공유

หญิงอัปลักษณ์เช่นข้าขอเกิดเป็นปลาเค็มดีกว่าเป็นภริยาของท่าน
หญิงอัปลักษณ์เช่นข้าขอเกิดเป็นปลาเค็มดีกว่าเป็นภริยาของท่าน
작가: เฟยหรง

บทที่ 1 ลี่หลินเชฟฝึกหัดแห่งหางโจว

last update 최신 업데이트: 2025-04-03 15:29:44

เมืองหางโจว

ภายในมหาวิทยาลัยชั้นนำของเมืองหางโจว มีกลุ่มนักศึกษาต่างพากันปั่นจักรยานไปเรียนในตอนเช้าซึ่งเป็นฤดูใบไม้ร่วง ต้นไม้ข้างทางจึงพากันผลัดเปลี่ยนสีของใบจากเขียวกลายเป็นส้มบ้างแดงบ้าง

ลมหนาวเริ่มมาเยือนปะทะใบหน้าอ่อนหวานของหญิงสาววัยยี่สิบปีนักศึกษาคณะคหกรรม ซึ่งวันนี้เธอแต่งกายด้วยเสื้อไหมพรมพร้อมพับผ้าพันคอไว้โดยสวมกางเกงขายาวเพื่อให้ร่างกายได้อุ่นขึ้น

ลี่หลินกำลังปั่นจักรยานไปยังอาคารเรียนที่อยู่ไกลจากหอพัก ด้วยความมีนักศึกษาเป็นจำนวนมากจึงต้องแย่งกันในทุกย่างก้าวเพื่อจะได้ไปให้ถึงตามเวลา เพราะการเป็นเชฟต้องรักษาเวลาให้เป็นอย่างดี ช้าเพียงเสี้ยววินาทีเดียวอาหารเลิศรสอาจเปลี่ยนรสชาติไปได้

สาวผมยาวทรงสละสลวยยามโต้ลมทำให้พลิ้วไหวและดูสวยงามราวกับเส้นของขนมไหมฟ้า ลี่หลินโดดเด่นด้วยหน้าตาและคำพูดคำจาที่ดูฉลาดเฉลียว ทว่าเธอยังไม่เคยต้องมือชายเลยสักครั้ง ซึ่งใคร ๆ ก็ว่าเธออาภัพ แต่ลี่หลินไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น

“มาเร็วลี่หลิน” เสียงเรียกของเพื่อนตาเฉี่ยวชั้นเดียวสวมแว่นสายตาผมสั้นประบ่ากำลังโบกมือเรียกเธอจากใต้อาคารเรียนสูงหลายชั้น

ลี่หลินจึงเร่งถีบจักรยานไปให้ถึงที่จอด แล้ววิ่งไปหาเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเธอซึ่งมีนามว่าปิงปิง

“มาแล้ว ๆ” ลี่หลินวิ่งไปหอบไปก่อนยืนตรงและยิ้มกว้างให้เพื่อน

“อีกห้านาที” ปิงปิงยกนาฬิกาที่ข้อมือมาดู ก่อนคว้ามือเพื่อนแล้วพากันวิ่งไปบนอาคาร หากจะรอลิฟต์ก็คงไม่ทัน เพราะเหล่านักศึกษาหลายสิบคนกำลังยืนออกันอยู่ที่ตรงนั้น สองสาวจึงใช้แรงกำลังของตัวเองที่มีวิ่งขึ้นไปยังชั้นห้าของอาคาร

“แฮ่ก ทำไมฉันต้องมาวิ่งทุกเช้าด้วย” ลี่หลินอดไม่ได้ที่จะบ่น

“เถอะน่า เพื่อเช้าวันใหม่ที่สดใส” ปิงปิงเสียงแหบกว่าเพื่อนพูดพร้อมตบไหล่เบา ๆ ก่อนยืนหอบเมื่อเท้าพ้นบันไดขั้นสุดท้ายซึ่งอยู่หน้าห้องปฏิบัติการพอดี

สองสาวจึงรีบพากันเข้าไปในห้องซึ่งจำลองครัวขนาดใหญ่ไว้ในนั้น มีเครื่องครัว อุปกรณ์ครบครัน ทั้งยังมีวัตถุดิบสดใหม่หลากหลายชนิดให้เลือกสรรราวกับเป็นห้องเครื่องในวังก็ไม่ปาน

