หนีคนชั่วแต่ไม่พ้นมือปีศาจ
ยามนี้นางเข้าใจแล้วว่ามีคนเห็นชีวิตผู้อื่นเป็นของเล่น ทั้งลูกธนู ทั้งสุนัขดุร้าย กำลังไล่ล่าหมายเอาชีวิตพวกเขา
หญิงสาวไม่รอช้า นางสืบเท้าไปข้างหน้าโดยไร้จุดหมาย กระทั่งมีเด็กสาวคนหนึ่งยื่นมือมาจับข้อมือนางหมับแล้วฉุดให้ออกวิ่งตาม
อวิ๋นมู่หลันหันไปมองอีกฝ่ายเห็นว่าซีกหน้าของนางข้างหนึ่งมีแผลลึก ซึ่งอาจเกิดจากของมีคม บาดแผลเช่นนี้น่ากลัวและชวนให้ขนลุก
“ปะ… ไป... อย่าอยู่ที่นี่ พวกมันจะฆ่าเราทุกคน”
‘ตะ… แต่พวกเขาเป็นทหาร เหตุใดถึงทำกับผู้อื่นเช่นนั้น!’ อวิ๋นมู่หลันถาม แต่เสียงนางไม่อาจสื่อความหมายให้อีกฝ่ายเข้าใจ
เด็กสาวไม่สนใจฟัง เร่งฉุดให้อวิ๋นมู่หลันไปหลบหลังหินก้อนใหญ่ กระทั่งพวกนางหายใจหายคอสะดวกจึงเอ่ยว่า
“หาก ‘หนานหยาง’ ยังไม่ล่มสลาย พวกข้าคงไม่ต้องพบความบัดซบเช่นนี้ เมื่อวานน้องสาวข้าถูกชาวต้าเหอข่มเหงจนเสียชีวิต นางคิดโง่ ๆ ที่จะรับใช้ในค่ายทหาร แต่กลับถูกจับใส่ป้ายแขวนคอเพื่อให้ทหารเลวระบายความใคร่ พวกมันตั้งสิบสี่คนรุมโทรมนางจนถึงแก่ชีวิต!”
อวิ๋นมู่หลันตัวสั่น ไม่ใช่ว่ากลัว แต่นางเกลียดทหารในค่ายนี้จับใจ ทั้งที่เกิดเป็นชาวต้าเหอ ทว่าเหตุใดชีวิตนี้เพิ่งจะรับรู้ได้ว่าพวกมีอำนาจช่างชั่วช้า กระทำต่อผู้อื่นราวกับไม่ใช่มนุษย์!
ขณะที่หลบอยู่ตรงนั้น มีทหารคลั่งนายหนึ่งตามไล่ฆ่าเชลยที่ถูกยิง ทว่ายังไม่สิ้นลมหายใจ เสียงร้องโหยหวนดังอยู่ใกล้ ๆ พร้อมเสียงคำรามและเห่ากรรโชกของสุนัขหลายตัว
“เจ้าถูกจับตัวมาได้อย่างไร...”
อวิ๋นมู่หลันพยายามใช้ภาษามือสื่อสารกับเด็กสาวคนนั้น
“เป็นใบ้หรอกหรือ... แต่ถึงจะมีปานอัปลักษณ์บนหน้า ทว่าพี่สาวยังงดงามถึงเพียงนี้ หากถูกจับตัวคงกลายเป็นของเล่นให้พวกมันย่ำยี”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อวิ๋นมู่หลันก็แจ้งชัดว่านางต้องหาโอกาสหนีไปให้ไกล กระทั่งทหารคลั่งเข้ามาใกล้ เด็กสาวก็คว้าเอาก้อนหินก้อนใหญ่และเตรียมใช้มันทำร้ายเขา
พริบตาต่อมา เด็กสาวจึงอ้อมไปข้างหลังทหารคนหนึ่ง จากนั้นก็แสร้งทำเป็นบาดเจ็บ ส่งเสียงร้องเบา ๆ เพื่อเรียกอีกฝ่าย
