“หมอบอกว่าเธอจะออกไปได้วันจันทร์นี้”
นายดำรงออกมาจากที่นั่งของเขา ไกลออกไปตรงเก้าอี้ยาวชิดผนัง ท่านั่งของเขาดูสบาย ๆ แต่เหมือนมีบารมีบางอย่างแผ่กระจายรอบตัวเขา เป็นชายที่ไปไหนมาไหนโดยไม่มีคนล้อมหน้าล้อมหลัง แต่เขาก็มีสิ่งหนึ่งที่บอกว่าเขาเป็นคนมีอำนาจชวนให้ยำเกรง รัฐยารู้สึกได้เหมือนเห็นเขา แล้วยำเกรงต่อเขา
รัฐยาเรียนรู้อีกด้วยว่าเขาจะเป็นที่พึ่งที่ใหม่ของเขาต่อจากแม่….แววตาของเขาที่แสดงออกจึงเปล่งแสงวิงวอนโดยที่เขาไม่รู้ตัวเหมือนกัน
“เธอจะต้องไปเรียนหนังสือ….ต้องใช้ไม้ค้ำรักแร้ไปก่อน…เธอหัดเดินไปบ้างหรือยัง”
“ยังเลยฮะ”
“หมอคงจะหัดให้เธอเร็ว ๆ นี้ ฉันไปโรงเรียนของเธอ ทางโน้นบอกว่าเธอจะขาดเรียนได้แต่ไม่มากจนเกินไป เดี๋ยวจะเรียนไม่ทัน”
“เทียนก็ไม่อยากขาดเรียน”
รัฐยาบอก แม่เคยสอนเสมอว่าแม่ยากจน แม่ให้ได้แค่ส่งเสียให้เขาเรียนมาก ๆ ให้มีความรู้เป็นสิ่งพาตัวเองให้ทระนงองอาจ และหาเลี้ยงตัวเองสืบไปในวันข้างหน้า รัฐยาตั้งใจเรียนเสมอ ผลการเรียนของเขาอยู่ในระดับดีมาก แม้จะเป็นโรงเรียนย่านชานเมืองไม่ใช่โรงเรียนที่โด่งดังมากนักก็เถิด
นายดำรงไปสอบถามเรื่องเกี่ยวกับเขามาแล้ว หากเขาจะต้องอุปการะเด็กสักคนหนึ่ง เขาก็ไม่อยากจะมืดมนต่อความเป็นมาของเด็กคนนั้น และเขายังไปดูบ้านของรัฐยามาแล้วอีกด้วย
บ้านไม้เก่า ๆ สองชั้นล้อมรั้วสังกะสี สภาพของบ้านดูแย่เสียยิ่งกว่าตึกชั้นเดียวที่เขาปลูกสร้างให้คนของเขาได้อยู่อาศัยในอาณาบริเวณบ้านตัวเองหลายเท่านัก
“เรื่องบ้านของเธอ” เขาเอ่ยต่อ “เธอจะอยู่อย่างไร”
“เทียนไม่ทราบ…แต่คงจะอยู่ได้…อยู่คนเดียว… เพื่อนบ้านแถวนั้นก็ดี ๆ”
“ฉันมาวันนี้ก็มีเรื่องนี้จะมาคุยกับเธอ”
ตลอดเวลานั้นภากรนิ่งเงียบ เขาฟังพ่อของเขาพูดและฟังเสียงรัฐยาโต้ตอบเท่านั้น….เขาวางใจในตัวพ่อมาก พ่อเขาเป็นคนละเอียด และรอบคอบเสมอในการกระทำทุก ๆ เรื่อง
“เธอก็ไม่มีใครอีกแล้ว ฉันก็ลั่นวาจาเอาไว้แล้วว่าจะอุปการะเธอ…บ้านนั้นจะอยู่คนเดียวไม่ได้ ยิ่งตอนนี้เธอช่วยเหลือตัวเองแทบจะไม่ได้ถนัด ไปอยู่เสียที่บ้านฉัน แล้วค่อยว่ากันใหม่เมื่อเธอหายดีแล้ว”
รัฐยามองเขาเขม็งก่อนจะมองดูชายหนุ่มที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เตียง สีหน้าของภากรอ่อนโยนนัก…เขาดูเป็นมิตรอบอุ่น เขาดูเหมือนพ่อของเขา แต่ไม่มีบารมีออกมาเท่านั้นเอง
“ไปอยู่เสียที่บ้านพี่…ที่นั่นเรามีคนหลายคนจะช่วยเธอได้”
//////////////////////////////////////////////////////////////////////
สุดท้ายก็เหลือเพียงเท่านี้เอง…รัฐยาน้ำตาหยดลงมา เมื่อรับเอาผอบเล็ก ๆ บรรจุกระดูกและเถ้าของแม่เอาไว้ ภาพของรัฐยาก่อให้เกิดความเวทนาอย่างยิ่งกับเขาจนภากรคุกเข่าลง แตะมือที่หลังมือนั้น
“อย่าคิดมากอีกเลย เรื่องมันแล้วไปแล้ว”
“แม่ตายแล้ว” ริมฝีปากนั่นเบะออก “เหลือเชื่อนะฮะ…คุณกร” ไม่กล้าตีเสมอกับเขาด้วยการเรียกเขาว่า ‘พี่’ เพราะรัฐยารู้ว่าคุณนายแสงเดือนย่อมไม่ชอบใจอย่างแน่นอน เขาไม่อยากให้เธอต้องเพ่งเล็งมากไปกว่านี้อีก การเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ก็ทำให้เขาตัวลีบเล็กลงไปมากพอแล้ว
“แม่เคยเจ็บ…กระดูกของแม่ไม่ดี แต่แม่ก็ยังแข็งแรงยังอยู่กับเทียนไปได้อีกนาน…แล้วแม่ก็มาตาย…”
น้ำเสียงเจือสะอื้น “เทียนจะไม่ลืมหรอกว่าแม่ตายยังไง”
ไม่ทันเห็นว่าเขากระตุกขึ้น
