ติดกับดัก
ธงของกองทัพอินทรีทองคำโบกสะบัดอยู่บนเนินเขาสูง เบื้องล่างคือเหล่าเชลยศึกนับร้อยชีวิต ทั้งหมดเป็นพวกที่ต้องโทษประหารและเป็นชาวหนานหยาง เนื่องจากมีความผิดร้ายแรงหรือกำลังป่วยด้วยโรคร้ายไร้ทางรักษา อีกทั้งพวกเขาไม่ยินยอมใช้แรงงานสร้างกำแพงเมืองให้แคว้นต้าเหอหรือเดินทางไปปลูกข้าวทำการเกษตรเพื่อส่งให้กองทัพ ดังนั้นโทษที่มีคือความตายเท่านั้น
เหนี่ยวซีกังซึ่งอยู่ในวัยยี่สิบห้าปี เขาเป็นรองแม่ทัพที่ได้รับคำสั่งจากรัชทายาทนามว่า หรงถังหวู่ ให้กำจัดเชลยพวกนี้เสีย แต่รองแม่ทัพเหนี่ยวเป็นคนที่มีจิตใจอำมหิต ทั้งยังมีรัชทายาทถือหาง ดังนั้นจึงมักทำเรื่องชั่วช้าเกินมนุษย์ โดยเฉพาะในช่วงที่กวนเฉินหลางไม่อยู่ในค่ายทหาร
ดวงตาเจ้าเล่ห์ของเหนี่ยวซีกังมองไปพื้นที่เบื้องล่าง เชลยหลายคนมีท่าทางตื่นกลัว ทว่าในกลุ่มนั้นยังมีคนที่เขาอยากกำจัดให้ตายในทันที ทว่ามันกลับหนังเหนียวและยังมีฝีมือ ดังนั้นการให้มันได้เห็นพวกพ้องตัวเองต้องตายทีละคน ด้วยการฆ่าฟันกันเองช่างเป็นเรื่องสาแก่ใจเขา
เหนี่ยวซีกังมองบุรุษร่างสูงโปร่ง อีกฝ่ายคือองค์ชายไร้แผ่นดินผู้มีนามว่า เมิ่งถู
“มัดมือพวกมันอย่างแน่นหนา ปล่อยไว้อยู่ในป่านั่น ให้เป็นเป้ายิงธนูของข้าและเหล่าขุนนาง ข้าจะต้อนพวกมันวิ่งหนีตายเข้าไปในค่ายกล แล้วฆ่ากันให้ตายเสีย ใครเหลือรอดเป็นคนสุดท้ายข้าจะปล่อยให้มีชีวิตรอด!”
การเล่นสนุกอันป่าเถื่อนนี้เหนี่ยวซีกังคิดขึ้นเป็นเสมือนการล่าสัตว์ ทว่าใช้ชีวิตมนุษย์แทน ซึ่งมีขุนนาง คหบดี พวกเชื้อสายอ๋องต่างสกุลเข้าร่วมสนุกอย่างคับคั่ง ทั้งหมดต้องจ่ายเงินในราคาสูงเพื่อได้ฆ่าคนอย่างไร้ความผิด!
และเหล่าเชลยศึกมีหลากหลายวัย แม้กระทั่งเด็กที่อายุเพียงสิบกว่าขวบก็ถูกนำมาเป็นเป้าธนูในครั้งนี้
จริงอยู่เรื่องนี้โหดร้ายป่าเถื่อน ทว่าพวกเขาล้วนเป็นเชลยศึก หากถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงานอย่างหนัก ไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องตายอยู่ดี นอกจากนั้นยังต้องถูกตีตราที่ใบหน้าว่าเป็นผู้แพ้สงคราม ชีวิตที่อยู่เหลืออยู่นี้ หลายคนจึงเลือกมุ่งหน้าสู่ความตายมากกว่าอยู่
ซึ่งโจวจื่อเว่ยไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้ เขาเตรียมสั่งห้ามการล่ามนุษย์ของรองแม่ทัพเหนี่ยว แต่ยังไม่ได้ทำสิ่งใดก็มีทหารมารายงานว่าอวิ๋นมู่หลันหายตัวไป
ชายหนุ่มร้อนใจอย่างหนัก เขาปล่อยให้นางมีอิสระมากเกินไป นั่นเป็นเพราะคาดว่าหญิงใบ้คงเป็นบุตรีลับ ๆ ของใต้เท้าอวิ๋นอย่างแน่นอน!
