“ลูกจ๋า…กลับแล้วหรือ”
คุณนายก้าวเข้ามา ร่างที่ยังระหงอยู่ในชุดผ้าไหมสีน้ำทะเล…ทำให้ห้องทั้งห้องสดสว่างขึ้น ดวงหน้าที่พอกเครื่องสำอางหนา มองดูภคินีเขม็ง…ไม่เคยชอบภคินี เพราะมองเท่าไหร่ก็ไม่เคยเห็นความคู่ควรกับลูกชายคนเดียวของเธอเลย
“ยังไม่กลับบ้านอีกหรือ นี่กี่ทุ่มเข้าไปแล้ว” เธอยกข้อมือดูเวลา… “เที่ยงคืนกว่าแล้วนะ…เธอจ๋า…หรือว่าจะนอนค้างเสียที่นี่ พ่อแม่เธอรู้หรือเปล่า อย่าให้เป็นว่าเช้าก็มาแย้ว ๆ กันหน้าบ้านล่ะ”
ภคินีสะอึก หล่อนไม่เคยพูดเถียงทันคุณนายเลยสักหน
“มีอุบัติเหตุครับแม่”
ภากรรายงานเบา ๆ ทำให้คุณนายเบิกตากว้าง ยกมือทาบอก
“อย่าบอกนะว่ารถใหม่นั่น…”
เขาไม่ประหลาดใจเลยหากแม่เขาจะห่วงรถมากกว่าห่วงคน…คุณนายแสงเดือนเป็นผู้หญิงมั่งคั่ง แต่เธอก็เค็มอย่างหาตัวจับยากทีเดียว
“รถไม่เป็นไรหรอกฮะ”
“โล่งอกไปที… แต่อุบัติเหตุก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอาแม่ภคินีมาค้างที่บ้านเราน่ะ”
“มันมากกว่านั้น”
เสียงของชายหนุ่มยิ่งเบาลงไปอีก แล้วเมื่อเขาบอกต่อ คุณนายก็ทำท่าเหมือนจะเป็นลม ถอยไปนั่งที่เก้าอี้ ดวงตาเบิกกว้างตะลึงงัน
“กรน่ะหรือขับรถชนคนตาย…แล้วก็ยังเจ็บสาหัสอีกหนึ่ง ไม่หรอก…ไม่จริง”
เธอปฏิเสธ นึกถึงอนาคตของลูกชายที่จะดับวูบลงไป
“พ่อเขาไปแล้วใช่ไหม…ก็ดีนะ…จะได้จัดการเรื่องให้เรียบร้อย…ต้องเรียบร้อย” เธอพึมพำ เมื่อขยับลุกขึ้น “โรงพยาบาลอะไร”
“แม่จะออกไปหรือฮะ”
“ใช่” เธอรับคำ “แม่นั่งรออยู่ที่นี่อีกไม่ได้ แล้วก็…” เธอหันไปมองภคินี “ส่งเพื่อนของลูกกลับบ้านเสียด้วย ดึกมากแล้ว มีเรื่องเดียวพออย่าให้ซ้อนทีละหลาย ๆ เรื่อง แม่จะไปส่งเอง…ลูกไม่ต้องไป อยู่บ้านนะ…”
เหมือนคำสั่ง แต่เธอก็เอาจริง อารมณ์สนุกสนานมาจากงานการกุศลระดับชาติวูบหายไปหมดแล้ว เหลือแต่ความห่วงใยต่ออนาคตของภากร เขายังหนุ่มนัก อายุเพิ่งจะยี่สิบเอ็ด เพิ่งเรียนจบรับปริญญาไปเมื่อวันวาน…เพิ่งก้าวไปทำงานสู่โลกของธุรกิจได้ไม่ถึงปี….แล้วการเรียนต่อที่อเมริกาก็ยังรอให้เขาไปไขว่คว้าเอาความสำเร็จกลับมา
เธอไม่มีวันยอมให้เขาต้องจบสิ้นลงตรงนี้กับการเป็นผู้ต้องหา…เธอยอมไม่ได้ จะเห็นภากรหมดอนาคตไม่ได้ เธอจะต้องทำทุกอย่างเพื่อแก้ไขให้ผิดเป็นถูก และกันภากรออกมาห่าง ๆ เธอรู้ว่าสามีของเธอก็กำลังทำอยู่แล้ว แต่เธอจะไปช่วยเขาอีกแรงหนึ่ง
“ไปซิ”
เธอหันไปเอ็ดภคินี เห็นเจ้าหล่อนทำหน้าจ๋อย…ต่อหน้าคุณนายแสงเดือน ภคินีไม่กล้าที่จะทำอย่างใจคิดที่เป็นสาวเท่มาดเปรี้ยวก็ดูจะกลายเป็นจืดสนิท
“ยังจะมัวรออะไรอีก”
