ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มยังคงจ้องฉันนิ่ง ๆ ไม่ไหวติง สายตาของเขาเย็นเยียบ ปราศจากอารมณ์เหมือนผืนน้ำแข็งโบราณที่ไม่เคยละลายตลอดกาล
ฉันยืนเกร็งอยู่ท่ามกลางลมหิมะที่กระหน่ำใส่ราวกับจะพัดฉันปลิวได้ทุกเมื่อ
กอดกล่องราเมนแนบอกไว้แน่นจนแทบจะฝังเข้าไปในร่าง ราวกับมันคือโล่ป้องกันตัวสุดท้ายที่ฉันมีในโลกใบนี้
'ยิ้มเข้าไว้เอลาเรีย...อย่างน้อยก็ตายอย่างมีมารยาท...'
ฉันพยายามยิ้มแหย ๆ แต่ริมฝีปากสั่นระริกจนแทบเก็บไม่อยู่ ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจได้ว่าจะหนีหรือสู้...
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ หลายคู่ก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงจากด้านหลังวังน้ำแข็ง
กึก กึก กึก กึก!
ชายในชุดเกราะสีเงินวาววับวิ่งกรูออกมา เสียงเกราะกระทบกันดังแกรก ๆ ลั่นสะท้อนในอากาศเย็นจัด
พวกเขาล้อมฉันไว้ในพริบตา ท่าทางแข็งกร้าวเหมือนหินน้ำแข็งที่ไม่มีวันแตก
"บุกรุกพื้นที่หวงห้าม!"
เสียงหนึ่งตะโกนกร้าว
"จับตัวไว้!"
อีกเสียงตะโกนซ้ำ ขณะที่มือข้างหนึ่งหยิบเชือกเวทย์ที่เรืองแสงสีฟ้าอ่อนออกมา
"หาาาา?! เดี๋ยว ๆ ฉันแค่ส่งราเมนนะ!"
ฉันโบกไม้โบกมือรัว ๆ จนกล่องราเมนแทบหลุดจากมือ พยายามถอยหลังหนีโดยไม่คิดชีวิต
แต่พื้นหิมะลื่นอย่างร้ายกาจ เท้าที่จมหายอยู่ในหิมะทำให้ฉันเกือบหงายหลังล้มกองอยู่ตรงนั้น
ทหารคนหนึ่งพุ่งเข้ามาเร็วราวพายุ ข้อมือของฉันถูกรวบอย่างรวดเร็ว และเชือกเวทย์เริ่มพาดพันรอบแขนอย่างแน่นหนา
'ไม่นะ! ฉันยังไม่ได้ทำประกันชีวิตข้ามมิติเลยนะเว้ยยย!'
ฉันหลับตาปี๋ กัดฟันแน่นในขณะที่คิดว่าชีวิตในโลกใบนี้น่าจะจบลงด้วยข้อหาบุกรุกเพราะราเมนชามเดียว...
แต่แล้ว—
พรึ่บ!
สายลมเย็นเฉียบแผ่กระจายออกจากจุดหนึ่งกลางลานหิมะมันไม่ใช่แค่ลมธรรมดา แต่เป็นกระแสพลังที่เย็นจนทำให้อากาศรอบตัวเหมือนจะจับตัวเป็นน้ำแข็งทันที
ทุกอย่างเงียบกริบในเสี้ยววินาที
แม้แต่เสียงลมหิมะที่พัดกระหน่ำเมื่อครู่ ก็เหมือนหยุดนิ่งไปพร้อมกับกาลเวลา
ฉันลืมตาขึ้นอย่างระแวง
ภาพที่เห็นทำให้แทบหยุดหายใจ —
ทหารทุกคนหยุดนิ่งกลางอากาศ ราวกับถูกแช่แข็งโดยพลังลึกลับ
แม้แต่เศษเกล็ดหิมะที่ปลิวอยู่กลางอากาศก็ชะงักค้าง ราวกับโลกหยุดหมุน
แล้ว...
เสียงหนึ่งดังขึ้น — หนักแน่น เย็นชา และทรงอำนาจจนแม้แต่หิมะรอบตัวก็เหมือนสั่นไหวตาม
"ปล่อยตัวนาง"
เสียงนั้นราบเรียบไร้อารมณ์ แต่ก้องสะท้อนเข้าไปถึงกระดูกสันหลังฉัน
ฉันหันขวับไปยังต้นเสียง —
เป็นเขา...ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้ม
เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม ราวกับไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
เส้นผมยาวปลิวเบา ๆ ตามแรงลมอันน้อยนิดที่ยังเหลืออยู่ ดวงตาสีฟ้าเข้มเป็นประกายจาง ๆ ใต้แสงหิมะ จ้องตรงมาที่ฉันอย่างแน่วแน่
ไม่ใช่สายตาอ่อนโยน ไม่ใช่สายตาเมตตา
แต่เป็นสายตาที่...เหมือนกับ "ยอมให้ผ่าน" อย่างไม่เต็มใจนัก ราวกับว่าฉันเป็นสิ่งผิดพลาดที่เขาต้องยอมรับเพราะเหตุผลบางอย่าง
“แต่...”
