บทที่ 2
สีหน้าของหนานกงอี้เฉินดำคล้ำ ต่อให้หญิงตรงหน้าไม่ก่อเรื่อง ไม่ทำอะไรผิด เขาก็ไม่มีวันยอมแตะต้องนางอยู่แล้ว ที่เขาก้าวเข้ามาในห้องหอในคืนนี้… ก็เพื่อจะโยนนางออกไปโดยไม่ต้องเสียคำพูดแม้แต่คำเดียว แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับทำให้ความอดทนขาดสะบั้น กับภาพอัปยศที่สวมทับบนศีรษะราวกับหมวกสีเขียว เขาแทบอยากชักกระบี่ สังหารหญิงโง่เสียตรงนั้น! วันรุ่งขึ้น ยามเช้า หญิงสาวลืมตาขึ้นในห้องหอที่เย็นเยียบ สายตาสะดุดกับผ้าแพรสีขาว… แขวนอยู่กลางห้อง ราวกับคำสั่งประหาร บนโต๊ะ มีใบหย่าหนึ่งฉบับ อักษรสามตัว “ไม่คู่ควร” เขียนด้วยลายมือเย็นชา เมื่อคืน… เจ้าสาวสติไม่สมประกอบผู้หนึ่ง ถูกใส่ร้ายว่ามั่วสุมกับบ่าวไพร่ในห้องหอ ถูกทอดทิ้ง พร้อมเชือกและใบหย่า นางได้ตายไปแล้ว และตอนนี้ ผู้ที่ลืมตาขึ้นใหม่คือ “นักฆ่าจากโลกอื่น” นางค่อยๆ เรียบเรียงความทรงจำที่ไหลทะลักเข้ามา ริมฝีปากของหลินเยว่ซินก็ยกยิ้มเย็นเยียบขึ้น “นับจากนี้ไป หญิงโง่ผู้นั้น ไม่มีอยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว ผู้ที่ฟื้นคืนมา ในร่างนี้! คือข้าวิญญาณที่ไม่ยอมตายง่ายๆ!” แววตาที่เคยว่างเปล่ากลับเปล่งประกายราวกับมีเปลวไฟลุกวาบจากส่วนลึกของจิตใจ ใครเลยจะคาดคิด… ว่าวิญญาณที่แตกสลายจากโลกยุคใหม่ จะกลับมามีชีวิตอีกครั้งในร่างของหญิงสาวผู้อ่อนแอในดินแดนแปลกหน้า โชคชะตาอาจเหี้ยมโหด แต่สวรรค์ยังคงเปิดทางให้ผู้ไม่ยอมจำนน! วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะใช้ชีวิตในนามของเจ้า “หลินเยว่ซิน” คนใหม่! นางได้จากไปแล้ว จงหลับให้เป็นสุขเถิด เพราะข้าจะดำเนินชีวิตแทนเจ้า ให้สมเกียรติและทุกความเจ็บปวดที่เจ้าเคยได้รับ ข้าจะตอบแทนคืนทั้งหมด ไม่ขาดแม้แต่รายเดียว! “สิ่งใดที่ติดหนี้ข้า จักต้องชดใช้คืนเป็นสิบเท่า!” ริมฝีปากที่แห้งแตกระแหง ถูกกัดจนเลือดซึม ในดวงตาอันลึกนั้น ฉายแววเย็นเฉียบราวน้ำแข็งพันปี เมื่อความทรงจำของเจ้าของร่างผสานแนบสนิท นางก็นึกถึงพี่สาวต่างมารดา และกระนั้นท่านแม่รอง คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังของความอัปยศ ที่เกิดขึ้นและโดยเฉพาะ… ชายที่นางเคยรักจนหมดหัวใจหนานกงอี้เฉิน! ช่างน่าขัน ไม่แม้แต่จะหาความจริง ก็โยนจดหมายหย่าแล้วประทานผ้าแพรให้ไปตาย! นางค้นทั่วความทรงจำที่ได้รับ แต่ไม่พบสิ่งใดเกี่ยวกับเหตุการณ์ในคืนสมรส ไม่มีแม้แต่เงาแห่งภาพที่ถูกกล่าวหา หญิงที่เคยโง่เขลาและจงรักภักดีต่อเขาขนาดนั้น จะกล้าคิดมีสัมพันธ์กับบ่าวต่ำต้อยได้อย่างนั้นหรือ! ใครมีตา… ก็ล้วนเห็นว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ แต่ที่น่าเศร้า… ทุกคนกลับเลือกที่จะเมินเฉยทอดทิ้งนางไว้ท่ามกลางความมืด โดยไม่มีแม้แต่เสียงถามไถ่ แม้เพียงคนธรรมดาก็ยังมองออก ว่าเรื่องทั้งหมดนี้ชวนพิรุธ ช่างน่าเศร้า กลับไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง ไม่มีแม้แต่ผู้เดียวคิดจะสืบให้แน่ชัด ทุกสายตาล้วนเย็นชา มองผ่านนางราวกับเป็นเงามืดที่ไม่ควรมีตัวตน สำหรับอ๋องอี้… การลงมือสอบสวนยิ่งเป็นไปไม่ได้ ในสายตาของเขา เรื่องนี้ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ ล้วนทำลายภาพลักษณ์ของเขาทั้งสิ้น ประกอบกับหญิงที่เขาแต่งมานั้นก็เป็นเพียงคนโง่ไร้ค่า การถอนหมั้นเสียตอนนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่เขาปรารถนาอยู่แล้ว และยิ่งหญิงผู้นั้นตายไป ก็ถือว่าปิดฉากทุกอย่างได้สมบูรณ์ แม้จะต้องจ่ายราคาที่หนัก แต่ถ้าแลกกับอิสรภาพของเขาแล้ว นั่นก็ถือว่า “คุ้มค่า” “เอี๊ยด–” ระหว่างที่หลินเยว่ซินกำลังจมอยู่กับความคิดอันคุกรุ่น เสียงประตูไม้เก่าถูกผลักเปิดออก พร้อมเสียงครืดเบาๆ ลมหนาวจากภายนอกพัดกรูเข้ามาอย่างรุนแรง พาเอาความเย็นเยือกปะทะผิวราวกับเข็มนับพัน ผู้ที่ก้าวเข้ามาคือสาวใช้ตัวเล็กคนหนึ่งร่างผอมบาง จนเห็นกระดูก ใบหน้าเล็กๆ แดงก่ำเพราะความหนาว นางก้มหน้าห่อตัว ก้าวเข้ามาอย่างลังเล มือทั้งสองถูกยกขึ้นถูแขนตัวเอง หวังบรรเทาความเย็นที่กัดลึกจนชา หลินเยว่ซินหรี่ตาลงเล็กน้อย เอนหลังพิงเบาะไม้เก่าๆ อย่างสงบ สายตามองอีกฝ่ายอย่างพินิจ ไม่พูดแม้คำเดียว เด็กสาวในชุดเก่าซอมซ่อคนนี้ ถือถ้วยใบเล็กที่มีไอน้ำจางๆ ลอยออกมา น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาสั่นเล็กน้อยตามแรงหนาวของอากาศ “คุณหนูเจ้าคะ…ข้าทำของอร่อยมาให้ท่าน ท่านตื่นขึ้นมาเสียเถิด เฮ้อ…” คำพูดสุดท้ายนั้นคือเสียงถอนหายใจ เต็มไปด้วยความห่วงใยที่จริงใจและความสิ้นหวังที่ยากจะปิดบัง หลินเยว่ซินเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ในความทรงจำของนาง หญิงโง่ที่เคยอาศัยในร่างนี้ เคยได้รับความรักแบบนี้จากใครด้วยหรือ สาวใช้ชื่อ “เสี่ยวถิง” คนนี้ แม้จะพูดกับตนเองเหมือนที่เคยชิน แต่ในวันนี้ นางกลับสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่เปลี่ยนไป สายตานั้น… เย็นเยียบจนทำให้ร่างสั่น นางชะงัก ก่อนจะค่อยๆ หันกลับไปมองด้านหลังอย่างไม่มั่นใจ และเมื่อเห็นว่า “คุณหนู” ของตนลืมตาขึ้นมานั่งจ้องนางเขม็ง นางก็ถึงกับตกใจจนเกือบทำถ้วยในมือตกลงพื้น เสี่ยวถิงรีบวางถ้วยนั้นลงบนโต๊ะไม้เก่าๆ ด้านข้าง ก่อนจะพุ่งเข้าไปเกาะแขนของหลินเยว่ซินแน่น น้ำเสียงสั่นไหวเต็มไปด้วยความดีใจปนตกใจ “คุณหนู! ท่าน..