บทที่ 11
“เฮ้ย โยนเบา ๆ หน่อยสิว่ะ เดี๋ยวมันคอหักตายสะก่อน”
ชายฉกรรจ์วัยต้นสามสิบแต่หน้าแก่กว่าอายุ ผิวคล้ำดำอย่างชาวประมงตะโกนบอกเมื่อเห็นชายอีกคนโยนไอ้หนุ่มร่างสูงผิวคล้ำลงมาในท้องเรือจนกลิ้งไปทับกับคนอื่นที่ยังนอนสลบอยู่เช่นกัน
“ไอ้นี่มันใครพี่ทัด”
“ไม่รู้ว่ะ แต่นายหัวบอกให้เอาออกไปด้วยแล้วอย่าให้มันได้กลับมาอีก”
“มันคงจะได้กลับหรอก ไอ้พวกนั้นก็ด้วย ร่างกายอ่อนแอกันฉิบหาย ออกทะเลไม่นานก็ตายสะแล้ว ต้องหามาเติมตลอด”
“เออ หน้าที่มึง มึงก็ทำไป”
ปัง!!
ทัดทองปิดไม้กระดานบนพื้นเรือขัดกลอนไว้แน่นหนากันพวกที่จับมาหลบหนี เขาเดินเข้าไปยังห้องกัปตันเรือเปิดเครื่องเดินเรือเตรียมนำออกจากสะพานเรือเก่าที่ไม่มีคนใช้ก่อนฟ้าจะสาง ซึ่งถือว่าออกช้ากว่าทุกวัน เพราะตามปกติเขาจะออกเดินเรือในช่วงห้าทุ่ม แต่นั่นเพราะนายสั่งไว้ให้รอชายหนุ่มอีกคนที่กำลังจับมาให้
ตึก ตึก ตึก!!
เสียงเครื่องเรือดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดของท่าเรือ มีเพียงเสียงคลื่นกระทบฝั่งเท่านั้นเสียงเดียวที่ปะปน เรือเก่าออกจากท่าพร้อมกับลูกเรืออีกหนึ่งคนคือไอ้ทรง รูปร่างเตี้ยดำอายุยี่สิบต้น ๆ แต่ฟันเหลืองไปทั้งปาก
การออกเรือคราวนี้จะเป็นเที่ยวสุดท้ายแล้ว เพราะทัดทองเริ่มต้านแรงของศีลธรรมที่จู่ ๆ ดันเกิดขึ้นมาในใจ ทั้งที่ทำหน้าที่ไต๋ก๋งเรือมาตลอดชีวิตสามสิบห้าปี ในช่วงชีวิตเขาอยู่บ้านน้อยมากจนไม่เคยเห็นพัฒนาการของลูกสาววัยห้าขวบ
การเดินเรือเที่ยวนี้จะเป็นเที่ยวสุดท้าย อีกสามปีเขาจะกลับไปยังบ้านที่เมียและลูกรอเขาอยู่ และใช้ชีวิตอย่างชาวเลธรรมดา หาปลาหยั่งชีพพอมีพอกิน
“ป้าพิศ พี่แทนติดต่อมาไหมคะ”
พรพิศใบหน้าร้อนรนส่ายศีรษะ หญิงวัยกลางคนอายุเกือบห้าสิบปีมือสั่นเทาขณะเด็ดผักใส่ตะกร้า
“เจ้าแทนหายไปเลย ป้าร้อนใจอยากจะไปแจ้งความแล้วคุณบัว”
“ดีค่ะป้า บัวไปเป็นเพื่อน บัวขึ้นไปขออนุญาตแม่ก่อนนะคะ”
บุษยารีบวิ่งออกจากห้องครัวตรงไปยังชั้นบน แม่ของเธอ ปทุมวดีมักใช้เวลาส่วนใหญ่ภายในห้องนอนขนาดใหญ่ที่มีพร้อมสรรพทุกอย่าง
ก๊อก ก๊อก!