“เทียนจะต้องพบมันให้ได้ ไอ้คนใจร้ายขับรถคันนั้น”
รัฐยาบอกปณิธานอันแน่แน่วของตัวเอง ที่ภากรได้แต่ปิดปากตัวเองเงียบสนิท
“มันอาจจะยาก แต่เทียนจะภาวนาว่าขอเทียนพบมันสักหนหนึ่งเถิด…เทียนจะให้มันทดแทนให้กับเทียนให้สาสม”
“เทียนจะไปรู้ได้ยังไง”
“เทียนรู้…มีญาณสังหรณ์ว่าจะต้องพบมันอีก มันจะไม่ไปไกลจากเทียน แล้วเทียนหนึ่งมีนี่…”
รัฐยาหยิบเอาสิ่งหนึ่งออกจากกระเป๋าเสื้อ…เมื่อวางลงกลางอุ้งมือ ภากรก็เบิกตากว้างขึ้น…เขาเห็นชิ้นส่วนเล็ก ๆ ของลูกกระพรวนที่ถูกกระชากจนขาด เขาจำได้ดีว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของสร้อยข้อมือที่ภคินีสวม
“มันก็เป็นแค่ลูกกระพรวนเม็ดหนึ่ง” เขาทำใจกล้าเขี่ยมันดู ปลายนิ้วถูกเนื้อกลางมือของรัฐยานิดหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ และรัฐยาก็ไม่ได้เฉลียวใจด้วยว่าทำไมนิ้วนั่นของภากรถึงได้สั่น…เขาไม่ทันสังเกต
“พี่ว่ามันก็เหมือน ๆ กันไปหมดนั่นแหละ เทียน”
เขาเห็นรัฐยาส่ายหน้าน้อย ๆ พร้อมกับยืนยันด้วยเสียงหนักแน่นว่า
“เทียนนอนดูมันทุกคืนที่อยู่โรงพยาบาล…ดูจนจำมันได้แม้จะหลับตา…เทียนจับมันลูบคลำมัน เทียนรู้ว่ามันมีอะไรพิเศษ ลวดลายมันแปลกเหลือเกิน มันไม่เหมือนงานชิ้นอื่น ๆ จะมีสักกี่คนใส่งานแบบนี้…”
ภคินีนั่นแหละ…เขาโทษหล่อน…ภคินีไม่ชอบงานโหล ๆ หล่อนไม่รวยล้นฟ้า แต่หล่อนก็มีรสนิยมในการเลือกใช้ของเสมอมา ของของหล่อนจะต้องเป็นแบบหนึ่งเดียวหรือหากมีหลายชิ้นก็จะไม่ถึงกับเป็นของโหล…สร้อยเงินเส้นนี้เป็นเงินแท้ หล่อนซื้อมันมาจากศูนย์การค้าใหญ่ที่ขายเครื่องเงินฝีมือประณีต ราคาแพงมาก และภคินีก็เป็นปลื้มกับลูกกระพรวนกรุ๋งกริ๋งรอบ ๆ เส้น ที่มันเคลื่อนไหวทุกยามที่หล่อนเปลี่ยนอิริยาบถ สร้อยเส้นนี้ทำให้หล่อนปลื้มมาก เพราะใครเห็นก็เอ่ยชม
“เทียนจะภาวนาต่อ ๆ ไปทุกคืน ให้เทียนได้เจอมันสักหนหนึ่งในชีวิตนี้”
ภากรอึ้งไป และก่อนที่จะได้ขยับตัว เสียงฝีเท้าก็ซอยออกมาจากข้างในกระทบถูกพื้นหินอ่อน…กลิ่นหอมฉุยโชยผ่านมา เขารู้ได้ทันทีว่าเป็นแม่ของเขา การปรากฏตัวของคุณนายแสงเดือนด้วยกลิ่นหอมกระจายกรุ่น และเธอก็สวยสดออกมาในชุดที่เตรียมพร้อมจะออกไปนอกบ้านได้ ดวงหน้าเนียนผ่องเต่งตึง….ไม่มีรอยเหี่ยวย่นตีนกาไม่เคยขึ้นตรงปลายตาของเธอ“นั่นอะไรกัน” เสียงเธอแหลมเมื่อมองไปเห็นลูกชายคุกเข่าอยู่กับพื้นหินอ่อน และบนเก้าอี้คือร่างบอบบางของรัฐยาที่นั่งอยู่…ขาอยู่ในเฝือกทั้งสองข้าง“กร...”เธอเรียกเขาด้วยเสียงหนัก ๆ คิดปราดไปไกล…กลัวนักว่าลูกชายจะมาหลงใหลได้ปลื้มกับเด็กคนนี้มิใช่ญาติ จะสนิทสนมทำไม“ลงไปนั่งแบบนั้นทำไม”เธอมองดูรัฐยา ดวงตาคมที่ระบายสีเอาไว้สดและเขียนรอบขอบตาด้วยสีดำเข้มจัดไปทั้งหมด เมื่อแสงจากกึ่งกลางดวงตาของเธอจ้าออกปานนั้นรัฐยาเมินหลบ ใจเต้นแรง เขากลัวผู้หญิงคนนี้….กลัวจนใจมันเต้นไม่เป็นจังหวะ และมื่อก็สั่นไปหมดแล้วภากรลุกขึ้นยืนช้า ๆ แล้วถอยไปนั่งบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง“มาแล้วหรือ…จะมาอยู่ในบ้านนี้ใช่ไหม…” เธอถามรัฐยาโดยตรง “ขาเธอนั่นน่ะอีกนานไหมกว่าจะหาย”“หมอว่าอีกสองเดือนก็ถอดเฝือกได้ฮะ”เข