“บาดเจ็บหรือ... ถ้ายอมให้ข้าปล่อยความสุขใส่ข้างในตัวเจ้าก็จะมีชีวิตรอด อย่างน้อยก็ให้ข้าเย่อสักหนึ่งถึงสองชั่วยามเถิด”
เด็กสาวแสร้งทำท่าตื่นตระหนก
“อ้าขาให้กว้าง ๆ ซี ข้าจะได้เย่อเจ้าให้ถึงใจ แลกกับการต่อลมหายใจอีกสักหน่อย”
ทหารเอ่ยจบก็แลบลิ้นเลียริมฝีปากหนา ๆ ของตน พร้อมแกะสายรัดเอวออก
ภาพเบื้องหน้านั้นอวิ๋นมู่หลันไม่อยากดูด้วยซ้ำ แต่นางก็ต้องฝืนทนพร้อมคิดจนหัวแทบระเบิดว่าจะช่วยเด็กสาวอย่างไรเพราะอีกฝ่ายไม่ได้บอกแผนการใด ๆ ต่อนาง
กระทั่งทหารหนุ่มขึ้นคร่อมเด็กสาว เขาใช้มืออันหยาบกร้านลูบไล้ตัวนางอย่างหื่นกระหาย เด็กสาวก็ใช้โอกาสนั้น จับหินที่วางไว้ใกล้ ๆ ตัวทุบใส่ท้ายทอยเขาเต็มแรง
อวิ๋นมู่หลันเห็นภาพดังกล่าวชัดเจน นางค่อนข้างเสียขวัญ แต่ไม่รอช้าพุ่งเข้าไปจับดาบของนายทหารที่วางไว้เพื่อใช้มันเป็นอาวุธไม่ให้อีกฝ่ายเข้าทำร้ายเด็กสาว
“รวมหัวหลอกข้าหรือ!”
ทหารคลั่งว่าและพยายามลุกยืน กระทั่งทรงตัวได้เขาก็เป่าปากส่งสัญญาณเรียกทหารอีกคนที่แยกตัวออกไป จัดการกับเชลยคนอื่น
ช่วงเวลาดังกล่าวตึงเครียดเหลือเกิน แต่เด็กสาวไม่ได้แสดงท่าทีเกรงกลัว นางยื่นมือมาขอดาบจากอวิ๋นมู่หลัน และกวัดแกว่งไปข้างหน้าหมายปลิดชีพทหารคลั่ง ทว่านางอาจช้าไปเสียหน่อย เพราะไม่ทันได้ทำร้ายทหารคลั่งลูกธนูก็พุ่งเข้ามาปักที่เนินหน้าอกซ้ายของนาง!
แรงจากลูกธนูมีพลังมากจนทำให้ดาบในมือเด็กสาวล่วงหล่น
อึดใจต่อมา คนที่ยิงธนูจึงเผยกายให้เห็น
“นะ… นั่น... เป็นนังใบ้หรอกหรือ.... ฮ่า ๆ ๆ สวรรค์เป็นใจให้ข้าได้เล่นสนุกกับเจ้าจริง ๆ”
ซ่งเถียน ทหารที่ดูแลสุนัขโผล่มา เขาหัวเราะอย่างร้ายกาจ พร้อมย่างสามขุมไปกระชากแขนของอวิ๋นมู่หลันจนนางหวิดล้มคะมำลงพื้น
“จงเป็นสุนัขตัวเมียให้ข้าเย่อเสีย เจ้ารู้หรือไม่เหตุใดแม่ของลูกสุนัขพวกนั้นถึงตาย!”
อวิ๋นมู่หลันไม่อยากฟังสิ่งใด ยิ่งมองดวงตาของทหารชั่วนางยิ่งขยะแขยง และนางไม่อยากคาดเดาเรื่องชวนให้คลื่นเหียนใด ๆ
“เวลาที่ข้าเข้าไปในตัวมัน ทั้งลื่น ทั้งอุ่น!”
