จินเกอก้าวเดินด้วยความมั่นคงด้วยอาภรณ์สีขาวสะอาดสง่างามไม่ต่างจากจิวชินในอาภรณ์บุรุษท่วงท่าแต่ล่ะก้าวย่างช่างคล้ายกับเหอหยวนฮ่องเต้ ผู้คนในที่แห่งนั้นล้วนตะลึงมองรวมทั้งเจียวซื่อและไห่หยวนฮ่องเต้ชงไฉ่อมยิ้มไม่มีท้าที่ว่าประหลาดใจ จินเกอคุกเข่าลงข้างๆ เจียวซื่อเจียวซื่อมองจินเกอด้วยสายตาที่ตกตะลึงและไม่คาดฝันมาก่อนส่งเสียงกระซิบออกมาเบาๆ พอได้ยินกันแค่สองคน“เป็นท่านได้อย่างไร” จินเกอหันไปยิ้มน้อยๆ“ถวายพระพรฝ่าบาท”“ให้ข้าดูหน้าเจ้าให้ชัดๆ หน่อยว่าเจ้ามีส่วนใดที่ไม่เหมือนเหอหยวนบ้าง” ไห่หยวนฮ่องเต้พูดออกไปด้วยน้ำเสียงระคนเอ็นดูจินเกอเงยหน้าขึ้นช้าๆ“ข้าองค์ชายใหญ่จินเกอของเหอตงหยวนมีความผิดร้ายแรงโทษฐานหลอกล่วงเบื้องสูงบัดนี้ได้มาแสดงความจริงใจและขอรับโทษขอฝ่าบาทโปรดอภัยในสิ่งที่ข้าทำไปด้วยความโง่เขลาไม่ว่าสิ่งที่ข้าทำไปจะทำให้ผู้ใดก็ตามได้รับโทษทัณฑ์ข้าขอรับผิดต่อการกระทำแต่เพียงผู้เดียว”“ข้าไห่หยวน ไม่เคยสงสัยในตัวองค์ชายใหญ่จินเกอที่ตำหนักบูรพา ที่แท้เรื่องราวเป็นอย่างไรหากเจ้าอยากแสดงความจริงใจ จงบอกกล่าวเรื่องราวแกข้าทั้งหมด”กงกงเฒ่าขยับตัว” ฝ่าบาทเช่นนั้นองค์ชายใหญ่จินเกอที่ต
“แต่ฝ่าบาท” ไห่หยวนยกมือขึ้นปรามกงกง“ข้าใช่จะเป็นคนใจร้ายใจดำหาเหตุผลไม่ได้ทุกอย่างย่อมมีวิถีของมันเองครั้งนี้แม้ข้าไม่สั่งลงโทษพวกเจ้าพี่น้องแต่ข้าเชื่อว่าก่อนหน้านั้นจิตใจของเจ้าทั้งสองคงไม่เป็นสุขนักยามที่คิดถึงเรื่องที่ปิดบังไว้”“ข้าองค์ชายใหญ่จิ่นเกอของเหอตงหยวนนับถือในความมีเมตตาของฝ่าบาทยิ่งนัก ครั้งนี้ถือเสียว่าข้าจิ่นเกอติดหนี้บุญคุณ ที่ฝ่าบาททรงไม่ถือโทษเราสองคนพี่น้อง"จับมือจิวซินให้โค้งคำนับลงกับพื้นพร้อมกันไห่หยวนฮ่องเต้ยิ้มพึงใจ“ถ่ายทอดคำสั่งข้าไปนับจากนี้อีกเจ็ดวันให้เตรียมงานฉลองมงคลยิ่งใหญ่ของทั้งองค์รัชทายาทและองค์หญิงสิบสี่พร้อมกัน” ดวงตาสุขสมของชงไฉ่เผยออกมาอย่างไม่มีปิดบัง ผิดกับจิ่นเกอที่ท่าทางคิดหนัก“ลูกทั้งสองน้อมรับบัญชาของเสด็จพ่อ” ชงไฉ่ฉุดมือเจียวซือให้ทิ้งตัวลงคุกเข่าพร้อมกันชงไฉ่หันมองจิวซินที่มีท่าทีเอียงอายใบหน้าสีชมพูระเรื่อดั่งผลท้อหน้ามองอย่างที่สุดชงไฉ่เผลอมองจนไห่หยวนฮ่องเต้สังเกตเห็น ดวงหน้าและสายตาไม่ต่างจากเขาเมื่อครั้งยังหนุ่มแน่นเมื่อครั้งนั้นมีบางอย่างเบ่งบานอยู่กลางดวงใจพิสุทธิ์จนไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้ มองดูชงไฉ่แล้วเหมือนกับกระจกเงา
หยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อหมิงหลินยกถ้วยชา มาวางตรงหน้า แล้วถอยออกไปจิวซินยกชาเลิศรสของเหอตงหยวนขึ้นมาสูดดมแก้เก้อ ฮุ่ยโม๋เอื้อมมือยกถ้วยชา มาดอมดมตามแบบจิวซิน ความเงียบที่ชวนอึดอัดบังเกิดขึ้นเหมือนไอร้อนที่ลอยวนอยู่เหนือถ้วยชาจิวซินจิบชาเพราะไม่รู้จะทำอะไรหรือพูดอะไรได้มากกว่านั้นฮุ่ยโม๋ยกถ้วยชาขึ้นจ่อริมฝีปากแต่ตาคมกลับจ้องมองจิวซินเหมือนจะประทับไว้ในความทรงจำ จิวซินวางถ้วยชาลงที่เดิมฮุ่ยโม๋คว้ามือจิวซินมากุมไว้ มือใหญ่เกาะกุมมือบาง จิวซินดึงมือออกด้วยรู้ว่าไม่เหมาะสมฮุ่ยโม๋วางของสิ่งหนึ่งลงบนมือของจิวซิน“สิ่งนี้ข้ามอบมันแก่เจ้าป้ายหยกประจำกายของข้า”“ข้าจิวซินไม่อาจรับไว้ได้”“อย่ากังวลเลยจิวซินสิ่งนี้ข้าถือว่าเป็นสิ่งเดียวที่แทนมิตรภาพระหว่างข้ากับเจ้า ข้าไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนเพียงแค่ได้เป็นผู้ให้ในยามที่เจ้าขัดสนหรือมีเรื่องใด ที่ต้องการความช่วยเหลือเพียงเจ้าถือมันมาที่จวนอ๋องของข้าเมื่อนั้นไม่ว่าเจ้าต้องการสิ่งใดย่อมไม่ถูกปฏิเสธ”“องค์ชายห้ามอบสิ่งที่มีค่าเกินแก่ข้าจะรับไหว”“หากเจ้าไม่รับไว้ข้าย่อมรู้สึกไม่เป็นสุข เจ้ารับมันเพื่อข้าจะได้สบายใจตำหนักบูรพาแห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่ข้า
เหมือนจะบอกว่าเจ้าเห็นใจข้าเถอะเจ้าสิบสามทว่าปราศจากการตอบกลับแต่อย่างใด องค์ชายสิบสามหันหน้าหนีทำเป็นไม่สนใจสายตาอ้อนวอนนั้น“ข้าไห่หยวนพยายามด้วยความจริงใจต่อเหอตงหยวนแต่ทว่าพวกเขากับคิดว่าข้าอ่อนข้อให้คิดการใหญ่แล้วยังส่งเหอจิวซินเข้ามาสร้างความปั่นป่วนหนำซ้ำยังกำเริบถึงขั้นวางยาองค์ชายห้าจนเสียชีวิตครั้งนี้ข้าจะไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ใดๆ หากสอบสวนแล้วนางผิดจริงคงไม่พ้นโทษประหาร”“เสด็จพ่อลูกอยากฟังความจริงจากปากของนาง” ชงไฉ่ยังไม่ละความพยายามที่จะได้พบจิวซิน“องค์รัชทายาท หากยังดื้อดึงจะทำให้ถูกครหาตอนนี้องค์รัชทายาทควรอยู่ห่างนางไว้เป็นการดีที่สุดอย่าลืมว่านางเป็นถึงว่าที่ชายาเอกและองค์รัชทายาทก็ไม่อาจแปดเปื้อนไปกับนางหากนางทำผิดจริง” ไห่หยวนพยายามเตือนสติชงไฉ่ถึงความเหมาะสมชงไฉ่ก้มหน้านิ่ง แววตาครุ่นคิด“องค์ชายสิบสามเอ่ยขึ้นเบาๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“พี่สิบสองวางใจข้าเถิดข้าจะให้ความเป็นธรรมแก่ทุกข์ฝ่าย”“องค์รัชทายาทพ่อเหนื่อยเหลือเกินในตอนนี้ งานพิธีศพของเจ้าห้าต้องให้เจ้าเป็นธุระจัดการเสียแล้วพ่อจะได้วางใจ” ถอนหายใจยาวเหยียดแม้จะฟังดูจริงจังหากแต่เป็นการดึงชงไฉ่ออกจากความคิด
