ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มยังคงจ้องฉันนิ่ง ๆ ไม่ไหวติง สายตาของเขาเย็นเยียบ ปราศจากอารมณ์เหมือนผืนน้ำแข็งโบราณที่ไม่เคยละลายตลอดกาล
ฉันยืนเกร็งอยู่ท่ามกลางลมหิมะที่กระหน่ำใส่ราวกับจะพัดฉันปลิวได้ทุกเมื่อ
กอดกล่องราเมนแนบอกไว้แน่นจนแทบจะฝังเข้าไปในร่าง ราวกับมันคือโล่ป้องกันตัวสุดท้ายที่ฉันมีในโลกใบนี้
'ยิ้มเข้าไว้เอลาเรีย...อย่างน้อยก็ตายอย่างมีมารยาท...'
ฉันพยายามยิ้มแหย ๆ แต่ริมฝีปากสั่นระริกจนแทบเก็บไม่อยู่ ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจได้ว่าจะหนีหรือสู้...
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ หลายคู่ก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงจากด้านหลังวังน้ำแข็ง
กึก กึก กึก กึก!
ชายในชุดเกราะสีเงินวาววับวิ่งกรูออกมา เสียงเกราะกระทบกันดังแกรก ๆ ลั่นสะท้อนในอากาศเย็นจัด
พวกเขาล้อมฉันไว้ในพริบตา ท่าทางแข็งกร้าวเหมือนหินน้ำแข็งที่ไม่มีวันแตก
"บุกรุกพื้นที่หวงห้าม!"
เสียงหนึ่งตะโกนกร้าว
"จับตัวไว้!"
อีกเสียงตะโกนซ้ำ ขณะที่มือข้างหนึ่งหยิบเชือกเวทย์ที่เรืองแสงสีฟ้าอ่อนออกมา
"หาาาา?! เดี๋ยว ๆ ฉันแค่ส่งราเมนนะ!"
ฉันโบกไม้โบกมือรัว ๆ จนกล่องราเมนแทบหลุดจากมือ พยายามถอยหลังหนีโดยไม่คิดชีวิต
แต่พื้นหิมะลื่นอย่างร้ายกาจ เท้าที่จมหายอยู่ในหิมะทำให้ฉันเกือบหงายหลังล้มกองอยู่ตรงนั้น
ทหารคนหนึ่งพุ่งเข้ามาเร็วราวพายุ ข้อมือของฉันถูกรวบอย่างรวดเร็ว และเชือกเวทย์เริ่มพาดพันรอบแขนอย่างแน่นหนา
'ไม่นะ! ฉันยังไม่ได้ทำประกันชีวิตข้ามมิติเลยนะเว้ยยย!'
ฉันหลับตาปี๋ กัดฟันแน่นในขณะที่คิดว่าชีวิตในโลกใบนี้น่าจะจบลงด้วยข้อหาบุกรุกเพราะราเมนชามเดียว...
แต่แล้ว—
พรึ่บ!
สายลมเย็นเฉียบแผ่กระจายออกจากจุดหนึ่งกลางลานหิมะมันไม่ใช่แค่ลมธรรมดา แต่เป็นกระแสพลังที่เย็นจนทำให้อากาศรอบตัวเหมือนจะจับตัวเป็นน้ำแข็งทันที
ทุกอย่างเงียบกริบในเสี้ยววินาที
แม้แต่เสียงลมหิมะที่พัดกระหน่ำเมื่อครู่ ก็เหมือนหยุดนิ่งไปพร้อมกับกาลเวลา
ฉันลืมตาขึ้นอย่างระแวง
ภาพที่เห็นทำให้แทบหยุดหายใจ —
ทหารทุกคนหยุดนิ่งกลางอากาศ ราวกับถูกแช่แข็งโดยพลังลึกลับ
แม้แต่เศษเกล็ดหิมะที่ปลิวอยู่กลางอากาศก็ชะงักค้าง ราวกับโลกหยุดหมุน
แล้ว...