“แม่คะ”
“เข้ามาสิบัว”
เสียงแหบของหญิงกลางคนเอ่ยตอบ บุษยาจึงเปิดประตูรวดเร็วกว่าปกติเดินซอยเท้าเข้าไปยังโต๊ะทำงานภายในห้อง
เธอมองมือของแม่ที่ยังเขียนบางอย่างบนกระดาษ ซึ่งเธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าแม่เขียนอะไร เธอตรงไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย
“แม่คะ พี่แทนลูกป้าพิศหายไปจากบ้านหลายวันแล้ว ซึ่งพี่แทนไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ป้าพิศแกอยากจะไปแจ้งความค่ะ บัวเลยอาสาพาแกไป”
ปทุมวดีเงยหน้าสวยหวานคล้ายคลึงกับบุษยาขึ้นมาจ้องเธอนิ่ง บนใบหน้าแม่มีความเศร้าหมองขึ้นทันทีอย่างเห็นได้ชัด
“บัวเป็นแค่เด็ก คงทำอะไรให้ป้าพิศไม่ได้มากหรอกลูก แต่ถ้าบัวอยากไปเป็นเพื่อนก็ตามใจ”
เธอมองหน้าลูกสาวนึกภาพอดีตของตัวเอง ในปีนั้นช่างคล้ายคลึงกันเสียจนเธอหวาดกลัว ปากสั่นเล็กน้อยใจร่ำร้องอยากเตือนลูกสาว
“ขอบคุณค่ะแม่”
บุษยารีบไหว้ขอบคุณเตรียมตัวลุกขึ้นเพื่อรีบไปบอกป้าพิศ แต่เสียงสั่นเครือของแม่พลันดังขึ้นข้างหลังโดยที่เธอยังไม่ทันได้ออกไปจากประตูห้อง
“บัว ลูกควรเผื่อใจไว้บ้างนะ พี่แทนของลูกอาจไม่ได้กลับมาอีก”
ร่างบางชะงักดวงตาคมรีเบิกกว้างเอี้ยวหน้ามองแม่ที่กลับไปก้มหน้าเขียนหนังสือต่ออย่างไม่ใส่ใจเธออีกต่อไป บุษยานิ่งงันแล้วหันหลังกลับออกจากห้องของมารดาไปภายในใจมีแต่คำถาม
แม่หมายความว่าอย่างไร?
“ลูกชายป้าอายุยี่สิบสามแล้ว เขาอาจจะไปที่อื่นโดยไม่บอกป้าก็ได้นะครับ”
บุษยาหันมองป้าพรพิศที่ใบหน้าเจื่อนลงเมื่อได้ยินคุณตำรวจพูดแบบนั้น จึงรีบช่วยพูดแทนให้ป้า
“แต่พี่แทนไม่เคยไปไหนเลยนะคะ ตั้งแต่หนูโตมาก็เห็นพี่แทนอยู่บ้านตลอด”
“หนู แต่พี่แทนของหนูโตแล้ว เขาอาจจะมีเรื่องที่ไม่อยากพูดบอกพวกหนูหรือป้าก็ได้”
“แต่ว่า..”
“เอาอย่างนี้ ตามกฎหมายคนหายเกินยี่สิบสี่ชั่วโมงเรารับแจ้งความอยู่แล้วครับป้า แต่ที่พูดเนี่ยก็อยากจะให้ป้าลองไปสอบถามพวกเพื่อน ๆ ที่ลูกชายของป้ารู้จัก หรืออาจจะญาติพี่น้อง”
“แทนไม่มีเพื่อนค่ะคุณตำรวจ และป้าก็ไม่มีญาติพี่น้อง”
ป้าพรพิศตอบด้วยเสียงสั่นเครือ เหตุการณ์บางอย่างในอดีตผุดขึ้นมาจากความทรงจำ เรื่องเก่าแก่ของบ้านหลังนี้
“ป้าอยากจะให้สอบสวนสักหน่อย แทนไม่มีเรื่องกับใคร ยกเว้น ยกเว้น”
หญิงวัยกลางคนเหลียวใบหน้ามองสาวน้อยด้านข้างที่มองเธอด้วยใบหน้าฉงน นี่เธอกำลังให้ตำรวจไปสอบปากคำนายหัวบัญชรพ่อของบุษยา ซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยเดียวที่เธอนึกได้ทันทีที่เกิดเรื่อง แต่เธอจะทำร้ายสาวน้อยร่างเล็กคนนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ
“ยกเว้นใครครับป้า”
“นายหัวบัญชรค่ะ”
“ป้าพรพิศ!!”