“ข้าสั่งให้ปล่อย!”
ทหารทุกคนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ คลายเชือกเวทย์ออกจากแขนฉัน แล้วถอยห่างออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก
ฉันยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ กำกล่องราเมนแน่นจนเส้นเลือดปูด
'...เขาช่วยฉันเหรอ?'
หัวใจที่เกือบหยุดเต้นไปแล้วเริ่มกลับมาเต้นระรัวอย่างระส่ำอีกครั้ง
ไม่ใช่ด้วยความกลัวเพียงอย่างเดียว...แต่ยังมีความสงสัยและสับสนเจือปนอยู่ในนั้นด้วย
ชายหนุ่มก้าวเข้ามาใกล้อีกก้าว
ระยะห่างระหว่างเราสองคนสั้นลงจนฉันสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็น — แต่ครั้งนี้ มันไม่ใช่แรงกดดันรุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้
เป็นความเย็นสงบนิ่งที่อบอวลรอบตัวเขา...เย็นจัด แต่ไม่ก้าวร้าว
ฉันได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
ขยับมือที่สั่นนิด ๆ จนกล่องราเมนกระเพื่อมเบา ๆ
"ราเมน"
เขาพูดสั้น ๆ — น้ำเสียงราบเรียบเหมือนคนกำลังประกาศข้อเท็จจริงที่ไม่ต้องมีอารมณ์ร่วม
"อ๋อ!"
ฉันรีบตอบรับ เสียงสูงขึ้นกว่าปกติโดยไม่ตั้งใจ รีบยื่นกล่องราเมนออกไปสองมือ ยิ้มเกร็ง ๆ อย่างกับจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ
"ราเมนเพลิงจันทร์ลาวาค่ะ...ของคุณ..."
เขาไม่ได้เอื้อมมือมารับในทันที
เพียงแค่ยืนนิ่ง จ้องกล่องราเมนในมือฉันด้วยสายตาคมกริบ
ดวงตาสีฟ้าเข้มของเขาฉายแววสงสัยปนระวังอย่างชัดเจน ราวกับว่ากล่องอาหารอุ่น ๆ ธรรมดาใบนี้อาจกลายร่างเป็นอาวุธทำลายล้างโลกได้ทุกเมื่อ
'ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้มั้ง...แค่ราเมนเองนะ...'
ฉันตะโกนในใจ พยายามฝืนยิ้มต่อไปแม้ว่ากรามจะเริ่มแข็งเพราะหนาวจัด
เวลาผ่านไปอึดใจหนึ่งที่ยาวนานอย่างน่าทรมาน
ในที่สุด...
เขาก็เอื้อมมือออกมา
มือเรียวยาว ขาวซีดราวหิมะเก่าแก่ที่ไม่เคยละลาย
นิ้วมือเรียวสวย เคลื่อนไหวอย่างสงบนิ่งขณะที่เอื้อมเข้ามาแตะกล่องราเมนในมือฉัน
เขาไม่ได้ใส่ถุงมือ
ปลายนิ้วเย็นเยียบของเขาแตะลงบนกล่องโลหะอุ่น ๆ อย่างแผ่วเบา
ฟู่—
ทันใดนั้น ไอน้ำอุ่นจากกล่องพวยพุ่งขึ้นมาปะทะกับผิวเย็นเฉียบของเขา
เกิดเป็นม่านหมอกจาง ๆ ลอยขึ้นระหว่างเรา
ชั่วขณะหนึ่ง
ดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งของเขาไหววูบ —
ราวกับสะท้อนความรู้สึกบางอย่างที่ลึกเกินกว่าจะเข้าใจได้ในพริบตาเดียว
เศษเสี้ยวของความอบอุ่น?
เศษเสี้ยวของความคิดถึง?
หรือเพียงความตกตะลึงจากสัมผัสที่ไม่คาดคิด?