ท่านฟื้นแล้วจริงๆ หรือ! หิวหรือไม่เจ้าค่ะ!ท่าน..ท่านนอนมาตั้งนาน ต้องยังไม่ได้กินอะไรเลยแน่ๆ ไม่ๆๆๆ ท่านต้องดื่มน้ำก่อน!” แต่นางยังไม่ทันพูดจบ ก็ต้องชะงัก… เพราะสายตาของคุณหนูที่นั่งมองนางอยู่นั้น เต็มไปด้วยบางอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน เสี่ยวถิงกลืนน้ำลาย หัวใจเต้นระรัว เสียงที่เอ่ยออกมาก็เบาลงจนแทบกลืนหาย “คุณหนู…ท่าน…ท่านเป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ อย่าทำให้ข้าตกใจ…” ภาพจำค่อยๆ ผุดขึ้นในหัวของหลินเยว่ซิน “เสี่ยวถิง” สาวใช้ที่ติดตามร่างนี้มาตั้งแต่เล็ก เป็นผู้เดียวที่ไม่เคยทอดทิ้ง ไม่เคยหันหลังให้ แม้จะเรียกกันว่านายบ่าว แต่ความผูกพันแท้จริง… ใกล้เคียงคำว่า “พี่น้อง” มากกว่า หากเทียบกับพี่สาวต่างแม่ในจวน ที่ลับหลังยิ้มหวาน แต่ซ่อนมีดไว้ใต้แขนเสื้อ เสี่ยวถิงผู้นี้… มีค่ามากกว่าร้อยเท่าพันเท่า ในยามที่ทุกคนรังเกียจ ดูหมิ่นหญิงโง่ที่ไม่มีใครเหลียวแล เสี่ยวถิงคือคนเดียวที่ยังอยู่เคียงข้าง สิ่งใดดีๆ ก็แบ่งให้นายหญิงก่อนเสมอ ทุกครั้งที่โดนดุด่า หรือถูกตีจนตัวช้ำ เสี่ยวถิงจะคอยยืนข้างเธอเสมอ แม้ต้องบาดเจ็บไปด้วยกัน ก็ไม่เคยร้องขอให้ถอยหนีแม้แต่ครั้งเดียว เสี่ยวถิง เด็กหญิงคนนี้ เป็นคนที่หลินเยว่ซินเก็บมาได้โดยบังเอิญเมื่อครั้งนางอายุเพียงสามขวบ ส่วนเสี่ยวถิงในตอนนั้นก็เพิ่งหกขวบ เด็กน้อยตัวผอมแห้งที่ไม่มีใครต้องการ ค่อยๆ เติบโตเคียงข้างนางมาโดยตลอด ริมฝีปากของหลินเยวซินกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงอย่างสุดความพยายาม “ไม่เป็นไร ข้าสบายดี” เพียงประโยคนั้น เสี่ยวถิงก็ตัวแข็งทื่อ เบิกตากว้างราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสก “คุณหนู…ท่านพูดได้แล้ว! อะ ไม่สิ! ข้าปากเสียอีกแล้ว…” นางรีบยกมือตบปากตัวเองเบาๆ อย่างหงุดหงิด แล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ทั้งดีใจทั้งตกใจ “ท่านพูดประโยคเต็มได้แล้วจริงๆหรือ !” เมื่อเห็นเด็กสาวตรงหน้าพูดพล่ามไม่เป็นคำ ด้วยความตื่นเต้น หลินเยว่ซินก็ยื่นมือออกไปคว้ามือของอีกฝ่ายเบาๆ พลางถอนหายใจอย่างระอา “พอแล้วๆ จะดีใจอะไรนักหนา มานั่งเงียบๆ หน่อยสิ” นางยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วด้วยความปวดหัว เด็กคนนี้…นิสัยก็ดีน่ะใช่ แต่ปากก็ช่างเจื้อยแจ้วเหลือเกิน! เสี่ยวถิงน้ำตาร่วงพลางหัวเราะ ราวกับไม่รู้จะปล่อยอารมณ์แบบไหนก่อนดี แล้วก็โผเข้ากอดหลินเยวซินแน่น