เด็กสาวร้องเสียงดังขึ้นเมื่อได้ยินชื่อของพ่อ ป้าพรพิศกำลังปรักปรำพ่อของเธอใช่ไหม เธอมองด้วยแววตาสงสัย
“ทำไมป้าพิศถึงคิดว่าเป็นพ่อคะ”
“ก็ ก็ หนูกับแทน”
บุษยาตัวสั่นเทิ้มจนต้องใช้อ้อมแขนของตัวเองกอดไว้แน่น ไม่นะ แต่พ่อไม่รู้เรื่องของเธอกับพี่แทน หันกลับไปมองตำรวจเมื่อเขาเอ่ยถาม
“หมายความว่ายังไงครับป้า อธิบายอีกทีสิครับ”
“ป้าคิดว่านายหัวบัญชรคงไม่พอใจที่แทนลูกชายป้าชอบพอกับหนูบัวลูกสาวของแก เลย เลยส่งคนไปจัดการ”
“ป้า!! นี่มันข้อหาร้ายแรงเลยนะครับ ผมว่าป้าใจเย็นและเลิกมโนจะดีกว่านะครับ ถ้าขืนป้าปรักปรำนายหัวอย่างนั้นมีหวังป้าเองจะถูกแจ้งความกลับ”
“แต่ว่า..”
“ทางที่ดีป้ากลับไปบ้านแล้วลองไปดูตามบ้านเพื่อนหรืออาจจะแหล่งมั่วสุมที่พวกหนุ่ม ๆ ชอบไป ลูกชายป้าอาจจะกำลังกกสาวที่ไหนอยู่ก็ได้ครับ”
พรพิศเงียบเสียงลง เธอคิดไว้อยู่แล้วว่าไม่มีทางที่ตำรวจจะช่วยเหลือเธอในเมื่อเมืองนี้อยู่ในอำนาจของนายหัวบัญชร เธอนั่งนิ่งก่อนเหลือบมองบุษยา ใบหน้าซีดเผือดน้ำตาใกล้รินไหล
ในเมื่อลูกชายของเธออาจจากไปไกลแสนไกลแล้ว เธอคงต้องทำหน้าที่คอยดูแลสิ่งที่ลูกชายของเธอรักมากที่สุด นั่นคือเด็กสาวตรงหน้า
“ขอบคุณคุณตำรวจมากค่ะ ป้าคงรบกวนเพียงเท่านี้ แต่ยังไงก็อยากให้คุณตำรวจช่วยดูด้วยอีกทางหนึ่งค่ะ”
“ได้ครับป้า เชิญคนต่อไป”
ป้าพรพิศพาบุษยาลุกขึ้นจากโต๊ะนายตำรวจหนุ่มเมื่อเขาเรียกคนที่นั่งรออยู่ด้านหลังอย่างไม่เกรงใจ มือที่เริ่มเหี่ยวกำมือน้อยของเด็กสาวชื้นเหงื่อไว้แน่น
“ไปกันเถอะค่ะคุณบัว”
“แต่ว่าป้าพิศ พี่แทน ทำไมคะ”
“มันไม่มีประโยชน์หรอกค่ะคุณบัว”
ป้าพรพิศจูงมือของบุษยาลงมาถึงบันไดล่างของสถานีตำรวจประจำอำเภอ หญิงสูงวัยกว่าต้องทำตัวเข้มแข็งเพื่อเป็นหลักให้กับเด็กสาว เธอจับมือของสาวน้อยไว้แน่นก่อนพูดขึ้น
“คุณบัว เรากลับไปรอแทนที่บ้านกันดีกว่าค่ะ สักวันแทนคงจะกลับบ้าน”
บุษยาดวงตาสั่นระริก เธอไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ ป้าพรพิศถึงเลิกตามหาลูกชาย ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่แทนถึงได้หายไป ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณตำรวจถึงไม่ช่วยเหลือ