ภากรเดินออกมาส่งที่รถยนต์ของมารดา เขาสวมกอดภคินีเอาไว้หลวม ๆ กระซิบกับหล่อนเบา ๆ
“ไม่ต้องกลัวนะ …ผมไม่ให้นีต้องมารับผิดแน่นอน อยู่เงียบ ๆ อย่าพูดอะไรเลย”
“ช่วยนีด้วยนะคะ นีกลัว…นีไม่อยากติดคุก”
หล่อนวิงวอนด้วยน้ำตาเต็มหน่วยตา ริมผีปากสั่นน้อย ๆ เหมือนเว้าวอนให้เขาสงสารหล่อนตลอดไป หล่อนคบกับภากรมาหลายปี หล่อนรู้ว่าเขาเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง บางครั้งหล่อนเคยหัวเราะที่ความปรารถนาของเขาทำให้เขาเหมือนคนอ่อนแอ…แต่ตอนนี้หล่อนได้แต่เฝ้าหวังในตัวเขาเพราะหากเขาพูดว่าหล่อนเป็นคนขับ…ทุกอย่างคงจะจบสิ้นเหมือนกัน
แม้หล่อนจะปฏิเสธได้ว่ารถของเขา…แต่พ่อแม่ของเขาร่ำรวย มีอิทธิพลอาจจะทำให้หล่อนดิ้นไม่หลุด
ภคินีนึกถึงเวลาที่จะต้องติดคุก ในเมื่อมีคนตายด้วยคนหนึ่ง…แล้วหล่อนก็ตัวสั่นเป็นลูกนกมาตลอดทาง
คุณนายแสงเดือนมองดูหล่อนหลายหน…อย่างรำคาญแกมสมเพชและชิงชังระคนกัน…ภคินีไม่เหมาะกับภากร…หล่อนเป็นแค่คนชั้นกลาง ไม่ร่ำรวย ไม่มีอะไรดีเด่นพอจะอวดได้ว่าวิเศษ ไม่เหมาะด้วยประการทั้งปวง เมื่อตอนรู้ว่าภากรมีใจให้กับภคินีนั้น เธอเกือบจะช็อก แต่เธอก็เป็นแม่ที่ฉลาดพอจะไม่หักหาญเอาแต่ใจตัวเองด้วยการบอกให้เขาเลิกรัก
เธอเย็นชาใส่ภคินี และทำให้ภากรได้เห็นหลายหนแล้วว่าหากเขาเลือกภคินี เขากับเธอย่อมจะบาดหมางกันรุนแรง
การจะส่งเขาไปเรียนต่อที่อเมริกาก็เป็นการพรากจากกันที่นุ่มนวลที่สุด
เธอรู้ว่าภคินีจะไม่มีเงินตามไปเรียนต่อแน่นอน และภากรก็ย่อมจะไม่กล้าเอาเงินของเขาเป็นค่าเดินทางและค่ากินอยู่ของภคินีอีกด้วย
เมื่อรถแล่นผ่านที่เกิดเหตุไปอีกหน ภคินีก็ห่อตัวลงหากหล่อนสามารถทำให้เกิดปาฏิหาริย์หายตัวได้ หล่อนคงจะทำแล้วอย่างแน่นอน แต่เมื่อหล่อนทำไม่ได้หล่อนเลยรีบปิดตาแน่นไม่ยอมรับรู้ในสภาพที่เกิดขึ้น
แต่คุณนายไม่รู้ เธอมองไปเบื้องหน้าฝนหยุดไปแล้ว…แต่ท้องฟ้าก็ยังดูหยาดเย็นฉ่ำอยู่ด้วยละอองไอน้ำจนดูเหมือนฟ้าเป็นสีขาวสลัว ๆ
“ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากจะพูดกับเธอ…เรื่องที่เกิดขึ้นเธอต้องไม่พูดมากไป ไม่บอกว่าภากรขับรถชนคนตาย”
ในความมืดของเบาะหลังรถยนต์คันนี้ เธอไม่ได้เห็นว่าภคินีลืมตาขึ้นเบิกโพลงมองมายังเธอ
“ฉันจะจ่ายเงินให้เธอก้อนหนึ่งเป็นค่าปิดปาก…เป็นเรื่องที่รู้กันระหว่างเธอกับฉัน… ขอให้จำเอาไว้อย่างหนึ่งว่าไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้นเลย… คืนนี้ผ่านไปอย่างปกติเหมือนทุก ๆ คืน”
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำเสียงแผ่ว ๆ