“โชคดีนะที่มาทัน” ปิงปิงพูด พร้อมเก็บกระเป๋าเข้าที่ ในขณะที่ลี่หลินกำลังถอดเสื้อไหมพรมตัวนอกออกจึงเผยให้เห็นชุดเชฟสีขาวด้านใน

พวกเพื่อนคนอื่นในชั้นเรียนก็ต่างพากันกรูเข้ามาภายในห้องไม่ต่างกัน จนเดินมาชนลี่หลินเข้า

“ยืนเกะกะอยู่ได้” แน่นอนว่าลี่หลินมักถูกกระทำเช่นนี้อยู่บ่อย ๆ ซึ่งเธอรู้สึกชินและชาจึงไม่ได้โต้ตอบอะไรไป

“ไม่มีตาหรือไง” แต่ปิงปิงที่ไม่เคยยอมใครโต้ตอบกลับให้แทน

“ไม่เอาน่าปิงปิง รีบแต่งตัวเถอะ” ลี่หลินไม่อยากเสียเวลาชีวิต เธอจึงห้ามเพื่อนและจัดหมวกเชฟให้

“มา ๆ ได้เวลาแล้ว”

เสียงดุดันทุ้มต่ำอย่างคนมีอายุดึงเหล่าเชฟฝึกหัดให้หันไปมองและยืนสงบนิ่ง อาจารย์เฉิงคือผู้ดูแลในวิชานี้ เขาเป็นเชฟมือทองในโรงแรมระดับห้าดาวที่ได้รับการันตีมากมาย จากประสบการณ์จับกระทะเหล็กมานับยี่สิบกว่าปี ทั้งยังเชี่ยวชาญเรื่องการใช้มีดเป็นอย่างมากจนใคร ๆ ก็เรียกว่าท่านเซียนเฉิง

“วันนี้จะทำอะไรคะอาจารย์” เพื่อนคนหนึ่งถาม ท่าทางร้อนวิชาซะจนออกนอกหน้า

“ปลาต้มผักกาดดอง”

เสียงอื้ออึงดังขึ้นเมื่ออาจารย์ได้บอกออกมา แค่ต้มปลาที่มีวัตถุดิบไม่กี่อย่างซึ่งเห็นได้ทั่วไปในหางโจว แน่นอนว่าทุกครัวเรือนย่อมเคยได้ทำเมนูนี้

“แค่ปลาต้มผักกาดดองนี่นะ อาจารย์เฉิงเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นเถอะค่ะ” ปิงปิงพูดปนผิดหวัง คิดว่าจะได้เรียนทำอาหารเมนูที่ดูอลังการและยากกว่านี้

“มันไม่ใช่แค่ต้มปลา” อาจารย์เฉิงพูดพร้อมกวาดสายตามองนักศึกษา โดยเอามือไขว้หลังก่อนเดินจงกลมเล่าเรื่องราวเป็นมาของเมนูนี้

“อาหารประจำถิ่นของเสฉวนที่ดูเหมือนจะทำง่าย แต่แท้จริงแล้วต้องอาศัยความชำนาญในการทำปลาเป็นอย่างมาก ซุปเข้มข้นกลมกล่อมต้องมีทั้งสัมผัสของปลาเนื้อขาวนุ่มเด้งแต่พอเคี้ยวกลับเหมือนกินปุยเมฆ กลิ่นของผักกาดดองต้องติดปลายจมูก และเผ็ดชาปลายลิ้น...”

“อาจารย์เขากำลังท่องกวีอะไรหรือเปล่า” ลี่หลินยกมือป้องปากขยับเอนศีรษะไปใกล้หูของเพื่อน

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ปิงปิงมองอาจารย์ด้วยคิ้วขมวด

“ไหน ๆ เมนูนี้ทุกคนก็คุ้นชินกันอยู่แล้ว อาจารย์จะทำมันเพียงครั้งเดียวให้พวกเธอชิม ใครทำได้ใกล้เคียงสุด ก็เอาคะแนนเต็มไป”

“ครับ/ค่ะ อาจารย์”

