บทที่ 10 : การล่อลวง
ภายหลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลง หนิงซีโย่วกลับมาที่ตำหนักของตน ใจเขายังคงเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย การได้รับรู้ว่าหญิงสาวที่ตนมอบใจให้ กลับกลายเป็นบุตรสาวของศัตรูที่หนิงซีโย่วไม่อาจอยู่ร่วมแผ่นดินด้วยได้ ความคิดที่จะล้างแค้นต่อครอบครัวชิงหยวนเปาไม่เคยหายไปจากใจชายหนุ่ม หลังจากหนิงซีโย่วครุ่นคิดอยู่นาน ชายหนุ่มตัดสินใจวางแผนการในการทำลายล้างครอบครัวตระกูลชิง โดยเป้าหมายแรกที่ชายหนุ่มพุ่งเป้าก็คือบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของชิงหยวนเปา “ชิงอี้หราน”
ยามค่ำคืนในวันต่อมา ดวงจันทร์เต็มดวงส่องแสงนวลจ้าท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว แสงจันทร์สะท้อนกับน้ำในสระและพื้นหินอ่อนทำให้บรรยากาศรอบ ๆ งดงามราวกับภาพวาด
สายลมเย็นเบา ๆ พัดผ่านต้นไม้และดอกไม้ในสวน กลิ่นหอมหวานของดอกมะลิและดอกเหมยลอยเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอนของชิงอี้หราน หน้าต่างห้องนอนเปิดกว้างรับลม แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทำให้ห้องนอนสว่างด้วยแสงสีเงินอ่อน ๆ
ภายในห้องนอนตกแต่งอย่างงดงาม เตียงนอนใหญ่ปูด้วยผ้าไหมสีขาวและหมอนปักลายดอกไม้ สะท้อนความหรูหราและงดงาม บนโต๊ะข้างเตียงมีโคมไฟน้ำมันตั้งอยู่ ให้แสงสว่างเพียงพอที่จะมองเห็นสิ่งของรอบๆ อย่างชัดเจน
หนิงซีโย่วแอบเข้ามาทางประตูบานเล็กที่เชื่อมกับระเบียงด้านนอก ชายหนุ่มก้าวเข้ามาอย่างเงียบเชียบ เสียงฝีเท้าเบาบางแทบจะไม่ได้ยิน เขาสวมชุดคลุมสีเข้มที่กลมกลืนกับความมืดรอบตัว ดวงตาคมกล้าแฝงไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย
เมื่อหนิงซีโย่วเดินเข้ามาจนถึงบริเวณเตียงนอน สายตาของชายหนุ่มจับจ้องไปที่ชิงอี้หราน หญิงสาวที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง ใบหน้าของหญิงสาวเงียบสงบและอ่อนโยน ร่างกายของหญิงสาวเปล่งประกายภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องผ่านหน้าต่าง ราวกับดอกไม้ที่แย้มบานรอหมู่แมลงเข้ามาดอมดม ใจของเขากลับรู้สึกถึงความอาดูรและความสับสนระคนกัน ชายหนุ่มยืนอยู่ข้างเตียง จ้องมองดูหญิงสาวอยู่ครู่ใหญ่
หนิงซีโย่วค่อย ๆ ก้าวเข้าไปใกล้เตียงของหญิงสาว เสียงหายใจเบา ๆ ของชิงอี้หรานทำให้ชายหนุ่มหยุดนิ่งเพื่อพินิจ ความอ่อนหวานและความบริสุทธิ์ของนางทำให้เขาเกิดความลังเล หนิงซีโย่วได้แต่เตือนตนเองถึงภาระหนี้ที่มี และเขาต้องดำเนินแผนการของตนต่อไป เมื่อหนิงซีโย่วนั่งลงข้างเตียง ชายหนุ่มยื่นมือออกมาอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้หญิงสาวตื่น หนิงซีโย่วเอื้อมมือไปลูบใบหน้าของชิงอี้หรานอย่างแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าการสัมผัสของชายหนุ่มจะทำให้นางฝันร้าย