“แม้แต่ภากร เธอก็จะไม่ต้องพูดเรื่องนี้กับเขา…ไม่บอกกับเขาเรื่องที่ฉันให้เงินเธอ”
“ค่ะ”
“ขาเป็นไงมั่ง”“เทียนพอจะเดินได้มากแล้ว”“ก็ดีนี่เธอ ฉันอยากจะเตือนสักเรื่องหนึ่ง ภากรน่ะเป็นหนุ่มแล้ว เขาไม่เคยมีน้อง เขาอาจจะเอาใจใส่เธอมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไยดีเธอแบบสายเลือดแท้ๆ พี่น้องแท้ๆ เข้าใจไหม”รัฐยาร้อนไปทั่วกาย เขายังไม่เคยมีแฟน“เทียนสาบานได้ว่าไม่เคยคิดตีเสมอ”เขาละล่ำละลักบอกปากสั่นไปหมดแล้ว“เทียนนับถือคุณภากร”“ขอให้เป็นอย่างนี้ตลอดไปเถิดนะ…ฉันน่ะกลัว…เพราะเห็นมาเยอะแล้ว และก็ไม่อยากให้ลูกชายมีพี่มีน้องที่เป็นคนนอก”“เทียนไม่ได้คิด”เขาบอกย้ำ….ดวงหน้าเผือด“นี่นายเทียน….”คุณนายเข้ามาใกล้อีกนิด….มื้อเอื้อมมาข้างหน้าแล้วแตะคางมองเด็กหนุ่มขึ้นมา รัฐยาตัวแข็งทื่อ เขารับรู้จากสัมผัสนั่นว่าเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์…และแววตาของคุณนายที่เขามองเห็นก็ดูน่ากลัว ปราศจากความเป็นมิตร และก็ยังแปลความไม่ได้ว่านอกจากรังเกียจไม่เป็นมิตร ยังมีอะไรที่แอบซ่อนอยู่ เพราะรัฐยายังเยาว์วัยเกินไปนั่นเอง“ฉันขออะไรเธอสักอย่างนะ”“ครับ”เขารับคำด้วยเสียงแผ่ว ๆ รู้สึกแรงดันจากมือนั่นจะผลักคางของหล่อนให้แหงนเชิดขึ้น ดวงตาของเขาสาดกระทบไฟ เหมือนหวาดกลัว ไม่แน่ใจแต่คุณนายก็ยังไม่ปร
เธอเอื้อมมือมาแตะบ่าเขา จากสัมผัสบอกเธอว่าเขาทำตัวแข็งมากกว่าระดับปกติไปสักนิดหนึ่ง“เพราะลูกชายคนนี้ของแม่เป็นหนุ่มหน้าตาดี เรียนดี ฐานะก็ดีจะเอาอะไรมากไปกว่านี้อีกเล่า จริงไหมจ๊ะ”เขาเดินขึ้นมาข้างบนได้อย่างไร ภากรก็ไม่อยากจะแน่ใจเหมือนกัน เขารู้สึกสะเทือนใจกับคำพูดที่คุณนายแสงเดือนบอกว่าตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง หลังจากที่เขาเคยเลิกคิดเรื่องนี้มาแล้ว ภคินีก็เคยทำให้เขาคิดมาก หล่อนดูแปลก ๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องนี้ บางครั้งหล่อนก็หวานฉ่ำกับเขา แต่บางครั้งหล่อนก็เฉยเมยเหมือนคนแปลกหน้าไม่ใช่คนรักชายหนุ่มสลัดศีรษะแรง ๆ เขาไม่อยากจะเก็บเอามาคิดมาก แม่ไม่ชอบภคินีต่างหากเล่า แม่ถึงพูดออกไปแบบนั้นแม่กำลังเฉไฉแต่เขาจะไม่เฉไฉตามแม่เป็นอันขาดกำลังเดินไปตามทางที่จะไปห้องของเขา ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงไม้กุกกักดังเป็นจังหวะ เขาชะงักก่อนจะเห็นรัฐยากำลังเดินมา ดึกแล้วน่าจะอยู่บนเตียงมากกว่ารัฐยายังไม่เห็นเขา ได้ยินแต่เสียงแต่เสียงถามอยู่ใสๆ“พี่ส้ม อย่างนี้เรียกว่าเทียนเดินได้ดีหรือยัง”“ไปวิ่งแข่งได้เลยละค่ะ”“กีฬาคนพิการน่ะซิ”เขาเดินเข้าไป และรัฐยาก็เบือนหน้ามามองเห็น ยิ้มหวานให้กับเขา ลักยิ้