วิถีชีวิตของเขาแตกต่างออกไป เมื่อทอดสายตามองดูรอบ ๆ ตัวมันคือสิ่งที่รัฐยาไม่เคยมีมาก่อนเลยในชีวิตนี้ มันเหมือนฝัน….แล้วเขาก็จะตื่นในเร็ว ๆ นี้ ตื่นลืมตายอมรับความจริงว่าทั้งหมดที่เห็นและครอบครองเป็นเจ้าของอยู่มันไม่ได้เป็นของเขา แต่ส้มก็ปลุกภวังค์นึกคิดของเขากลับคืนมา เด็กหนุ่มกระพริบตาถี่ ๆ กับตัวเองเมื่อได้ยินน้ำเสียงของส้ม“คุณหิวไหม?”สรรพนามที่ส้มเรียกเขาทำให้รัฐยาขนลุก เขาได้รับการยกย่องมากเกินไป“พี่ไม่ต้องเรียกเทียนว่าคุณหรอก”เขาบอกความจริงใจออกมา ส้มมองอย่างฉงน เด็กหนุ่มที่ส้มเห็นรูปงามนักแม้จะดูเศร้าสร้อย ส้มได้รับการบอกเล่ามาว่าเพราะเด็กนี่เป็นกำพร้า ไม่มีพ่อและแม่ก็ถูกรถชนตาย ท่านไปเจอเข้าเลยรับมาอุปการะส่งส้มมาเป็นคนใช้ส่วนตัวท่าทางของเขาดูอ่อนโยน จริงใจนัก“ไม่เป็นไรค่ะ”ส้มได้รับการอบรมมาแล้วอย่างดี คุณนายแสงเดือนไม่ชอบให้สาวใช้กระด้างกระเดื่องกับเธอ และส้มก็อยู่บ้านนี้ได้นานปีด้วยความอดทนของตัวเอง ส้มเป็นคนเรียนรู้ไวและค่อนข้างจะเงียบขรึมไม่พูดไม่จามากนัก“ให้เทียนเรียกพี่ส้มก็แล้วกันนะ….”เมื่อส้มไม่ยอม รัฐยาก็สรุปในที่สุด อาหารของเขาถูกจัดขึ้นมาบนห้อง….จานชุดสวย แล
ปรารถนาไม่โกหกลูก หล่อนได้เอาความผิดพลาดในชีวิตไว้เตือนใจตัวเองและเตือนใจลูกชายด้วยปรารถนาไม่เคยดุด่าถึงชายคนที่ทำให้ได้กำเนิดรัฐยา ไม่มีการพูดถึงเขา แม้รัฐยาจะเคยอยากรู้จักชายคนนั้นสักเพียงใด ปรารถนาก็ปิดปากสนิท หล่อนเคยบอกกล่าวแก่รัฐยามากที่สุดก็แค่ชื่อและนามสกุลของชายคนนั้น ชายคนที่รัฐยาเชื่อมั่นว่าเขาได้หายสาปสูญไปแล้ว เหมือนไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง เขาไม่เคยเห็นนามสกุลนั้น ไม่เคยได้ยินอีกเลยและมันก็จบลงแค่นั้นด้วย เขานมีแม่ที่ให้หล่อนทุกอย่างโดยไม่รู้สึกว่าตัวเองขาดแคลนนักจะยากจนรัฐยาก็ชินกับมันเสียแล้ว ชินจนไม่รู้สึกรู้สมว่าจะต้องเคืองแค้นในชีวิตของตัวเองแต่อย่างใดและนี่เขาจะมีพ่อเขายังสงสัย“คุณจะหาพ่อให้เทียนหรือฮะ”เขาถามออกไป เป็นคำถามตลกหรือไร เพราะเห็นเขาหัวเราะ ชายวัยสี่สิบกว่าแต่ยังเป็นชายที่คงความสง่างาม เส้นผมที่ไม่ได้ย้อมมีสีขาวแทรกประปรายข้างหูกลับทำให้เขาดูดี….และรัฐยาก็นึกออกแล้วว่าภากรเหมือนใคร….เขามีความอ่อนโยนเหมือนชายคนนี้นี่เอง“คุณจะไปหาเจอที่ไหน”เขาไม่ได้ใส่ใจกับเสียงหัวเราะที่ว่านั่นเลย” แม่บอกว่าเขาหายไปแล้ว หายไปจากชีวิตแม่ เขาไม่สนใจแม่ ไม่สนใจเทียนอีก
เขาอาทรต่อหล่อน ถามไถ่อย่างอ่อนโยน แตะหลังมือที่หน้าผากและซอกคอของหล่อน สัมผัสแบบนั้นน่าจะทำให้หล่อนวูบวาบได้บ้างแต่ไม่มีเลย….มันไม่มีจะวูบวาบสักนิดมันเย็นชืดสนิท…ก็ช่างเหลือเชื่อที่หล่อนกับภากรคบหากันมานานเหลือเกิน ทุกอย่างก็ไม่เคยมีรุกล้ำไปถึงความสัมพันธ์ทางเพศ มันไม่เคยเกิดขึ้นเหมือนหนุ่มสาวยุคไฮเทคอีกหลายคู่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาหรือหล่อนกันแน่….เขาอาจจะปรารถนาเกินไปจนไม่ล่วงละเมิดต่อวัยสาวของหล่อนและภคินีเองก็ไม่เคยแน่ใจว่าชายคนนี้หล่อนรักเขาหรือเปล่า….หรือเพียงแต่หลงใหลกับความมีเงินของเขา หล่อนบูชาเงิน…ภคินีเชื่อว่าเงินคือพระเจ้าของชีวิต เงินจะซื้อได้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วที่หล่อนเห็นมาล่าสุดก็คือเงินซื้อได้กระทั่งชีวิตคนตาย…อย่างเรื่องแม่คนนั้นที่ตายกลางถนนและเด็กหนุ่มที่จนป่านนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ เป็นอย่างไร คืนนั้นหากไม่ใช่เพราะครอบครัวภากรมีเงินมีอิทธิพลแล้ว หล่อนอาจจะเข้าคุก แม้ภากรจะรับสมอ้างว่าเขาขับรถ แต่คนอย่างคุณนายแสงเดือนหรือจะยอมเชื่อง่าย ๆ เธอจะต้องขุดและคุ้ยจนหล่อนต้องรับสารภาพนึกถึงแล้วภคินีก็ขนลุกซู่ หล่อนกลัวคุก…หล่อนกลัวการถูกจองจำให้หมด