เหล่าเชฟฝึกหัดพากันกรูเข้ามาล้อมวงอาจารย์โดยที่ในมือถือสมุดกับปากกาไว้เตรียมจด ลี่หลินยืนมองและเก็บรายละเอียดในทุกกระบวนการของอาจารย์เฉิน ตั้งแต่การถอดเกล็ด แล่ปลาเป็นชิ้น การต้มน้ำ และผักกาดดองที่เตรียมใส่ลงไป

อาจารย์เฉินทำอย่างขะมักเขม้นและรวดเร็วจนแทบมองไม่ทัน ราวกับเป็นมายากลเสกทุกอย่างให้ง่ายดายไม่ทันไรปลาต้มผักกาดก็เสร็จได้ภายในไม่กี่นาที

ถ้วยกระเบื้องขนาดใหญ่เกือบเท่ากะละมังถูกวางอยู่ตรงหน้านักศึกษาที่รุมล้อม กลิ่นของปลาต้มผักกาดกำลังส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย แต่นั่นยังไม่เสร็จซะทีเดียว อาจารย์เฉินได้ตั้งกระทะใส่น้ำมันสีเหลืองทองให้ร้อนพร้อมคั่วพริกขิงเม็ดกระเทียมก่อนตักน้ำมันเจียวมาราดปลาต้มผักกาด

“หือ หอมกว่าเดิมมาก” นักเรียนต่างพากันพูด

“ลองชิมกันดู แล้วลงมือทำได้เลย” อาจารย์เฉินอนุญาตแล้ว นักศึกษาจึงต่างแย่งกันชิม เพื่อรีบกลับไปทำปลาต้มผักกาดของตัวเอง

ลี่หลินชิมอย่างละเมียดให้ลิ้นรู้รสชาติโดยเริ่มจากการชิมน้ำซุปสีข้นซึ่งรับรู้ได้ทั้งสี่รส ทั้งเค็ม เปรี้ยว เผ็ด และ หวานจากเนื้อปลา เธอค่อย ๆ เคี้ยวและวิเคราะห์รสชาติให้แน่ใจ เมื่อจดจำได้จึงมายืนอยู่หน้าเตา เชฟฝึกหัดพร้อมแล้วกับการประลองฝีมือในครั้งนี้

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • หญิงอัปลักษณ์เช่นข้าขอเกิดเป็นปลาเค็มดีกว่าเป็นภริยาของท่าน   บทที่ 37 หญิงอันเป็นที่รัก

    เช้าวันต่อมาร่างอรชรเปลือยเปล่าอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาถูกวงแขนของชายอันเป็นที่รักสวมกอดไว้อย่างหลวม ๆ เมื่อคืนจางเหว่ยได้พิสูจน์แล้วว่าเขามิได้อ่อนหัดอย่างที่สตรีผู้น้อยดูถูกไว้ เขาทำให้ฟู่ฟู่หมดแรงจนยังมิลืมตา ชายเปลือยเปล่าบนเตียงจึงค่อย ๆ ขยับกาย พลางหอมไหล่มนอย่างแผ่วเบาด้วยความทะนุถนอม ต่อจากนี้จางเหว่ยต้องดูแลฟู่ฟู่ในฐานะภรรยาอันเป็นที่รักสมใจปรารถนา“อื้ม” เสียงครางเบา ๆ เอ่ย เมื่อถูกรบกวน ฟู่ฟู่ค่อย ๆ ลืมตาเพื่อรับแสงเช้าวันใหม่ แต่พอจักขยับกายกลับรู้สึกเจ็บระบมพลันทำหน้าเหยเก“เจ็บมากรึไม่ ข้าควรถนอมเจ้ามากกว่านี้” จางเหว่ยได้พรากพรหมจรรย์ไปจากนาง ร่องรอยบนเตียงยังหลงเหลือไว้ เขามิควรกระทำกับนางรุนแรงเกินไปนัก แต่อารมณ์กำหนัดทำให้บุรุษผู้นี้ขาดความยับยั้งชั่งใจ“มิเป็นอันใดดอก” ฟู่ฟู่เหนียมอายพลันหลบสายตาสามีหมาด ๆ“หญิงอันเป็นที่รักของข้า เจ้าพักผ่อนเถิดข้าจักไปหาข้าวมาให้เจ้ากิน”จางเหว่ยดึงผ้าห่มคลุมกายนางไว้เช่นเคยพลางลูบศีรษะเบา ๆ แล้วลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนเดินออกไปร่างสูงเดินเข้าไปในครัวก็พบกับมารดาซึ่งกำลังทำความสะอาดเหมือนเช่นทุกวัน จางเหว่ยชั่งใจอยู่มิน้อยก