“เชื่อป้านะคะคุณบัว ถ้าแทนรู้ว่าคุณบัวดื้อรั้นคงไม่ชอบใจ เขาคงอยากให้คุณบัวกลับไปรอเขาที่บ้านแล้วตั้งใจเรียนให้สูง ๆ สักวันเขาจะกลับมาบ้าน เชื่อป้านะคะ”
พรพิศร้องไห้อยู่ภายในเมื่อเอ่ยประโยคปลอบใจเหล่านี้ ทั้ง ๆ ที่เธอรู้อยู่เต็มในทรวงอกว่าลูกชายของเธอคงไม่มีวันกลับมาแล้ว มือที่เริ่มเหี่ยวย่นและหยาบหนาจากการทำงานหนักยังกุมมือน้อยไว้พาจูงเดินตัดถนนไปยังลานจอดรถ
ไม่ต้องเหลือบตามองเธอก็รู้ว่าบุษยากำลังร้องไห้ ไหล่เล็กสั่นสะท้านไม่หยุดจนกระทั่งเข้าไปในรถ และเมื่อรถยนต์ที่ตาพร้อยเคลื่อนออกนอกถนน บุษยาจึงโผเข้าหาป้าพรพิศเต็มตัว
เสียงสะอึกสะอื้นปนเสียงคร่ำครวญแทบทำให้เธอใจสลาย ได้แต่ลูบแผ่นหลัง ลูบศีรษะส่งเสียงพึมพำปลอบโยนทั้ง ๆ ที่ใจของคนเป็นแม่ก็แหลกสลายพอกัน
ภาพในอดีต แม่ของบุษยาเคยแอบชอบพอกับคนในบ้านจนนายหัวบัญชรจับได้ แล้วคนนั้นก็หายไปอย่างไม่มีวันกลับ
ร่างของหญิงวัยกลางคนสั่นเทาไปพร้อมกับบุษยาที่สั่นสะท้านด้วยเสียงสะอึกสะอื้น เธอจะดูแลบุษยาให้ดีอย่างที่เธอรู้ว่าพสุธาลูกชายของเธอจะทำ
บทพิเศษบอดี้การ์ดร่างยักษ์และนายสาวบ้านจรัญทัดทองนอนเอนกายบนเตียงใหญ่ ปีนี้เขาอายุปาไปเกือบจะสี่สิบห้า เคยมีลูกมีเมียมาก่อนและไม่ไว้ใจใครมือคีบบุหรี่สูดอัดเข้าปอดก่อนพ่นควันขาวเป็นทาง มองไปยังด้านข้างสาวใหญ่อวบอิ่มหน้าตาคมสวยร่ำรวยของเมืองใครจะรู้ว่าแท้จริงเธอไม่ได้ช่ำชองอย่างที่คาดไว้แม้แต่น้อย ออกไร้เดียงสาด้วยซ้ำ เมื่อคืนตอนที่ชำแรกครั้งแรกเขารู้ได้เลยว่าเธอแทบไม่เคยได้ใช้งานถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนแรกยิ้มกวนอารมณ์อย่างที่พสุธาชอบแซวผุดขึ้นมุมปากหนา ไม่น่าเชื่อว่าทั้งเขาและเธอกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันเมื่อคืนเพราะความเมาจากงานแต่งของนายหัวพสุธาร่างผิวเข้มจากการตากแดดดึงร่างอวบอิ่มเข้ามาแนบกายพร้อมกับพ่นควันยาว เขานอนอยู่ในห้องพักโรงแรมนายหัวโดยที่สาวลูกเจ้าของบริษัทดังของท้องถิ่นแนบกายเขาจะรออีกสักหน่อยเพื่อปลุกเธอมาต่อสักรอบ อันที่จริงถ้าระยะยาวเลยจะดีมาก เขาชอบหุ่นแสนทรมานใจ เสียงใสหวีดร้องขณะที่ขยับบนร่างเขา เธอปลดปล่อยอารมณ์ได้สวยงามและไม่เสแสร้ง“อือ”เสียงครางแผ่วเบาลอดออกมาจากลำคอเมื่อหญิงสาวในอ้อมแขนขยับกาย เขาจ้องมองดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นเขาโน้มตัวใกล้ และเขาเห็นว
บทที่ 49**จบเปรี้ยง! ซ่า! ซ่า!บุษยารีบวิ่งไปปิดประตูหน้าต่างช่วยป้าพรพิศในชั้นล่างก่อนวิ่งขึ้นชั้นบนเพื่อไล่ปิดตามห้องพสุธาหายไปเกือบอาทิตย์แล้วนับจากวันที่เขาตกน้ำ หน้าหวานคมขุ่นมัว แค่จะง้อเธอยังทำไม่ได้เลยปัง! ปัง!มือเล็กกระแทกหน้าต่างปิดอย่างแรกทีละบานกระทั่งมาถึงห้องนอนของเธอ บุษยาไล่ปิดหน้าต่างไม้ แต่พอถึงบานข้างโต๊ะเขียนหนังสือมือเรียวชะงักไปท่ามกลางสายฝนพัดกระหน่ำจนขาวโพลน ชานบ้านพักหลังเล็กกลับมีผู้ชายคนหนึ่งร่างสูงใหญ่ผิวคล้ำยืนอยู่ ลมกรรโชกแรงจนพัดร่างของเขาเปียกปอน ปากเย้ายวนเม้มแน่นกระแทกบานหน้าต่างปัง!!ภาพร่างสูงใหญ่ยังติดตาจนเธอสะท้านถึงข้างในทรวง อาการเจ็บแปลบที่เป็นมาเกือบสิบวันมลายหายไป ตอนนี้หัวใจดวงน้อยกลับเต้นถี่รัวด้วยความตื่นเต้นเธอหันหลังให้หน้าต่างบานนั้น เสียงลมและฝนยังสาดซัดกระทบหน้าต่างเสียงดังสนั่นจนเธอต้องหันตัวกลับไป มองร่องกลางหน้าต่างบานไม้ของบ้านหลังนี้ที่สร้างมานานนับหลายสิบปีก่อนเธอจะเกิดความเก่าแก่ร่องรอยไม้ซีดจาง ที่จับหน้าต่างทำจากเหล็กสลักลายเก่าขึ้นสนิทเล็กน้อยแต่ยังใช้งานได้ดี ตอนที่ยังเด็กเตี้ยกว่านี้ เธอต้องปีนเก้าอี้เพื่อจับด้ามหน้
บทที่ 48“แม่ครับ”“อ้าวแทน มาทำอะไร ต้องพาหนูบัวไปโรงพักเหรอ”“เปล่าครับ นี่ขนมที่บัวชอบ”พรพิศยื่นมือออกไปรับถุงขนมแล้วเปิดดูก่อนจะยิ้มออกมา“มีแต่ของชอบ รู้ใจคุณบัวเสียจริงลูกแม่”“แล้วบัวล่ะครับ”พรพิศวางถุงขนมลงบนโต๊ะในครัวแล้วพยักหน้าไปยังทิศทางที่เห็นร่างบอบบางเดินออกไป“โน้น อยู่แพหอย”พรพิศพูดไม่ทันจบประโยคร่างสูงใหญ่ของลูกชายพลันก้าวลงจากพื้นห้องครัววิ่งแกมเดินไปยังแพหอยกลางน้ำรอยยิ้มของหญิงวัยกลางคนหุบลงเมื่อแผ่นหลังกว้างเดินออกไปไกลมากแล้ว