ตามความเข้าใจของถูซินเยว่ ระดับค่าครองชีพของหมู่บ้านต้าเย่นี้ เดือนหนึ่งก็น่าจะใช้เงินประมาณหนึ่งถึงสองตำลึง ตอนนี้เงินในกระเป๋าของเธอมีอยู่สามตำลึง นั่นก็หมายความว่าเธอมีค่าอาหารสามเดือนอยู่ในมือถูซินเยว่ตื่นเต้นเล็กน้อย เธอเดินไปที่แผงลอยพลางนึกว่าที่บ้านขาดอะไรบ้าง และถือโอกาสสังเกตดูว่าอะไรที่ขายดีและขายไม่ดีในตลาดเพราะเธอมีความคิดที่อยากจะรวย ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่อยากจะดูว่าอะไรบ้างที่พอจะเป็นช่องทางหาเงินได้หลังจากเดินวนไปหนึ่งรอบ ถูซินเยว่ก็ซื้อของใช้ประจำวันกลับมา เช่น น้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว และน้ำส้มสายชู โดยใช้เงินไปสองตำลึง จากนั้นก็ตั้งตารอคอยซูจื่อหังกลับมาอยู่ที่หน้าปากทางเข้าตลาดแต่ทว่า ถูซินเยว่ยังไม่ทันจะได้เห็นซูจื่อหังกลับมา ก็เจอเข้ากับบุคคลหนึ่งที่ไม่ได้เจอกันมานานถูหมิงซวนหลานสาวคนที่สองของบ้านตระกูลถู ซึ่งก็คือลูกพี่ลูกน้องของถูซินเยว่นั่นเองถูหมิงซวนเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอกับถูซินเยว่ที่นี่ เมื่อเห็นเธอนั่งยอง ๆ อยู่ที่หัวมุมตลาด ก็กลอกตาแล้วเดินถือตะกร้าผักในมือเข้าไปหา“ซินเยว่ เจ้ามาทำอะไรที่นี่” หญิงสาวยืนอยู่หน้าถูซินเยว่ ก้มมองดูเธอแม้ว่าถู
ครั้งแรกที่ถูซินเยว่พบซูจื่อหังก็รู้สึกว่าเขาช่างหล่อเหลา ใบหน้านั้นหากอยู่ในยุคนี้ก็คงจะมีแฟนคลับมากมายรุมล้อม แม้ว่าเธอจะยังไม่ได้เห็นผู้ชายทุกคนในหมู่บ้านละแวกนี้ แต่ถูซินเยว่มั่นใจว่าคงไม่มีใครหล่อกว่าสามีของตนอย่างแน่นอน!แต่แค่แอบเพ้อคนเดียวในใจก็พอแล้ว มาคุยโวโอ้อวดภูมิใจว่าซูจื่อหังหล่ออย่างนั้นอย่างนี้อยู่ฝ่ายเดียว แถมยังถูกเจ้าตัวเห็นเข้าอีก... ไม่ว่าถูซินเยว่จะหน้าหนาแค่ไหน ก็คงทนอับอายไม่ไหวกระแอมไอไปหนึ่งที ถูซินเยว่ก็พยายามยิ้มโง่ ๆ อย่างเอาใจ พูดขึ้นว่า "ท่านสามี....เอ่อ...ท่านพี่ซู ท่านกลับมาแล้ว""อืม"สิ่งที่ทำให้ถูซินเยว่ประหลาดใจก็คือ ซูจื่อหังมีสีหน้าเรียบเฉยอย่างมาก เขาเพียงพยักหน้าเบา ๆ เดินไปหาเธอแล้วถามว่า "ซื้อของครบแล้วหรือยัง?"“น่าจะครบแล้ว เจ้าลองดูสิ" ถูซินเยว่กำลังจะลุกขึ้นหยิบของที่วางอยู่ข้างหลังขึ้นมา คาดไม่ถึงว่าเธอจะนั่งนานจนขาชา ลองแล้วแต่ก็พบว่าเธอไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้เลยเมื่อเห็นว่าซูจื่อหังยังคงยืนมองเธออยู่ตรงหน้า แต่ขาของเธอกลับรู้สึกเหมือนกำลังโดนมดรุมกัด เจ็บแปลบ ๆ ถูซินเยว่ก็พูดขึ้นอย่างรู้สึกเสียหน้า "เดี๋ยวก่อนนะ เหมือนขาข้าจะรู้