กอดทั้งน้ำตาทั้งเสียงสะอื้น “ดีแล้ว…ดีจริงๆ …”บทที่ 77หลินเยว่ซินหัวเราะเบาๆในลำคอ นางยกมือขวาขึ้นอย่างเชื่องช้าปลายนิ้วขาวซีด เรียวยาวราวหยกสลัก เผยฝ่ามือที่แบออกในมือนั้น คือเข็มทองสองเล่ม สิ่งที่เขารู้จักดียิ่งกว่าผู้ใดในใต้หล้า ดวงตาดำสนิทของเขาฉายแววบางอย่างวูบไหว แต่ยังแสร้งยิ้มบางประหนึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราว “เข็มทองรึ…หน้าตาก็แปลกดี” เสแสร้งหรือ? หลินเยว่ซินเพียงยิ้มเล็กน้อยอย่างรู้ทัน แต่หาได้เอ่ยวาจาเปิดโปงหรือกดดันใดๆ นางเพียงหยิบเข็มเล่มหนึ่งขึ้นมาช้าๆ หมุนปลายเรียวอย่างแผ่วเบาในระหว่างนิ้ว “งั้นหรือ… ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” เสียงของนางเยียบเย็นดุจหิมะตกกลางฤดูร้อน แฝงรอยประชดประชันที่คมกริบเกินกว่าจะถูกจับผิดได้ “ของบางอย่าง ต่อให้ภายนอกงดงามเพียงใด ก็อาจซ่อนพิษร้ายในทุกเสี้ยวของเนื้อแท้” กล่าวจบ นางก้าวขึ้นอีกก้าว ยืนประจันหน้ากับเขาในระยะประชิดใกล้เสียจนได้ยินแม้เสียงลมหายใจ หลินเยว่ซินมองเขานิ่งๆ ในใจกลับยกย่องอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ บุรุษผู้นี้… ไม่สิ เด็กหนุ่มผู้นี้ กลับมีจิตใจลึกซึ้งเกินวัย ราวกับเคยผ่านศึกหนักนับร้อยสนาม ชั้นเชิงของเขา… ไม่ใช่สิ่งที่เด็กคนหนึ่งควรมี หากแต่ลึกล้ำประหนึ่งสืบทอดจากบรรพชน
บทที่ 76คิ้วเรียวของหลินอวี้เฉิงขมวดแน่นเล็กน้อย ก่อนจะถอดผ้าคลุมไหล่ออกแล้วค่อยๆ คลี่มันออกด้วยมืออันอ่อนโยน โอบคลุมร่างที่สั่นไหวของมารดาไว้แน่น แววตาที่ทอดมองเต็มไปด้วยความห่วงใยลึกซึ้ง ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด มีเพียงความเงียบงันที่อ่อนโยนปกคลุมอยู่รอบตัวทันใดนั้น เสียงทรงอำนาจก็ดังขึ้น“เจ้ามาทำอะไรที่นี่!”หลินเทียนหยู่ตวาดลั่น แววตาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะที่แทบจะระเบิดออกมาเสียให้ได้ ความขุ่นเคืองในอกพลันพุ่งพล่านราวอยากทำลายทุกสิ่งตรงหน้าให้พินาศในขณะที่บรรยากาศตึงเครียดถึงขีดสุด เสียงหัวเราะเบาๆ พลันดังขึ้นหลินเยว่ซินก้าวเข้ามาอย่างสงบนิ่ง แขนข้างหนึ่งพาดอยู่บนไหล่ของหลินเทียนเฟิงด้วยท่าทีไม่ใส่ใจนัก แม้จะเผชิญหน้ากับบิดาโดยตรง แต่ดวงตาคู่นั้นกลับไม่เหลือบมองแม้แต่น้อยนางยกมือขึ้นช้าๆ ปลายนิ้วเรียวยาวลูบไล้เล็บสีแดงที่แต้มไว้อย่างประณีต ท่าทางเหมือนไม่พอใจนัก แต่คำพูดที่หลุดออกจากปากกลับแทงใจผู้เป็นบิดาเข้าอย่างจัง“ฝีมือของท่านพ่อ… พวกเราลูกๆ ล้วนได้ประจักษ์กับตาแล้วเจ้าค่ะ”เสียงของหลินเยว่ซินเยียบเย็นดุจน้ำค้างยามเหมันต์ ล่องลอยอยู่กลางอากาศ เงียบงันราวกับคมดาบกรีดลงกลางอ