เสียงหนึ่งดังขึ้น — หนักแน่น เย็นชา และทรงอำนาจจนแม้แต่หิมะรอบตัวก็เหมือนสั่นไหวตาม
"ปล่อยตัวนาง"
เสียงนั้นราบเรียบไร้อารมณ์ แต่ก้องสะท้อนเข้าไปถึงกระดูกสันหลังฉัน
ฉันหันขวับไปยังต้นเสียง —
เป็นเขา...ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้ม
เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม ราวกับไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
เส้นผมยาวปลิวเบา ๆ ตามแรงลมอันน้อยนิดที่ยังเหลืออยู่ ดวงตาสีฟ้าเข้มเป็นประกายจาง ๆ ใต้แสงหิมะ จ้องตรงมาที่ฉันอย่างแน่วแน่
ไม่ใช่สายตาอ่อนโยน ไม่ใช่สายตาเมตตา
แต่เป็นสายตาที่...เหมือนกับ "ยอมให้ผ่าน" อย่างไม่เต็มใจนัก ราวกับว่าฉันเป็นสิ่งผิดพลาดที่เขาต้องยอมรับเพราะเหตุผลบางอย่าง
“แต่...”
“ข้าสั่งให้ปล่อย!”
ทหารทุกคนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ คลายเชือกเวทย์ออกจากแขนฉัน แล้วถอยห่างออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก
ฉันยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ กำกล่องราเมนแน่นจนเส้นเลือดปูด
'...เขาช่วยฉันเหรอ?'
หัวใจที่เกือบหยุดเต้นไปแล้วเริ่มกลับมาเต้นระรัวอย่างระส่ำอีกครั้ง
ไม่ใช่ด้วยความกลัวเพียงอย่างเดียว...แต่ยังมีความสงสัยและสับสนเจือปนอยู่ในนั้นด้วย
ชายหนุ่มก้าวเข้ามาใกล้อีกก้าว
ระยะห่างระหว่างเราสองคนสั้นลงจนฉันสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็น — แต่ครั้งนี้ มันไม่ใช่แรงกดดันรุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้
เป็นความเย็นสงบนิ่งที่อบอวลรอบตัวเขา...เย็นจัด แต่ไม่ก้าวร้าว
ฉันได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
ขยับมือที่สั่นนิด ๆ จนกล่องราเมนกระเพื่อมเบา ๆ
"ราเมน"
เขาพูดสั้น ๆ — น้ำเสียงราบเรียบเหมือนคนกำลังประกาศข้อเท็จจริงที่ไม่ต้องมีอารมณ์ร่วม
"อ๋อ!"
ฉันรีบตอบรับ เสียงสูงขึ้นกว่าปกติโดยไม่ตั้งใจ รีบยื่นกล่องราเมนออกไปสองมือ ยิ้มเกร็ง ๆ อย่างกับจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ
"ราเมนเพลิงจันทร์ลาวาค่ะ...ของคุณ..."
เขาไม่ได้เอื้อมมือมารับในทันที
เพียงแค่ยืนนิ่ง จ้องกล่องราเมนในมือฉันด้วยสายตาคมกริบ
ดวงตาสีฟ้าเข้มของเขาฉายแววสงสัยปนระวังอย่างชัดเจน ราวกับว่ากล่องอาหารอุ่น ๆ ธรรมดาใบนี้อาจกลายร่างเป็นอาวุธทำลายล้างโลกได้ทุกเมื่อ
'ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้มั้ง...แค่ราเมนเองนะ...'
ฉันตะโกนในใจ พยายามฝืนยิ้มต่อไปแม้ว่ากรามจะเริ่มแข็งเพราะหนาวจัด
เวลาผ่านไปอึดใจหนึ่งที่ยาวนานอย่างน่าทรมาน
ในที่สุด...