หวนนึกถึงเรื่องที่คุยกับคุณปู่ของพสุธาเมื่อวานนี้วิลเลี่ยมพ่อของพสุธาเสียชีวิตลงไม่นานนักหลังจากที่เธอจากมาด้วยอุบัติเหตุพร้อมพ่อกับแม่ของวิลเลี่ยมด้วยเช่นกัน เธอไม่เคยบอกสาเหตุที่เธอทิ้งพ่อของพสุธามา แต่เธอเล่าให้ปู่ของเขาฟังวันที่วิลเลี่ยมพาเธอเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้น พ่อกับแม่ของวิล เลี่ยมไม่พอใจมากถึงขั้นโต้เถียงรุนแรงและลงไม้ลงมือ ไหล่พรพิศสั่นเล็กน้อยเมื่อนึกภาพอดีตของคืนเลวร้าย วิลเลี่ยมถูกส่งตัวไปทำแผลในโรงพยาบาลซึ่งต้องทิ้งเธอไว้ที่บ้านกับแม่ของวิลเลี่ยมชนชั้นสูงอย่างบ้านแบล็ครับไม่ได้ที่ลูกชายเพียงคนเดียวมีภรรยาคนละฐานะกัน ต
บทที่ 47กว่าจะได้กลับบ้านอีกครั้งบุษยาและบุหลันเองเพลียเต็มทน ต้องไปให้ปากคำที่กองกำกับการประจำอำเภอเพราะถนนเส้นนั้นเป็นเขตของอีกอำเภอทำให้เสียเวลาเดินทาง“คุณบัว คุณบุหลัน!!”ป้าพรพิศตาโตตกใจเมื่อเห็นคุณหนูทั้งสองสภาพไม่น่าดูนัก เหลือบตามองลูกชายที่ยังหน้าบึ้งเดินตามมาข้างหลัง“เดี๋ยวผมเล่าให้ครับแม่ แล้วคุณปู่ล่ะครับ”“แม่ทำความสะอาดห้องพักข้างบนให้ท่านขึ้นไปพักผ่อนแล้ว”ป้าพรพิศรีบเข้าไปช่วยเข็นรถของบุหลันแทนบุษยาแล้วพาเลี้ยวเข้าไปด้านหลังปล่อยบุษยาไว้กับพสุธาสาวร่างบางรีบก้าวเท้าขึ้นบนบ้านได้ยินเสียงฝีเท้าหนักเดินตามหลังจึงหันไปมอง เห็นคนร่างสูงเดินขึ้นบันไดตามมาด้วย“พี่แทนกลับไปเถอะค่ะ”“พี่จะขึ้นไปหาคุณปู่”บุษยาเม้มปากสะบัดหน้ากลับก่อนแดงซ่านด้วยความอาย เพราะหลงเข้าใจผิดว่าเขาตามง้อเธอ รีบย่ำเท้าเร็วขึ้นแล้วเลี้ยวซ้ายไปยังห้องเล็กผลัก! พสุธาใช้มือทาบยันประตูไว้ได้ทันก่อนที่คนร่างเล็กปิดลงแทรกร่างใหญ่โตเข้าไปโดยที่เธอสู้แรงไม่ได้“พี่แทน!! นี่มันห้องบัว”“แล้วยังไง พี่แค่อยากมาดูห้องเมีย”“บัวไม่ได้เป็นเมียพี่!!”ชายร่างโตไม่โต้เถียงเพียงเดินดูรอบห้องแล้วไปหยุดที่โต๊ะเขียนหน
บทที่ 46พรพิศมองตามหลังสองหนุ่ม แม้ว่าเธอไม่รู้เรื่องของลูกชายตัวเองมากนักว่าหายไปไหนกับใครมาหลายปี รู้แค่ว่าเขาน่าจะไปอยู่กับพ่อผู้ให้กำเนิด แต่ชายชราร่างใหญ่ผิวคล้ำคนนี้ไม่ใช่คนรักเก่าของเธอ“สวัสดี ผมวิลเลี่ยมเป็นปู่ของวิล ดูท่าเราอาจต้องคุยกันยาวนะ”“สวัสดีค่ะ”หญิงวัยกลางคนตรงหน้าตอบเขาเป็นภาษาอังกฤษอย่างที่ชายชราเองก็ไม่อยากจะเชื่อ พรพิศเดินนำชายชราเข้าไปในบ้าน เธอเองก็อยากรู้ใจแทบขาดว่าผู้ชายคนรักเก่าของเธอเป็นอย่างไรบ้าง และเรื่องราวหลังจากที่พสุธาตามหาพวกเขาจนเจอนั่นเป็นอย่างไรเอี๊ยดดด!! โครม!!