมากขึ้น ความสุขที่ไขว่คว้าได้ก็น้อยลง ต้องยอมปล่อยมือจากสิ่งที่รักและหวงแหน ต้องสละบางอย่างเพื่อสิ่งที่อาจไม่ปรารถนาแต่จำเป็นต้องมี วัฏจักรของมนุษย์ดำเนินไปเช่นนั้นฉินหลิวซีปรารถนาให้ลูกของตนไม่ถูกกลืนกินจากมัน แต่สุดท้ายก็คงไม่มีใครรอดพ้นอยู่ดี ดังนั้นก็จงทนุถนอมเอาไว้ให้ยาวนานเท่าที่ได้เถิดหลังจากบินเล่นจนพอใจแล้วหงส์แดงเพลิงก็ร่อนลงตรงที่กว้างสักแห่ง เจ้านายเปิดมิติให้ทุกคนก็เข้าไปพักผ่อน แต่เจ้าตัวสีทองนั่นยังบินเพลินไม่ยอมกลับเข้ามา เดือดร้อนคนรักของเจ้านายต้องออกไปตามอีกรอบมันเดินเตาะแตะมานอนซุกตัวข้างตัวบ้าน มิตินี้ไม่เคยถูกคนนอกรุกล้ำเข้ามาได้ แต่หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ผู้บุกรุกเหล่านั้นก็จะต้องรับมือมันก่อน
ทันทีที่มันลืมตาตื่นขึ้นมาบนโลกใบนี้ มันก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าการต่อสู้คือความสามารถและวิถีของมันทุกครั้งที่ฟักออกจากไข่ ความทรงจำเกี่ยวกับเจ้านายคนก่อนจะหายไป ไม่ว่าความผูกพันธ์นั้นจะมีหรือไม่มี ก็จะถูกลบหายไปอย่างเท่าเทียมตั้งแต่ครั้งที่สามหรือสี่ที่รู้ตัวว่าเป็นแบบนั้น มันจึงใช้เวลากับเจ้านายใหม่เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ เมื่อถูกปลุกขึ้นมา หลังถวายความภักดีให้ก็จะถูกใช้ไปสู้กับตัวอื่น ๆ บ้างก็แพ้บ้างก็ชนะ เคยถูกล่าม ถูกขัง และถูกเลี้ยงปล่อยเป็นอิสระด้วยเช่นกันการต้องจดจำเรื่องเหล่านั้นทุกครั้งที่ตื่นก็ดูเหนื่อยเกินไปจริง ๆ มันเริ่มรู้สึกเห็นด้วยที่ความทรงจำเกี่ยวกับเจ้านายถูกลบหาย เห็นเป็นเพียงเงาร่างเลือนที่นึกไม่ออกทั้งชื่อและหน้าเจ้านายแต่ละคนปฏิบัติกับมันและมอบบทบาทให้มันไม่เหมือนกันคิดว่าครั้งต่อไปจะให้มันทำอะไรก็ไม่เกินความสามารถ แต่ก็ไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าสัตว์อสูรในตำนานอย่างมันต้องมาทำหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กแกว้ก!"เสี่ยวฮั่วเล่นกับ ๆ อยู่ตรงนี้นะ ข้าจะไปรดน้ำแปลงสมุนไพร" วางทารกกับเด็กเล็กหนึ่งคนพิงตัวมันเสร็จก็เดินหนีไปยุคสมัยท
"เจ้าค่ะ!""เรื่องนั้นไม่ต้องพูดก็ได้" ซือหยวนจะตะครุบปากภรรยาเอาไว้ตอนนี้ก็ไม่ทันฉินหลิวซีประติดประต่อเรื่องราว ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปในใจตัวเอง เอ่ยออกมาทั้งรอยยิ้มพลางปรายตามองน้องชายร่วมสายเลือด"อย่างนี้เอง ข้าเข้าใจแล้ว"อยากให้ยุคนี้มีกล้องจริง ๆ เลยเชียวเพราะเหยื่อล้วนไปที่หอนางโลมนั้น สาเหตุการตายมาจากพิษ คนร้ายต้องเป็นคนใน หากจะหาเบาะแสก็ต้องแฝงตัวเข้าไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่หอนางโลมนั้นผู้ชายจะเข้าไปได้ก็ในฐานะลูกค้า ไม่สามารถเป็นคนที่ทำงานในหอนั้นได้ ขอบเขตของเบาะที่หามาย่อมเจอทางตัน สุดท้ายก็ต้องปลอมตัวไปเป็นคนในเสียเองในฐานะสตรีผู้หนึ่ง ฉินหลิวซีทั้งรู้สึกแย่และรู้สึกดีกับเรื่องนี้ในคนละมุมมอง แต่มันเป็นที่ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว จะไปคิดมากก็ดูใช้พลังชีวิตเกินความจำเป็นดูจากตอนนี้ทั้งคู่ก็มีความสุขดี นางคงไม่ยื่นมือไปทำอะไรทั้งนั้น ตั้งใจว่าจะกลับมาเยี่ยมแต่โดนทำให้ตกใจเสียได้"พี่หญิงจะค้างที่นี่กี่วันหรือคะ ข้าจะให้คนจัดห้องให้""ไม่ต้องค้าง กลับไปเลย""พี่สาวเจ้ามาหาทำไมทำตัวแบบนี้ นางอุตส่าห์มาเยี่ยมเจ้า