เขาก็เอื้อมมือออกมา
มือเรียวยาว ขาวซีดราวหิมะเก่าแก่ที่ไม่เคยละลาย
นิ้วมือเรียวสวย เคลื่อนไหวอย่างสงบนิ่งขณะที่เอื้อมเข้ามาแตะกล่องราเมนในมือฉัน
เขาไม่ได้ใส่ถุงมือ
ปลายนิ้วเย็นเยียบของเขาแตะลงบนกล่องโลหะอุ่น ๆ อย่างแผ่วเบา
ฟู่—
ทันใดนั้น ไอน้ำอุ่นจากกล่องพวยพุ่งขึ้นมาปะทะกับผิวเย็นเฉียบของเขา
เกิดเป็นม่านหมอกจาง ๆ ลอยขึ้นระหว่างเรา
ชั่วขณะหนึ่ง
ดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งของเขาไหววูบ —
ราวกับสะท้อนความรู้สึกบางอย่างที่ลึกเกินกว่าจะเข้าใจได้ในพริบตาเดียว
เศษเสี้ยวของความอบอุ่น?
เศษเสี้ยวของความคิดถึง?
หรือเพียงความตกตะลึงจากสัมผัสที่ไม่คาดคิด?
...ฉันเองก็บอกไม่ได้
แต่เพียงแค่ชั่ววินาทีเดียว ทุกอย่างก็จางหายไป
เขากลับมาเป็นคนเยือกเย็นเช่นเดิม
ใบหน้าเรียบนิ่ง ราวกับม่านหมอกแห่งอารมณ์ที่เพิ่งเผยออกมานั้นเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
"เจ้า...ชื่ออะไร"
เสียงของเขาดังขึ้นกลางความเงียบที่หนาวเหน็บ
น้ำเสียงราบเรียบ...แต่ทรงพลังจนเหมือนสะท้อนก้องอยู่ในโพรงหิมะที่ล้อมรอบเราไว้
ฉันสะดุ้งเล็กน้อย รีบกะพริบตา ตั้งสติที่กระจัดกระจายเก็บกลับมาให้ได้มากที่สุด ก่อนตอบเสียงสั่น ๆ
"เอลาเรีย...ค่ะ"
เสียงของตัวเองแผ่วเบาแทบกลืนหายไปกับสายลม แต่ดวงตาสีฟ้าเข้มคู่นั้นจับจ้องมาที่ฉันอย่างแน่วแน่
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง
เหมือนกำลังจดจำชื่อฉันไว้ในห้วงลึกสุดของความคิด ราวกับไม่ใช่แค่การรับรู้ธรรมดา แต่เป็นการจารึก
ความเงียบยาวนาทีนั้น ทำให้หัวใจฉันเต้นโครมครามจนเจ็บหน้าอก
แล้วเขาก็เอ่ยเบา ๆ —
เสียงนั้นแผ่วเบา...แต่ทรงอำนาจมากพอจะกวาดหิมะรอบตัวให้สงบนิ่งได้
"ตามข้ามา"
พูดเพียงแค่นั้น — ไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม ไม่มีคำชี้แจงใด ๆ
เขาหมุนตัวอย่างสง่างาม ผ้าคลุมสีเทาเงินปลิวสะบัดตามแรงลมอย่างงดงาม
จากนั้น...เขาก็เริ่มก้าวเดินนำเข้าไปในวังน้ำแข็ง
อย่างไม่แม้แต่หันกลับมาดูว่า ฉันจะตามไปหรือไม่
ฉันยืนตะลึงอยู่อีกไม่กี่วินาที มือกำสายกระเป๋าส่งอาหารแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด
หัวใจเต้นระส่ำเหมือนกลองศึก
'นี่ฉัน...กำลังถูกพาไปไหนกันแน่นะ?'
สายตาเหลือบลงมามองเจ้าก้อนหิมะน้อยในอกเสื้อที่สั่นงึก ๆ อย่างน่าสงสาร ดูเหมือนมันจะสัมผัสได้ถึงความไม่แน่นอนในอากาศนี้เช่นเดียวกับฉัน
ฉันสูดหายใจเข้าลึก ข่มใจที่อยากจะวิ่งหนีกลับไปหาประตูที่ปิดหายไปแล้วนั่นให้จงได้
แล้วก้าวเท้าตามแผ่นหลังสง่างามของชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มเข้าไปในวังน้ำแข็งอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
ทุกก้าวที่ย่างเข้าไป...