รายงานจากคนติดตามภากรมาถึงเธอแล้ว คุณนายแสงเดือนเม้มปากแน่นเข้าหากันด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่งผู้หญิงคนนั้นไม่คู่ควรกับภากรเลยจนนิดเดียวมองด้านใดก็ไม่เห็น เธอไม่ปรารถนาจะรับภคินีมาเป็นลูกสะใภ้ ภคินีสอบไม่ผ่าน“เอาล่ะ” เธอบอกออกมาในที่สุด “ยังไม่ต้องเลิกติดตามเขานะ โดยเฉพาะเวลาที่เขามีแม่คนนั้นไปด้วย” แต่เธอก็บอกว่าเธอจะต้องไปพบภคินีอีกหนหนึ่ง โดยที่ภากรไม่รู้เรื่อง เธอไม่อยากให้ผู้หญิงคนนั้นก้าวเข้ามายุ่งกับลูกชายของเธอ อนาคตของภากรยังอีกยาวไกลนัก แต่เธอจะทำออกนอกหน้าไม่ได้ด้วยเธอไม่อยากจะเสียความเข้าใจอันดี ระหว่างตัวเองกับภากรไปเพราะเขาเป็นลูกคนเดียวที่เธอมีและภากรก็กลับมาถึงเกือบจะสี่ทุ่ม คุณนายยังไม่ได้ขึ้นนอนภากรโผล่เข้ามาเห็น สีหน้าของชายหนุ่มแสงเดือนนัก “แม่ยังไม่นอนอีกรึนั่น” เขาเดินเข้ามา นับแต่เติบโตแล้วเขาไม่ค่อยจะใกล้ชิดกับเธอนัก หากมีเวลาภากรมักจะขลุกกับพ่อมากกว่า “หน้าตาแม่เหมือนคิดอะไรอยู่”“มีเรื่องที่แม่คิดไม่ตก นั่งก่อนซิ แม่อยากคุยด้วย เรื่องจะไปเรียนน่ะรีบไปไม่ดีหรือ ไปทำตัวให้คุ้นเคยเสียก่อน”“ผมคิดว่าคงไม่มีอะไรให้ปรับตัว ภาษาก็ไม่มีปัญหาอีกด้วย”“แม่เองคิดว่า
เธอเอื้อมมือมาแตะบ่าเขา จากสัมผัสบอกเธอว่าเขาทำตัวแข็งมากกว่าระดับปกติไปสักนิดหนึ่ง“เพราะลูกชายคนนี้ของแม่เป็นหนุ่มหน้าตาดี เรียนดี ฐานะก็ดีจะเอาอะไรมากไปกว่านี้อีกเล่า จริงไหมจ๊ะ”เขาเดินขึ้นมาข้างบนได้อย่างไร ภากรก็ไม่อยากจะแน่ใจเหมือนกัน เขารู้สึกสะเทือนใจกับคำพูดที่คุณนายแสงเดือนบอกว่าตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง หลังจากที่เขาเคยเลิกคิดเรื่องนี้มาแล้ว ภคินีก็เคยทำให้เขาคิดมาก หล่อนดูแปลก ๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องนี้ บางครั้งหล่อนก็หวานฉ่ำกับเขา แต่บางครั้งหล่อนก็เฉยเมยเหมือนคนแปลกหน้าไม่ใช่คนรักชายหนุ่มสลัดศีรษะแรง ๆ เขาไม่อยากจะเก็บเอามาคิดมาก แม่ไม่ชอบภคินีต่างหากเล่า แม่ถึงพูดออกไปแบบนั้นแม่กำลังเฉไฉแต่เขาจะไม่เฉไฉตามแม่เป็นอันขาดกำลังเดินไปตามทางที่จะไปห้องของเขา ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงไม้กุกกักดังเป็นจังหวะ เขาชะงักก่อนจะเห็นรัฐยากำลังเดินมา ดึกแล้วน่าจะอยู่บนเตียงมากกว่ารัฐยายังไม่เห็นเขา ได้ยินแต่เสียงแต่เสียงถามอยู่ใสๆ“พี่ส้ม อย่างนี้เรียกว่าเทียนเดินได้ดีหรือยัง”“ไปวิ่งแข่งได้เลยละค่ะ”“กีฬาคนพิการน่ะซิ”เขาเดินเข้าไป และรัฐยาก็เบือนหน้ามามองเห็น ยิ้มหวานให้กับเขา ลักยิ้