“สายสร้อยของกำนัลจากพี่ห้านางพกติดตัวไม่ห่างเจ้าคิดว่ามีความหมายใดกัน แล้วยังจะป้ายหยกประจำตัวของพี่ห้าที่นางเก็บไว้เสียดิบดีในหีบใบน้อยนั่นเล่า” ชงไฉ่กำมัดแน่นด้วยความโกรธที่ถูกระงับไว้“ข้าไม่เห็นว่าองค์หญิงมีเหตุอันใดที่ต้องการให้คนที่ดีต่อองค์หญิงถึงเพียงนั้นต้องตาย”“องค์ชายห้าฮุ่ยโม๋มาจากนอกเมืองครั้งเมื่อไปทำราชกิจก็มุ่งตรงไปหานางทันที ....ไม่ใช่เพราะใจโหยหาตามแรงปรารถนา ไม่ก็เพราะว่าตั้งใจไปเหนี่ยวรั้งองค์หญิงรองไม่ให้เสกสมรสกับองค์รัชทายาท”“น้องสิบสามเจ้าก้าวล่วงเรื่องของข้ามากไปแล้ว” รอยยิ้มเยือกเย็นจากใบหน้าขององค์ชายสิบสามฮุ่ยเจินไม่ได้มีท่าทีอ่อนข้อให้กับคำกล่าวตักเตือนของชงไฉ่“ไม่ว่าจะมองด้านใดพี่สิบสองตำแหน่งฮองเฮาในอนาคตย่อมสูงส่งกว่าตำแหน่งชายาเอกของอ๋องห้าพี่สิบสองก็น่าจะรู้ดีว่านางจะประสงค์สิ่งใด มีเพียงหญิงสติไม่ดีเท่านั้นที่คิดเห็นแปลกไป”“ข้าน้อยไม่เชื่อว่าองค์หญิงจะเป็นนั้นองค์รัชทายาทท่านอย่าได้เชื่อคำกล่าวอ้างแล้วเข้าใจองค์หญิงผิดไป” หมิงหลินคุกเข่าอ้อนวอนชงไฉ่“พี่สิบสองอยู่ที่ท่านแล้วข้าไปไม่ได้กล่าวคำเท็จทุกอย่างมีหลักฐาน หากองค์หญิงรองจิวซินไม่ให้ความหวั
เหอหยวนฮ่องเต้ นั่งนิ่งด้วยความคิดหลากหลายจากการรายงานข่าวของขันทีข้างกายเรื่องที่จิวซินกำลังกลายเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าสังหารองค์ชายห้าฮุ่ยโม๋ ไฉนเลยอยากให้เป็นนั้นจิวซินทำไมไม่หาทางเอาตัวรอดหนีออกมาเมื่อทำการสำเร็จ ถึงแม้นางจะถูกประหารแต่ใจเขาเองก็รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูกทั้งๆ ที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นมารดาของจิวซินซึ่งเป็นสนมหรือฮองเฮาที่อยู่ข้างกายเขาหามีความรู้สึกลึกซึ้งไม่เพียงแต่ความต้องการทางกามารมณ์ชั่วคราวเท่านั้นแต่ความผูกพันพ่อลูกช่างทำให้รู้สึกใจหายอย่างประหลาด ถอนหายใจยาวเหยียดถึงเวลานี้อย่างน้อยไห่หยวนต้องรู้สึกเจ็บปวดไม่มากก็น้อยความเจ็บปวดเมื่อเสียคนที่รักเหมือนที่เขาเคยเป็นมาก่อน แต่ความรู้สึกผิดในใจของเขาที่มีต่อจิวซินยังเกาะกุมอยู่ในใจไม่จางหายไป อย่างน้อยตอนนี้เขาก็รู้สึกว่าจิวซินเป็นลูกกตัญญูคนหนึ่งจิ่นเกอ เดินวนเวียนไปมาหลายรอบคิดหาทางช่วยเหลือจิวซินเขาในตอนนี้ต้องหลบซ่อนตัวพาตัวเองออกมาจากโรงเตี๊ยมที่เคยพำนัก ปิดบังใบหน้าด้วยหมวกใบใหญ่จะทำอย่างไรถึงจะช่วยเหลือจิวซินได้ในเมื่อทุกอย่างเข้าตาจนคงต้องรอข่าวจากจิ่นฉินที่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถส่งข่าวอะไรใ
สุสานขององค์ชายห้าถูกขุดขึ้นอย่างเร่งรีบด้วยบุรุษที่ใบหน้าถูกปกปิดด้วยผ้าสีดำเปิดให้เห็นเฉพาะดวงตาที่ไร้ซึ่งความรุ้สึกใดๆ ร่างของงอคืชายห้าที่ถูกตั้งไว้บนแท่นสูงเมื่อพิศมองเหมือนคนนอนหลับก็ไม่ปานบุรุษชุดดำสองคนช่วยกันยกร่างใส่เข้าไปในเกี้ยวและปิดปากสุสานบรเิวณที่ขุดให้เหมือนเดิมเหมือนไม่เคยมีใครมาขุดมาก่อนเสียงฝีเท้าม้าที่วิ่งลากเกี้ยวเยาะย่างฝ่าความมืดเบื้องหน้าหายวับไปทันทีกระท่อมร้างโดดเดี่ยวกลางป่าไผ่องค์ชายห้านอนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับจิ่นเกอที่บรรจงหยอดยาถอนพิษเข้าสุ่ริมฝีปากที่ปิดสนิท"องค์ชายอีกนานไหมกว่าองค์ชายห้าจะรุ้สึกตัว""เพียงไม่กี่ชั่วยามระหว่างนี้ข้าอยากให้เจ้ากลับวังหลวง ดูว่ามีอะไรคืบหน้าบ้างองค์ชายสิบสามคงจะพยายามหาทางยื้อการประหารจิวซินไม่ได้อีกสองสามวัน""เช่นนั้นจิ่นฉินขอลาหากองค์ชายห้าฟื้นคืนองค์ชายใหญ่แจ้งข่าวด้วยและอธิบายให้องค์ชายทราบเจตนารมณ์ของเราด้วย"จิ่นเกอพยักหน้า"ตอนนี้ข้าห่วงจิวซนมากคุกหลวงแม้จะลำบากแต่ก็ปลอดภัยดีแต่อสจมีบางอย่างที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ในเมื่อตอนนี้ชงไฉ่ไม่แยแสจิวซินแม้แต่น้อยไห่หยวนเองก็ล้มป่วยฉะนั้นคนที่น่ากลัวที่สุดตอนนี้คือกงกงเฒ่าผู้น
“องค์หญิงอย่าไว้ใจนาง” กระซิบเบาๆ พอได้ยินกันสองคน จิวซินตบมือหมิงหลินเบาๆ เป็นการปลอบใจ“องค์หญิงรองเยว่ฉีเห็นท่านลำบากนักนำอาหารมาให้ท่าน” คำพูดที่เหมือนจะฉาบทาด้วยยาพิษ“เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจข้าขนาดนี้”“องค์รัชทายาทพูดถึงท่านทุกวันคืน เยว่ฉีทนไม่ไหว” จิวซินเลิกคิ้วด้วยความฉงน“ข้าขอบใจน้ำใจเจ้าแต่ไฉนเลยต้องพาตัวเองมาลำบากในที่แบบนี้ด้วย” เยว่ฉีทรุดกายนั่งลงเบื้องหน้า” อาจเป็นเพราะเยว่ฉีทนเห็นองค์รัชทายาทเป็นแบบนั้นไม่ได้ เรียกหาเยว่ฉีเข้าไปปรนนิบัติทั้งคืน แต่กลับพร่ำเรียกหาแต่องค์หญิงรอง” จิวซินเม้มริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ“ฝากไปบอกองค์รัชทายาทของเจ้าด้วยว่า...ไม่จำเป็นที่จะใส่ใจข้าเพียงนั้น” กลืนก้อนแข็งๆ ลงคอยากเย็นเยว่ฉียื่นส่งอาภรณ์ของจิวซินเมื่อครั้งที่ชงไฉ่ มีคำสั่งให้ห้องซักล้างนำไปซักมาเก็บไว้กับตัวเมื่อคราวที่จิวซินถูกคนของชิงซาทำร้ายแล้วชงไฉ่ช่วยไว้ทันและค้างคืนในป่าด้วยกันให้จิวซินดู อาภรณ์ชุดนั้นกลับมีรอยไหม้ชัดเจน“องค์รัชทายาทเก็บไว้อย่างดีตลอดมา องค์หญิงรองเคยรู้หรือไม่แต่บัดนี้พระองค์กลับนำมันออกมาเผาทำลายดีที่เยว่ฉีดับไฟได้ทันจึงนำมันมามอบแก่องค์หญิง” จิวซินยื่นมื
หันมองชิงซาที่พยักหน้าสนับสนุนคำพูดของฮุยโม๋“ข้ากลัวเหลือเกิน ว่าจะลืมเลือนใครบางคน” ชิงซายิ้มอ่อนโยน“ฝ่าบาทเชื่อใจพี่ห้าของพระองค์เถิด ครั้งนี้ทุกอย่างจะต้องจบลงโดยดี”“ทุกอย่างที่ทำเพราะพี่ห้าหวังดีฝ่าบาทโปรดวางพระทัยและเชื่อใจในพี่ห้าคนเดิมของฝ่าบาทด้วย”ชงไฉ่กรอกยาลงไปในลำคออย่างรวดเร็วเหมือนกลัวตัวเองจะเปลี่ยนใจ ต่อจากนั้นบังเกิดความปั่นป่วนจนแทบทนไม่ไหว สมองเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ใช้มือกุมศีรษะจนล้มลงทั้งยืนความทรงจำเก่าใหม่วิ่งแล่นอยู่ในหัว