หญิงสาวได้ยินคำดังกล่าวแล้วพลันเดือดดาล แต่นางถูกบีบข้อมือไว้และเขาก็มีอาวุธ ไฉนนางจะกล้าทำเรื่องบุ่มบ่าม
“พี่สาวอย่าได้ยอมพวกเดรัจฉานนี้” เด็กสาวตวาดลั่นและฮึดสุด กำลังที่จะสู้
“ดี... ข้าจะฉีดน้ำเข้าทั้งปากและก้นพวกเจ้าให้หนำใจ”
ทหารผู้ดูแลสุนัขว่าแล้วก็หัวเราะอย่างสาแก่ใจ ทว่าเขาไม่ทันได้ระวังตัวเมื่อเด็กสาวดึงธนูออกจากร่างของตน นางก็สกัดจุดห้ามเลือด จากนั้นจึงใช้มันแทงทะลุคอทหารคลั่งที่ได้รับบาดเจ็บ พอเขาร้องโหวกเหวกพยายามจัดการนาง เด็กสาวก็ถีบอีกฝ่ายสุดแรง แต่นางกลับพลาดท่าเมื่อดาบในมือซ่งเถียนฟันเข้าใส่กลางหลังนาง
อวิ๋นมู่หลันเห็นภาพดังกล่าวเต็มสองตาและนางเดือดดาลจัดจนอดทนไม่ไหว แรงที่มีเท่าไหร่นางเค้นออกมาจนสามารถสะบัดตนหลุดจากทหารชั่ว ดาบที่ตกอยู่บนพื้นก่อนหน้านางเอื้อมไปหยิบมา แต่มือนางสั่นจนเกือบจะจับไว้ไม่ไหว
“นังใบ้ ถ้าไม่อยากตายจงทิ้งดาบเสีย ถอดเสื้อผ้าออก และใช้กลีบของเจ้าแลกกับชีวิต”
โทสะของอวิ๋นมู่หลันเดือดจัดขึ้นไปอีก นางรวมรวบพลังของตนตั้งใจว่าหากชายผู้นี้คิดทำร้ายเด็กสาวอีก นางจะฆ่าเขาด้วยมือของนางเอง
“พี่สาว หนี ไป... อย่าให้มันจับตัวได้”
เด็กสาวเอ่ยจบก็บ้าเลือด นางพุ่งเข้าใส่ทหารชั่ว พร้อมลูกธนูในมือ เสียงต่อสู้และเสียงกรีดร้องโหยหวนดังไม่หยุด ขณะเดียวกัน อวิ๋นมู่หลันก็เห็นเงาของสุนัขหลายตัวเคลื่อนไหว ก่อนที่พวกมันจะรุมเข้ากัดศพคนตายที่นอนอยู่บริเวณนั้น
“หนีไป!”
เสียงเด็กสาวยังดังก้องอยู่ในหัว และขณะที่บ่ายหน้าไปอย่างรวดเร็ว อวิ๋นมู่หลันร้องไห้ด้วยมิอาจเก็บกลั้นอารมณ์อ่อนไหวได้อีก น้ำตานางไหลนองหน้า กระทั่งวิ่งไปจนเข้าไปใกล้แนวหน้าผาสูงและไม่ทันสังเกตสิ่งใดจึงเซเสียหลักแล้วพลัดตกลงไปเบื้องล่าง
เนื่องจากมีทั้งเถาวัลย์และกิ่งไม้มากมายร่างอวิ๋นมู่หลันจึงไม่ได้รับแรงกระแทกรุนแรง กระนั้นก็จุกเจ็บหลายที่ อีกทั้งได้แผลเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ขาและแขน มีอาการเคล็ดขัดยอกพอสมควร นางนอนนิ่ง ๆ อยู่บนพื้นดินจวบจนแน่ใจว่ากระดูกไม่ได้หัก
ซึ่งขณะที่นางพลัดตกเหวลึกนั้น นางหลับ ๆ ตื่นอยู่สามวันเต็ม ๆ เมื่อลุกยืนได้ก็กวาดตามองไปโดยทั่ว จุดที่นางยืนทั้งเย็นชื้นและมีกลิ่นหอมของดอกไม้ป่า อวิ๋นมู่หลันยื่นมือไปข้างหน้า กระทั่งได้ท่อนไม้มาหนึ่งท่อนแล้วใช้มันเป็นสิ่งช่วยพยุงเดิน
นางสืบเท้าออกจากจุดที่ตกลงมาไปไกลพอสมควร ตอนนี้รู้ว่าดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว เสียงแมลงกลางคืนดังอึงอล พร้อมกันนั้นก็มีเสียงร้องของสัตว์ป่าอยู่มิห่างตัว อวิ๋นมู่หลันกลัวจับใจ แต่นางคิดว่าอย่างน้อยก็รอดพ้นจากทหารชั่ว ทว่าอยู่ที่ใดหญิงสาวไม่อาจล่วงรู้ เมื่อก้าวไปได้อีกเล็กน้อย ร่างอรชรพลันถูกมือใหญ่ของใครบางคนรั้งเอวคอดไปแนบชิดร่างอุ่นซ่าน!
อวิ๋นมู่หลันไม่ทันดิ้นรนเพื่อให้ตนหลุดพ้นจากร่างกายอีกฝ่าย ด้วยเป็นตอนนั้นที่ดวงตากลมโตได้เห็นว่า รอบ ๆ ตัวนางมีงูนับร้อยตัวนอนจำศีลอยู่!