“ขาเป็นไงมั่ง”“เทียนพอจะเดินได้มากแล้ว”“ก็ดีนี่เธอ ฉันอยากจะเตือนสักเรื่องหนึ่ง ภากรน่ะเป็นหนุ่มแล้ว เขาไม่เคยมีน้อง เขาอาจจะเอาใจใส่เธอมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไยดีเธอแบบสายเลือดแท้ๆ พี่น้องแท้ๆ เข้าใจไหม”รัฐยาร้อนไปทั่วกาย เขายังไม่เคยมีแฟน“เทียนสาบานได้ว่าไม่เคยคิดตีเสมอ”เขาละล่ำละลักบอกปากสั่นไปหมดแล้ว“เทียนนับถือคุณภากร”“ขอให้เป็นอย่างนี้ตลอดไปเถิดนะ…ฉันน่ะกลัว…เพราะเห็นมาเยอะแล้ว และก็ไม่อยากให้ลูกชายมีพี่มีน้องที่เป็นคนนอก”“เทียนไม่ได้คิด”เขาบอกย้ำ….ดวงหน้าเผือด“นี่นายเทียน….”คุณนายเข้ามาใกล้อีกนิด….มื้อเอื้อมมาข้างหน้าแล้วแตะคางมองเด็กหนุ่มขึ้นมา รัฐยาตัวแข็งทื่อ เขารับรู้จากสัมผัสนั่นว่าเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์…และแววตาของคุณนายที่เขามองเห็นก็ดูน่ากลัว ปราศจากความเป็นมิตร และก็ยังแปลความไม่ได้ว่านอกจากรังเกียจไม่เป็นมิตร ยังมีอะไรที่แอบซ่อนอยู่ เพราะรัฐยายังเยาว์วัยเกินไปนั่นเอง“ฉันขออะไรเธอสักอย่างนะ”“ครับ”เขารับคำด้วยเสียงแผ่ว ๆ รู้สึกแรงดันจากมือนั่นจะผลักคางของหล่อนให้แหงนเชิดขึ้น ดวงตาของเขาสาดกระทบไฟ เหมือนหวาดกลัว ไม่แน่ใจแต่คุณนายก็ยังไม่ปร
“ผมดื่มไม่ไหวแล้ว”ภากรเบือนหน้าหลบจากแก้วที่ยื่นเข้ามาจ่อถึงปากแต่มือนุ่ม ๆ ก็ยังไม่ยอมปล่อยจากต้นคอทางด้านหลังของเขา พยายามจะรั้งให้เขาหันหน้ากลับมาพร้อมกับเสียงปะเหลาะ ๆ“น่าอีกนิด คนเก่งนะ.”ไม่เพียงแต่พูดเฉย ๆ คนพูดยังยื่นจมูกมาแตะแก้มของเขาอีกด้วย กลิ่นหอมจากเรือนกายของหล่อนเหมือนเดินหลงเข้าไปในดงดอกไม้ จนเขาเคลิบเคลิ้มและเขาก็ไม่อยากให้ดวงตาคู่นั้นหม่นแสงลงเลยแข็งใจดื่มเข้าไปอีกอึกหนึ่ง“นั่นซิจ๊ะเป็นผู้ชายก็ต้องดื่มเหล้า จะดื่มแต่น้ำหวานได้ยังไง้ เสียหายหมด”ภคินีวางแก้วลง ตบมือให้กับเขาสองสามแปะ ดวงตาฉายประกายซุกซนสนุกสนาน หล่อนไม่ใช่หญิงสวยเรียกได้ว่าหล่อนเป็นผู้หญิงเท่คนหนึ่ง ดวงหน้าเรียวเห็นเส้นจมูกเด่นที่สุดบนใบหน้า จมูกที่โดดเด่นจนเหมือนว่าหล่อนไปทำศัลยกรรมมาใหม่ และหลายหนที่หล่อนท้าทายให้มีการจับกระดูกที่ขึ้นสันนั่นเป็นของแท้ ๆ ที่หล่อนอ้างว่าเป็นกันทั้งครอบครัว“ไปเต้นรำกันดีกว่า”หล่อนลากเขาออกไปสู่เวทีเต้นรำเล็ก ๆ ของสนามหน้าบ้านหลังนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองหลังพิธีรับปริญญาเพื่อนฝูงที่รับปริญญารุ่นเดียวกันล้วนแล้วแต่เบิกบาน และคู่ของเขากับหล่อนก็เป็นคู่ที่ถูกจับตามองมากท
“ขาเป็นไงมั่ง”“เทียนพอจะเดินได้มากแล้ว”“ก็ดีนี่เธอ ฉันอยากจะเตือนสักเรื่องหนึ่ง ภากรน่ะเป็นหนุ่มแล้ว เขาไม่เคยมีน้อง เขาอาจจะเอาใจใส่เธอมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไยดีเธอแบบสายเลือดแท้ๆ พี่น้องแท้ๆ เข้าใจไหม”รัฐยาร้อนไปทั่วกาย เขายังไม่เคยมีแฟน“เทียนสาบานได้ว่าไม่เคยคิดตีเสมอ”เขาละล่ำละลักบอกปากสั่นไปหมดแล้ว“เทียนนับถือคุณภากร”“ขอให้เป็นอย่างนี้ตลอดไปเถิดนะ…ฉันน่ะกลัว…เพราะเห็นมาเยอะแล้ว และก็ไม่อยากให้ลูกชายมีพี่มีน้องที่เป็นคนนอก”“เทียนไม่ได้คิด”เขาบอกย้ำ….ดวงหน้าเผือด“นี่นายเทียน….”คุณนายเข้ามาใกล้อีกนิด….มื้อเอื้อมมาข้างหน้าแล้วแตะคางมองเด็กหนุ่มขึ้นมา รัฐยาตัวแข็งทื่อ เขารับรู้จากสัมผัสนั่นว่าเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์…และแววตาของคุณนายที่เขามองเห็นก็ดูน่ากลัว ปราศจากความเป็นมิตร และก็ยังแปลความไม่ได้ว่านอกจากรังเกียจไม่เป็นมิตร ยังมีอะไรที่แอบซ่อนอยู่ เพราะรัฐยายังเยาว์วัยเกินไปนั่นเอง“ฉันขออะไรเธอสักอย่างนะ”“ครับ”เขารับคำด้วยเสียงแผ่ว ๆ รู้สึกแรงดันจากมือนั่นจะผลักคางของหล่อนให้แหงนเชิดขึ้น ดวงตาของเขาสาดกระทบไฟ เหมือนหวาดกลัว ไม่แน่ใจแต่คุณนายก็ยังไม่ปร