ถูซินเยว่มุมปากกระตุก ชมแบบนี้ไม่ต้องชมดีกว่ามั้ง ฟังดูแปลก ๆ อย่างไรพิกลแต่ทว่า เมื่อเห็นซูจื่อหังถือซาลาเปาอยู่ตรงหน้าเธอ ความไม่พอใจทั้งหลายแหล่ของถูซินเยว่ก็จางหายไปเธอกลืนน้ำลายอึกใหญ่แล้วมองดูชายหนุ่มตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ รอให้เขายื่นซาลาเปามาให้แต่กลับคาดไม่ถึงว่ามือของซูจื่อหังที่เหยียดอยู่ตรงหน้าจะหดกลับไปทันที กลิ่นหอมของซาลาเปาไส้หมูก็ลอยหายไป ชายหนุ่มกลับพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า "ข้าลืมไป เจ้าเพิ่งพูดว่าเจ้ายังไม่อยากกิน""ข้า ข้าเปล่าซะหน่อย!"ถูซินเยว่ร้อนรน ผู้ชายคนนี้ทำไมถึงได้ขี้แกล้งแบบนี้นะ รู้ทั้งรู้ว่าเธอหิวจะไม่ไหวแล้ว ยังมาแกล้งเธอแบบนี้อีก“ข้าอยากกิน”เมื่อพ่ายแพ้ต่อความหิวโหย ถูซินเยว่จึงยอมเสียหน้า ชำเลืองมองชายหนุ่มด้วยแววตาน่าสงสารซูจื่อหังจึงยื่นซาลาเปาไส้หมูให้เธออีกครั้ง ถูซินเยว่รีบรับมันไป เมื่อเห็นซูจื่อหังวางซาลาเปาที่เหลือไว้บนรถเข็น เธอก็รีบถามว่า "เจ้าไม่กินหรือ?""ข้ายังไม่หิว" เขารู้ว่าถูซินเยว่กินจุ ซาลาเปาสองลูกคงพอแค่ได้ติดซอกฟันเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงเก็บอีกสองลูกที่เหลือไว้ระหว่างทางกลับบ้าน หากถูซินเยว่หิว ก็ยังสามารถกินระหว่าง
ถึงแม้ถูซินเยว่จะเป็นคนสติไม่ดี แต่บุตรชายคนที่สี่และภรรยาของตระกูลถูก็ใจดีต่อนางและให้ความรักมาโดยตลอดตอนนี้หลังจากแต่งงานกับตน ก็ถูกขับไล่ออกจากตระกูลซู ต้องมาอาศัยอยู่ในกระท่อมจะพังแหล่มิพังแหล่ ใช้ชีวิตอดมื้อกินมื้อซูจื่อหังรู้สึกผิดต่อถูซินเยว่จากก้นบึ้งของหัวใจ ดังนั้นเขาจึงต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อดูแลถูซินเยว่ให้ดีเมื่อนึกถึงตรงนี้ ซูจื่อหังก็จ่ายเงินทันทีก่อนที่ถูซินเยว่จะได้ทันโต้ตอบ"ห่อให้ข้าเลย"ซูจื่อหังกำชับ“ได้เล้ย” เสี่ยวเอ้อเห็นว่าซูจื่อหังตรงไปตรงมาทันใจ ยิ้มกว้างแล้วรีบห่อผ้าส่งให้ถูซินเยว่"ถือดี ๆ นะนาง สามีเจ้านี่ดีกับเจ้าจริง ๆ "ใบหน้าของเสี่ยวเอ้อเต็มไปความรู้สึกอวยพรอย่างจริงใจถูซินเยว่เหลือบมองซูจื่อหังอย่างเงียบ ๆ จากนั้นก็รับผ้ามาเป็นเช่นนั้นจริง ๆ สามีโดยบังเอิญของเธอคนนี้ใจดีกับเธอจริง ๆในเมื่อซูจื่อหังซื้อผ้ามาแล้ว ถูซินเยว่ก็รับมันไปด้วยความดีใจ หลังจากกอดผ้าผืนนั้นแล้วเดินออกไป ทั้งสองก็ช่วยกันเก็บข้าวของ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอะไรที่ต้องซื้อแล้ว ก็ผลักรถเข็นไม้กลับไปที่หมู่บ้านต้าเย่รถเข็นไม้เต็มไปด้วยสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวันที่