เหมือนกำลังเดินลึกเข้าไปในโลกอีกใบที่เย็นเยียบ ลึกลับ และเต็มไปด้วยความลับที่ไม่มีวันหวนกลับได้อีก
❄️❄️❄️❄️❄️❄️
เสียงคำรามของเนรูไซร์ระเบิดขึ้นอีกครั้ง หางขนาดยักษ์กวาดทำลายผนังถ้ำเวทเหมือนกระดาษชื้น เวทแสงและเงาปะทะกันกลางอากาศจนเกิดการสั่นสะเทือนระลอกใหญ่ฝุ่นเวทปลิวว่อน—เสียงเวทร้องดังก้องในทุกสรรพางค์ของโลกเวทหลงอวิ๋นยังคงยืนอยู่ตรงหน้าแท่นเวท ร่างกายบาดเจ็บจากการรับเวทแทนเอลาเรียดวงตาสีฟ้าของเขาเรืองแสงเย็นราวน้ำแข็งที่กำลังแตกร้าว เขากำมือแน่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเนรูไซร์ที่คำรามลั่นกลางอากาศ“...พอแล้ว”เสียงเขาดังแน่น…แต่ราบเรียบราวหิมะที่กำลังตก พลังเวทเริ่มปะทุจากใต้ฝ่าเท้า—วงเวทมังกรน้ำแข็งเรืองแสงใต้พื้นหิน“เอลิอาน”“ดูแลเอลาเรีย...จนกว่าข้าจะหยุดมันได้”เอลิอานสบตาเขานิ่ง ก่อนพยักหน้ารับหลงอวิ๋นยื่นมือแตะอกตนเอง—จุดที่พลังแก่นมังกรหลับใหล เวทน้ำแข็งทะลักออกจากผิวหนัง กลายเป็นเกล็ดสีฟ้าระยับ เสื้อคลุมของเขาฉีกออก—เผยร่างที่ค่อย ๆ ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดมังกร เสียงกระดูกและกล้ามเนื้อแปรสภาพดังกรอบแกรบแสงเวทแตกกระจาย—ปีกกว้างกางออกกลางอากาศ
เสียงคำรามของมังกรดึกดำบรรพ์ เนรูไซร์ ดังสะท้านห้องเวททั้งมวล แท่นผนึกกลางถ้ำใต้ทะเลสาบจันทราสั่นไหวเหมือนจะพังทลายลงในทุกวินาที แสงเวทบนพื้นแตกร้าวเป็นทางยาว หินศิลาโบราณสะเทือนจนผงธุลีร่วงเหมือนน้ำตาของกาลเวลาหางมังกรยาวสีเงินดำของมันตวัดกวาดแนวกำแพงเวท กระแทกผนังเวทที่เจิ้งอู่สร้างไว้แตกเป็นเสี่ยงเสียง ครืน!! ดังสนั่นจนหูแทบชาฉันหอบหายใจ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะพลังเวทในตัวกำลังเดือดพล่านเหมือนถูกกระชากให้ตื่นขึ้นสุดขีด มือทั้งสองข้างสั่น—แต่ยังยืนอยู่ตรงหน้าแท่นเวทดวงตาของเนรูไซร์…เป็นสีเงินมืดที่ไม่มีประกายชีวิตแต่ในแววตานั้นแฝงไว้ด้วยบางอย่าง—เศษเสี้ยวของความทรงจำพันปีที่ยังถูกผนึกอยู่“...มังกรตื่นแล้ว”เสียงของเอลิอานดังขึ้นข้างตัวฉัน เขามีบาดแผลที่ไหล่ แต่ยังคงยืนมั่น ดาบเวทยังคงเรืองแสงอยู่ในมือเซรีฟิน่าเงยหน้าขึ้นมองเนรูไซร์ที่กำลังอาละวาด ดวงตาของนางเป็นประกายเรืองแสงสีม่วงเข้ม พลังเงาดำแผ่ออกจากร่างอย่างบ้าคลั่ง“ใจเย็น…ที่รักข