เมื่อหลายปีก่อนมีสำนักคุ้มภัยเกิดขึ้นในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เมืองที่อยู่ห่างไกลเมืองหลวงเช่นนี้มักไม่ค่อยมีขุนนางน้ำดีแวะเวียนมาเพราะหาประโยชน์กอบโกยไม่ได้แต่แล้วก็มีเซียนโอสถน้อยผู้หนึ่งกำเนิดขึ้นที่นี่ นางกับน้องชายจากบ้านเกิดไปหลายปีเพื่อร่ำเรียนกับหมอเทวดา ครานั้นผู้คนในเมืองยังคิดกันอยู่เลยว่ามันไม่จริง เหมือนฝันอันห่างไกลที่เมืองแห่งนี้จะเจริญขึ้นได้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทีละน้อย เริ่มมีสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ในที่ดินใกล้ที่ว่าการซึ่งปล่อยทิ้งร้าง มีร้านโอสถที่ขายยาหายาก เครื่องประทินโฉมอันเลื่องชื่อที่โด่งดังไปถึงต่างแดน"และคนที่เป็นเจ้าของสามในสี่อย่างที่ว่ามานี้ก็คือ ข้าเอง!"เสียงวางไหเหล้ากระแทกโต๊ะดังโครม ทุกคนเงียบกริบ เบนสายตาจากคนที่กำลังอวดอ้างตนเองมายังคนพเนจรร่างผอมบาง ผู้ที่มองไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชายเพราะสวมผ้าคลุมและหมวกสานปิดหน้าอาไว้"อะไร จะหาเรื่องกันรึ?" ผู้เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องเล่ามองเขม็งไม่สบอารมณ์"ได้ข่าวว่าสามสถานที่นั้นเป็นของเจ้าเพียงหนึ่งมิใช่รึ จะอ้างของใครก็ให้มันน้อย ๆ หน่อยคุณชายฉิน" เสียง
หลี่ไป๋ได้ยินก็หูผึ่ง ต้องเป็นคนของบิดาเขาแน่ เวลาขนาดนี้ท่านแม่ก็น่าจะกลับมาจากออกล่าแล้วเช่นกัน แถมยังกำลังตามหาพวกเขาอยู่ หลี่ไป๋เริ่มมีความหวัง"ย้ายที่กันก่อน รีบพาสินค้าไปจุดรับของ" แม้จะร้อนใจจากเรื่องที่พึ่งได้ยินแต่หัวหน้าคนชั่วก็สั่งด้วยความใจเย็นหลี่ไป๋ขมวดคิ้ว พวกนั้นรีบร้อนแบบนี้ที่นี่คงอยู่ใกล้ ๆ เมือง เขาต้องหาทางถ่วงเวลา"เสี่ยวหนิง" เขากระซิบเรียกน้องสาวที่ยังนอนกลิ้งหนีความจริงไม่เลิก"หือ?" เชือกมัดปากก็ไม่ยอมแกะทำเป็นเล่นจริง ๆ ให้ตายสิแต่ก็ดีกว่านางร้องไห้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาได้หูแตกแน่ แถมเหมืองยังจะถล่มแน่นอนอีกด้วย"ช่วยพี่ชายหน่อยสิ เดี๋ยวซื้อเปาจื่อให้สามลูก"พอเอาของกินมาล่อนางก็พยักหน้าทันทีพวกมันขนสัมภาระขึ้นเกวียนอย่างรวดเร็วแล้วออกเดินทางจากเมือง ผ่านอุโมงค์ทอดยาวจนมาถึงด้านนอกในที่สุด ตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้วท้องฟ้าจึงเริ่มเปลี่ยนเวลาที่ใช้ไปกว่าจะออกมาข้างนอกไม่นาน หมายความว่าเมืองแห่งนี้ไม่ได้ลึกอย่างที่คิดหลี่หวานหนิงมองหน้าพี่ชาย พออีกฝ่ายพยักหน้านางก็กรีดร้องเสียงดัง"กร
"สามีที่รัก…การกลับมาอย่างรีบร้อนของข้าเหมือนจะไม่ได้รับผลลัพธ์ที่ดีเท่าไรเลยนะ"เหนืออาคารของหอกระจายข่าวคล้ายมีเมฆครึ้มทั้งที่ท้องฟ้าส่วนอื่นยังแจ่มใสถ้าไม่นับนายท่านที่พึ่งกลับมาได้จังหวะพอดิบพอดีคนอื่น ๆ ล้วนกำลังตามหาร่องรอยคนร้าย หัวหน้าหอแห่งอวิ๋นซีจึงเป็นผู้ร่วมชะตากรรมหนึ่งเดียวที่ต้องมานั่งคุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าฮูหยินอยู่ตอนนี้แต่เป็นใครมาอยู่ตรงนี้เฟยหลางก็คิดว่ายอมศิโรราบกันหมดตั้งแต่นางเดินเข้ามาประตูมาอยู่ดี ลองเห็นภาพนางลากคอไก่ฟ้าตัวขนาดพอ ๆ หงส์แดงเพลิงเข้ามาใครจะไม่ผวาบ้างหลี่เจิ้นหัวหน้าซีดตัวหดเหลือสองชุ่น"ยะ ยอดรักจ๋า""ไม่เคยเห็นในเมืองวุ่นวายขนาดนี้ แถมยังเป็นคนของหอกระจายข่าวอีก คิดว่าจะปิดบังได้หรือไง""ก็…ไม่หรอก แต่ข้าอยากรีบหาตัวให้เจอก่อนเจ้ามา"ก่อนมาถึงอาคารนี้นางก็จับคนมาถามความแล้วจึงรู้เรื่อง ไม่ได้แปลกใจอะไร ปญหามันอยู่ต่อจากนี้ต่างหากฉินหลิวซีเอาอาวุธคู่กายทั้งสองออกมา โยนงานจิปาถะให้คนอื่นทำ"ไก่ฟ้านี่ฝากชำแหละหน่อย เดี๋ยวข้ากลับมา"ว่าแล้วก็โดดออกทางหน้าต่างข