เธอเอื้อมมือมาแตะบ่าเขา จากสัมผัสบอกเธอว่าเขาทำตัวแข็งมากกว่าระดับปกติไปสักนิดหนึ่ง“เพราะลูกชายคนนี้ของแม่เป็นหนุ่มหน้าตาดี เรียนดี ฐานะก็ดีจะเอาอะไรมากไปกว่านี้อีกเล่า จริงไหมจ๊ะ”เขาเดินขึ้นมาข้างบนได้อย่างไร ภากรก็ไม่อยากจะแน่ใจเหมือนกัน เขารู้สึกสะเทือนใจกับคำพูดที่คุณนายแสงเดือนบอกว่าตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง หลังจากที่เขาเคยเลิกคิดเรื่องนี้มาแล้ว ภคินีก็เคยทำให้เขาคิดมาก หล่อนดูแปลก ๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องนี้ บางครั้งหล่อนก็หวานฉ่ำกับเขา แต่บางครั้งหล่อนก็เฉยเมยเหมือนคนแปลกหน้าไม่ใช่คนรักชายหนุ่มสลัดศีรษะแรง ๆ เขาไม่อยากจะเก็บเอามาคิดมาก แม่ไม่ชอบภคินีต่างหากเล่า แม่ถึงพูดออกไปแบบนั้นแม่กำลังเฉไฉแต่เขาจะไม่เฉไฉตามแม่เป็นอันขาดกำลังเดินไปตามทางที่จะไปห้องของเขา ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงไม้กุกกักดังเป็นจังหวะ เขาชะงักก่อนจะเห็นรัฐยากำลังเดินมา ดึกแล้วน่าจะอยู่บนเตียงมากกว่ารัฐยายังไม่เห็นเขา ได้ยินแต่เสียงแต่เสียงถามอยู่ใสๆ“พี่ส้ม อย่างนี้เรียกว่าเทียนเดินได้ดีหรือยัง”“ไปวิ่งแข่งได้เลยละค่ะ”“กีฬาคนพิการน่ะซิ”เขาเดินเข้าไป และรัฐยาก็เบือนหน้ามามองเห็น ยิ้มหวานให้กับเขา ลักยิ้
รายงานจากคนติดตามภากรมาถึงเธอแล้ว คุณนายแสงเดือนเม้มปากแน่นเข้าหากันด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่งผู้หญิงคนนั้นไม่คู่ควรกับภากรเลยจนนิดเดียวมองด้านใดก็ไม่เห็น เธอไม่ปรารถนาจะรับภคินีมาเป็นลูกสะใภ้ ภคินีสอบไม่ผ่าน“เอาล่ะ” เธอบอกออกมาในที่สุด “ยังไม่ต้องเลิกติดตามเขานะ โดยเฉพาะเวลาที่เขามีแม่คนนั้นไปด้วย” แต่เธอก็บอกว่าเธอจะต้องไปพบภคินีอีกหนหนึ่ง โดยที่ภากรไม่รู้เรื่อง เธอไม่อยากให้ผู้หญิงคนนั้นก้าวเข้ามายุ่งกับลูกชายของเธอ อนาคตของภากรยังอีกยาวไกลนัก แต่เธอจะทำออกนอกหน้าไม่ได้ด้วยเธอไม่อยากจะเสียความเข้าใจอันดี ระหว่างตัวเองกับภากรไปเพราะเขาเป็นลูกคนเดียวที่เธอมีและภากรก็กลับมาถึงเกือบจะสี่ทุ่ม คุณนายยังไม่ได้ขึ้นนอนภากรโผล่เข้ามาเห็น สีหน้าของชายหนุ่มแสงเดือนนัก “แม่ยังไม่นอนอีกรึนั่น” เขาเดินเข้ามา นับแต่เติบโตแล้วเขาไม่ค่อยจะใกล้ชิดกับเธอนัก หากมีเวลาภากรมักจะขลุกกับพ่อมากกว่า “หน้าตาแม่เหมือนคิดอะไรอยู่”“มีเรื่องที่แม่คิดไม่ตก นั่งก่อนซิ แม่อยากคุยด้วย เรื่องจะไปเรียนน่ะรีบไปไม่ดีหรือ ไปทำตัวให้คุ้นเคยเสียก่อน”“ผมคิดว่าคงไม่มีอะไรให้ปรับตัว ภาษาก็ไม่มีปัญหาอีกด้วย”“แม่เองคิดว่า
เขาอาทรต่อหล่อน ถามไถ่อย่างอ่อนโยน แตะหลังมือที่หน้าผากและซอกคอของหล่อน สัมผัสแบบนั้นน่าจะทำให้หล่อนวูบวาบได้บ้างแต่ไม่มีเลย….มันไม่มีจะวูบวาบสักนิดมันเย็นชืดสนิท…ก็ช่างเหลือเชื่อที่หล่อนกับภากรคบหากันมานานเหลือเกิน ทุกอย่างก็ไม่เคยมีรุกล้ำไปถึงความสัมพันธ์ทางเพศ มันไม่เคยเกิดขึ้นเหมือนหนุ่มสาวยุคไฮเทคอีกหลายคู่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาหรือหล่อนกันแน่….เขาอาจจะปรารถนาเกินไปจนไม่ล่วงละเมิดต่อวัยสาวของหล่อนและภคินีเองก็ไม่เคยแน่ใจว่าชายคนนี้หล่อนรักเขาหรือเปล่า….