แสงจากไพ่ทาโรห์ใบสุดท้าย— “The Star” ลอยขึ้นเหนือฝ่ามือฉัน มันส่องประกายสีเงินอ่อน กระเพื่อมช้า ๆ ไปตามแรงเวทจากแท่นศิลาเบื้องล่างณ วินาทีนั้น…โลกทั้งใบคล้ายถูกแช่แข็งลงชั่วขณะ รอบกายเงียบงันราวกับกาลเวลาเองก็หยุดหายใจฉันยืนข้างหลงอวิ๋น มือของเราประสานกันแนบแน่น พลังเวทของเราค่อย ๆ ไหลซึมผ่านปลายนิ้ว—หลอมรวมกันเป็นสายใยเรืองแสงที่โยงถึงจิตวิญญาณเสียงหัวใจของเขา...ประสานกับจังหวะหัวใจของฉันอย่างไร้รอยต่อ“จงผนึกซากจันทรา…”เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นจากริมฝีปากของเขา แสงเวทสีเยือกแข็งเริ่มเรืองขึ้นจากปลายนิ้ว ค่อย ๆ ลากเป็นเส้นเวทรอบแท่นกลาง ลวดลายเวทพันกันวนซ้อน กลายเป็น ‘อักขระมังกรพันธะ’ โบราณ—อักขระที่ไม่มีผู้ใดยุคนี้อ่านออก…นอกจากเขาเพียงผู้เดียวฉันหลับตาลง ปล่อยให้จิตเงียบลงจนหมด เหลือเพียงหนึ่งเดียว—ภาพของเขาที่ชัดเจนที่สุดในใจเส้นเวทวนทบซ้อนกันเป็นรูป ‘อักขระมังกรพันธะ’ ซึ่งไม่เคยมีใครในยุคนี้อ่านออกได้นอกจากเขา“ด้วยเส้นชะตาที่ผูกพัน…”“ด้วยหัวใจที่มิได้เลือกเพียงชาตินี้…”“จงคื
ลมหิมะยามเช้าเอื่อยพัดผ่านช่องหน้าต่าง แสงอ่อนจากผลึกเวทสีเงินวาวสาดลงบนผืนพรมขนสัตว์สีเทาอ่อนที่ปูอยู่กลางห้อง ฉันยืนนิ่งอยู่หน้ากระจกทรงสูง บิดตัวน้อย ๆ ให้มั่นใจว่าเกราะเวทเบาเข้ารูปสีขาวเงินที่สวมอยู่แนบตัวพอดีทุกส่วนสายคาดเอวสีเทาอ่อนปักลายจันทร์เสี้ยวไขว้ทับด้านหน้า ผ้าคลุมยาวสีเงินชายผ้าคลุมยาวจนแตะข้อเท้า พาดจากไหล่ซ้ายลงไปด้านหลังอย่างสง่างาม ถุงมือเวทสีขาวไข่มุกสวมเฉพาะมือขวา เพื่อเปิดการสัมผัสเวทร่วม และปลายผมของฉันถูกรวบด้วยปิ่นเวทผลึกสีฟ้า...ที่เขาเป็นคนสวมให้ฉันเมื่อคืน...แค่คิดถึงสัมผัสของเขาบนเส้นผม ฉันก็เผลอยิ้มเสียงขยับผ้าเบา ๆ ด้านหลังทำให้ฉันหันกลับไปมอง—ภาพที่เห็นคือเขา...หลงอวิ๋นกำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะไม้แกะสลัก จัดเกราะชิ้นสุดท้ายเข้าที่อย่างเงียบ ๆเขาสวมเสื้อคลุมเวทชั้นในสีดำแนบตัว พาดทับด้วยเกราะหน้าอกสีเงินเข้มที่สลักอักขระเวทน้ำแข็ง และเสื้อคลุมสีเทาน้ำแข็งชายยาวลากพื้น ด้านในเป็นเส้นด้ายเวทสีฟ้าประกายปลอกแขนและถุงมือเวทสีน้ำเงินเข้มแนบข้อมือ และผ้าคาดเอวปักตราประจำตระกูลมังกรน้ำแข็งทับด้วยดาบประจำตัวสีเงิ