...ฉันเองก็บอกไม่ได้
แต่เพียงแค่ชั่ววินาทีเดียว ทุกอย่างก็จางหายไป
เขากลับมาเป็นคนเยือกเย็นเช่นเดิม
ใบหน้าเรียบนิ่ง ราวกับม่านหมอกแห่งอารมณ์ที่เพิ่งเผยออกมานั้นเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
"เจ้า...ชื่ออะไร"
เสียงของเขาดังขึ้นกลางความเงียบที่หนาวเหน็บ
น้ำเสียงราบเรียบ...แต่ทรงพลังจนเหมือนสะท้อนก้องอยู่ในโพรงหิมะที่ล้อมรอบเราไว้
ฉันสะดุ้งเล็กน้อย รีบกะพริบตา ตั้งสติที่กระจัดกระจายเก็บกลับมาให้ได้มากที่สุด ก่อนตอบเสียงสั่น ๆ
"เอลาเรีย...ค่ะ"
เสียงของตัวเองแผ่วเบาแทบกลืนหายไปกับสายลม แต่ดวงตาสีฟ้าเข้มคู่นั้นจับจ้องมาที่ฉันอย่างแน่วแน่
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง
เหมือนกำลังจดจำชื่อฉันไว้ในห้วงลึกสุดของความคิด ราวกับไม่ใช่แค่การรับรู้ธรรมดา แต่เป็นการจารึก
ความเงียบยาวนาทีนั้น ทำให้หัวใจฉันเต้นโครมครามจนเจ็บหน้าอก
แล้วเขาก็เอ่ยเบา ๆ —
เสียงนั้นแผ่วเบา...แต่ทรงอำนาจมากพอจะกวาดหิมะรอบตัวให้สงบนิ่งได้
"ตามข้ามา"
พูดเพียงแค่นั้น — ไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม ไม่มีคำชี้แจงใด ๆ
เขาหมุนตัวอย่างสง่างาม ผ้าคลุมสีเทาเงินปลิวสะบัดตามแรงลมอย่างงดงาม
จากนั้น...เขาก็เริ่มก้าวเดินนำเข้าไปในวังน้ำแข็ง
อย่างไม่แม้แต่หันกลับมาดูว่า ฉันจะตามไปหรือไม่
ฉันยืนตะลึงอยู่อีกไม่กี่วินาที มือกำสายกระเป๋าส่งอาหารแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด
หัวใจเต้นระส่ำเหมือนกลองศึก
'นี่ฉัน...กำลังถูกพาไปไหนกันแน่นะ?'
สายตาเหลือบลงมามองเจ้าก้อนหิมะน้อยในอกเสื้อที่สั่นงึก ๆ อย่างน่าสงสาร ดูเหมือนมันจะสัมผัสได้ถึงความไม่แน่นอนในอากาศนี้เช่นเดียวกับฉัน
ฉันสูดหายใจเข้าลึก ข่มใจที่อยากจะวิ่งหนีกลับไปหาประตูที่ปิดหายไปแล้วนั่นให้จงได้
แล้วก้าวเท้าตามแผ่นหลังสง่างามของชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มเข้าไปในวังน้ำแข็งอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
ทุกก้าวที่ย่างเข้าไป...
เหมือนกำลังเดินลึกเข้าไปในโลกอีกใบที่เย็นเยียบ ลึกลับ และเต็มไปด้วยความลับที่ไม่มีวันหวนกลับได้อีก
❄️❄️❄️❄️❄️❄️
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของฉันก้าวย่ำลงบนหิมะกรอบกรับในความเงียบเสียงนั้นเล็กน้อยนัก เมื่อเทียบกับความกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตของลานหิมะที่แผ่ขยายอยู่รอบตัวฉันกอดกระเป๋าส่งอาหารแนบตัวแน่น เดินตามหลังชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีครามเข้มที่ปลิวลู่ตามแรงลมเบา ๆ อย่างสง่างามร่างสูงโปร่งของเขาเป็นเหมือนเส้นทางนำทางเดียวในโลกที่ไร้จุดหมายนี้ลมหิมะที่เคยเกรี้ยวกราด ราวกับโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่ บัดนี้กลับสงบนิ่งอย่างประหลาด ราวกับธรรมชาติเองยังยอมสยบให้กับการปรากฏตัวของเขาหลงอวิ๋น — ฉันยังไม่รู้จักชื่อจริงของเขาในตอนนี้แต่ในใจของฉัน...ได้ตั้งชื่อให้เขาเงียบ ๆ ว่า "เจ้าชายน้ำแข็ง"เมื่อก้าวผ่านประตูวังเข้าไป...ฉันเผลออ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัวภายในวังน้ำแข็ง...ไม่ได้เยือกเย็นน่ากลัวเหมือนที่ฉันเคยจินตนาการเอาไว้เลยตรงกันข้าม — มันสวยงามจนแทบหยุดหายใจห้องโถงใหญ่เบื้องหน้าสูงเสียดเพดาน ราวกับแผ่นฟ้าถูกยกมาครอบวังแห่งนี้เสาหินน้ำแข็งบริสุทธิ์ตั้งตระหง่านแต่ละต้นแกะสลักลวดลายอย่างประณีต —มังกรน้ำแข็ง พันตัวลอยละลิ่วขึ้นไปสู่ความสูง ราวกับจะทะยานสู่ท้องฟ้าเพดานประดับด้วย คริสตัลน้ำแข็งนับพันแต่ละเม็ดเจียระไน