เธอได้ยินคำพูดเหล่านี้หลังจากวางถ้วยยาลงแล้ว มือสั่นขึ้นทันใด จากนั้นจึงถามขึ้นด้วยความโมโห "ฉงเป่า ทำไมเจ้าไม่บอกตั้งแต่แรก!""ข้าบอกแล้ว แต่เจ้าไม่ได้ยินเอง" ฉงเป่าหมดคำจะพูด "ถ้าเจ้าอยากใช้น้ำพุศักดิ์สิทธิ์มากกว่านี้ เจ้าก็ต้องหมั่นเข้าไปดูแลมิติแห่งน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ ขุดดินและปลูกผักในนั้น พัฒนาพื้นที่ในมิติให้รุ่งเรือง คิดจะจับเสือมือเปล่าคงเป็นไปไม่ได้หรอกนะ ตอนนี้อย่างมากที่สุดมิติให้น้ำพุแก่เจ้าได้วันละแก้ว ไม่มีมากกว่านี้แล้ว"“หมายความว่าข้าต้องเลือกระหว่างลดน้ำหนักหรือช่วยนางหยูอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น?” ถูซินเยว่ขบฟันแน่น นี่มันเลือกว่าทางเลือกที่ไหนกัน?เห็นชัด ๆ อยู่แล้วว่าเรื่องไหนสำคัญกว่าการลดน้ำหนักรอไปก่อนได้ แต่ช่วยชีวิตคนรอไม่ได้เด็ดขาดเมื่อคิดถึงเหตุและผลแล้ว แม้ว่าถูซินเยว่จะรู้สึกเสียดาย แต่เธอก็ไม่เสียใจ อย่างมากเธอก็แค่ต้องเข้าไปดูแลพื้นที่ในมิติแห่งน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ให้บ่อยขึ้นเท่านั้นส่วนเรื่องลดน้ำหนักนั้น....ถูซินเยว่ก้มลงมองดูไขมันที่สะสมที่เอวและขาช้างหนา ๆ ของเธอ หากไม่มีน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ อย่างมากเธอก็แค่ต้องไปวิ่ง วิ่งก็สามารถกำจัดไขมันได้เช่
ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเขาจะรู้สึกประหลาดใจ หมูป่ามีชื่อเสียงในหมู่บ้านในเรื่องของความดุร้าย เมื่อไม่กี่ปีก่อน มีชายหนุ่มคนหนึ่งขึ้นไปบนภูเขาและถูกหมูป่ากัดตาย โดยปกติแล้ว ชาวนาจะขึ้นไปบนภูเขาเพื่อหาไก่ป่าและกระต่ายป่าเท่านั้น ไม่มีใครกล้าแตะต้องหมูป่าถูซินเยว่และซูจื่อหังเป็นลูกวัวตัวแรกที่ไม่กลัวเสือ แถมพวกเขายังอุ้มหมูป่ากลับบ้านมาจริง ๆ ด้วยหลังจากฟังคำอธิบายของถูซินเยว่เกี่ยวกับวิธีที่พวกเขาปราบหมูป่าแล้ว พี่สะใภ้หยวนเป่าและพี่สะใภ้ต้าจู้ต่างก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวน“ซินเยว่ เจ้าก็กล้าหาญเกินไปนะ เจ้าไม่กลัวเลยรึ!” พี่สะใภ้ต้าจู้มองถูซินเยว่ด้วยความตกใจ พลางพึมพำอยู่ในใจ ไม่เช่นนั้นชาวบ้านจะเรียกนางว่าสติไม่ดีหรือ! แต่คนสติไม่ดีก็มีบุญของความสติไม่ดีอยู่ที่ล่าหมูป่ากลับมาได้ จริง ๆ ก็ไม่เลวเลยเหมือนกัน“ซินเยว่ ต่อไปถ้าเจ้าเห็นหมูป่าอีก ก็อย่าหุนหันพลันแล่นแบบนี้อีกเด็ดขาด” พี่สะใภ้หยวนเป่าตักเตือนเธออย่างหวาดหวั่นเมื่อสักครู่นี้ที่ได้ยินถูซินเยว่พูดว่าหมูป่ากระโจนใส่นางจนล้มลงไปบนพื้นแล้วอ้าปากจะกัด ก็ทำให้นางตกใจจนเสียขวัญ“พี่สะใภ้หยวนเป่าของเจ้านางขี้ขลาดน่ะ”พี่สะใภ้ต้า