  • หญิงอัปลักษณ์เช่นข้าขอเกิดเป็นปลาเค็มดีกว่าเป็นภริยาของท่าน   บทที่ 36 ถวิลหา

    “ทหารทั้งหลายโปรดฟังข้า ที่พวกเราได้มาประจำการอยู่ในที่แห่งนี้ เพราะข่าวลือเรื่องก่อกบฏที่มีอยู่หนาหู จนระคายถึงเมืองหลวง ข้าแม่ทัพใหญ่นามว่ามู่หยางจึงขอสั่งการพวกเจ้าให้ผลัดเปลี่ยนกันตั้งเวรยาม และเร่งสร้างป้อมปราการชั่วคราวให้เสร็จโดยไว และแบ่งคนที่เหลือหากลุ่มก่อกบฏให้เจอโดยไว หากปราบได้สิ้นซากเร็วเมื่อใดฮ่องเต้จักตบรางวัลให้พวกเจ้าอย่างงาม”เฮ!สิ้นเสียงของท่านแม่ทัพผู้ทรงอำนาจ เหล่าพลทหารต่างพากันร้องเฮเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ ก่อนตบเท้าแยกย้ายกันไปทำงานในส่วนที่ต้องรับผิดชอบ ส่วนมู่หยางซึ่งใส่ชุดทหารเต็มยศได้เดินขึงขังเข้ามายังกระโจมเพื่อประชุมวางกลยุทธ์ต่อเขามิรู้ว่าพวกก่อกบฏคือผู้ใดในดินแดนเขาเหลียงซานที่แยกเป็นเหล่าเป็นก๊ก คราวแรกตั้งใจจักปลอมตัวมาเป็นบุรุษธรรมดา แต่ทางการมิเห็นดีเห็นงามด้วย ยิ่งทำตัวประเจิดประเจ้อเช่นนี้พวกก่อการกบฏคงได้เตรียมตั้งรับและระวังตัวกันกวดขันมากกว่าเดิม ท่านแม่ทัพมิได้เกรงกลัวผู้ใดนัก เพียงแต่เขาอยากเสร็จงานราชการให้โดยไวจักได้รีบกลับไปเรือนตระกูลกู้เท่านั้นเอง“สีหน้าท่านแม่ทัพเคร่งเครียดยิ่งนัก” รองแม่ทัพฝ่ายซ้ายเห็นมู่หยางซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจ

  • หญิงอัปลักษณ์เช่นข้าขอเกิดเป็นปลาเค็มดีกว่าเป็นภริยาของท่าน   บทที่ 35 ภัยที่กำลังคืบคลานเข้ามา

    เขาเหลียงซานดินแดนอันห่างไกลสตรีผู้น้อยได้มาอาศัยอยู่ที่แห่งนี้ก็นานพอควร จากที่มิเคยหยิบจับทำงานบ้านนางก็เรียนรู้วิชาจากมารดาใบ้ของจางเหว่ยจนเป็นที่รักใคร่ และเหมือนเป็นหนึ่งในครอบครัวของจางเหว่ยไปซะแล้วฟู่ฟู่สวมชุดเก่าโทรม ๆ ที่ถูกย้อมสีจากเปลือกไม้ นางกำลังขะมักเขม้นหาจับปลาที่ธารน้ำไหลสูงเพียงเข่า โดยใช้ปลายไม้ไผ่ที่ถูกเหลาจนแหลมพุ่งใส่ปลาในน้ำ แต่ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยังไม่ได้ปลาสักทีจางเหว่ยเดินกลับมาจากการหาของป่าได้เข้ามาเห็นเข้า เขาจึงย่องเบาไม่ให้นางรู้ตัวแล้วแอบมองคนตั้งใจหาปลาด้วยสีหน้าจริงจังอย่างนึกเอ็นดูจ๋อม...“เจ้าปลาเอ๋ย โปรดเห็นใจข้าด้วย” ฟู่ฟู่ยกมืออ้อนวอน ก่อนหยิบไม้ในน้ำขึ้นมาจับปลาต่อ น้ำใสและไหลเย็นปลาตัวใหญ่ไหว้วนไปมาอย่างล่อตาล่อใจ แต่ด้วยการหักเหของแสง จึงทำให้เห็นเป็นภาพลวงตาฟู่ฟู่จึงคาดคะเนผิดเพี้ยนไป นางจึงจับปลาไม่ได้สักตัว “ให้ข้าช่วยเจ้าดีรึไม่” “ว้าย! ท่าน”เสียงของบุรุษแว่วมาคนกำลังตั้งใจไปที่ปลาตัวใหญ่จึงตกใจเมื่อจู่ ๆ ได้ยินเสียง ฟู่ฟู่หันไปมองและเสียหลักจนหงายหลังตกน้ำอย่างน่าอายต่อหน้าบุรุษจางเหว่ยไม

