ฉันนักศึกษาปี 2 คณะเกษตร มหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่ง ใครๆ ต่างเรียกฉันว่า “อี้หมิง” ฉันเป็นคนเฉิ่มประจำห้อง แถมซุ่มซ่ามไม่มีใครเกิน วันหนึ่งขณะไปออกค่าย ฉันเป็นลมแดดขณะกำลังปล่อยน้ำเข้าแปลงเกษตรอยู่แล้วก็จำอะไรไม่ได้ ฟื้นขึ้นมาอีกทีก็เห็นป้าแก่ ๆ กำลังกอดตัวฉัน ใช่ฉันรู้สึกว่าเป็นอย่างงั้นนะ ร้องไห้ฟูมฟายอยู่ แล้วสภาพที่ตื่นขึ้นมาถือ อยู่ในบ้านไม้หลังคามุงด้วยฟางเก่า ๆ ห้องแคบๆ มีแต่ฝุ่น ไหนจะเสื้อผ้าเปื้อนๆ นี่อีกล่ะ
“เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ยยย!!” อี้หมิงหันซ้ายขาว ที่นี่ที่ไหนกัน
“หมิงอี้ ลูกแม่ ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาข้า” หญิงสูงวัยรีบคว้าร่างลูกสาวมากอด
“ป้าเป็นใครอ่ะ แล้วหนูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” อี้หมิงใช้มือค้ำดันอ้อมกอดของหญิงแปลกหน้าไว้
“โถ่เอ๊ยลูกรัก เจ้าคงสลบจนเลอะเลือนเป็นแน่แท้” หญิงตรงหน้าส่ายหน้าแล้วรวบเธอเข้าสู่อ้อมอก พลางลูบเนื้อตัวเธออย่างปลอบประโลม
“เจ้าคือ หมิงอี้ ลูกของข้า อี้เฟิน ยังไงละพอจะคุ้นบ้างรึไม่”
อี้หมิงส่ายหน้า เธอกำลังฝันอยู่ ๆ แน่ๆ หญิงสาวคิดดังนั้นจึงฟาดมือเรียวตบที่แก้มตัวเองอย่างแรง
“โอ๊ย!! เจ็บ”
“นั่นเจ้าทำอะไรกันเล่า ไปตบตีตัวเองทำไมกัน”
“หนู เออ” อี้หมิงยังไม่เชื่อ รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว พลันความเจ็บปวดจากการโดนทารุณก่อนหน้าก็วิ่งชนเธออย่างจัง สาวน้อยโอดโอ๊ยออกมาด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ยยยย” ร่างบางทรุดลงกับพื้นทันที หญิงสูงวัยเห็นลูกสาวทรุดลงก็รีบเข้าไปหา
“หมิงอี้ลูก อย่าพึ่งลุก พวกคนใจร้ายมันบังอาจมาซ้อมเจ้าเพียงแค่เจ้าไปแย่งซาลาเปาลูกนั้นมาได้ จากเศรษฐีในเมืองที่มาแจกอาหาร ต้องโทษแม่ที่เกิดมาจน ลูกถึงอยู่อย่างยากลำบากแบบนี้ โถ่วลูกรัก แม่ขอโทษ ขอโทษเจ้า แม่ผิดเอง ฮึก ฮึก”
อี้เฟินนางมองดูลูกสาวตัวน้อยอย่างอนาถในใจ พลันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ร่ำไห้ออกมาอย่างนึงเวทนาตนเอง หน้าตาที่บัดนี้เขียวคล้ำจากการโดนเด็กเร่ร่อนรุมทำร้าย ไหนจะเนื้อตัวที่โดนข่วนเป็นทางยาว ผมเผ้าของนางโดนดึงจนยุ่งเหยิงจนไม่เป็นทรง
ด้านหมิงอี้ ได้แต่อึ้ง นี่เราฝันเป็นตุเป็นตะขนาดนี้เลยหรอนี่ ตื่นได้แล้วมั้ง เธอรู้สึกร่างกายปวดร้าวไปทั้งตัว จึงลุกขึ้นใหม่แล้วตัดสินใจวิ่งชนเสาอย่างแรงเพื่อจะให้ตื่นจากความฝันอันเจ็บปวดเหมือนจริงนี้
“ตึ้งง! ตุบ!”
“หมิงอี้!!!!”