"อี้หราน..." หนิงซีโย่วกระซิบเบา ๆ ชายหนุ่มนั่งลงข้างเตียงของชิงอี้หรานและค่อย ๆ ลูบแก้มของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน
ชิงอี้หรานรู้สึกถึงสัมผัสอบอุ่นที่แก้ม หญิงสาวปรือตาตื่นขึ้นมาและพบว่าหนิงซีโย่วอยู่ข้างเตียงของนาง หญิงสาวเบิ่งตาโตอย่างความตกใจ
"หนิงซีโย่ว...องค์ชายห้า ท่านเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร" ชิงอี้หรานถามด้วยเสียงสั่นเครือ แต่ดวงตากลมโตมองชายหนุ่มอย่างงุนงัน
"ข้ามาเพราะข้าคิดถึงเจ้า อี้หราน" หนิงซีโย่วตอบเบา ๆ ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและสายตาหวานซึ้ง
“ท่าน..ข้าไม่ได้ตั้งใจปิดบังท่าน ข้าเพียง...” ชิงอี้หรานพยายามอธิบายความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น
“ข้าไม่อาจรู้เหตุผล แต่ข้าพอจะเข้าใจ เจ้าไม่ต้องกังวลไปมากหรอก” หนิงซีโย่วเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา
หนิงซีโย่วค่อย ๆ ดึงชิงอี้หรานเข้ามาในอ้อมกอดของเขา ชายหนุ่มแนบปากหนาลงบนแก้มนุ่มของหญิงสาวแผ่วเบา ๆ หนิงซีโย่วใช้โอกาสนี้โอบกอดหญิงสาวแน่นและริมฝีปากหนาเลื่อนไล้ไปจรดยังริมฝีปากบางร้อนชื้น หนิงซีโย่วละเลียดปลายลิ้นความหาความหวานอย่างช่วงชิง ชิงอี้หรานรู้สึกเคลิบเคลิ้มและอ่อนระทวยในอ้อมกอดแกร่งของชายหนุ่ม หนิงซีโย่วพยายามล่อลวงหญิงสาวให้เกิดความคล้อยตาม มือไม้ปาดป่ายไปตามร่างบางอย่างไม่อาจข่มใจ ความหอมหวานเย้ายวนทำให้หนิงซีโย่วพยายามฉวยโอกาสในร่างกายของชิงอี้หราน แต่เขาก็ข่มใจมิล่วงเกินไปมากกว่านั้น หนิงซีโย่วไม่อาจตัดใจพรากสิ่งหวงแหนของนางไปได้
"อี้หราน เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ารักเจ้าเพียงใด" หนิงซีโย่วกระซิบเบา ๆ ข้างหูของหญิงสาว
ชิงอี้หรานยิ้มหวานและพยักหน้าเบา ๆ ดวงหน้ายังคงก้มต่ำมิกล้าสบสายตาชายหนุ่ม
หนิงซีโย่วได้ยินคำตอบของหญิงสาว ใจของเขากลับรู้สึกปั่นป่วน แต่ไฟแค้นที่สุมอกยังคงคุกรุ่น ชายหนุ่มโน้มร่างแกร่งเข้าหาหญิงสาวก่อนจะจุมพิตลงบนปากบางอย่างเร่าร้อน รสสัมผัสที่ได้รับเป็นครั้งแรกช่างหวานซึ้ง ชิงอี้หรานได้แต่อ่อนระทวยในอ้อมกอดของหนิงซีโย่ว
"อี้หราน... " หนิงซีโย่วพึมพำแผ่วเบา ๆ ขณะที่ชายหนุ่มกอดหญิงสาวอย่างแนบแน่น
ชิงอี้หรานรู้สึกถึงความอบอุ่นและความรักที่หนิงซีโย่วมีให้ หญิงสาวหลับตาลงและปล่อยใจให้ไหลไปตามความรู้สึก แต่ในใจของหนิงซีโย่ว ชายหนุ่มรู้ว่าความรักและความแค้นเคืองนั้นผสมปนเปกันอย่างซับซ้อน
หลังจากที่ทั้งสองใช้เวลาสักพักในอ้อมกอดกัน หนิงซีโย่วจูบหน้าผากของหญิงสาวเบา ๆ ก่อนที่จะผละออก
"อี้หราน ข้าต้องไปแล้ว" หนิงซีโย่วกล่าวด้วยเสียงเบา ๆ แต่ความลึกซึ้งในสายตาของชายหนุ่มทำให้ชิงอี้หรานรู้สึกเศร้า