  • หญิงอัปลักษณ์เช่นข้าขอเกิดเป็นปลาเค็มดีกว่าเป็นภริยาของท่าน   บทที่ 34 ท่านมีน้ำใจเกินไปแล้ว

    อากาศยามราตรีหนาวเหน็บเสียจนปวดกระดูก สองเท้าก้าวเดินไปตามทางโดยมีบุรุษรูปงามเดินข้างกาย แม้หญิงอัปลักษณ์จักมิอยากรับน้ำใจจากเซียวจ้าน แต่คนดื้อด้านก็ยังมิยอมปล่อยให้นางต้องเดินลำพังมิมีเสียงพูดใดเอ่ยออกมา มีเพียงเสียงฝีเท้าและเสียงลมพัดคอยให้รู้สึกไม่หวาดกลัว เมื่อต้องเดินไปตามตรอกซอกซอยเปลี่ยว หากเป็นผู้อื่นเหมยลี่คงนึกหวั่นกว่านี้ แต่มิรู้ทำไมนางถึงได้ไว้ใจบุรุษรูปงามที่เพิ่งเคยเจอเพียงไม่กี่หนในที่สุดเซียวจ้านได้เดินนำนางมาจนถึงโรงหมอ ซึ่งยามนี้ประตูด้านหน้าได้ปิดสนิท คบเพลิงที่ตั้งเอาไว้ได้ดับจนมอดเหลือแต่ขี้เถ้า“เจ้ามาช้าไปเสียแล้ว” น้ำเสียงลุ่มลึกเอ่ยแผ่วเบาราวกระซิบ“ข้าต้องทำเช่นไร ที่ใดพอจักมียาให้ข้าได้บ้าง”“เรือนของข้าพอจักมี หากเจ้า...”“มิได้ ข้ามิไปเรือนของคุณชายเซียวจ้านเป็นอันขาด”เหมยลี่จ้องนัยน์ตาคู่เฉี่ยว ก่อนขยับถอยครึ่งก้าวอย่างระวังตัว ด้วยเพราะมิอาจให้ผู้ใดมาเดือดร้อนกับนาง อีกทั้งเซียวจ้านยังเป็นสหายรักของท่านแม่ทัพ หญิงซึ่งเป็นสมบัติอันไร้ค่าของมู่หยาง ยิ่งมิควรเข้าใกล้บุรุษผู้ใด โดยเฉพาะคุณชายรูปงามท่านนี้“ข้ามิรู้ว่าเจ้าเป็นอันใดแม่นาง แต่เรือนของข้ามี

  • หญิงอัปลักษณ์เช่นข้าขอเกิดเป็นปลาเค็มดีกว่าเป็นภริยาของท่าน   บทที่ 33 ท่านช่างดื้อดึงนัก