อี้เฟินตะโตนอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ ลูกสาวนางก็ลุกขึ้นวิ่งชนเสาไม้ของบ้านจนลมตึ้งลงไปนอนแน่นึ่งที่พื้น นางรีบเข้าไปประคองร่างบางของลูกสาวแล้วเขย่าอย่างแรง ก็ไร้การตอบรับ จึงค่อย ๆ ยื่นมือไปอังจมูกในใจเต้นระทึกเหมือนกลองรัว หน้าถอดสี
“เฮ้อออ! ค่อยยังชั่วหน่อย นี่ลูกข้าเกิดอันใดขึ้นกับเจ้ากันทำไมทำกับตัวเองเยี่ยงนี้ รึเจ้าไม่อยากอยู่กับแม่แล้วรึ ฮึก ฮึก”
เมื่อที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลายกขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสาย พยายามยกประคองร่างลูกสาวไปนอนบนตั่งเตียงไม้แข็งๆ ที่ไม่มีเพียงฟางหญ้ารองไว้พอให้มีความนุ่มขึ้นมาบ้าง จากนั้นก็ลงมือเช็ดเนื้อเช็ดตัวที่มอมแมมเปื้อนไปด้วยดินโคลนจากการต่อยตีก่อนหน้านี้ออก และนำเสื้ออีกชุดซึ่งไม่จากจากชุดที่นางสวมอยู่ที่ผ่านการประเย็บแล้วเย็บอีกจนแทบมองไม่ออกว่าเป็นชุดจากผ้าผืนเดียวกัน เสมือนผ้าจากหลายผืนที่เหลือแล้วนำมาประเย็บให้เป็นผืนใหญ่ขึ้นแทน
3 วันผ่านไป
อี้หมิงในร่างของ หมิงอี้ก็ฟิ้นขึ้นมา รอบนี้สาวน้อยรู้สึกสดชื่นขึ้นจากความรู้สึกครั้งแรกมาก กายบางบิดขี้เกียจไปมาแล้วมองไปรอบ ๆ มือสะดุดกับฟางหญ้าที่ตนนอนทับอยู่
” เอ๊ะ! นี่เรายังไม่ตื่นอีกหรอเนี่ย” จึงเอนกายแล้วนอนลงไปอีกรอบ หลับตาแน่นแล้ว
“ฮึบ!!” ลืมตาขึ้นก็ยังเป็นหลังคามุงฟางหญ้าเช่นเดิม
งั้นลองใหม่ หญิงสาวพูดกับตนเอง
“ฮึบ!!! พรึบ” เฮ้ย!! นี่มันไม่ใช่แล้ว จึงลองใช้มือหยิงไปตามตัวตามแก้มตัวเองอย่างแรง
“โอ๊ะ โอ๊ยย!” สาวน้อยร้องอุทานแล้วเบิกตากว้างทันที นี่คือความจริงหรือนี่ คิดได้ดังนั้นจึงลุกวิ่งไปทางประตู ไปมองดูด้านนอกบ้านทันที
“เฮ้ยยย!” สาวน้อยอุทานออกมา ในสายตาเธอตอนนี้รอบ ๆ บ้านเป็นกำแพงรั้วไม้ ด้านหน้าเป็นทุ่งว่างเปล่า มีบ้านที่เรียกได้ว่า กระท่อม ถัดเธอออกไปอีกหลายหลัง มองเลยไปอีกด้านเห็นเป็นหลังคากระเบื้อง หลังใหญ่ ปลูกติดกันเป็นโซน แต่ละหลังมีพื้นที่มากทีเดียว มีรถม้าวิ่งผ่านไปมาทางด้านนั้น อีกฝากมองไปเห็นคนเดินขวักไขว่ มีเสียงกระดิ่ง เสียงตะโดน เรียกให้ซื้อของไม่หยุด ผู้คนสวมชุดเหมือนในหนังจีนโบราณที่เคยดูผ่านตา สีสันสดใสเดินจับจ่ายซื้อของ สาวน้อยมองอย่างอึ้ง ๆ พลันยกแขนที่หยิกเมื่อครู่ขึ้นมาดูก็เห็นเป็นปื้นแดงเถือก อ้าปากหวออย่างไม่อยากจะเชื่อ นี่เธอทะลุมิติมาหรือนี่ แล้วที่นี่ที่ไหนกัน ยุคอะไรกัน แล้วบ่นโอดครวญในใจ