วังน้ำแข็งเบื้องหน้าเงียบสงบเหมือนความฝันผนังน้ำแข็งใสราวกระจกสะท้อนแสงคริสตัลระยิบระยับ ดั่งหมื่นดวงดาวแขวนอยู่ในคืนหนาวแต่หัวใจของฉัน...กำลังเต้นสับสนและร้อนรุ่มอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนหลังจากส่งราเมนเสร็จ ฉันคิดว่างานจบแล้วแค่กดเปิดระบบ Omnibite แล้วกลับบ้านเหมือนทุกครั้งฉันกวาดนิ้วลงบนหน้าจอนาฬิกาอย่างคล่องแคล่วด้วยความเคยชิน ใจเฝ้าฝันถึงห้องเช่าอันคับแคบ ผ้าห่มขาด ๆ และกลิ่นกาแฟที่เก่าจนขมขื่นแต่...[Error: ไม่สามารถเชื่อมต่อมิติปกติ][ระบบเสียหาย: โปรดรอการรีเซ็ตพลังงานใน 7 วัน]ฉันกะพริบตาปริบ ๆมองข้อความนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับมันจะเปลี่ยนคำตอบได้ถ้าฉันจ้องนานพอ“...หา?”มือไม้เย็นเฉียบจนแทบไม่รู้ตัวฉันกดรีเซ็ต กดสแกน กดทุกอย่างที่จำได้จากคู่มือฉุกเฉิน แต่ไม่ว่าอย่างไร...ข้อความเดิมก็ยังคงสว่างอยู่บนหน้าจอ[คุณติดอยู่ในโลกนี้ 7 วัน]“...ฉันติดอยู่ที่นี่จริง ๆ เหรอ?”เสียงตัวเองเบาเสียย
เช้าวันใหม่ในวังน้ำแข็งเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด แสงเงินบาง ๆ จากดวงอาทิตย์ที่ไม่เคยส่องแรงเกินไปในดินแดนหิมะ ทอผ่านหน้าต่างน้ำแข็งหนาเป็นลำแสงอ่อน ๆ คลี่ตัวลงบนพื้นพรมขนสัตว์หนานุ่มฉันขยับตัวใต้ผ้าห่มขนสัตว์ สูดกลิ่นอุ่น ๆ ของไฟเวทย์ที่ยังคงลุกโชนในเตาผิงก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นอย่างสุภาพ“คุณผู้มาเยือน...”เสียงอ่อนโยนของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นจากหลังบานประตู“ข้ามีนามว่า เสี่ยวหนิง มาดูแลท่านตามบัญชาขององค์ชาย”ฉันสะดุ้งเล็กน้อย รีบลุกขึ้นจากเตียง กอดผ้าห่มขนสัตว์แนบอกด้วยความเคยชินของคนแปลกที่แล้วตอบเสียงเบา ๆ“เข้ามาได้ค่ะ”บานประตูเปิดออกเบา ๆ อย่างนุ่มนวลหญิงสาวร่างเล็กในชุดสีขาวสะอาดก้าวเข้ามาใบหน้าของเธออ่อนหวาน ดวงตากลมโค้งรับรอยยิ้มสุภาพ ทำให้บรรยากาศแข็งกร้าวของวังน้ำแข็งดูนุ่มนวลลงทันทีที่เธอปรากฏตัว“ข้ามีหน้าที่นำอาหาร เครื่องใช้ และช่วยดูแลท่านระหว่างที่พักอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ”เสี่ยวหน
เสียงหัวเราะเยาะ... เสียงซุบซิบกระซิบกระซาบ... และเสียงก่นด่าอันแสบแก้วหู ดังก้องสะท้อนอยู่ในความฝันอันพร่าเลือนเอลาเรีย เวลเลนไฮม์ ยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางจัตุรัสเมืองเก่า ที่ครั้งหนึ่งเคยอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของขนมปังสดใหม่และเสียงหัวเราะของผู้คนที่แวะเวียนมาเยี่ยมชม ตลาดที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับกลายเป็นเวทีประจานเย้ยหยันเธอยืนอยู่ตรงนั้น