รายงานจากคนติดตามภากรมาถึงเธอแล้ว คุณนายแสงเดือนเม้มปากแน่นเข้าหากันด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่งผู้หญิงคนนั้นไม่คู่ควรกับภากรเลยจนนิดเดียวมองด้านใดก็ไม่เห็น เธอไม่ปรารถนาจะรับภคินีมาเป็นลูกสะใภ้ ภคินีสอบไม่ผ่าน“เอาล่ะ” เธอบอกออกมาในที่สุด “ยังไม่ต้องเลิกติดตามเขานะ โดยเฉพาะเวลาที่เขามีแม่คนนั้นไปด้วย” แต่เธอก็บอกว่าเธอจะต้องไปพบภคินีอีกหนหนึ่ง โดยที่ภากรไม่รู้เรื่อง เธอไม่อยากให้ผู้หญิงคนนั้นก้าวเข้ามายุ่งกับลูกชายของเธอ อนาคตของภากรยังอีกยาวไกลนัก แต่เธอจะทำออกนอกหน้าไม่ได้ด้วยเธอไม่อยากจะเสียความเข้าใจอันดี ระหว่างตัวเองกับภากรไปเพราะเขาเป็นลูกคนเดียวที่เธอมีและภากรก็กลับมาถึงเกือบจะสี่ทุ่ม คุณนายยังไม่ได้ขึ้นนอนภากรโผล่เข้ามาเห็น สีหน้าของชายหนุ่มแสงเดือนนัก “แม่ยังไม่นอนอีกรึนั่น” เขาเดินเข้ามา นับแต่เติบโตแล้วเขาไม่ค่อยจะใกล้ชิดกับเธอนัก หากมีเวลาภากรมักจะขลุกกับพ่อมากกว่า “หน้าตาแม่เหมือนคิดอะไรอยู่”“มีเรื่องที่แม่คิดไม่ตก นั่งก่อนซิ แม่อยากคุยด้วย เรื่องจะไปเรียนน่ะรีบไปไม่ดีหรือ ไปทำตัวให้คุ้นเคยเสียก่อน”“ผมคิดว่าคงไม่มีอะไรให้ปรับตัว ภาษาก็ไม่มีปัญหาอีกด้วย”“แม่เองคิดว่า
เขาอาทรต่อหล่อน ถามไถ่อย่างอ่อนโยน แตะหลังมือที่หน้าผากและซอกคอของหล่อน สัมผัสแบบนั้นน่าจะทำให้หล่อนวูบวาบได้บ้างแต่ไม่มีเลย….มันไม่มีจะวูบวาบสักนิดมันเย็นชืดสนิท…ก็ช่างเหลือเชื่อที่หล่อนกับภากรคบหากันมานานเหลือเกิน ทุกอย่างก็ไม่เคยมีรุกล้ำไปถึงความสัมพันธ์ทางเพศ มันไม่เคยเกิดขึ้นเหมือนหนุ่มสาวยุคไฮเทคอีกหลายคู่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาหรือหล่อนกันแน่….เขาอาจจะปรารถนาเกินไปจนไม่ล่วงละเมิดต่อวัยสาวของหล่อนและภคินีเองก็ไม่เคยแน่ใจว่าชายคนนี้หล่อนรักเขาหรือเปล่า….หรือเพียงแต่หลงใหลกับความมีเงินของเขา หล่อนบูชาเงิน…ภคินีเชื่อว่าเงินคือพระเจ้าของชีวิต เงินจะซื้อได้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วที่หล่อนเห็นมาล่าสุดก็คือเงินซื้อได้กระทั่งชีวิตคนตาย…อย่างเรื่องแม่คนนั้นที่ตายกลางถนนและเด็กหนุ่มที่จนป่านนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ เป็นอย่างไร คืนนั้นหากไม่ใช่เพราะครอบครัวภากรมีเงินมีอิทธิพลแล้ว หล่อนอาจจะเข้าคุก แม้ภากรจะรับสมอ้างว่าเขาขับรถ แต่คนอย่างคุณนายแสงเดือนหรือจะยอมเชื่อง่าย ๆ เธอจะต้องขุดและคุ้ยจนหล่อนต้องรับสารภาพนึกถึงแล้วภคินีก็ขนลุกซู่ หล่อนกลัวคุก…หล่อนกลัวการถูกจองจำให้หมด