ฮุยโม๋สกัดจุดให้ชงไฉ่คลายความเจ็บปวดทรมาน ชิงซาช่วยพยุงตัวชงไฉ่ยังแท่นบรรทม“ตามหมอหลวงชิงซา ปกปิดการกลับมาของข้าเสียด้วย ต่อแต่นี้ให้เจ้าเรียกข้าว่าฟู่โม๋จนกว่าทุกอย่างจะคลี่คลาย บอกกล่าวแก่ทุกคนแค่เพียงฝ่าบาทร่างกายอ่อนเพลียต้องการพักผ่อนและยาบำรุง” ชิงซารับคำโดยดี รีบรุดออกไปตามหมอหลวง“พระชายาฝ่าบาททรงพระประชวร”“ดีอย่างน้อยตอนนี้เราก็ยังมีเวลาจัดการกับนางงูพิษ หยู่เยียน ก่อนที่ฝ่าบาทจะแต่งตั้งให้นางเป็นสนม”“พระชายา ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องทรงไป ดูแลฝ่าบาท” หยู่เยียน เดินนวยนาดใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตาเข้ามาคุกเข่าเบื้องหน้า
“แต่เราสองคนก็สมควรจะกลับได้แล้ว” ชงไฉ่ทำหน้าเสียดาย“เวลาความสุขมักผ่านไปเร็วเหลือเกิน” เขานึกถึงเยว่ฉีและกงกงหากรู้ว่าเขาปรารถนาเลี่ยงเฟิ่งมาเคียงข้างคนทั้งสองจะจัดการเลี่ยงเฟิ่ง อย่างที่เขาต้องไม่ให้อภัยแน่นอน ตอนนี้ทำอย่างไรถึงจะปกป้องเลี่ยงเฟิ่งรอให้เขาจัดการทุกอย่างตามที่เขาสงสัยเกี่ยวกับอำนาจในมือของกงกงเฒ่า ให้ผ่านไปเสียก่อนเมื่อนั้นจะต้องชดเชยให้เลี่ยงเฟิ่งตอนนี้เขาไปอาจให้นาง เป็นเนื้อหน้าเขียงรอให้ทุกอย่างจบลง เมื่อนั้นเขาจะทำได้อย่างที่ใจต้องการผุดลุกขึ้นอุ้มร่างบางส่งขึ้นบนหลังม้า กระโดดขึ้นไปนั่งคร่อมด้านหลังใช้คางเกยไหล่สวยควบม้าทะยานกลับไปทางเดิมที่ผ่านมา สองข้างทางช่างน่ารื่นรมย์เมื่อคนที่เคียงข้างเป็นคนที่รักหมดหัวใจชิงซา วิ่งถลาเข้ามาทันทีเมื่อเห็นม้าที่ทั้งสองเยาะย่างมาที่คอกม้า“ฝ่าบาท พระองค์ต้องไม่เชื่อ แน่ๆ” ชงไฉ่ยิ้มไม่ได้ตื่นเต้นกับเรื่องที่ชิงซาพูดเนื่องจากเขากำลังอารมณ์ดี ส่งมือให้เลี่ยงเฟิ่งก่อนจะดึงตัวนางลงจากหลังม้าสู่อ้อมกอด“มีอะไรว่ามาชิงซา”“องค์ชายห้า ฮุยโม๋กลับมาแล้ว” ชงไฉ่ชะงัก“พี่ห้า เขายไปแล้ว”“ฝ่าบาทองค์ชายห้ารอฝ่าบาทที่ ตำหนักของพระองค์”
ชงไฉ่เผลอไผลเรียกชื่อที่เขาลืมไปแสนนาน ความทรงจำบางอย่างหวนคืนมาร่างบางในอ้อมแขนใบหน้าสวยหวานในอาภรณ์บุรุษ เลี่ยงเฟิ่งไม่มีอาการว่าจะสะดุ้งตกใจอาการบอกว่ารักและใคร่ล้วนมาจากใจของบุรุษที่ใช้ร่างกายของเขาส่งผ่านความรู้สึกหลากหลายไม่ว่าจะเป็นรักหรือปรารถนาร่างแข็งแรงยังกอดประคองอยู่อย่างนั้นไม่ปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระง่ายๆ เลี่ยงเฟิ่งซุกใบหน้านวลลงบนแผ่นอกเปล่าเปลือยทว่าเต็มไปด้วยมัดกล้าม“น้ำตามากมายไหลเรื่อย เป็นความตื้นตันใจหรือความรู้สึกเป็นสุข ชงไฉ่ยกมือเรียวเช็ดน้ำตาที่แก้มของเลี่ยงเฟิ่ง“เจ้า ถึงกับมีน้ำตาเสียใจหรืออย่างไร ที่ร่างกายของเจ้าเป็นของข้า” เลี่ยงเฟิ่งยังคงนิ่ง ชงไฉ่บรรจงจุมพิตที่หน้าผากเนียน“เลี่ยงเฟิ่ง ข้า...