ร่างกายสั่นสะท้านในเสื้อคลุมสีกรมท่าขาดรุ่งริ่ง ผมสีน้ำตาลเข้มแห้งกรอบปิดใบหน้าที่สวยสด สายลมหนาวกรูกราวพัดกระโชกจนชายเสื้อของเธอสะบัดฟาดไปมาเหมือนธงแห่งความพ่ายแพ้ผู้คนมากมายรายล้อมเธอเป็นวงกลม แววตาที่เคยมองเธอด้วยความเลื่อมใส บัดนี้กลับเปลี่ยนเป็นสายตาแข็งกร้าว เคลือบด้วยความโกรธและความผิดหวังโต๊ะไพ่ตัวเดิมที่เธอเคยนั่งประจำ ถูกพลิกคว่ำกลางลานหิน เสียงไม้กระแทกพื้นดังกึกก้อง ไพ่ทาโรต์สีสดปลิวกระจัดกระจายไปตามแรงลม ราวกับนกน้อยที่สิ้นแรงบิน พร็อพเวทมนตร์—ลูกแก้วพยากรณ์ กระดิ่งเงิน และเครื่องรางสีหม่น—กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้น เหยียบย่ำจนแทบไม่เหลือสภาพแผ่นป้ายไม้ที่สลักคำว่า "เอลาเรีย เวลเลนไฮม์ - หมอดูผู้หยั่งรู้โชคชะตา" ถูกเหยียบซ้ำแล้
ถนนสายเช้ายังคงว่างเปล่า มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวลอดผ่านตรอกแคบ ๆ ที่ทอดยาวเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด ฉันเร่งก้าวเท้าไปตามทาง ลมหายใจเปลี่ยนเป็นไอขาวลอยวูบวาบในอากาศหนาวเหน็บ ทั้งที่ปฏิทินบอกว่ากำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้วแท้ ๆมือข้างหนึ่งกอดกระเป๋าส่งอาหารแน่น ขณะที่อีกข้างกำเสื้อแจ็กเก็ตไว้แน่นเพื่อกันลมที่เย็นเฉียบแทงทะลุเข้ามาในทุกอณูผิว‘Omnibite...นั่นไง’ฉันหยุดยืนหน้าร้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง — มันดูธรรมดาจนน่าเหลือเชื่อว่าที่นี่คือศูนย์กลางการส่งอาหารทะลุมิติป้ายหน้าร้านเป็นกระจกสีดำเรียบลื่น ไม่มีโลโก้ ไม่มีชื่อร้าน ไม่มีแม้แต่ตัวอักษรใด ๆ ที่บอกว่านี่คืออะไร นอกจากเส้นสายแสงเงินบางเบาที่ไหลวูบไหวไปมาใต้ผิวกระจก ราวกับเป็นลมหายใจของบางสิ่งที่หลับใหลอยู่ภายในแสงนั้นสั่นระริก เหมือนเส้นทางของแม่น้ำบนท้องฟ้า พริบพรายอย่างเงียบงันในยามเช้ามืดฉันกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ ก่อนจะยื่นมือออกไปผลักประตูกระจกเบา ๆ —ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสบานประตู โลกทั้งใบก็เหมือนพลิกตัวไปอีกมิติหนึ่งประตูเปิดออกอย่างไร้เสียงแสงสีเงินจาง ๆ พร่างพรายออกมาและทันทีที่ก้าวข้ามธรณีประตู..."ยินดีต้อนรับสู่ Omnibite
ท่ามกลางทุ่งหิมะขาวโพลนที่แผ่กว้างสุดลูกหูลูกตา ลมหิมะเย็นเฉียบพัดกรูใส่หน้าแบบไม่ปรานีเกล็ดหิมะละเอียดปลิวว่อนอยู่ในอากาศหนาแน่นจนแทบมองไม่เห็นเส้นขอบฟ้า ทุกย่างก้าวที่ฉันเดินเหมือนเหยียบลงไปในมหาสมุทรเย็นเยียบที่ไม่รู้จุดจบ"ฮ่าาา...อะไรกันเนี่ย..."ฉันกัดฟันแน่น เสียงลมหายใจของตัวเองกลายเป็นไอขาวพวยพุ่งออกมาเป็นจังหวะ ยกแขนปิดหน้าบังลม และก้าวเท้าออกไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นที่รวบรวมมาแทบหมดทั้งชีวิตข้างหลัง —ประตูเชื่อมต่อกับโลกเดิม ที่ครั้งหนึ่งยังมองเห็นเป็นบานประตูไม้ธรรมดา บัดนี้ค่อย ๆ เลือนหายไปเหมือนเงาฝันจาง ๆ ถูกลบหายไปกับหิมะเหมือนไม่เคยมีอยู่เลยตั้งแต่แรกทิ้งฉันไว้กลางโลกที่ไม่รู้จักตอนนี้...ฉันมีแค่ตัวเอง กับ...กล่องราเมนที่อบอุ่นในมือเท่านั้นมือข้างที่กอดกล่องไว้แน่นรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นเล็ก ๆมันเหมือนจุดไฟเล็ก ๆ ในทะเลน้ำแข็งนี้ กลิ่นหอมกรุ่นที่แทรกออกมาจากกล่อง ยังช่วยเตือนว่าฉันมีภารกิจ — มีเป้าหมาย — และยังมีอะไรบางอย่างที่ต้องไปให้ถึงเสียงลมหิมะพัดหวิวดังครืนครางอยู่รอบตัว — มันไม่ใช่แค่เสียงลมธรรมดา แต่ฟังดูเหมือนเสียงคำรามอันแผ่วเบาของบางสิ่งที่ซ่อน