เมื่อหนิงซีโย่วออกไปจากห้องนอนของชิงอี้หราน ชายหนุ่มหันกลับไปมองที่ประตูห้องและกล่าวในใจ "ข้าจะทำให้เจ้าและครอบครัวของเจ้าต้องพังพินาศ ชิงอี้หราน เจ้าจะต้องรู้สึกถึงความทุกข์ทรมานเช่นเดียวกับข้า"
แม้จะอดอาดูรไม่ได้ แต่ไฟความแค้นที่สุมอกนั้นยากที่จะทำให้หนิงซีโย่วเปลี่ยนแปลงความแค้นเคืองที่มี หนิงซีโย่วรู้ว่าชิงอี้หรานจะเป็นเป้าหมายสำคัญในการทำลายล้างตระกูลชิงได้ในที่สุด
หนิงซีโย่วเดินออกไปจากตำหนักด้วยความมุ่งมั่นที่จะดำเนินแผนการของเขาต่อไป แม้ใจของชายหนุ่มจะรู้สึกปั่นป่วน แต่ความแค้นที่สุมอกนั้นยากที่จะทำให้เขาเปลี่ยนแปลงความตั้งใจในการล้างแค้นต่อครอบครัวชิงหยวนเปา
บทที่ 64 : จบบริบูรณ์ หลังจากการต่อสู้และความวุ่นวายในราชสำนักได้สงบลง หนิงซีโย่วได้สร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าขุนนางในราชสำนักด้วยการประกาศเรียกตัวครอบครัวสกุลชิงเข้าวัง ในท้องพระโรงที่ประดับประดาด้วยผ้าไหมสีทองและภาพจิตรกรรมที่งดงามบัดนี้เสียงดังเซ็งแซ่อย่างต่อเนื่อง เหล่าขุนนางต่างเฝ้ารอดูเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ พวกเขาต่างพากันคาดเดาเหตุการณ์ต่าง ๆ บ้างมีสีหน้าดีใจ บ้างมีสีหน้าหนักใจปะปนกันไปเมื่อทุกคนพร้อมหน้าในท้องพระโรง ขันทีก็ออกประกาศราชโองการ “ด้วยฝ่าบาทมีพระกรุณาแต่งตั้งใต้เท้าชิงหยวนเปากลับคืนสู่ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี บุตรชายทั้งสามล้วนมากความสามารถ แต่งตั้งชิงหยางบุตรชายคนโตเป็นแม่ทัพบูรพา และชิงเฟยบุตรชายคนเล็กเป็นรองแม่ทัพดูแลกองทัพรักษาดินแดน แต่งตั้งชิงหลงบุตรชายคนรองเป็นที่ปรึกษาราชกิจ จบราชโองการ”เมื่อสิ้นเสียงราชโองการ ขุนนางทั้งหลายล้วนจับต้นชนปลายไม่ถูกเมื่อเรื่องราวกลับพลิกผันเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ หลายคนพยายามเหลือบมองหนิงซีโย่วด้วยไม่อาจคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ผู้เอาแต่ใจคนนี้ได้ คงมีเพียงหลีซานที่ยังคงรักษาท่าทีสุขุม ชาย
บทที่ 63 : ข้ายินดีให้เจ้าลงโทษข้าทุกค่ำคืนในตำหนักบรรทมที่เงียบสงบ แสงจันทร์ส่องแสงอ่อนๆ ผ่านหน้าต่างทำให้ห้องดูมีมนต์ขลัง หนิงซีโย่วและชิงอี้หรานนั่งหันหน้าเข้าหากันบนเตียงผ้าไหมเนื้อนุ่ม สายลมยามค่ำคืนพัดเข้ามาทำให้ผ้าม่านปลิวไหว เสียงหอบหายใจของทั้งสองดังชัดในความเงียบ สายตาทั้งคู่ประสานกันด้วยความโหยหา ความตึงเครียดต่าง ๆ ค่อย ๆ บรรเทาลงหนิงซีโย่วมองชิงอี้หรานด้วยความรู้สึกผสมผสานทั้งความรักและความรู้สึกผิด ในขณะที่เขากำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่างออกมา พลันทหารองครักษ์สามสี่นายก็ก้าวเข้ามาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ชิงอี้หรานทำหน้าตื่นตระหนก เธอสะดุ้งขึ้นอย่างแรง เบี่ยงตัวไปข้างหนึ่งและปกป้องหนิงซีโย่วไว้ข้างหลัง มือบางล้วงกริชสั้นชูขึ้นมา ดวงตาของเธอกวาดมองทหารเหล่านั้นด้วยความแข็งกร้าว