เหงื่อกาฬผุดท่วมร่างอวิ๋นมู่หลัน เลือดในกายเหมือนจะจับตัวแข็งจนสองขาไม่อาจขยับไหว กระทั่งได้ยินเสียงทุ้ม ๆ ซึ่งกระซิบข้างหู ก็เป็นนางที่ไม่รู้ว่าควรเลือกเผชิญหน้ากับงูเหล่านั้นหรือบุรุษผู้นี้ดี!
หยวนจื่อบอกให้คนของตนเตรียมส่งคนเข้ามาตรวจร่างกายของเถียนลู่ฟาง นี่คือสิ่งที่จะเชื่อมโยงกับหลักฐานที่นางให้คนไปจัดฉากไว้ ทั้งเสื้อผ้าบุรุษ และพยานบุคคลที่บอกว่าเห็นผู้ชายออกจากห้องหอเรือนของหนันเฉินเทียน ทั้งที่อีกฝ่ายพักในเรือนหลักไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเถียนลู่ฟางเนื่องจากการแต่งครั้งนี้เป็นเพียงการแก้เคล็ด “การแต่งงานของเจ้ากับเทียนเอ๋อร์ ล้วนเป็นพิธีซึ่งทำเพื่อเสริมดวงให้เขา และสิ่งสำคัญที่ข้าอยากรู้ เจ้ายังเป็นสตรีที่บริสุทธิ์หรือไม่” หยวนจื่อโพล่งขึ้น “แล้ว หนันฮูหยินต้องการทำเช่นไรกัน ข้าแต่งเข้าบ้านท่านแล้ว ใยต้องทนให้ผู้อื่นเหยียดหยาม” เถียนลู่ฟางส่งเสียงดัง และนางไม่พอใจเป็นอย่างมากให้ยามนี้ “เพียงแต่ตรวจร่างกาย หากยังไม่พบร่องรอยถูกข่มเหง ข้าก็ยินดีให้เจ้าอยู่ในเรือนต่อไป” หยวนจื่อกล่าว “ฮึ อย่างไรข้าก็เป็นฮูหยินผู้หนึ่งของสกุลหนัน และได้เข้าหอแล้ว เรื่องนี้ให้คนเป็นสามีตรวจสอบจะไม่ดีกว่าหรือ” หยวนจื่อหัวเราะเสียงดังทีเดียว และเอ่ยอย่างหยามหมิ่นเถียนลู่ฟาง “เจ้ายังมีสติดีหรือไม่ แน่นอนเจ้าเข้าหอกับเทียนเอ๋อร์ แต่นั่นเป็นเพ
เถียนลู่ฟางทั้งโมโห ทั้งฉุนเฉียว แต่แรกนางมั่นใจว่าคงเข้ามาที่หอบรรพชนเพียงสองสามชั่วยาม แต่ตอนนี้เกือบสามวันแล้วที่ถูกกักบริเวณ แต่หากกล่าวให้ถูกต้อง นางถูกขังเสียมากกว่า กระนั้นหนันฮูหยินยังมีความเมตตาอยู่บ้าง ด้วยมีข้าวสวยกับน่องไก่ส่งมาให้ทางช่องเล็กๆ เพียงวันละหนึ่งครั้ง ภายในหอบรรพชนนี้อากาศเย็น ไม่ร้อน ทว่าบรรยากาศชวนให้นางหวาดกลัวมิน้อย ตกกลางคืนมีเสียงสุนัข และเงาแมวดำวิ่งไปมา แม้ไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่เถียนลู่ฟาง ทั้งเครียด และยากควบคุมตนไม่ให้คิดมากไม่ได้ เมื่ออยากออกไปข้างนอก เสียงของคนที่ยืนเฝ้าประตูก็ตอบว่า หากไม่มีคำสั่งหยวนจื่อ ให้ไฟไหม้หอบรรพชน เถียนลู่ฟางก็มิอาจก้าวออกไป “มารดาคนสกุลหนันเถิด... ข้าเป็นถึงฮูหยินห้า ไป ไปเชิญสามีข้า มารับกลับเรือนเดี๋ยวนี้” เถียนลู่ฟางร้องโวยวายอย่างคนขาดสติอยู่นานทีเดียว กระทั่งมีกลิ่นธูปหอมจัดลอยเข้าจมูก นางเลยผ่อนคลายลงก่อนจะค่อยๆ หมดสติไป กระทั่งนางรู้สึกว่าลำคอแห้งผาก ทั้งยังวิงเวียนศีรษะมาก ไป๋รั่วรั่วจึงเข้ามาด้านใน พร้อมกาน้ำชา “ฮูหยินห้า...” อีกฝ่ายเรียกนาง แล