“แหมะ จะทะลุมาทั้งทีให้ข้าไปเกิดในตระกูลดี ไป หน่อยก็ไม่ได้ พลางยกแขนเสื้อที่มอมแมมขึ้นมาดู มองดูรอบ ๆ ตัวที่เธออยู่ตอนนี้ก็เดินคอตกกลับไปนั่งบนตั่งฟางหงอย ๆ
…………………
เจ็ดวันต่อมาหลังจากคดีความเสร็จสิ้นลง บัดนี้ร้านเทียนฝูกลับมาเปิดตามปกติซึ่งแน่นอนว่ามันคึกคักเกือบเท่าตัว ผักของนางที่สร้างขึ้นมากับมือต่างขายดีเป็นอย่างมากทำให้เวลานี้ทั่วทั้งบริเวณฝั่งหมู่บ้านคนอพยพคึกคักเป็นพิเศษ เฉิงอี้ที่เห็นหมิงอี้ยืนเหม่อมองบรรยากาศร้านอยู่ก็รีบสืบเท้าเข้าไปหาอย่างรวดเร็วด้วยความคะนึงถึง“หมิงอี้”“อ้าวเฉิงอี้”“ยินดีกับเจ้าที่สามารถกลับมาเปิดร้านได้เช่นเดิม ดูคึกคักทีเดียว”“อืม ต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วยข้า”“หึ! เรื่องเช่นนี้แน่นอนว่าสำหรับข้าเจ้านั้น...”“แน่นอนสหายเช่นข้า ทั้งงดงามทั้งเป็นคนดี ชาตินี้เจ้าจะไปหาจากที่ใดใช่หรือไม่” หมิงอี้พอเดาออกว่าเฉิงอี้จะกล่าวเช่นไร เรื่องนี้หมิงอี้นั้นนอนคิดมาตลอดทั้งคืนหลังจากก่อนจากกันที่ศาลต้าหลี่วันนั้นระหว่างนั่งรถม้ากลับเฉิงอี้ได้สารภาพความในใจกับตน แต่หมิงอี้นั้นคิดว่าเรื่องนี้เช่นไรย่อมต้องไม่เกิด หมิงอี้นั้นเมื่อทบทวนตัวเองพบว่านางอยากใช้ชีวิตเรียบง่ายกับมารดาและสหายเช่นอู๋ไป๋และเฟิน เฟิน มิได้อยากมียศมีตำแหน่งและต่อสู้แย่งชิงกับสตรีอื่นใดเฉิงอี้ครั้นได้ฟังหมิงอี้กล่าวก็พอรู้ความนัย ใบหน้าคมคายหล่อเหลาราวหยกสลักก
‘พิษปรอทหรือ! ละแล้วที่ข้ากินไปเล่า’ กู้ไห่ซินครางในใจ เมื่อคืนพวกตนจัดงานเลี้ยงให้กับกิจการที่ไปได้ดีโกยเงินได้เป็นกอบเป็นกำจึงคิดจะลองชิมมันซักครั้ง และตนนั้นกินไปมากทีเดียว ครั้นคิดถึงตรงนี้พลันก็เกิดอาการคอแข็งขึ้นอย่างรวดเร็วจนมิอาจอดกลั้นได้ ทำให้เขานั้นต้องรีบวิ่งออกมายังด้านนอกแล้วล้วงคออ้วกออกมาในทันที ซึ่งไม่ต่างกันกับเฉินอ๋องที่พยายามเก็บอาการพะอืดพะอมภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง“เอาล่ะเรื่องนี้ยังไม่กระจ่าง วันนี้ยังหาข้อยุติไม่ได้!” เหวินกงมู่หน้าซีดเพราะเมื่อคืนตนนั้นก็คิดพิเรนทร์กินกันไปเสียมาก จนเมื่อรู้ต้นตอสาเหตุที่ทำให้ชาวเมืองป่วยในเวลานี้เขานั้นก็อดที่จะเหงื่อตกเสียมิได้ เหวินกงมู่บัดนี้มือชื่นเหงื่อไปเสียหมดหากแต่เขานั้นพยายามเก็บอาการไว้และเร่งตัดสินคดีตรงหน้าแบบขอไปทีเพื่อที่ตนนั้นจะรีบไปให้หมอตรวจดูเสียหน่อย ‘ไม่ได้พึ่งได้เงินก้อนใหญ่มาจะมาชิงตายก่อนได้อย่างไรกัน’ ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดว่าจะตัดสินคดีนี้อย่างไรเสียงหวานของสตรีที่กำลังถูกพิพากษาอยู่ในเวลานี้ก็ทำให้เขาสะดุ้งน้อย ๆ จนจำใจต้องแก้ไขสถานการณ์ไปก่อน“เช่นไรท่านเจ้ากรมหลักฐานข้ามากมายแลครบถ้วนถึงเพียงนี้ ท