ความหวาดระแวงทำให้หญิงสาวพลันกล่าวออกไปด้วยเสียงอันดัง "พวกเจ้าบังอาจนัก"องครักษ์คุกเข่าลง "หม่อมฉันได้ยินเสียงจากภายนอกจึงเข้ามาตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ"หนิงซีโย่วทำหน้าเคร่งครึม พลันตวาดไล่ทหารทั้งหมดให้ออกไป "พวกเจ้าถอยออกไปเสีย ไม่มีคำสั่งข้า ห้ามใครเข้ามารบกวนอีก" เหล่าองครักษ์รีบเร่งเดินจากไปอย่างหวาด
บทที่ 62 : เป็นเจ้าที่คิดถึงข้าหรือเป็นเพราะข้าคิดถึงเจ้ากันแน่ท่ามกลางเงามืดและแสงจันทร์ที่สาดส่อง ชิงหยางและชิงเฟยใช้ประสบการณ์และความชำนาญในการหลบเลี่ยงการสังเกตของผู้คน ทั้งคู่พาชิงอี้หรานเคลื่อนที่ผ่านเงามืดและตรอกที่เล็กแคบและมืดมิดของพระราชวังอย่างเงียบกริบ ท้องฟ้ามืดมิดแสงจันทร์ที่แทรกซึมผ่านยอดไม้ใหญ่สร้างแสงสลัวบนทางเดินที่พวกเขาเคลื่อนที่ไปช่วยให้พวกเขาเห็นทางไปยังตำหนักของหนิงซีโย่วได้ชัดเจนขึ้น เส้นทางที่พวกเขาเดินผ่านนั้นเงียบสงบอย่างน่าประหลาด ชิงอี้หรานไม่อาจห้ามใจได้ที่จะรู้สึกแปลกใจกับความเงียบงันนี้ ไม่มีเสียงของทหารยาม ไม่มีเสียงขององค์รักษ์ ราวกับทุกอย่างถูกระงับเวลาไว้ท่ามกลางความมืดและความเงียบ ชิงหยางกระซิบถามชิงอี้หรานด้วยความเป็นห่วงที่แฝงไว้ในน้ำเสียงที่เบาและอ่อนโยน "อี้หราน เจ้ารู้สึกยังไงบ้าง พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเขาแล้วใช่ไหม" เสียงของเขาเบาและอ่อนโยน พยายามลดความกังวลใจที่นางมีชิงอี้หรานเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ คำตอบของนางแทบจะไม่มีเสียง "ข้าพร้อม ข้าต้องเห็นเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม" คำพูดของหญิงสาวดูมั่นคงแต่ก็ประหนึ่งมีอะไรบางอย่างที
บทที่ 61 : ข้าจะห่วงหาเขาทำไมกันหนึ่งวันก่อนการเดินทาง ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมจนสิ้น ชิงอี้หรานนั่งเหม่อลอยอยู่ที่สวนภายในบ้าน สวนที่เคยเต็มไปด้วยความสดใสและความงดงามของดอกไม้บัดนี้กลับดูเศร้าหมองตามความรู้สึกของนาง ใบหน้าของนางดูหม่นหมอง แววตาเศร้าสร้อยยิ่งนัก เสียงนกร้องขับกล่อม ลมที่พัดผ่านเบาๆ ทำให้บรรยากาศยิ่งเหงาหงอยชิงหยาง ชิงหลง ชิงเฟยต่างมองหน้ากันไปมา พวกเขารับรู้เรื่องจากหลีซานเกี่ยวกับการที่หญิงสาวปฏิเสธชายหนุ่ม ทำให้พวกเขาต่างเข้าใจดีว่าภายในใจหญิงสาวมีใครที่แอบซ่อนไว้ ทั้งสามจึงได้แต่อดเป็นห่วงน้องสาวของตนชิงหลงมีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างรู้สึกเป็นห่วงน้องสาว เขาหยุดมองชิงอี้หรานอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหันไปถามทั้งสองด้วยเสียงเคร่งเครียด "พวกเราปล่อยให้เป็นเช่นนี้จะดีหรือ"ชิงหยางได้แต่ส่ายหน้า เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล "อี้หรานแม้ภายนอกจะดูเรียบร้อยอ่อนโยน แต่พวกเจ้าก็รู้ดีว่านางดื้อรั้นมากเพียงใด"ชิงเฟยรีบถามกลับ "หรือเราควร...เอ่อ...ควรช่วยพวกเขากันดี"ชิงหยางได้ยินคำถามนี้ก็หันมองหน้าน้องชายด้วยสายตาโกรธขึ้ง "ชิงเฟย เจ้านี่นะ" เขาตำหนิด้วยเสียงเข้มชิงเฟยยกมือขึ้นลูบลำคอไปมา