“เกิดเรื่องใดกับนาง”
“หญิงใบ้ไปกับนายหมู่ซ่งเถียนที่ดูแลสุนัขลิ้นดำขอรับ มีคนเห็นว่านางยั่วยวนเขาและยังขโมยลูกสุนัขตัวหนึ่งไปก่อนหลบหนีเข้าป่า”
“ป่าที่ใดกัน” โจวจื่อเว่ยถาม ใจคอไม่สู้ดี และคาดคะเนว่านางอาจมีภัยร้ายแรง
“ป่าด้านทิศตะวันออกที่มีค่ายกลป้องกันเมืองซีเถิงขอรับ”
โจวจื่อเว่ยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ตอนนี้รองแม่ทัพเหนี่ยวกำลังปล่อยเชลยให้หาทางเอาชีวิตรอดจากลูกธนู พวกเขามีทางเดียวที่จะหลบหนีคือมุ่งหน้าเข้าไปในค่ายกล และอวิ๋นมู่หลันก็พลัดหลงเข้าไปข้างในนั้น
“กุนซือโจวจะทำเช่นไรขอรับ”
“นางเป็นสาวใช้ของข้า อย่างไรก็ให้ตายในฐานะเชลยศึกมิได้”
“แต่รองแม่ทัพเหนี่ยวกับเหล่าขุนนางกำลังยิงธนูต้อนพวกเขาแล้ว หลายคนได้รับบาดเจ็บ บ้างล้มตาย แต่มีไม่น้อยมุ่งหน้าเข้าไปในค่ายกล และหากรอดชีวิตออกมาได้จะไม่ถูกตีตราที่หน้าและได้รับการไว้ชีวิต”
กุนซือหนุ่มใช้ความคิดอย่างหนักและเอ่ยว่า
“ชะตาชีวิตนางยังไม่ถึงฆาตเพียงแต่ต้องเจ็บหนักอยู่สักหน่อย นั่นคือสิ่งที่ข้าทำนายได้”
โจวจื่อเว่ยเอ่ยเช่นนั้นทั้งที่เขายังไม่รู้แน่ชัดเลยว่าจะยื่นมือช่วย อวิ๋นมู่หลันอย่างไร
ฝ่ายอวิ๋นมู่หลันวิ่งตามลูกสุนัขสีดำเข้าไปในป่า กระทั่งต้องตื่นตระหนกอย่างมากเมื่อเห็นคนที่สวมชุดนักโทษและเขียนตัวอักษรไว้เบื้องหลังว่า ‘จับตาย’ อยู่ด้านหลัง พวกเขาดูเหนื่อยล้าและเครียดจัด บางคนมีลูกธนูปักที่แขนหรือขาโดยเลือดไหลอาบท่วมร่าง ทว่าไม่มีใครหยุดวิ่ง!
เสียงกรีดร้องดังก้องไปหมด ภาพดังกล่าวชวนให้แข้งขาอ่อนแรง
หญิงสาวเพ่งมองไปทางนั้นพร้อมหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ เมื่อเห็นว่าด้านหลังคนกลุ่มนั้นมีลูกธนูพุ่งมาเป็นสาย และหากใครไม่หลบหนีย่อมต้องถูกยิงจนตาย!
“ไป... ไปให้ถึงกำแพงเมือง มันต้องมีประตูลับซ่อนอยู่!”
ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ท่าทางเขามีฝีมืออยู่บ้าง พอดวงตาคู่นั้นหันมาเห็นอวิ๋นมู่หลันเขาก็เกิดความสงสัยอย่างที่สุด
“เจ้าอยากตายหรือ เหตุใดยังยืนอยู่ตรงนี้”
บุรุษผู้นี้แม้จะสวมชุดนักโทษสีขาวเนื้อผ้าหยาบกระด้าง ทว่าผมที่ถักเปียเล็ก ๆ ด้านหน้าทั้งยังห้อยลูกปัดนั้น ดูแล้วแตกต่างจากผู้อื่น ใบหน้าคร้ามคม ดุดัน แต่สิ่งที่ทำให้นางราวกับต้องมนตร์คือดวงตาเรียวรีที่เป็นสีน้ำตาลอ่อน มันเจือด้วยความองอาจและอบอุ่น เขาไม่ใช่นักรบ ทว่าดูเหมือนผู้มีอำนาจเหนือคนทั่วไปราวกับองค์ชายสูงศักดิ์!