“โอ๊ย!!”ร่างบอบบางศีรษะโขกกับคอนโซลหน้ารถทันทีที่เกิดอุบัติเหตุ รถคันเล็กของเป็นเอกถูกกระแทกจากการปาดหน้า จนต้องหักพวงมาลัยซ้ายสุดเพื่อให้รถลงไปยังไหล่ทางก่อนจะชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ข้างทางบุษยารีบเอี้ยวตัวไปดูน้องสาวที่นั่งด้านเบาะหลังเห็นร่างผอมบางร่วงลงไปกองกับพื้นรถแต่ไม่เป็นอะไรมากกึก! ตึ้ง! หมับ!“ออกมานี่”คนร่างโตคล้ำดำผมหยิกปิดหน้าตาด้วยผ้าคลุมโหม่งสีดำฉุดร่างของบุษยาออกมาจากรถจนร่างบอบบางเอียงถลาเกือบล้มคว่ำ“พี่เอาไงนิ เป็นตากาลักกาลุย หัวเช้าวานยังแลงว่าคนเดียว[1]”“กูรู้?
บทที่ 45พสุธานั่งไขว้ห้างบนโซฟาในห้องทำงานกระดิกเท้าอย่างร้อนรน มองคุณปู่ผิวคล้ำใบหน้าคล้ายคลึงกับเขาเพียงแต่สูงวัยกว่ามากและผมขาวจนเกือบทั้งศีรษะ“ปู่มาไม่บอกล่วงหน้า”“ถ้าฉันบอก ฉันจะเจอแกไหมแทน”เขามองรอยยิ้มกวนประสาทที่อยู่บนหน้าปู่ก่อนเบือนหนีไปยังด้านอื่นเพื่อปกปิดอาการผิดสังเกตของตัวเอง แต่ไม่รอดพ้นสายตาของผู้สูงวัยที่ผ่านประสบการณ์มาโชกโชน“เป็นอะไร! ปกติไม่เป็นแบบนี้”ชายสูงวัยหันไปถามบอดี้การ์ดคนสนิทของหลานชายรอยย่นรอบดวงตาหรี่ลงด้วยความสงสัย ตามปกติพสุธามักสงบนิ่งและควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดี“ไม่มีอะไรมากหรอกครับมิสเตอร์แบล็ค แค่อาการอกหัก”“พี่ทัด!!”“ห๊า!!”เสียงตะโกนขึ้นมาพร้อมกันของปู่กับหลานทำทัดทองยิ้มกว้างกว่าเดิมหันไปมองหน้าคนปู่ที่ใบหน้าคงฉงนฉงาย“พูดมาเดี๋ยวนี้เลย ผู้หญิงคนไหนกันปฏิเสธหลานของฉัน”“ฮ่า ฮ่า มิสเตอร์ต้องไม่อยากเชื่อแน่ถ้าเล่าให้ฟัง”“พี่ทัด หุบปากไปเลยดีกว่า”เสียงคำรามกร้าวยิ่งทำให้ทัดทองยิ้มอย่างกับคนบ้า เขาอยากจะให้ไอ้หมอนี้โดนคุณปู่อบรมสั่งสอนเรื่องการทะนุถนอมผู้หญิงเสียหน่อย“โฮะโฮ้ ไอ้เสือนี่ไปทำอีท่าไหนเขาถึงทิ้งไป”เสียงปู่ยังขยี้ไม่หยุดจ้อง