สิ้นเสียงเอ่ยอนุญาตก็ปรากฏร่างสูงปราดเปรียวใบหน้าเคร่งขรึมเย็นชาไร้อารมณ์ขึ้น เขาเดินเข้ามาอย่างองอาจ ท่าทางหยิ่งผยองของเขานั้นสร้างเสียงฮือฮาให้แก่ชาวเมืองเป็นอย่างมาก และยิ่งเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้นไปอีกเมื่อด้านหลังเขานั้นมีเหล่าบุรุษเพศร่างกายผอมกะหร่องดูราวกับคนขี้โรคราวสิบคนเดินเรียงแถวตามหลังกันเข้าไปยังด้านในศ่าลต้าหลี่“นี่หนะหรือพยานที่เจ้าว่า” กู้ไห่ซินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างดัง เขาหรือก็นึกว่านางจะแน่นึกว่าหลักฐานที่นางว่าจะสร้างปัญหาให้เขาซะอีก“ท่านเสนาบดีอย่าได้พึ่งดีใจไป ลองฟังข้าก่อนสิเจ้าค่ะ” หมิงอี้แสยะยิ้มมุมปากก่อนจะเชิดหน้ากอดอกเอ่ยออกมาอย่างมิได้นึกหวั่นกลัวแต่อย่างใด เอาสิข้าตายแล้วฟื้นแถมย้อนเวลาวันนี้จะไม่ยอมเสียชาติเกิด และเกิดแล้วตาย ตายแล้วฟื้นอย่างเด็ดขาด หึ!“ฮึ ๆ” กู้ไห่ซินลูบเครายาวพร้อมทั้งยิ้มเต็มหน้าอย่างยียวน ก่อนจะละมือจากเครายาวที่กำลังลูบอยู่ก่อนจะผายมือให้นางได้ชี้แจงตัวเองให้เต็มที่ เช่นไรเขานั้นก็ย่อมมีทางหนีทีไร่ ก็แค่ตอบไปว่าเป็นผักที่ซื้อจากร้านของนาง หึ!“ท่านเจ้ากรมคนตรงหน้าท่านในเวลานี้ล้วนเป็นคนงานจากไร่ของตระกูลกู้ ไร่ที่ท่านใช้ปลูกผั
เสียงกลองร้องทุกข์หน้าศาลต้าหลี่ดังขึ้นแต่เช้าตรู่ เหวินกงมู่รีบวิ่งออกมาดูด้วยอารามตกใจและมีอารมณ์นักด้วยเวลานี้ยังเช้าตรู่ และแน่นอนว่าวันนี้ตนเองนั้นไม่มีงานที่จะต้องสะสาง คดีใหญ่ก็ยังไม่ถึงวันที่จะตัดสินเช่นนั้นค่ำคืนที่ผ่านมาของเขาจึงเป็นดั่งคืนวสันต์เพราะเขาถูกเชิญไปสังสรรค์ในงานลี้ยงอันหรูหราที่ข้าราชการหลายคนใฝ่ฝันอยากไปซักครั้งที่จวนเฉินอ๋องร่างอวบค่อนไปทางเจ้าเนื้อเร่งฝีเท้าวิ่งทั้ง ๆ ที่ยังสวมชุดขุนนางยังไม่เรียบร้อยดี ด้านหลังนั้นมีสาวน้อยหน้าตาหมดจรดหลายนางวิ่งถืออาภรณ์ตามมาติด ๆ แต่ครั้นใกล้ถึงศาลาว่าการท่าทางเขากลับแปรเปลี่ยนไปราวเป็นคนละคน เหวินกงมู่เปลี่ยนจังหวะการเดินเป็นนิ่งสุขุม ก่อนจะยืนนิ่งให้สาวใช้ปรนนิบัติจัดแต่งอาภรณ์ให้เข้าที่ เพียงอึดใจเดียวเขานั้นก็ดูวางมาดผู้ว่าการศาลต้าหลี่ที่แผ่กลิ่นอายน่าเกรงขามและน่าเคารพเลื่อมใสในสายตาของชาวเมืองเสียแล้ว‘หึ! ท่าทางเช่นนี้แน่นอนว่าเขานั้นตลอดหลายปีมานี้แสดงเสียจนชิน’ปึก!“เป็นผู้ใดมาตีกลองร้องเรียนแต่เช้าตรู่เช่นนี้ เงียบ!”แท่นหมึกถูกเหวินกงมู่วางลงกระทบโต๊ะแท่นตัดสินคดีความอย่างแรงจนหมิงอี้เองถึงกลับชะงัก ส่วนผู้ค