“เจ้าหูหนวกหรือ... ข้าบอกให้หนีไป!” เมิ่งถูบอกหญิงใบ้ ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงลูกธนูที่ปักอยู่กลางศีรษะคนผู้หนึ่งออกเพื่อใช้เป็นอาวุธ
อวิ๋นมู่หลันส่ายหน้าเร็วแรง พอจะวิ่งตามร่างสูงใหญ่ไปนางก็ต้องสั่นไปทั้งร่างเมื่อได้ยินเสียงเห่าดังขรม อวิ๋นมู่หลันแทบจะล้มลมทั้งยืนเมื่อเห็นสุนัขตัวโตราวกับสิงโตที่ก่อนหน้านี้มันถูกขังอยู่ในกรงไม้วิ่งมาทางนี้ และมันไม่ได้มีแค่ตัวเดียว!!
หยวนจื่อบอกให้คนของตนเตรียมส่งคนเข้ามาตรวจร่างกายของเถียนลู่ฟาง นี่คือสิ่งที่จะเชื่อมโยงกับหลักฐานที่นางให้คนไปจัดฉากไว้ ทั้งเสื้อผ้าบุรุษ และพยานบุคคลที่บอกว่าเห็นผู้ชายออกจากห้องหอเรือนของหนันเฉินเทียน ทั้งที่อีกฝ่ายพักในเรือนหลักไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเถียนลู่ฟางเนื่องจากการแต่งครั้งนี้เป็นเพียงการแก้เคล็ด “การแต่งงานของเจ้ากับเทียนเอ๋อร์ ล้วนเป็นพิธีซึ่งทำเพื่อเสริมดวงให้เขา และสิ่งสำคัญที่ข้าอยากรู้ เจ้ายังเป็นสตรีที่บริสุทธิ์หรือไม่” หยวนจื่อโพล่งขึ้น “แล้ว หนันฮูหยินต้องการทำเช่นไรกัน ข้าแต่งเข้าบ้านท่านแล้ว ใยต้องทนให้ผู้อื่นเหยียดหยาม” เถียนลู่ฟางส่งเสียงดัง และนางไม่พอใจเป็นอย่างมากให้ยามนี้ “เพียงแต่ตรวจร่างกาย หากยังไม่พบร่องรอยถูกข่มเหง ข้าก็ยินดีให้เจ้าอยู่ในเรือนต่อไป” หยวนจื่อกล่าว “ฮึ อย่างไรข้าก็เป็นฮูหยินผู้หนึ่งของสกุลหนัน และได้เข้าหอแล้ว เรื่องนี้ให้คนเป็นสามีตรวจสอบจะไม่ดีกว่าหรือ” หยวนจื่อหัวเราะเสียงดังทีเดียว และเอ่ยอย่างหยามหมิ่นเถียนลู่ฟาง “เจ้ายังมีสติดีหรือไม่ แน่นอนเจ้าเข้าหอกับเทียนเอ๋อร์ แต่นั่นเป็นเพ
เถียนลู่ฟางทั้งโมโห ทั้งฉุนเฉียว แต่แรกนางมั่นใจว่าคงเข้ามาที่หอบรรพชนเพียงสองสามชั่วยาม แต่ตอนนี้เกือบสามวันแล้วที่ถูกกักบริเวณ แต่หากกล่าวให้ถูกต้อง นางถูกขังเสียมากกว่า กระนั้นหนันฮูหยินยังมีความเมตตาอยู่บ้าง ด้วยมีข้าวสวยกับน่องไก่ส่งมาให้ทางช่องเล็กๆ เพียงวันละหนึ่งครั้ง ภายในหอบรรพชนนี้อากาศเย็น ไม่ร้อน ทว่าบรรยากาศชวนให้นางหวาดกลัวมิน้อย ตกกลางคืนมีเสียงสุนัข และเงาแมวดำวิ่งไปมา แม้ไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่เถียนลู่ฟาง ทั้งเครียด และยากควบคุมตนไม่ให้คิดมากไม่ได้ เมื่ออยากออกไปข้างนอก เสียงของคนที่ยืนเฝ้าประตูก็ตอบว่า หากไม่มีคำสั่งหยวนจื่อ ให้ไฟไหม้หอบรรพชน เถียนลู่ฟางก็มิอาจก้าวออกไป “มารดาคนสกุลหนันเถิด... ข้าเป็นถึงฮูหยินห้า ไป ไปเชิญสามีข้า มารับกลับเรือนเดี๋ยวนี้” เถียนลู่ฟางร้องโวยวายอย่างคนขาดสติอยู่นานทีเดียว กระทั่งมีกลิ่นธูปหอมจัดลอยเข้าจมูก นางเลยผ่อนคลายลงก่อนจะค่อยๆ หมดสติไป กระทั่งนางรู้สึกว่าลำคอแห้งผาก ทั้งยังวิงเวียนศีรษะมาก ไป๋รั่วรั่วจึงเข้ามาด้านใน พร้อมกาน้ำชา “ฮูหยินห้า...” อีกฝ่ายเรียกนาง แล