หลงอวิ๋นกวาดสายตามองไปรอบห้องโถงประชุม ดวงตาสีฟ้าของเขานิ่งลึก ยากจะคาดเดาได้ว่าภายในใจเขากำลังสั่นไหวเพียงใด“มีผู้ใดสงสัยในแผนหรือไม่”น้ำเสียงของเขาดังชัดในห้องประชุมหินน้ำแข็ง ความเงียบโรยตัวลงอีกครั้ง ราวกับแม้แต่ลมหายใจก็ลังเลที่จะดังขึ้นแม่ทัพเถาอู่ขยับตัวเล็กน้อย แต่เพียงแค่พยักหน้า ก่อนกล่าวเสียงหนักแน่น“กองกำลังพร้อมแล้วพะยะค่ะ ไม่มีข้อสงสัยใด”เจิ้งอู่ที่ยืนอยู่ใกล้แผนภาพเวทบนโต๊ะเอ่ยขึ้นเสริม“กองรบแนวหน้าจะเริ่มเคลื่อนพลล่วงหน้าในคืนนี้ ส่วนหน่วยซึมลึกผ่านอุโมงค์ จะเริ่มลงจุดตามแผนตั้งแต่ยามก่อนรุ่งอรุณ”หลงอวิ๋นพยักหน้า ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงต่ำเยือกเย็น—แต่มั่นคง“ถ้าแผนหลักล้มเหลว…”เขาหยุดมองหน้าทุกคนทีละคน—รวมถึงฉัน“แผนสำรองคือการเร่ง ‘พันธะผนึก’ ระหว่างข้ากับเอลาเรียทันที”“นั่นจะทำให้พลังของเราเชื่อมถึงกันได้ลึกยิ่งขึ้น แม้จะยังไม่สมบูรณ์ แต่พลังสั่นสะเทือนของข้าอาจทำลายแท่นเวทก่อนมันจะกลืนข้า”เสียงฮือฮาเบา ๆ ดังขึ้นจากมุมแม่ทัพสายเวท แต่ก็เงียบลงทันทีเมื่อหลงอวิ๋นปรายตามอง
ห้องประชุมเงียบไปอีกครั้งความกล้าของฉันอาจดูบ้าบิ่นในสายตาใครหลายคนแต่ไม่มีใครรู้...ว่าหัวใจฉันมันดื้อแค่ไหนแล้วทันใดนั้นเอง—“ดูเหมือนการประชุมจะเข้มข้นขึ้นนะ…”เสียงทุ้มต่ำและเรียบนิ่งดังขึ้นจากประตูด้านในบานประตูน้ำแข็งที่ควรจะถูกผนึกไว้ด้วยเวทรุนแรง…กลับเปิดออกอย่างไร้เสียง ด้วยแรงเวทที่หนักแน่นแต่แผ่วเบาเงาร่างสูงระหงในชุดคลุมดำล้วนก้าวเข้ามาอย่างสงบนิ่งผ้าคลุมของเขาทอดยาวสะบัดเบา ๆ กับพื้นหินเย็นเยียบ ปักลายมังกรดำด้วยด้ายเงินวาววับ เงามันราวกับสะท้อนแสงจากห้วงอเวจีต่างหูข้างเดียวที่เขาสวมไว้สะท้อนแสงเทียนเป็นประกาย...และดวงตาสีแดงเข้มราวเถ้าถ่านจับจ้องมาที่ฉัน—เพียงคนเดียว“เจ้าช่างกล้าจริง ๆ ...เจ้ามนุษย์น้อย”ไคเซอร์ ดราโคนิส—องค์ชายดำแห่งแดนเหนือเขาก้าวผ่านเหล่าแม่ทัพอย่างไม่แม้แต่จะปรายตามองใคร ร่างสูงสง่าของเขาหยุดลงหน้าฉัน พร้อมแรงกดดันที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ทั่วห้อง“อย่าได้หลงคิดว่า