ปรารถนาไม่โกหกลูก หล่อนได้เอาความผิดพลาดในชีวิตไว้เตือนใจตัวเองและเตือนใจลูกชายด้วยปรารถนาไม่เคยดุด่าถึงชายคนที่ทำให้ได้กำเนิดรัฐยา ไม่มีการพูดถึงเขา แม้รัฐยาจะเคยอยากรู้จักชายคนนั้นสักเพียงใด ปรารถนาก็ปิดปากสนิท หล่อนเคยบอกกล่าวแก่รัฐยามากที่สุดก็แค่ชื่อและนามสกุลของชายคนนั้น ชายคนที่รัฐยาเชื่อมั่นว่าเขาได้หายสาปสูญไปแล้ว เหมือนไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง เขาไม่เคยเห็นนามสกุลนั้น ไม่เคยได้ยินอีกเลยและมันก็จบลงแค่นั้นด้วย เขานมีแม่ที่ให้หล่อนทุกอย่างโดยไม่รู้สึกว่าตัวเองขาดแคลนนักจะยากจนรัฐยาก็ชินกับมันเสียแล้ว ชินจนไม่รู้สึกรู้สมว่าจะต้องเคืองแค้นในชีวิตของตัวเองแต่อย่างใดและนี่เขาจะมีพ่อเขายังสงสัย“คุณจะหาพ่อให้เทียนหรือฮะ”เขาถามออกไป เป็นคำถามตลกหรือไร เพราะเห็นเขาหัวเราะ ชายวัยสี่สิบกว่าแต่ยังเป็นชายที่คงความสง่างาม เส้นผมที่ไม่ได้ย้อมมีสีขาวแทรกประปรายข้างหูกลับทำให้เขาดูดี….และรัฐยาก็นึกออกแล้วว่าภากรเหมือนใคร….เขามีความอ่อนโยนเหมือนชายคนนี้นี่เอง“คุณจะไปหาเจอที่ไหน”เขาไม่ได้ใส่ใจกับเสียงหัวเราะที่ว่านั่นเลย” แม่บอกว่าเขาหายไปแล้ว หายไปจากชีวิตแม่ เขาไม่สนใจแม่ ไม่สนใจเทียนอีก
วิถีชีวิตของเขาแตกต่างออกไป เมื่อทอดสายตามองดูรอบ ๆ ตัวมันคือสิ่งที่รัฐยาไม่เคยมีมาก่อนเลยในชีวิตนี้ มันเหมือนฝัน….แล้วเขาก็จะตื่นในเร็ว ๆ นี้ ตื่นลืมตายอมรับความจริงว่าทั้งหมดที่เห็นและครอบครองเป็นเจ้าของอยู่มันไม่ได้เป็นของเขา แต่ส้มก็ปลุกภวังค์นึกคิดของเขากลับคืนมา เด็กหนุ่มกระพริบตาถี่ ๆ กับตัวเองเมื่อได้ยินน้ำเสียงของส้ม“คุณหิวไหม?”สรรพนามที่ส้มเรียกเขาทำให้รัฐยาขนลุก เขาได้รับการยกย่องมากเกินไป“พี่ไม่ต้องเรียกเทียนว่าคุณหรอก”เขาบอกความจริงใจออกมา ส้มมองอย่างฉงน เด็กหนุ่มที่ส้มเห็นรูปงามนักแม้จะดูเศร้าสร้อย ส้มได้รับการบอกเล่ามาว่าเพราะเด็กนี่เป็นกำพร้า ไม่มีพ่อและแม่ก็ถูกรถชนตาย ท่านไปเจอเข้าเลยรับมาอุปการะส่งส้มมาเป็นคนใช้ส่วนตัวท่าทางของเขาดูอ่อนโยน จริงใจนัก“ไม่เป็นไรค่ะ”ส้มได้รับการอบรมมาแล้วอย่างดี คุณนายแสงเดือนไม่ชอบให้สาวใช้กระด้างกระเดื่องกับเธอ และส้มก็อยู่บ้านนี้ได้นานปีด้วยความอดทนของตัวเอง ส้มเป็นคนเรียนรู้ไวและค่อนข้างจะเงียบขรึมไม่พูดไม่จามากนัก“ให้เทียนเรียกพี่ส้มก็แล้วกันนะ….”เมื่อส้มไม่ยอม รัฐยาก็สรุปในที่สุด อาหารของเขาถูกจัดขึ้นมาบนห้อง….จานชุดสวย แล