รถม้าวิ่งลิ่วจากร้านเทียนฝูแต่เช้าตรู่นั้นสร้างความแปลกใจให้แก่มารดาแลสหายเช่นอู๋ไป๋และเฟิน เฟิน เป็นอย่างมาก“นั่นหมิงอี้หรอ นางไปไหนกันช่างดูเร่งรีบนัก” อี้เฟินออกมาทันได้เห็นหลังบุตรสาวไว ๆ แต่ครั้นเรียกนางก็ขึ้นนั่งบนรถม้าไปเสียแล้ว“ไม้รู้เช่นกัน นางมิได้บอกอันใดเลยท่านป้า/ใช่เจ้าค่ะ ไม่ได้บอกข้าเช่นกัน” ทั้งสามมองตามหลังรถม้าด้วยแววตาเป็นห่วง ในใจรู้สึกร้อนรนจนอู๋ไป๋และเฟิน เฟิน ต้องเอ่ยปากว่าพวกตนนั้นจะเร่งตามไป เพราะมองสีหน้าป้าอี้เฟินก็รับรู้ได้ทันทีว่าท่านป้านั้นไม่สบายใจ ยิ่งช่วงนี้อยู่ในระหว่างสืบหาหลักฐานก็ยิ่งต้องระแวดระวังให้มากยู้ววววเสียงรถม้าจอดที่หน้าเรือนหลังใหญ่ที่ปลูกแยกออกมาอย่างเงียบสงบในย่านของชนชั้นสูงของราชวงศ์ หมิงอี้เร่งเดินลงจากรถม้าทันทีที่ล้อรถหยุดลง“เชิญขอรับ” ทหารยามเปิดทางให้หมิงอี้เข้าไปโดยง่ายโดยมิได้ไถ่ถามแต่อย่างใด ซึ่งนั้นสร้างความประหลาดใจให้แก่หมิงอี้อยู่มิน้อย เหตุใดการรักษาความปลอดภัยขององค์รัชทายาทถึงได้หละหลวมเช่นนี้ หรือรู้จักนางเช่นนั้นหรือ แต่หากว่ารู้จักทหารยามแน่นอนว่าย่อมมิเคยเห็นนางแต่เหตุใดถึงให้ผ่านเข้ามาโดยง่ายหมิงอี้ครุ่นคิด
หานเย่รู้สึกไม่ชอบใจกับเจ้าสหายตัวใหญ่ที่บอกกล่าวแก่สตรีตรงหน้าราวตนเป็นขยะเปียกที่เก็บมาเผื่อมีประโยชน์เสียอย่างนั้น แต่กระนั้นก็จำต้องสงบใจเพราะเจ้านี่รับประกันว่าหากติดตามเขามาจะให้งานแลที่อยู่อาศัยที่ดีกว่าหมิงอี้มองทั้งคู่สลับกันไปมาก่อนจะสวมใส่ถุงมือผ้า นางส่ายศีรษะเพียงเล็กน้อยกับอู๋ไป๋ จากนั้นจึงค่อย ๆ หยิบเอาดินที่อู๋ไป๋เก็บมาค่อย ๆ พินิจ“ดินสีเทาออกค่อนไปทางสีดำ อีกทั้งกลิ่นยังฉุนเช่นนี้ อู๋ไป๋ที่ตรงนั้นนอกจากดินเช่นนี้แล้วมีดิน เอ่อสีอื่นรึไม่”“อืม มีนะ เท่าที่ข้าเห็นมีเพียงดินที่ใช้ปลูกผักสลัดพวกนั้นที่มีกลิ่นฉุนและสีเช่นนี้ คิดแล้วก็ช่างน่าประหลาดทั้ง ๆ ที่ตรงนั้นเป็นดินทรายร่วนแท้ ๆ เหตุใดถึงได้มีดินประเภทนี้อยู่กันล่ะ เจ้าหานเย่! เจ้ารู้รึไม่”“ข้าย่อมรู้แน่ก่อนหน้านี้เดือนก่อนกระมัง เจ้าของที่สั่งให้คนงานไปขนดินจากในป่าตรงเขาสมุนไพร ขนมามากทีเดียวว่ากันว่าเป็นดินดีปลูกอะไรก็งามอย่างอัศจรรย์นัก และภูเขานั้นบัดนี้มีคนของทางการปิดล้อมไปแล้วชาวบ้านที่พอรู้เรื่องก็หาเข้าไปเก็บสมุนไพรเฉกเช่นเดิมได้ไม่” หานเย่เอ่ยในสิ่งที่ตนพอรู้และจากที่ชาวบ้านที่เข้ามาเป็นคนงานเช่นกันกับ