รักเจ้าอย่างที่ไม่อาจรักใครได้ไม่รู้ด้วยเหตุใด หากเจ้ามีคำตอบช่วยบอกข้าที” ดึงผ้าบางเบาที่ถูกดึงทึ้งยามที่อารมณ์ปรารถนา ครุกรุ่นให้เข้าที่เข้าทางปกปิดร่างอรชรที่ยังอยู่ในอ้อมแขน“ฝ่าบาท ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุใด ฝ่าบาทถึงรักเลี่ยงเฟิ่งหรืออาจเป็นเพียงคำพูดเมื่อเลี่ยงเฟิ่งอยู่ในอ้อมแขนเหมือนที่พระชายาเคยได้ยินคำกล่าวนี้มาแล้ว”“เจ้าไม่เชื่อข้า ทำเช่นไรเลี่ยงเฟิ่ง
เลี่ยงเฟิ่ง ไปยังคอกม้า กระโดดขึ้นหลังม้ากระตุกบังเหียนให้ทะยานออกสู่ประตูเมืองป้ายหยกถูกยื่นส่งให้ทหารยามดู ก่อนจะมุ่งไปยังทุ่งกว้างเมื่อมาถึงจุดหมาย เลี่ยงเฟิ่งปล่อยม้าเยาะย่างเลาะเล็มหญ้าส่วนตัวนางใช้ความคิดกับบางเรื่องภาพความทรงจำเก่าๆ ไหลเรื่อยออกมาจากหัวเมื่อม้าหนุ่มตัวหนึ่งพุ่งตรงเข้าใส่จิวซินชงไฉ่คว้าร่างบางมากอดไว้ริมฝีปากอุ่นประทับลงบนริมฝีปากของจิวซินเลี่ยงเฟิ่งยกมือขึ้นลูบไล้ริมฝีปากตัวเอง ด้านหลังเสียงมาวิ่งเข้ามาใกล้เลี่ยงเฟิ่งหันกลับไปมอง ชงไฉ่ทวงทีสง่างามบนหลังม้าจ้องมองมายังเลี่ยงเฟิ่ง“ไหนเจ้าบอกว่าเจ้าแต่เดิมไม่นิยมขี่ม้า” เป็นคำพูดของชงไฉ่ที่เคยพูดไว้กับจิวซิน (ตอนสติสัมปชัญญะถูกความรักบดบัง) ชงไฉ่นึกประหลาดใจว่าเขาเคยพูดคุยเรื่องม้ากับเลี่ยงเฟิ่งหรือไม่“ฟู่โม๋เป็นคนสอน” ชงไฉ่ขมวดคิ้วใบหน้าหล่อเหลา งุนงง“ใครกัน”“ฟู่โม๋ เขาเป็นเพียงบุรุษพเนจรไร้ที่พักพิง อาศัยความเป็นสหายกับฮุยเจินจึงสามารถอาศัยอยู่ที่เหอตงหยวนได้นานหน่อยจึงตอบแทนฮุยเจินหลายเรื่องรวมทั้งสอนข้าขี่ม้า”“เจ้าชื่นชมเขาเหลือเกิน” รู้สึกอิจฉาฟู่โม๋คนนั้น“ฟู่โม๋ไม่เคยขัดใจไม่เคยทำให้ต้องเสียใจ” ชงไฉ่ห
“หม่อมฉันไม่รู้สึกคุ้นเคยใดใด” เลี่ยงเฟิ่งตอบทั้งที่ใจคอก็รู้สึกหวั่นไหวเช่นกัน“ช่างเถอะปล่อยให้ข้าเป็นไปแค่ฝ่ายเดียวอย่างนี้ก็ดีแล้วเจ้าจะได้ไม่ต้องกังวล อย่างไรเสียข้าก็ไม่อาจฝืนใจเจ้าอยู่ดี” บ้างอย่างเหมือนเคยรู้สึกมาก่อนแล้ว หยู่เยียนยืนแอบฟังอยู่ด้านหลังประตูเงียบๆ จดจำทุกคำพูด“เราจะเคยคุ้นเคยกันได้อย่างไรเล่าฝ่าบาทในเมื่อเลี่ยงเฟิ่ง....เพิ่งจะเคยมาที่นี่”“ไม่สิเลี่ยงเฟิ่ง บางครั้งการได้พบก็เหมือนกับการไม่ได้พบ”“เลี่ยงเฟิ่งไม่เข้าใจ” เลี่ยงเฟิ่งแสร้งทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่ชงไฉ่พูด“จิตใจ ของข้าตอนนี้...ไม่บอกเจ้าคงทำให้ร้อนรุ่มเลี่ยงเฟิ่งข้า...