ถูซินเยว่กำลังจะป้อนยาให้นางหยูเมื่อซูเฟิ่งอี๋เดินสะบัดก้นเข้ามาประตูไม่ได้ปิดไว้ นอกประตูก็ไม่มีรั้วอยู่ พอเดินเข้ามาซูเฟิ่งอี๋ก็มองไปที่โต๊ะทันทีและมองเห็นชามเนื้อหมูป่าที่กินเหลือไว้ครึ่งชาม ตาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที รีบเอื้อมมือไปด้วยความเร็วสูง ปากก็ก่นด่าไปพลาง "พวกสารเลว พวกผีหิวโหย มีของดีแบบนี้ กลับไม่รู้จักกตัญญูรู้คุณมาแบ่งปันพวกข้า ไม่รู้จักกาลเทศะจริง ๆ "ตอนที่มือของนางกำลังจะเอื้อมไปถึงชามอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีท่อนไม้ยื่นออกมากระแทกเข้าที่หลังมือของนางอย่างแรงซูเฟิ่งอี๋กรีดร้องและชักมือกลับด้วยความเจ็บปวด มองดูก็พบว่ามีเลือดซิบอยู่บนหลังมือเมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นถูซินเยว่ถือไม้กระบองยืนยิ้มอยู่ ไฟโกรธลุกท่วมทันที"อีนางอ้วนอัปลักษณ์ กล้าตีข้างั้นเรอะ!"เมื่อคำนี้ถูกพูดออกไป ถูซินเยว่ก็หรี่ตาลงอย่างอันตราย พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น "ยังกล้าด่าข้าแบบนี้อีกรึ ดูท่าแล้วเจ้าคงความจำสั้นสินะ"ครั้งล่าสุดที่ถูซินเยว่กดซูเฟิ่งอี๋ไว้ที่พื้น ก็เคยเตือนนางไปแล้วว่าหากต่อไปได้ยินนางเรียกตนว่าอ้วนอัปลักษณ์อีก ก็จะถูกเล่นงานซูเฟิ่งอี๋ร้องไห้ขอความเมตตาทั้งน้ำมูกน้ำตา บอกว่านางไ
เดิมทีถูซินเยว่แค่พูดออกไปเล่น ๆ เท่านั้น นึกไม่ถึงว่าซูเฟิ่งอี๋กลับยอมนำถังปัสสาวะไปทิ้งจริง ๆคน ๆ นี้ดูเหมือนจะยอมทุกอย่างเพื่อกินจริง ๆซูเฟิ่งอี๋เดินเข้าไปในห้อง มือนึงบีบจมูกไว้ และอีกมือนึงถือถังปัสสาวะออกไปถูซินเยว่ชี้ไปยังห้องส้วมที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ซึ่งอยู่ไม่ไกล แล้วพูดว่า "ท่านป้า ต้องรบกวนท่านแล้วจริง ๆ เอาถังปัสสาวะไปเททิ้งตรงนั้นก็พอ"ซูเฟิ่งอี๋เหลือบมองบนโต๊ะและเห็นว่ายังมีเนื้อหมูป่าอยู่ เธอรีบถือถังปัสสาวะวิ่งไปทางห้องส้วมถูซินเยว่นั่งอยู่บนเก้าอี้ มองดูด้านหลังของซูเฟิ่งอี๋ด้วยท่าทีสบาย ๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเข้าไปในห้องส้วมแล้ว ก็รีบยกเนื้อหมูป่าบนโต๊ะเข้าไปหญิงสาวมีสายตาที่ว่องไวและมือที่คล่องแคล่ว ก่อนที่ซูจื่อหังในห้องจะได้ทันตั้งตัว เธอก็งับประตูปิดเสียงดัง "ปัง"ซูจื่อหังเลิกคิ้วเหลือบมองเธออย่างคาดไม่ถึง ราวกับว่าเขากำลังใช้สายตาถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้นก็พบว่าถูซินเยว่หยิบเก้าอี้ข้าง ๆ ขึ้นมาขวางประตูไว้ ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากพูดอะไร เสียงของซูเฟิ่งอี๋ก็ดังมาจากข้างนอก "ซินเยว่ ข้าเอาถังปัสสาวะไปเททิ้งแล้ว เจ้าก็ควรเอาเนื้อหมูป่ามาให้ข้าได้แล้วใช่ไหม"