หรือเพียงแต่หลงใหลกับความมีเงินของเขา หล่อนบูชาเงิน…ภคินีเชื่อว่าเงินคือพระเจ้าของชีวิต เงินจะซื้อได้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วที่หล่อนเห็นมาล่าสุดก็คือเงินซื้อได้กระทั่งชีวิตคนตาย…อย่างเรื่องแม่คนนั้นที่ตายกลางถนนและเด็กหนุ่มที่จนป่านนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ เป็นอย่างไร คืนนั้นหากไม่ใช่เพราะครอบครัวภากรมีเงินมีอิทธิพลแล้ว หล่อนอาจจะเข้าคุก แม้ภากรจะรับสมอ้างว่าเขาขับรถ แต่คนอย่างคุณนายแสงเดือนหรือจะยอมเชื่อง่าย ๆ เธอจะต้องขุดและคุ้ยจนหล่อนต้องรับสารภาพนึกถึงแล้วภคินีก็ขนลุกซู่ หล่อนกลัวคุก…หล่อนกลัวการถูกจองจำให้หมด
ปรารถนาไม่โกหกลูก หล่อนได้เอาความผิดพลาดในชีวิตไว้เตือนใจตัวเองและเตือนใจลูกชายด้วยปรารถนาไม่เคยดุด่าถึงชายคนที่ทำให้ได้กำเนิดรัฐยา ไม่มีการพูดถึงเขา แม้รัฐยาจะเคยอยากรู้จักชายคนนั้นสักเพียงใด ปรารถนาก็ปิดปากสนิท หล่อนเคยบอกกล่าวแก่รัฐยามากที่สุดก็แค่ชื่อและนามสกุลของชายคนนั้น ชายคนที่รัฐยาเชื่อมั่นว่าเขาได้หายสาปสูญไปแล้ว เหมือนไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง เขาไม่เคยเห็นนามสกุลนั้น ไม่เคยได้ยินอีกเลยและมันก็จบลงแค่นั้นด้วย เขานมีแม่ที่ให้หล่อนทุกอย่างโดยไม่รู้สึกว่าตัวเองขาดแคลนนักจะยากจนรัฐยาก็ชินกับมันเสียแล้ว ชินจนไม่รู้สึกรู้สมว่าจะต้องเคืองแค้นในชีวิตของตัวเองแต่อย่างใดและนี่เขาจะมีพ่อเขายังสงสัย“คุณจะหาพ่อให้เทียนหรือฮะ”เขาถามออกไป เป็นคำถามตลกหรือไร เพราะเห็นเขาหัวเราะ ชายวัยสี่สิบกว่าแต่ยังเป็นชายที่คงความสง่างาม เส้นผมที่ไม่ได้ย้อมมีสีขาวแทรกประปรายข้างหูกลับทำให้เขาดูดี….และรัฐยาก็นึกออกแล้วว่าภากรเหมือนใคร….เขามีความอ่อนโยนเหมือนชายคนนี้นี่เอง“คุณจะไปหาเจอที่ไหน”เขาไม่ได้ใส่ใจกับเสียงหัวเราะที่ว่านั่นเลย” แม่บอกว่าเขาหายไปแล้ว หายไปจากชีวิตแม่ เขาไม่สนใจแม่ ไม่สนใจเทียนอีก
วิถีชีวิตของเขาแตกต่างออกไป เมื่อทอดสายตามองดูรอบ ๆ ตัวมันคือสิ่งที่รัฐยาไม่เคยมีมาก่อนเลยในชีวิตนี้ มันเหมือนฝัน….แล้วเขาก็จะตื่นในเร็ว ๆ นี้ ตื่นลืมตายอมรับความจริงว่าทั้งหมดที่เห็นและครอบครองเป็นเจ้าของอยู่มันไม่ได้เป็นของเขา แต่ส้มก็ปลุกภวังค์นึกคิดของเขากลับคืนมา เด็กหนุ่มกระพริบตาถี่ ๆ กับตัวเองเมื่อได้ยินน้ำเสียงของส้ม“คุณหิวไหม?”สรรพนามที่ส้มเรียกเขาทำให้รัฐยาขนลุก เขาได้รับการยกย่องมากเกินไป“พี่ไม่ต้องเรียกเทียนว่าคุณหรอก”เขาบอกความจริงใจออกมา ส้มมองอย่างฉงน เด็กหนุ่มที่ส้มเห็นรูปงามนักแม้จะดูเศร้าสร้อย ส้มได้รับการบอกเล่ามาว่าเพราะเด็กนี่เป็นกำพร้า ไม่มีพ่อและแม่ก็ถูกรถชนตาย ท่านไปเจอเข้าเลยรับมาอุปการะส่งส้มมาเป็นคนใช้ส่วนตัวท่าทางของเขาดูอ่อนโยน จริงใจนัก“ไม่เป็นไรค่ะ”ส้มได้รับการอบรมมาแล้วอย่างดี คุณนายแสงเดือนไม่ชอบให้สาวใช้กระด้างกระเดื่องกับเธอ และส้มก็อยู่บ้านนี้ได้นานปีด้วยความอดทนของตัวเอง ส้มเป็นคนเรียนรู้ไวและค่อนข้างจะเงียบขรึมไม่พูดไม่จามากนัก“ให้เทียนเรียกพี่ส้มก็แล้วกันนะ….”เมื่อส้มไม่ยอม รัฐยาก็สรุปในที่สุด อาหารของเขาถูกจัดขึ้นมาบนห้อง….จานชุดสวย แล