ข้าจะบอกเจ้าอย่างไรดี” ผุดลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเลี่ยงเฟิ่งด้วยใจปรารถนา“ฝ่าบาท พระชายา หมดสติ” เสียงของนางกำนัลข้างกายของเยว่ฉี ชงไฉ่ชะงัก“เลี่ยงเฟิ่ง ข้าไว้คราวหน้าหวังว่าเจ้าจะฟังข้า” ออกจากห้องไปทันทีเลี่ยงเฟิ่งทรุดกายลงบนเก้าอี้เขี่ย เห็ดหอมไปมายิ้มหยันให้กับตัวเอง ทันใดนั้นเองน้ำตาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนกับไหลโดยไม่รู้ตัว เลี่ยงเฟิ่งรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นว่าเหมือนกับถูกแย่งชิงสิ่งของที่รักไป และไม่อาจทวงคืนกลับมาได้ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมร
“หากเจ้าอยากจะเป็นใหญ่จิตใจต้องเด็ดเดี่ยวกล้าตัดสินใจในเรื่องที่เป็นเสี้ยนหนาม ตัดรากถอนโคนให้สิ้นไปในคราวเดียว” คำพูดที่เหมือนจะตรอกย้ำความคิดภายในใจของเยว่ฉี“เยว่ฉีลาพ่อบุญธรรมไว้คราวหน้าเยว่ฉี จะมาคารวะพ่อบุญธรรมอีกที” กงกงยิ้มหันหลังให้เยว่ฉีเพราะรู้ดีว่าอย่างไรเสียนางก็ไม่ต่างจากเขานักเรื่องจิตใจที่เด็ดเดี่ยว“พระชายา” สาวใช้ที่รออยู่ข้างหน้ารีบมาขว้างไว้เพราะรู้อารมณ์ของเยว่ฉีดีว่าจะทำให้เสียเรื่อง“นำข้าไปห้องเครื่องเดี๋ยวนี้”“พระชายาหากทำเช่นนั้น ฝ่าบาทอาจไม่พอใจพระชายา เชื่อหม่อมฉันเรามีอีกหลายวิธีที่กำจัดนางให้พ้นทาง” เยว่ฉีชะงักใคร่ครวญก่อนจะหันหน้าเดินไปยังตำหนักใหญ่รอชงไฉ่อยู่ที่นั่นด้วยความอดทนและคิดแผนการที่จะกำจัดห้องเครื่องนาม เลี่ยงเฟิ่ง“เจ้าลองไปสืบดูว่านางน่าตานิสัยใจคอเป็นเช่นไร”“น้อมรับคำสั่งพระชายาแต่ ข้าน้อยกลัวว่า จะมีคนรู้สู้เราส่งคนของเรา คอยส่งข่าว”“นางอยู่เพียงลำพังไม่มีสาวใช้”“อย่างนั้นถือว่าเป็นโอกาสทองของเรา” เยว่ฉียิ้มเสียงโวยวายด่าทอพร้อมกับเสียงสะอื้นของสาวน้อยหน้าตาหมดจดที่ดังเล็ดลอดเข้าไปภายในห้องที่เลี่ยงเฟิ่งกำลังเตรียมวัตถุดิบสำหรับเช้าอี
เมื่ออยู่สองต่อสองเลี่ยงเฟิ่งแกล้งเฉไฉมองไปทางอื่นขณะที่ฝ่าบาทจ้องคนสวยตาไม่กระพริบมือกุมถ้วยชาแต่ใจอยู่กับคนชงชา“ฮุยเจินบอกข้าเรื่องจุดประสงค์” เลี่ยงเฟิ่งเบิกตากลมโตหันมาสนใจคนพูด“เรื่องไหนเพคะฝ่าบาท”“เรื่องที่เจ้าควบคุมดูแลเกี่ยวกับการค้าขายและการส่งสินค้าไปยังต่างแคว้น เพื่อแบ่งเบาฮุยเจิน เหอตงหยวนนับว่ามีทรัพยากรมากมาย ทั้งของกินของใช้ใน ฮุยเจินบอกข้าว่าเมื่อเจ้าดูแลด้านการจัดส่งสินค้าจึงอยากที่จะส่งสินค้าเกี่ยวกับอาหารของเหอตงหยวนมายังไห่ตงหยวน”“เลี่ยงเฟิ่งเพียงแค่อยากให้ผู้คนรู้จักอาหารเลิศรสของเหอตงหยวนที่มีมากมายเหลือเกิน ของบางอย่างมีเพียงแค่เดินทางไปยังเหอตงหยวนเท่านั้นที่จะสามารถลิ้มรส มันได้”“หากเจ้าตั้งใจจริง เช่นนั้นข้าส่งเสริมเจ้า”“เลี่ยงเฟิ่งต้องการ เปิดร้านค้าส่งวัตถุดิบหายากของเหอตงหยวนที่นี่ เพราะเหอตงหยวนและไห่ตงหยวนไปมาหาสู่ราษฎรของเหอตงหยวนย้ายถิ่นฐานมาที่นี่ก็เยอะ บางครั้งคิดถึงบ้านเพียงแค่ได้ลิ้มรสอาหารที่หากินได้ต่ในเหอตงหยวน ย่อมทำให้คลายความคิดถึงลงได้”“เจ้าช่าง นึกถึงผู้อื่นได้ถึงเพียงนี้ เจ้ามีสิ่งใดให้ช่วยวานบอกมา” ความรู้สึกดีๆ ได้ก่อตัวขึ้นในหัว