เช้าวันใหม่ในวังน้ำแข็งเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด แสงเงินบาง ๆ จากดวงอาทิตย์ที่ไม่เคยส่องแรงเกินไปในดินแดนหิมะ ทอผ่านหน้าต่างน้ำแข็งหนาเป็นลำแสงอ่อน ๆ คลี่ตัวลงบนพื้นพรมขนสัตว์หนานุ่มฉันขยับตัวใต้ผ้าห่มขนสัตว์ สูดกลิ่นอุ่น ๆ ของไฟเวทย์ที่ยังคงลุกโชนในเตาผิงก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นอย่างสุภาพ“คุณผู้มาเยือน...”เสียงอ่อนโยนของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นจากหลังบานประตู“ข้ามีนามว่า เสี่ยวหนิง มาดูแลท่านตามบัญชาขององค์ชาย”ฉันสะดุ้งเล็กน้อย รีบลุกขึ้นจากเตียง กอดผ้าห่มขนสัตว์แนบอกด้วยความเคยชินของคนแปลกที่แล้วตอบเสียงเบา ๆ“เข้ามาได้ค่ะ”บานประตูเปิดออกเบา ๆ อย่างนุ่มนวลหญิงสาวร่างเล็กในชุดสีขาวสะอาดก้าวเข้ามาใบหน้าของเธออ่อนหวาน ดวงตากลมโค้งรับรอยยิ้มสุภาพ ทำให้บรรยากาศแข็งกร้าวของวังน้ำแข็งดูนุ่มนวลลงทันทีที่เธอปรากฏตัว“ข้ามีหน้าที่นำอาหาร เครื่องใช้ และช่วยดูแลท่านระหว่างที่พักอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ”เสี่ยวหน
วังน้ำแข็งเบื้องหน้าเงียบสงบเหมือนความฝันผนังน้ำแข็งใสราวกระจกสะท้อนแสงคริสตัลระยิบระยับ ดั่งหมื่นดวงดาวแขวนอยู่ในคืนหนาวแต่หัวใจของฉัน...กำลังเต้นสับสนและร้อนรุ่มอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนหลังจากส่งราเมนเสร็จ ฉันคิดว่างานจบแล้วแค่กดเปิดระบบ Omnibite แล้วกลับบ้านเหมือนทุกครั้งฉันกวาดนิ้วลงบนหน้าจอนาฬิกาอย่างคล่องแคล่วด้วยความเคยชิน ใจเฝ้าฝันถึงห้องเช่าอันคับแคบ ผ้าห่มขาด ๆ และกลิ่นกาแฟที่เก่าจนขมขื่นแต่...[Error: ไม่สามารถเชื่อมต่อมิติปกติ][ระบบเสียหาย: โปรดรอการรีเซ็ตพลังงานใน 7 วัน]ฉันกะพริบตาปริบ ๆมองข้อความนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับมันจะเปลี่ยนคำตอบได้ถ้าฉันจ้องนานพอ“...หา?”มือไม้เย็นเฉียบจนแทบไม่รู้ตัวฉันกดรีเซ็ต กดสแกน กดทุกอย่างที่จำได้จากคู่มือฉุกเฉิน แต่ไม่ว่าอย่างไร...ข้อความเดิมก็ยังคงสว่างอยู่บนหน้าจอ[คุณติดอยู่ในโลกนี้ 7 วัน]“...ฉันติดอยู่ที่นี่จริง ๆ เหรอ?”เสียงตัวเองเบาเสียย
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของฉันก้าวย่ำลงบนหิมะกรอบกรับในความเงียบเสียงนั้นเล็กน้อยนัก เมื่อเทียบกับความกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตของลานหิมะที่แผ่ขยายอยู่รอบตัวฉันกอดกระเป๋าส่งอาหารแนบตัวแน่น เดินตามหลังชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีครามเข้มที่ปลิวลู่ตามแรงลมเบา ๆ อย่างสง่างามร่างสูงโปร่งของเขาเป็นเหมือนเส้นทางนำทางเดียวในโลกที่ไร้จุดหมายนี้ลมหิมะที่เคยเกรี้ยวกราด ราวกับโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่ บัดนี้กลับสงบนิ่งอย่างประหลาด ราวกับธรรมชาติเองยังยอมสยบให้กับการปรากฏตัวของเขาหลงอวิ๋น — ฉันยังไม่รู้จักชื่อจริงของเขาในตอนนี้แต่ในใจของฉัน...