หญิงสาวขยับร่างกายบนฟูกหนาหนุ่ม และยามนี้ละอายใจยิ่งนัก เนื้อตัวก็ปวดเมื่อยไปหมด พออยากขยับร่างกาย ก็รู้สึกว่าร้าวไปทั้งร่าง นางตกเป็นของหนันจิ้งโหย่ว...แน่นอน เขาไม่ใช่สามีที่นางแต่งเข้าสกุลหนัน “ท่านย่ำยีข้า หญิงสาวไม่ได้โวยวาย แต่เอ่ยอย่างเจ็บปวด” หนันจิ้งโหย่วมองนาง มองแล้วอมยิ้ม ไม่ได้ยั่วล้อ แต่มองอย่างชัดเจนว่าพึงใจที่ตนได้ร่วมรักกันอย่างสุดเหวี่ยงกับสตรีผู้นี้ “ข้าเคยบอกแล้ว เจ้าเป็นภรรยาข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น ส่วนเสี่ยวเทียน ให้เขาเป็นน้องสามีจึงจะถูกต้องที่สุด มิอย่างนั้น เจ้าคงเป็นสตรีประหลาด ที่อยากให้เด็กน้อย ใช้มือ และลิ้นเล็กๆกับกลีบบุปผาหวานฉ่ำนั่น” ชายหนุ่มกล่าวจบประโยค นางก็ตบใบหน้าเขาไปเต็มแรง “สตรีแซ่เถียน บอกรักผู้อื่นเช่นนี้หรือ” “ทะ ท่านทำให้ข้าอับอาย จากนี้ ข้าจะสู้หน้าผู้อื่นได้อย่างไร” “หมายความถึง!” “ข้าเป็นสะใภ้เล็กคุณชายห้า หากทำเรื่องผิดศีลธรรม มิแคล้วต้องถูกลงโทษสถานหนักหรอกหรือ” “เสี่ยงฟาง หากเจ้าไม่พูด ข้าไม่พูดแล้วใครจะรู้ว่า เราเป็นผัวเมียกัน” หญิงสาวเหลืออดแล้
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร มันเป็นเรื่องบังเอิญที่สุดวิสัย หาไม่แล้วก็เพราะโชคชะตาลิขิตไว้เช่นนั้นเอ ว่าแต่ หนันจิ้งโหย่วผู้นี้ เหตุใด ยิ่งมองหน้าเขา นางก็คุ้นเคยอย่างประหลาดเขาเป็นชายชั่วช้าจริงๆ หรือว่า เป็นนางที่ติดค้างบางอย่างต่อเขา จนเขามาไล่คิดดอกเบี้ยราคาสูงลิบกับนาง กล่าวถึงฝ่ายสกุลหนัน มีอิทธิพลทางด้านการค้าและยังเป็นสกุลขุนนางบู๊อีกด้วยและเป็นใต้เท้าหนันผู้ล่วงลับหาใช่คนที่ใครจะกล้าต่อกรด้วย เขาไม่ขาว และก็ไม่เป็นสีเทา กระนั้นกล่าวได้ว่า มือเขาเปื้อนเลือดไม่น้อยและยังมีลูกชายที่ไม่ได้เรื่องกับอดีตฮูหยินที่ล่วงลับผู้หนึ่ง ฝ่ายนั้นก็คือหนันจิ้งโหย่ว แต่เดิมหลังจากมารดาเสียชีวิต เขาก็ออกท่องยุทธภพ รับใช้ทางการบ้างเป็นครั้งคราว โดยตำแหน่งของเขาสูงถึงเป็นแมวหลวงฮ่องเต้ คอยทำงานสืบสวนลับๆ เกี่ยวกับคนในราชวงศ์ รวมถึงขุนนางกังฉิน และสืบข่าวต่างแคว้น ป้องกันการก่อกบฏ สุดท้ายเขาหายสาบสูญไป ซึ่งเชื่อกันว่า เขาถูกคนฝ่ายกฎบลอบสังหาร เนื่องจากสืบข่าวลับๆ หลายอย่างที่เป็นภัยใหญ่หลวงต่อคนกลุ่มดังกล่าว และการหายตัวไปของเขา ได้เข้าทางหนันฮูหยิน นางใช้เรื่องนี้ฮุบสมบัติทั้งหมดให