หญิงสาวขยับร่างกายบนฟูกหนาหนุ่ม และยามนี้ละอายใจยิ่งนัก เนื้อตัวก็ปวดเมื่อยไปหมด พออยากขยับร่างกาย ก็รู้สึกว่าร้าวไปทั้งร่าง นางตกเป็นของหนันจิ้งโหย่ว...แน่นอน เขาไม่ใช่สามีที่นางแต่งเข้าสกุลหนัน “ท่านย่ำยีข้า หญิงสาวไม่ได้โวยวาย แต่เอ่ยอย่างเจ็บปวด” หนันจิ้งโหย่วมองนาง มองแล้วอมยิ้ม ไม่ได้ยั่วล้อ แต่มองอย่างชัดเจนว่าพึงใจที่ตนได้ร่วมรักกันอย่างสุดเหวี่ยงกับสตรีผู้นี้ “ข้าเคยบอกแล้ว เจ้าเป็นภรรยาข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น ส่วนเสี่ยวเทียน ให้เขาเป็นน้องสามีจึงจะถูกต้องที่สุด มิอย่างนั้น เจ้าคงเป็นสตรีประหลาด ที่อยากให้เด็กน้อย ใช้มือ และลิ้นเล็กๆกับกลีบบุปผาหวานฉ่ำนั่น” ชายหนุ่มกล่าวจบประโยค นางก็ตบใบหน้าเขาไปเต็มแรง “สตรีแซ่เถียน บอกรักผู้อื่นเช่นนี้หรือ” “ทะ ท่านทำให้ข้าอับอาย จากนี้ ข้าจะสู้หน้าผู้อื่นได้อย่างไร” “หมายความถึง!” “ข้าเป็นสะใภ้เล็กคุณชายห้า หากทำเรื่องผิดศีลธรรม มิแคล้วต้องถูกลงโทษสถานหนักหรอกหรือ” “เสี่ยงฟาง หากเจ้าไม่พูด ข้าไม่พูดแล้วใครจะรู้ว่า เราเป็นผัวเมียกัน” หญิงสาวเหลืออดแล้
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร มันเป็นเรื่องบังเอิญที่สุดวิสัย หาไม่แล้วก็เพราะโชคชะตาลิขิตไว้เช่นนั้นเอ ว่าแต่ หนันจิ้งโหย่วผู้นี้ เหตุใด ยิ่งมองหน้าเขา นางก็คุ้นเคยอย่างประหลาดเขาเป็นชายชั่วช้าจริงๆ หรือว่า เป็นนางที่ติดค้างบางอย่างต่อเขา จนเขามาไล่คิดดอกเบี้ยราคาสูงลิบกับนาง กล่าวถึงฝ่ายสกุลหนัน มีอิทธิพลทางด้านการค้าและยังเป็นสกุลขุนนางบู๊อีกด้วยและเป็นใต้เท้าหนันผู้ล่วงลับหาใช่คนที่ใครจะกล้าต่อกรด้วย เขาไม่ขาว และก็ไม่เป็นสีเทา กระนั้นกล่าวได้ว่า มือเขาเปื้อนเลือดไม่น้อยและยังมีลูกชายที่ไม่ได้เรื่องกับอดีตฮูหยินที่ล่วงลับผู้หนึ่ง ฝ่ายนั้นก็คือหนันจิ้งโหย่ว แต่เดิมหลังจากมารดาเสียชีวิต เขาก็ออกท่องยุทธภพ รับใช้ทางการบ้างเป็นครั้งคราว โดยตำแหน่งของเขาสูงถึงเป็นแมวหลวงฮ่องเต้ คอยทำงานสืบสวนลับๆ เกี่ยวกับคนในราชวงศ์ รวมถึงขุนนางกังฉิน และสืบข่าวต่างแคว้น ป้องกันการก่อกบฏ สุดท้ายเขาหายสาบสูญไป ซึ่งเชื่อกันว่า เขาถูกคนฝ่ายกฎบลอบสังหาร เนื่องจากสืบข่าวลับๆ หลายอย่างที่เป็นภัยใหญ่หลวงต่อคนกลุ่มดังกล่าว และการหายตัวไปของเขา ได้เข้าทางหนันฮูหยิน นางใช้เรื่องนี้ฮุบสมบัติทั้งหมดให