บทที่ 60 : ไม่ว่าจะรักหรือแค้น ข้าก็มิอาจตอบรับผู้ใดได้อีก ในระหว่างที่ครอบครัวสกุลชิงเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไกล แขกประจำบ้านสกุลชิงคงไม่พ้นหลีซาน ชายหนุ่มที่คอยแวะเวียนมาพูดคุย ถามไถ่ รวมถึงช่วยตระเตรียมข้าวของอยู่เสมอแรกเริ่มเมื่อหลีซานถูกกักตัวอยู่ที่จวนของเขา ชายหนุ่มรู้สึกเป็นห่วงครอบครัวสกุลชิงอย่างมาก แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนักนอกจากสืบถามข่าวคราวจากคนใกล้ชิด แต่ข่าวที่ได้รับมามักน้อยนิดและไร้ประโยชน์จนทำให้เขาเครียดและวิตกกังวลกระทั่งราชโองการประกาศเรื่องการปลดชิงอี้หรานออกจากตำแหน่งฮองเฮา ในช่วงแรกที่ได้รับข่าวดังกล่าวหลีซานรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก ภาพความเป็นไปได้ที่ชิงอี้หรานอาจถูกทำร้ายหรือถูกกักขังวนเวียนอยู่ในหัวของเขา ความห่วงใยที่มีต่อหญิงสาวทำให้เขาไม่อาจนอนหลับได้อย่างสงบ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัด แม้ภายหลังจวนของเขาเองจะไม่ถูกทหารควบคุมเช่นเดิม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความกังวลในใจของเขาลดน้อยลงเลย เขาหวังว่าจะมีข่าวคราวเกี่ยวกับชิงอี้หรานที่ปลอดภัย แต่ความเงียบงันอย่างผิดปกติยิ่งทำให้เขาอยู่ไม่เป็นสุขจนกระทั่งวันหนึ่ง ข่าวดีที่เขารอคอย
บทที่ 59 : เรื่องราวระหว่างท่านและข้าขอให้เป็นเพียงฝันชั่วข้ามคืนหนึ่งเถิด ภายในตำหนักที่เงียบสงบ ชิงอี้หรานพักฟื้นอยู่เกือบเดือน ตั้งแต่คืนนั้นหนิงซีโย่วก็ไม่เคยมาหาหญิงสาวอีกเลย ข่าวคราวเรื่องการกบฏถูกปิดเงียบไม่ปรากฏให้ผู้ใดได้รู้ เฉกเช่นไม่เคยเกิดเรื่องราวใดมาก่อน หลังจากนั้นไม่นานหนิงซีโย่วมีราชโองการปลดชิงอี้หรานออกจากตำแหน่งฮองเฮาชิงอี้หรานนั่งอยู่ที่หน้าต่างทอดสายตามองออกไปภายนอก รู้สึกเหมือนดวงตาของนางได้มองทะลุผ่านทุกสิ่ง หัวใจของนางเหมือนถูกดึงออกไปจากร่างกาย มีเพียงความเมินเฉยและความว่างเปล่าเพียงเท่านั้นซิวเอ๋อเดินเข้ามาหานายหญิงของตนด้วยความห่วงใย "คุณหนู ฝ่าบาทมิได้มาหาท่านตั้งแต่คืนนั้นอีกเลย ท่านยังคิดถึงฝ่าบาทอยู่หรือไม่"ชิงอี้หรานยังคงมองออกไปด้านนอกอย่างเหม่อลอย "ความคิดถึงนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความแค้น ข้ารู้ว่าทั้งตัวข้าและซีโย่ว ไม่ว่าจะรักหรือแค้นก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันอีก จากกันวันนี้ก็คงดีกว่าต้องประหัตประหารกันจนใครคนใดคนหนึ่งต้องตายจาก"ซิวเอ๋อมองหญิงสาวด้วยความสงสาร "คุณหนู โปรดทบทวนอีกสักคราเถิด บางทีท่านและฝ่าบาทอาจจะสามารถหาทางแก้ไขแล