บทที่ 75ขณะนั้นเอง ขุนนางวัยกลางคนผู้หนึ่งเบียดฝูงชนเข้ามา ชุดขุนนางของเขาเบียดเสียดกับแขนเสื้อผู้อื่นอย่างไม่เกรงใจในมือมีห่อเอกสารถูกพับอย่างดี“ฮ่ะฮ่าๆ! มาแล้ว มาแล้ว ทุกท่านทั้งหลาย พวกท่านอยากรู้เรื่องนี้มากใช่หรือไม่ เช่นนั้น ดูสิ! ดูสิ่งนี้คืออะไร!”ผู้คนแย่งกันไปหยิบอ่าน พอเพียงกวาดตาไปไม่กี่บรรทัดก็พากันหัวเราะเสียงดังไม่หยุดทุกสายตา หันขวับไปยังชายผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อม โดยไร้ซึ่งความเข้าใจใดๆสายตาเหล่านั้นเจือทั้งความเวทนา เสียดสี และความสะใจ…ปะปนกันจนยากแยกแยะหลินเทียนหยู่คิ้วกระตุกเล็กน้อย ก่อนที่หัวใจจะเต้นแรงขึ้น สัญชาตญาณของแม่ทัพผู้ผ่านศึกนับไม่ถ้วนกำลังกระซิบบอกเขาว่า…ในเอกสารนั้น ต้องมีเรื่องอัปยศเกี่ยวกับเขาอย่างแน่นอนเขาพุ่งมือไปคว้ากระดาษแผ่นหนึ่ง ดวงตาคมกริบไล่กวาดตัวอักษรทีละบรรทัด…“ภรรยาคนแรกของท่านกั๋วกงตระกูลหลิน คือแม่นางสกุลโหว หลินเทียนหยู่รักนางดั่งชีวิต แต่ไม่ได้ใส่ใจสกุลหลี่แม้เพียงน้อยหลี่อวี้หรงเฝ้าเรือนอย่างเดียวดาย อกอัดตันใจจนต้องระบายกับคนรับใช้ในจวนจากนั้น…ไม่นาน นางก็ตั้งครรภ์ และให้กำเนิดหลินอวี้ซิง…”ราวกับฟ้าผ่าลงตรงกล
บทที่ 74 “ท่านแม่รอง…” เสียงของหลินเยว่ซินอ่อนลง พลางยกมือลูบหว่างคิ้วด้วยท่าทีปวดหัว “ขอเถิด…วันหนึ่งจะปล่อยให้ข้าอยู่อย่างสงบบ้างไม่ได้หรือ?” คำพูดที่ทั้งเฉื่อยชาและรำคาญนั้น เล่นเอาหลี่อวี้หรงถึงกับจุกอก พูดไม่ออกสักคำ ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยโทสะ แทบจะสำลักโลหิตออกมา! นางผู้นี้…ยังจะกล้าแสร้งไม่รู้เรื่อง อยู่อีกหรือ! หลี่อวี้หรงกัดฟันแน่น พยายามข่มกลั้นโทสะที่แทบปะทุขึ้นมาท่วมอก นางจ้องเขม็งไปยังหญิงสาวตรงหน้าอย่างโกรธเคือง “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะถามให้ชัด!” “เมื่อคืน…มีคนเห็นสาวใช้ของเจ้าลอบออกไปข้างนอก แล้วกลับมาช้ามาก! จากนั้น เช้าวันนี้ ใบปลิวก็ว่อนเมือง! เรื่องเมื่อคืนกับเรื่องฐานะบุตรสาวข้าก็ถูกพูดกันให้ทั่ว! เจ้ายังจะกล้าปฏิเสธอีกหรือว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าแม้แต่น้อย!” หลินเยว่ซินยกมุมปากนิดๆ เอ่ยเสียงเนิบไม่ทุกข์ร้อน “เมื่อวาน…ท่านแม่รองเพิ่งกล่าวหาว่าข้าเป็นลูกนอกสมรสไม่ใช่หรือ? วันนี้…ก็รีบร้อนมาแต่เช้าเพื่อด่าข้าว่าปล่อยข่าวลือใส่พี่รอง ท่านไม่เหนื่อยบ้างหรือ หรือว่าหากวันใดไม่ได้หาเรื่องข้า ท่านจะกินไม่ได้ นอนไม่หลับเสียกระมัง” “เจ้า…!” “ท่านนี่สมกับเป็นมารด