บาปกรรม บาปกรรม... ลงมาจากเขา เดินทางไกลหลายร้อยลี้เพื่อหวังได้เงินสามร้อยตำลึงเปิดเหลาไว้ให้ชาวยุทธ์มาลิ้มรสชาติอาหาร โดยการเข้าไปเป็น สะใภ้สกุลหนันสักสามสี่เดือน จากนั้นนางก็จะใช้เล่ห์กลรีดไถเงินเพิ่มอีกสักหน่อย ก่อนหายสาบสูญไปจากสกุลหนันที่เป็นพวกหน้าซื่อใจคด ทั้งยังงมงาย เรื่องไสยศาสตร์ มีความเชื่อเกี่ยวกับการทำนายโชคชะตา จนเป็นเหตุให้เกิดงานแต่งของเด็กชายวัยแปดขวบ กับเจ้าสาวสุดสวยสกุลเถียน หากไม่ใช่เถียนหลิงหลิงโฉมงามแสนบอบบาง หากเป็นเถียนลู่ฟาง ผู้ที่เก่งกล้า แต่ก็นั่นแหละ สุดท้ายเถียนลู่ฟาง ต้องอับอายอย่างหนัก จนอยากเอาหัวโม่งพื้นดินตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด นางหลงกลผู้ชายที่หลงเหลือเพียงป้ายวิญญาณ อีกทั้งถูกเขาข่มขู่ ให้ทำเรื่องชั่วร้าย สิ่งนั้นก็คือ เล่นบทบาทคบชู้กับวิญญาณจอมปลอม พร้อมกับเปิดโปงความชั่วร้ายของหนันฮูหยิน และหากนางขัดขืน จะต้องรับโทษอันใด คำพูดอีกฝ่ายย้อนเข้ามาในหัว “ข้าจะลักหลับเจ้า และเรียกบุตรให้มาอยู่ในครรภ์สักสองสามคน!” วิญญาณจอมปลอมของหนันจิ้งโหย่วข่มขู่นางไว้อย่างนั้น ยามนี้ ส่วนที่นางรักษาเอาไว้เพื่อบุรุษที่คู่ควรกำ
โปรย....อ๊ะ! นางร้องเสียงหลงไฉนทวนเล็กสั้น ของเด็กน้อยผู้เป็นสามีวัยแปดขวบถึงขยายใหญ่ได้เพียงนี้แล้วลิ้นสากร้อนนั้นก็เช่นกัน ประหนึ่งมีดสั้นที่จ้วงแทงทั้งปากบน ปากล่างของนางจนซาบซ่านยากจะอดกลั้นเสียงครวญครางได้บัดซบ! เข้าหอคืนแรก นางคงมิแคล้วคงขาดใจตายด้วยมีดสั้นอันพลิ้วไหว ทั้งจั๊กจี้และสากร้อนนี้!แนะนำเรื่อง นางขึ้นเกี้ยวเพื่อแต่งงานกับเด็กแปดขวบ เพื่อหวังขโมยของล้ำค่าในสกุลสามี แต่ไฉนจึงหลงกลวิญญาณจอมปลอมของพี่สามี กระทั่งถูกตบตีด้วยมีดสั้น และทวนทอง อย่างเร้าร้อนซาบซ่านสยิวใจ “อ๊ะ! นางร้องเสียงหลง เหตุใด ทวนเล็กสั้นของเด็กน้อยผู้เป็นสามีวัยแปดขวบถึงขยายใหญ่ได้เพียงนี้ แล้วลิ้นสากร้อนก็เช่นกัน ประหนึ่งมีดสั้นที่จ้วงแทงทั้งปากบน ปากล่างของนางให้ซาบซ่านยากจะอดกลั้นเสียงครวญครางได้ บัดซบ! เข้าหอคืนแรก นางคงมิแคล้วคงขาดใจตาย ด้วยมีดสั้นอันพลิ้วไหว ที่แสนจั๊กจี้และสากร้อนนี้ ! กระนั้น เถียนลู่ฟางก็มิใช่คนเบาปัญญา ในเมื่อเจ้าบ่าวนางเยาว์วัย เขาคงมิอาจพานางขึ้นสวรรค์ได้ แน่แล้ว คนผู้นี้ ย่อมเป็นหนันจิ้งโหย่ว บุรุษที่หลอกลวงผู้อื่น และเหลือเพียงป้าย