บาปกรรม บาปกรรม... ลงมาจากเขา เดินทางไกลหลายร้อยลี้เพื่อหวังได้เงินสามร้อยตำลึงเปิดเหลาไว้ให้ชาวยุทธ์มาลิ้มรสชาติอาหาร โดยการเข้าไปเป็น สะใภ้สกุลหนันสักสามสี่เดือน จากนั้นนางก็จะใช้เล่ห์กลรีดไถเงินเพิ่มอีกสักหน่อย ก่อนหายสาบสูญไปจากสกุลหนันที่เป็นพวกหน้าซื่อใจคด ทั้งยังงมงาย เรื่องไสยศาสตร์ มีความเชื่อเกี่ยวกับการทำนายโชคชะตา จนเป็นเหตุให้เกิดงานแต่งของเด็กชายวัยแปดขวบ กับเจ้าสาวสุดสวยสกุลเถียน หากไม่ใช่เถียนหลิงหลิงโฉมงามแสนบอบบาง หากเป็นเถียนลู่ฟาง ผู้ที่เก่งกล้า แต่ก็นั่นแหละ สุดท้ายเถียนลู่ฟาง ต้องอับอายอย่างหนัก จนอยากเอาหัวโม่งพื้นดินตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด นางหลงกลผู้ชายที่หลงเหลือเพียงป้ายวิญญาณ อีกทั้งถูกเขาข่มขู่ ให้ทำเรื่องชั่วร้าย สิ่งนั้นก็คือ เล่นบทบาทคบชู้กับวิญญาณจอมปลอม พร้อมกับเปิดโปงความชั่วร้ายของหนันฮูหยิน และหากนางขัดขืน จะต้องรับโทษอันใด คำพูดอีกฝ่ายย้อนเข้ามาในหัว “ข้าจะลักหลับเจ้า และเรียกบุตรให้มาอยู่ในครรภ์สักสองสามคน!” วิญญาณจอมปลอมของหนันจิ้งโหย่วข่มขู่นางไว้อย่างนั้น ยามนี้ ส่วนที่นางรักษาเอาไว้เพื่อบุรุษที่คู่ควรกำ
โปรย....อ๊ะ! นางร้องเสียงหลงไฉนทวนเล็กสั้น ของเด็กน้อยผู้เป็นสามีวัยแปดขวบถึงขยายใหญ่ได้เพียงนี้แล้วลิ้นสากร้อนนั้นก็เช่นกัน ประหนึ่งมีดสั้นที่จ้วงแทงทั้งปากบน ปากล่างของนางจนซาบซ่านยากจะอดกลั้นเสียงครวญครางได้บัดซบ! เข้าหอคืนแรก นางคงมิแคล้วคงขาดใจตายด้วยมีดสั้นอันพลิ้วไหว ทั้งจั๊กจี้และสากร้อนนี้!แนะนำเรื่อง นางขึ้นเกี้ยวเพื่อแต่งงานกับเด็กแปดขวบ เพื่อหวังขโมยของล้ำค่าในสกุลสามี แต่ไฉนจึงหลงกลวิญญาณจอมปลอมของพี่สามี กระทั่งถูกตบตีด้วยมีดสั้น และทวนทอง อย่างเร้าร้อนซาบซ่านสยิวใจ “อ๊ะ! นางร้องเสียงหลง เหตุใด ทวนเล็กสั้นของเด็กน้อยผู้เป็นสามีวัยแปดขวบถึงขยายใหญ่ได้เพียงนี้ แล้วลิ้นสากร้อนก็เช่นกัน ประหนึ่งมีดสั้นที่จ้วงแทงทั้งปากบน ปากล่างของนางให้ซาบซ่านยากจะอดกลั้นเสียงครวญครางได้ บัดซบ! เข้าหอคืนแรก นางคงมิแคล้วคงขาดใจตาย ด้วยมีดสั้นอันพลิ้วไหว ที่แสนจั๊กจี้และสากร้อนนี้ ! กระนั้น เถียนลู่ฟางก็มิใช่คนเบาปัญญา ในเมื่อเจ้าบ่าวนางเยาว์วัย เขาคงมิอาจพานางขึ้นสวรรค์ได้ แน่แล้ว คนผู้นี้ ย่อมเป็นหนันจิ้งโหย่ว บุรุษที่หลอกลวงผู้อื่น และเหลือเพียงป้าย