    “มาแล้วเจ้าค่ะ” อู๋ท่งเดินมาพร้อมนางรับใช้คนสนิทของต้าเหนิงเหมยลี่ที่นั่งอยู่บนพื้นพลันมองใบหน้านางผู้นี้ ทว่ากลับหลบสายตากันเสียดื้อ ๆ“บอกท่านฮูหยินไปเสียว่าเจ้าได้มอบยาขวดนี้ให้หญิงอัปลักษณ์รึไม่” อู๋ท่งพูดอีกหน น้ำเสียงคล้ายข่มขู่ก็มิปาน“ขะ...มิได้มอบยาขวดใดให้นางเลยเจ้าค่ะ” หญิงผู้นี้พูดติด ๆ ขัด ๆ พร้อมก้มหน้าหลบสายตาเหมยลี่ที่จ้องกันอยู่“มิจริง เจ้าเป็นคนมอบให้ข้ากับมือ ไปถามแม่นางต้าเหนิงดูก็ได้ นางเป็นคนยื่นให้เจ้านำมาให้ข้าเองแท้ ๆ”“เจ้านี่ยังหน้าด้านกุเรื่องขึ้นมาอีกนะ จับนางไปโบยเสีย” ฮูหยินชิงชิงชี้หน้า“ไม่นะ ท่านฮูหยินข้ามิได้ขโมยนะเจ้าคะ เหตุใดท่านมิถามเอาความจริงจากแม่นางต้าเหนิงด้วยเล่า” เหมยลี่พยายามเรียกร้องความยุติธรรมที่นางมิได้กระทำ“เจ้ามีสิทธิ์อันใดเรียกร้องในเรือนข้า ต่อให้สะใภ้เอกของข้าบอกว่าเจ้ามิผิด แต่ข้ามิเชื่อดอกว่าหญิงอัปลักษณ์อย่างเจ้ามิใช่ขโมย”“ถึงหน้าตาของข้าจักอัปลักษณ์ แต่ข้ามิเคยทำเรื่องเช่นนี้” หยดน้ำตาไหลพรากมองสตรีสูงวัยอย่างขุ่นเคืองใจ“เจ้าจักบอกว่าเจ้าจิตใจสูงส่งงั้นรึ ฮ่า ๆ คนเยี่ยงเจ้าต่อให้บวชเป็นแม่ชีก็มิมีผู้ใดเลื่อมใสศรัทธาดอก” อ

  • หญิงอัปลักษณ์เช่นข้าขอเกิดเป็นปลาเค็มดีกว่าเป็นภริยาของท่าน   บทที่ 32 จับหัวขโมย

    รอยแผลบนกายยังพอทุเลาลงไปได้บ้าง เหมยลี่ไม่มีเวลามานั่งรักษาตัวเองได้อีกต่อไปเหตุเพราะนางเป็นเพียงแค่ผู้รับใช้ของเรือนตระกูลกู้ที่ยามนี้ต่างต้องช่วยกันทำความสะอาดเรือนเป็นการใหญ่ หญิงอัปลักษณ์ได้งานขัดถูที่ห้องอาบน้ำและต้องหามถังน้ำมาใส่ในอ่างหินให้เต็ม ซึ่งนับว่าหนักเอาการสำหรับหญิงร่างอรชรที่ต้องทำมันเพียงผู้เดียวเสื้อผ้าเปียกปอนไปด้วยน้ำที่สาดกระเซ็นและเหงื่อไหลจาการทำงานหนัก ร่างกายที่มีบาดแผลต้องกัดฟันสู้เพื่ออยู่ในเรือนนี้ต่อไปให้ได้ ในเมื่อเลือกที่จะสมอ้างเป็นบุตรสาวจากแคว้นอันแล้วนี่คือชะตาที่นางต้องก้มหัวยอมรับมันตึก ตึกเสียงรองเท้าของสตรีสูงศักดิ์ย่างกรายเข้ามา ต้าเหนิงชูคอเดินหลังตรงพร้องปรายตามองหาหญิงอัปลักษณ์โดยกำลังคิดหาวิธีกลั่นแกล้งโดยที่นางมิต้องเสียแรงลงมือเอง“แม่นางต้าเหนิง ข้าจวนขัดเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” เหมยลี่รีบลุกขึ้นมาก้มโค้งให้ นางคิดว่าสะใภ้เอกของตระกูลกู้ต้องการแช่น้ำในอ่างเป็นแน่“แผลของเจ้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง” นางเสแสร้งแกล้งถาม พลันแปรเปลี่ยนสีหน้าดูคล้ายว่าห่วงใย“ดีขึ้นบ้างเจ้าค่ะ”“เอายาไปให้นาง” ต้าเหนิงผินหน้าเล็กน้อยพร้อมบอกให้นางรับใช้คนสนิทยื่นขวดยา

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status