“นาง มาจากตระกูลใด หรือเป็นลูกของขุนนางของเหอตงหยวนคนใด” เยว่ฉีอดใจไว้ไม่ได้ฮุยเจินนิ่วหน้าคิดไม่ถึงว่าเยว่ฉีจะกล้าสอบหาที่มาที่ไป“เลี่ยงเฟิ่งนาง ที่มาที่ไปไม่ชัดเจนข้าพบนางนอนสลบไสลอยู่ตอนออกไปล่าสัตว์ เมื่อคราวฤดูกาลล่าสัตว์ของเหอตงหยวน” ชงไฉ่ทำท่าทางครุ่นคิด“ข้าอยากพบนางสักครั้ง”“อย่าเลยพระชายา นางไม่ค่อยสมประกอบอีกทั้งวาจาป่าเถื่อนหยาบกระด้าง ตามประสาคนนอกด่านอบรมสั่งสอนก็เคยจะเชื่อฟัง ไม่เชื่อท่านลองถาม เสด็จพี่ฮ่องเต้ดูก็ได้ เมื่อวานเขาเพิ่งถูกนางใช้วาจาเชือดเฉือน หากพบนาง เกรงว่าจะทำให้พระชายาขุ่นเคืองใจกับกิริยาของนางเสียเปล่า” ชงไฉ่สะดุ้งที่โดนโยนเผือกร้อนเข้าใส่“เอาไว้คราวหน้าหากเจ้าอยากพบนาง ข้าจะอนุญาต แต่หากพบนางแล้วเจ้าคงไม่อาจถือสานาง เจ้าอยู่สูงกว่าหญิงทั้งปวงอย่าได้ลดตัวเข้าไปเสวนากับคนป่าเถื่อนเช่นห้องเครื่องธรรมดาคนหนึ่งเลย” คำพูดโอ้โลมของชงไฉ่ได้ผลทำเอาเยว่ฉียิ้มจนแก้มแทบฉีก ฮุยเจินยิ้มมีชัยคิดไม่ผิดว่าชงไฉ่ต้องรู้สึกอยากปกป้องเลี่ยงเฟิ่ง“หากฝ่าบาทเห็นสมควรว่าเยว่ฉีไม่พบนางเยว่ฉีก็ไม่ฝืนบัญชาฝ่าบาทเพค่ะ” ชงไฉ่เอื้อมมือตบมือเยว่ฉีเบาๆ“เยว่ฉีเจ้าช่างวางตัวได้เ
“คืนนี้ อากาศค่อนข้างหนาวเลี่ยงเฟิ่งจะจัดถวายเป็นเครื่องเสวยยาม เฉิน (07.00-08.59) หรือยามซวี (19.00-20.59) เพื่อให้ได้ผลดี” ชงไฉ่พยักหน้าทำท่าทางเชื่อถือ“ดี เช่นนั้นข้าจะรอ ..เจ้าไปนอนเถิด” เหลือบตามองนกยวนยาง บนพื้นน้ำเดียวดายเลี่ยงเฟิ่งย่อตัว“สิ่งนี้ นำพาข้ามาที่นี่” ยกผอบที่มีกลิ่นหอมรัญจวนใจจากไปทันที เลี่ยงเฟิ่งยกชามใส่ไก่และเป็ดหมักไปเก็บ เดินมาทิ้งตัวลงนอน บนแท่นนอน ภาพชวนระทึกใจเมื่ออกนุ่มเบียดอยู่กับอกกว้างกลิ่นเครื่องหอมรัญจวนใจ กับบรรยากาศแบบนั้นเลี่ยงเฟิ่งข่มตานอน ชงไฉ่เองทิ้งตัวลงนอนหลังจากที่วางผอบไว้บนแท่นกำยานบนหัวเตียงหลับตาเป็นสุขใจความรู้สึกเหมือนมีอะไรสว่างสดใสรออยู่เบื้องหน้าในฝันนั้นลูกดอกจากคันธนูของใครบางคน พุ่งเข้าสู่จุดหมายเล็กๆ บนเป้าที่อยู่ไกลออกไปอย่างแม่นยำทว่ากลับมองไม่เห็นใบหน้า คนเบื้องหลังคันธนูคนนั้นภาพเดียวกันนี้ถูกซ้อนทับด้วยเลี่ยงเฟิ่งในอาภรณ์บุรุษงดงามกับคันธนูที่โค้งงอ ชงไฉ่มองอยู่ตรงนั้นภาพนี้เขาเคยเห็นมันมาแล้วอย่างแน่นอน สะดุ้งสุดตัวตื่นขึ้นเมื่อแขนข้างที่กอดอยู่กับเป็นแขนบอบบางของเยว่ฉี ชงไฉ่เผลอยกแขนของเยว่ฉีออกจากอกของตัวเอง“ฝ่าบาท”