ได้ตั้งชื่อให้เขาเงียบ ๆ ว่า "เจ้าชายน้ำแข็ง"เมื่อก้าวผ่านประตูวังเข้าไป...ฉันเผลออ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัวภายในวังน้ำแข็ง...ไม่ได้เยือกเย็นน่ากลัวเหมือนที่ฉันเคยจินตนาการเอาไว้เลยตรงกันข้าม — มันสวยงามจนแทบหยุดหายใจห้องโถงใหญ่เบื้องหน้าสูงเสียดเพดาน ราวกับแผ่นฟ้าถูกยกมาครอบวังแห่งนี้เสาหินน้ำแข็งบริสุทธิ์ตั้งตระหง่านแต่ละต้นแกะสลักลวดลายอย่างประณีต —มังกรน้ำแข็ง พันตัวลอยละลิ่วขึ้นไปสู่ความสูง ราวกับจะทะยานสู่ท้องฟ้าเพดานประดับด้วย คริสตัลน้ำแข็งนับพันแต่ละเม็ดเจียระไน
ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มยังคงจ้องฉันนิ่ง ๆ ไม่ไหวติง สายตาของเขาเย็นเยียบ ปราศจากอารมณ์เหมือนผืนน้ำแข็งโบราณที่ไม่เคยละลายตลอดกาลฉันยืนเกร็งอยู่ท่ามกลางลมหิมะที่กระหน่ำใส่ราวกับจะพัดฉันปลิวได้ทุกเมื่อกอดกล่องราเมนแนบอกไว้แน่นจนแทบจะฝังเข้าไปในร่าง ราวกับมันคือโล่ป้องกันตัวสุดท้ายที่ฉันมีในโลกใบนี้'ยิ้มเข้าไว้เอลาเรีย...อย่างน้อยก็ตายอย่างมีมารยาท...'ฉันพยายามยิ้มแหย ๆ แต่ริมฝีปากสั่นระริกจนแทบเก็บไม่อยู่ ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจได้ว่าจะหนีหรือสู้...เสียงฝีเท้าหนัก ๆ หลายคู่ก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงจากด้านหลังวังน้ำแข็งกึก กึก กึก กึก!ชายในชุดเกราะสีเงินวาววับวิ่งกรูออกมา เสียงเกราะกระทบกันดังแกรก ๆ ลั่นสะท้อนในอากาศเย็นจัดพวกเขาล้อมฉันไว้ในพริบตา ท่าทางแข็งกร้าวเหมือนหินน้ำแข็งที่ไม่มีวันแตก"บุกรุกพื้นที่หวงห้าม!"เสียงหนึ่งตะโกนกร้าว"จับตัวไว้!"อีกเสียงตะโกนซ้ำ ขณะที่มือข้างหนึ่งหยิบเชือกเวทย์ที่เรืองแสงสีฟ้าอ่อนออกมา"หาาาา?! เดี๋ยว ๆ ฉันแค่ส่งราเมนนะ!"ฉันโบกไม้โบกมือรัว ๆ จนกล่องราเมนแทบหลุดจากมือ พยายามถอยหลังหนีโดยไม่คิดชีวิตแต่พื้นหิมะลื่นอย่างร้ายกาจ เท้าที่จมหายอยู่ในห
ท่ามกลางทุ่งหิมะขาวโพลนที่แผ่กว้างสุดลูกหูลูกตา ลมหิมะเย็นเฉียบพัดกรูใส่หน้าแบบไม่ปรานีเกล็ดหิมะละเอียดปลิวว่อนอยู่ในอากาศหนาแน่นจนแทบมองไม่เห็นเส้นขอบฟ้า ทุกย่างก้าวที่ฉันเดินเหมือนเหยียบลงไปในมหาสมุทรเย็นเยียบที่ไม่รู้จุดจบ"ฮ่าาา...อะไรกันเนี่ย..."ฉันกัดฟันแน่น เสียงลมหายใจของตัวเองกลายเป็นไอขาวพวยพุ่งออกมาเป็นจังหวะ ยกแขนปิดหน้าบังลม และก้าวเท้าออกไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นที่รวบรวมมาแทบหมดทั้งชีวิตข้างหลัง —ประตูเชื่อมต่อกับโลกเดิม ที่ครั้งหนึ่งยังมองเห็นเป็นบานประตูไม้ธรรมดา บัดนี้ค่อย ๆ เลือนหายไปเหมือนเงาฝันจาง ๆ ถูกลบหายไปกับหิมะเหมือนไม่เคยมีอยู่เลยตั้งแต่แรกทิ้งฉันไว้กลางโลกที่ไม่รู้จักตอนนี้...ฉันมีแค่ตัวเอง กับ...กล่องราเมนที่อบอุ่นในมือเท่านั้นมือข้างที่กอดกล่องไว้แน่นรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นเล็ก ๆมันเหมือนจุดไฟเล็ก ๆ ในทะเลน้ำแข็งนี้ กลิ่นหอมกรุ่นที่แทรกออกมาจากกล่อง ยังช่วยเตือนว่าฉันมีภารกิจ — มีเป้าหมาย — และยังมีอะไรบางอย่างที่ต้องไปให้ถึงเสียงลมหิมะพัดหวิวดังครืนครางอยู่รอบตัว — มันไม่ใช่แค่เสียงลมธรรมดา แต่ฟังดูเหมือนเสียงคำรามอันแผ่วเบาของบางสิ่งที่ซ่อน