ภากรอึ้งไป และก่อนที่จะได้ขยับตัว เสียงฝีเท้าก็ซอยออกมาจากข้างในกระทบถูกพื้นหินอ่อน…กลิ่นหอมฉุยโชยผ่านมา เขารู้ได้ทันทีว่าเป็นแม่ของเขา การปรากฏตัวของคุณนายแสงเดือนด้วยกลิ่นหอมกระจายกรุ่น และเธอก็สวยสดออกมาในชุดที่เตรียมพร้อมจะออกไปนอกบ้านได้ ดวงหน้าเนียนผ่องเต่งตึง….ไม่มีรอยเหี่ยวย่นตีนกาไม่เคยขึ้นตรงปลายตาของเธอ“นั่นอะไรกัน” เสียงเธอแหลมเมื่อมองไปเห็นลูกชายคุกเข่าอยู่กับพื้นหินอ่อน และบนเก้าอี้คือร่างบอบบางของรัฐยาที่นั่งอยู่…ขาอยู่ในเฝือกทั้งสองข้าง“กร...”เธอเรียกเขาด้วยเสียงหนัก ๆ คิดปราดไปไกล…กลัวนักว่าลูกชายจะมาหลงใหลได้ปลื้มกับเด็กคนนี้มิใช่ญาติ จะสนิทสนมทำไม“ลงไปนั่งแบบนั้นทำไม”เธอมองดูรัฐยา ดวงตาคมที่ระบายสีเอาไว้สดและเขียนรอบขอบตาด้วยสีดำเข้มจัดไปทั้งหมด เมื่อแสงจากกึ่งกลางดวงตาของเธอจ้าออกปานนั้นรัฐยาเมินหลบ ใจเต้นแรง เขากลัวผู้หญิงคนนี้….กลัวจนใจมันเต้นไม่เป็นจังหวะ และมื่อก็สั่นไปหมดแล้วภากรลุกขึ้นยืนช้า ๆ แล้วถอยไปนั่งบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง“มาแล้วหรือ…จะมาอยู่ในบ้านนี้ใช่ไหม…” เธอถามรัฐยาโดยตรง “ขาเธอนั่นน่ะอีกนานไหมกว่าจะหาย”“หมอว่าอีกสองเดือนก็ถอดเฝือกได้ฮะ”เข
“หมอบอกว่าเธอจะออกไปได้วันจันทร์นี้”นายดำรงออกมาจากที่นั่งของเขา ไกลออกไปตรงเก้าอี้ยาวชิดผนัง ท่านั่งของเขาดูสบาย ๆ แต่เหมือนมีบารมีบางอย่างแผ่กระจายรอบตัวเขา เป็นชายที่ไปไหนมาไหนโดยไม่มีคนล้อมหน้าล้อมหลัง แต่เขาก็มีสิ่งหนึ่งที่บอกว่าเขาเป็นคนมีอำนาจชวนให้ยำเกรง รัฐยารู้สึกได้เหมือนเห็นเขา แล้วยำเกรงต่อเขารัฐยาเรียนรู้อีกด้วยว่าเขาจะเป็นที่พึ่งที่ใหม่ของเขาต่อจากแม่….แววตาของเขาที่แสดงออกจึงเปล่งแสงวิงวอนโดยที่เขาไม่รู้ตัวเหมือนกัน“เธอจะต้องไปเรียนหนังสือ….ต้องใช้ไม้ค้ำรักแร้ไปก่อน…เธอหัดเดินไปบ้างหรือยัง”“ยังเลยฮะ”“หมอคงจะหัดให้เธอเร็ว ๆ นี้ ฉันไปโรงเรียนของเธอ ทางโน้นบอกว่าเธอจะขาดเรียนได้แต่ไม่มากจนเกินไป เดี๋ยวจะเรียนไม่ทัน”“เทียนก็ไม่อยากขาดเรียน”รัฐยาบอก แม่เคยสอนเสมอว่าแม่ยากจน แม่ให้ได้แค่ส่งเสียให้เขาเรียนมาก ๆ ให้มีความรู้เป็นสิ่งพาตัวเองให้ทระนงองอาจ และหาเลี้ยงตัวเองสืบไปในวันข้างหน้า รัฐยาตั้งใจเรียนเสมอ ผลการเรียนของเขาอยู่ในระดับดีมาก แม้จะเป็นโรงเรียนย่านชานเมืองไม่ใช่โรงเรียนที่โด่งดังมากนักก็เถิดนายดำรงไปสอบถามเรื่องเกี่ยวกับเขามาแล้ว หากเขาจะต้องอุปการะเด็กส
รัฐยาไม่ใส่ใจกับเรื่องนั้น เขายังไม่อยากจะคิดอะไรอีก เขาอยากจะไปพบแม่อีกสักหนหนึ่ง“เทียนอยากเจอแม่ฮะ…อยากไปงานของแม่…”คุณนายแสงเดือนทำท่าเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินรัฐยาสวนออกมาแบบนั้น“แหม…เธอนี่” เธอทำเสียงรำคาญอย่างเปิดเผย “ก็เดินไม่ได้ ขาเป็นอย่างนี้แล้ว ยังมีแก่ใจจะเดินไปงานแม่ตัวอีกหรือ…ฉันน่ะไม่บริการเธอถึงกับไปหารถเข็นมาพาเธอไปหรอกจ้ะ…นอนรักษาตัวก่อนเถิด นอนคิดสำนึกว่ามีคนใจดีขนาดนี้ ก็เป็นบุญคุณท่วมหัวแล้ว เรื่องแม่เธอก็ไม่ถึงกับเป็นศพไม่มีญาติ…ฉันถึงว่าบุญของเธอมันยังดี แถวนั้นออกจะเป็นบ้านนอก ยังมีคนไปพบเจอที่ใจบุญ”คุณนายไปแล้ว ทิ้งรัฐยาโศกเศร้าอย่างรุนแรง แล้วเธอก็ลากภากรกลับไปด้วยของอย่างนี้เธอคิดว่าต้องแยกลูกชายออกไปให้รวดเร็ว เธอไม่แน่ใจเพราะภากรของเธอเป็นคนใจอ่อนและแสนดีเกินไป“กลับบ้านกับแม่จ้ะ”////////////////////////////////////////////////////////ภากรไปหาภคินีที่บ้าน เมื่อหล่อนหายหน้าไปเลย พอเห็นเขา ภคินีก็ทำท่าเหมือนสะดุ้ง ก่อนจะยอมเข้ามาหา…ท่าทางของหล่อนยังขวัญเสียเมื่อดึงมือของเขาหลบออกไปจากสายตาของแม่ที่มองอย่างสนใจ“เป็นไงบ้าง…”เรื่องนั้นยังรบกวนหล