บทที่ 72 ณ เรือนเยว่หยวน หลังจากเสี่ยวถิงจัดเตียงของคุณหนูเรียบร้อยแล้ว นางก็ลอบม้วนตัวกลับไปยังเรือนข้างอย่างเงียบงัน เพื่อพักผ่อน ในห้องที่เงียบมืดสนิท หลินเยว่ซินขยับนิ้วเพียงน้อยร่างของนาง ก็เลือนหายเข้าสู่มิติลับในพริบตา ภายในบ่อน้ำแห่งวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ไออุ่นลอยคลุ้งบางเบา ปกคลุมทั่วผืนอากาศ สตรีนางหนึ่งนั่งพิงแผ่นหินใหญ่ด้วยท่วงท่าเกียจคร้าน ร่างเปลือยเปล่าแช่อยู่ในน้ำอย่างไม่ไยดี ริมฝีปากโค้งรอยยิ้มจางคล้ายเบื่อหน่าย มือหนึ่งของนาง ลูบไล้ไข่อสูรเบาๆ ไข่ใบนั้นมีขนาดใหญ่เกือบเท่าเด็กวัยห้าขวบ เนื้อไข่โปร่งแสงบางส่วน แผ่พลังหม่นลึกลับที่หมุนวนอยู่ภายในอย่างแผ่วพลิ้ว พลังนั้น…เหมือนมีชีวิตของตน “เจ้านี่…โตช้าชะมัด โตช้าจนข้าเริ่มรำคาญแล้วนะ” เสียงบ่นของนางเบาแผ่ว ทว่าแฝงด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม คล้ายตำหนิของเล่นไร้ประโยชน์ที่ยังไม่ยอมเผยบทบาทสำคัญ ดวงตาสีม่วงเฉียบคมเหลือบมองไข่ใบนั้น ประกายหยอกล้อผสานแววเยาะหยันฉายชัดในดวงตาคู่งามหมั่นไส้ปนเอ็นดู… น้ำและดินในมิติแห่งนี้…หาใช่สิ่งของธรรมดาที่พบเห็นในโลกภายนอกไม่แต่กลับอวลไปด้วยพลังแห่งฟ้าดินอันมิอาจลบล้างได้ง่ายแ
บทที่ 71สายตาคมกริบดั่งคมของหนานกงเยี่ยนหลัว จับจ้องไปยังอ่างปลาทรงประหลาดใบหนึ่ง สิ่งเดียวที่ดูไม่เข้ากับบรรยากาศเรียบสงบภายในเรือนในน้ำนิ่งใสสะอาดเรียบเย็น…เศษหยกโลหิตนั้น ที่แตกละเอียดก่อนหน้านี้ กำลังค่อยๆรวมตัวกลับเป็นรูปลักษณะเดิมอย่างเชื่องช้า ทว่า ดูลี้ลับยิ่งนัก เขาขมวดคิ้วเบาๆ เบิกตากว้างอย่างอดใจไม่ไหว“นี่มัน… อะไรกันแน่?”เสียงหัวเราะแผ่วเบาๆดังขึ้นจากข้างกายหลินเยว่ซิน หญิงสาวผู้สงบนิ่งคล้ายไม่แยแสสิ่งใด มือขาวเรียวเอื้อมไปหยิบหยกโลหิตขึ้นจากอ่างน้ำ ก่อนกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ ดูคล้ายเรื่องไร้สาระ“ก็แค่ หยกโลหิต อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้จัก”นางพลิกหยกโลหิตไปมาในมือราวกับของเล่น แสงจากโคมไฟสาดกระทบผิวหยกจนสะท้อนประกายสีเลือดงดงาม กลับดูไร้รอยตำหนิ งดงามยิ่งกว่าก่อนจะแตกเสียอีก“ดูเหมือนว่า สายน้ำในมิติของข้า จะมีคุณวิเศษเกินคาด” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงรอยขบขัน ขณะมองชายหนุ่มที่เริ่มทำหน้าเคร่งเครียดเขารู้จักหยกโลหิต แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจที่สุด กลับไม่ใช่หยก เขายกมือชี้ไปยังอ่างปลาทรงประหลาดนั้นทันที “ข้าหมายถึง เจ้านั่นต่างหาก!”นางปรายตามองตามนิ้ว ก่อนจะหัวเราะ