ถนนสายเช้ายังคงว่างเปล่า มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวลอดผ่านตรอกแคบ ๆ ที่ทอดยาวเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด ฉันเร่งก้าวเท้าไปตามทาง ลมหายใจเปลี่ยนเป็นไอขาวลอยวูบวาบในอากาศหนาวเหน็บ ทั้งที่ปฏิทินบอกว่ากำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้วแท้ ๆมือข้างหนึ่งกอดกระเป๋าส่งอาหารแน่น ขณะที่อีกข้างกำเสื้อแจ็กเก็ตไว้แน่นเพื่อกันลมที่เย็นเฉียบแทงทะลุเข้ามาในทุกอณูผิว‘Omnibite...นั่นไง’ฉันหยุดยืนหน้าร้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง — มันดูธรรมดาจนน่าเหลือเชื่อว่าที่นี่คือศูนย์กลางการส่งอาหารทะลุมิติป้ายหน้าร้านเป็นกระจกสีดำเรียบลื่น ไม่มีโลโก้ ไม่มีชื่อร้าน ไม่มีแม้แต่ตัวอักษรใด ๆ ที่บอกว่านี่คืออะไร นอกจากเส้นสายแสงเงินบางเบาที่ไหลวูบไหวไปมาใต้ผิวกระจก ราวกับเป็นลมหายใจของบางสิ่งที่หลับใหลอยู่ภายในแสงนั้นสั่นระริก เหมือนเส้นทางของแม่น้ำบนท้องฟ้า พริบพรายอย่างเงียบงันในยามเช้ามืดฉันกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ ก่อนจะยื่นมือออกไปผลักประตูกระจกเบา ๆ —ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสบานประตู โลกทั้งใบก็เหมือนพลิกตัวไปอีกมิติหนึ่งประตูเปิดออกอย่างไร้เสียงแสงสีเงินจาง ๆ พร่างพรายออกมาและทันทีที่ก้าวข้ามธรณีประตู..."ยินดีต้อนรับสู่ Omnibite
เสียงหัวเราะเยาะ... เสียงซุบซิบกระซิบกระซาบ... และเสียงก่นด่าอันแสบแก้วหู ดังก้องสะท้อนอยู่ในความฝันอันพร่าเลือนเอลาเรีย เวลเลนไฮม์ ยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางจัตุรัสเมืองเก่า ที่ครั้งหนึ่งเคยอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของขนมปังสดใหม่และเสียงหัวเราะของผู้คนที่แวะเวียนมาเยี่ยมชม ตลาดที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับกลายเป็นเวทีประจานเย้ยหยันเธอยืนอยู่ตรงนั้น ร่างกายสั่นสะท้านในเสื้อคลุมสีกรมท่าขาดรุ่งริ่ง ผมสีน้ำตาลเข้มแห้งกรอบปิดใบหน้าที่สวยสด สายลมหนาวกรูกราวพัดกระโชกจนชายเสื้อของเธอสะบัดฟาดไปมาเหมือนธงแห่งความพ่ายแพ้ผู้คนมากมายรายล้อมเธอเป็นวงกลม แววตาที่เคยมองเธอด้วยความเลื่อมใส บัดนี้กลับเปลี่ยนเป็นสายตาแข็งกร้าว เคลือบด้วยความโกรธและความผิดหวังโต๊ะไพ่ตัวเดิมที่เธอเคยนั่งประจำ ถูกพลิกคว่ำกลางลานหิน เสียงไม้กระแทกพื้นดังกึกก้อง ไพ่ทาโรต์สีสดปลิวกระจัดกระจายไปตามแรงลม ราวกับนกน้อยที่สิ้นแรงบิน พร็อพเวทมนตร์—ลูกแก้วพยากรณ์ กระดิ่งเงิน และเครื่องรางสีหม่น—กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้น เหยียบย่ำจนแทบไม่เหลือสภาพแผ่นป้ายไม้ที่สลักคำว่า "เอลาเรีย เวลเลนไฮม์ - หมอดูผู้หยั่งรู้โชคชะตา" ถูกเหยียบซ้ำแล้