LOGINบทที่ ๕
ชินอ๋องผู้รักความยุติธรรม
“เทียนหลุนจือเล่อ ตำหนักที่ตั้งชื่อตามเปิ่นหวางมีความหมายถึงความสุขในครอบครัว เปิ่นหวางย่อมไม่ประสงค์ให้ตำหนักนี้หรือจวนจือเล่อมีใครได้รับความอยุติธรรม เจ้ารู้จักเปิ่นหวางมานาน ลืมไปแล้วหรือว่าเปิ่นหวางอ่อนไหวที่สุดก็คือเรื่องความยุติธรรม!”
“กระหม่อมผิดไปแล้ว กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ” ว่าแล้วก็โขกศีรษะลงพื้นอย่างแรง
สิ่งที่หลี่กงกงหวาดกลัวกว่าความตายคือการโดนลดความสำคัญ ให้เขาโขกศีรษะจนเลือดออกหน้าผากเขาก็ยอม ขอแค่ให้เขารับผิดชอบดูแลจวนจือเล่อต่อด้วยฐานะหัวหน้าขันที จะให้เขาทำอะไรเขาก็ยอม
“ในเมื่อยังไม่มีใครตาย หลี่กงกงมิจำเป็นต้องเอาความตายมาเป็นเครื่องต่อรอง”
“กระหม่อมขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมดูแล จัดสรรหน้าที่ไม่สอดคล้องกับทุกคน ต่อจากนี้กระหม่อมจะไม่ให้ผู้ใดได้รับความอยุติธรรมอีกแล้ว”
หลี่กงกงโขกศีรษะลงพื้นอีกครั้ง จินเทียนหลุนจึงออกปากห้ามให้เขาหยุดการกระดังกล่าว
“พอ! หากอยากรับผิดชอบหน้าที่นี้ต่อไปจงทำงานให้ดี อย่าลืมว่าหน้าที่นี้เปิ่นหวางหาคนมาแทนที่เจ้าได้ทุกเมื่อ ไปทำงานได้แล้ว”
“ขอบพระทัยท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ แล้วกระหม่อมจะไม่ทำให้ท่านอ๋องผิดหวัง”
หลี่กงกงคำนับแบบสูงสุดอีกครั้งแล้วเดินหน้าผากแดงออกไปจากห้องทรงหนังสือ ภายในห้องจึงกลับมาสงบนิ่งอีกครั้งหนึ่ง
เฉียวฉือและเฉียวเหอไม่แปลกใจที่หลี่กงกงจะเดินหน้าซีดออกไป เพราะแม้แต่พวกเขาที่ชินกับรังสีอำมหิตจากจินเทียนหลุนยามทำภารกิจเสี่ยงตายยังร้อนแผ่นหลังอย่างอดไม่ได้ เฉียวเหอที่ติดขี้เล่นก็ยังมีสีหน้าตึงเครียด
“เรื่องที่เกิดในห้องหนังสือวันนี้ต้องถึงหูเสด็จแม่แน่ เปิ่นหวางเดาว่าเสด็จแม่ต้องหาสตรีมาช่วยเปิ่นหวางดูแลจวน กลับเมืองหลวงครั้งนี้ไม่แคล้วมีสตรีมาป้วนเปี้ยน”
ว่าแล้วก็ถอนหายใจไว้อาลัยให้ตัวเอง ไม่ว่าจะเก่งกล้าสามารถมาจากไหน แต่เมื่ออยู่กับคนในครอบครัวเขาก็ไม่ต่างจากทุกคนที่ต้องมีคนให้ต้องยอม
ไทเฮาเองก็คือหนึ่งในนั้น!
ณ จวนจือเล่อ
จิ่วเหลียนฮวาและอาฉู่เดินเท้าเปล่ามาจวนจือเล่อ กว่าจะถึงก็เลยบ่ายคล้อยไปแล้ว มู่หมัวมัวที่หาคนเรียกใช้งานได้ไม่ครบหน้าที่จึงตำหนิทั้งสองทันทีที่พวกนางมาถึงช้า
“ไปเถลไถลที่ไหนกัน!”
อาฉู่สะดุ้งเฮือก ตรงข้ามกับจิ่วเหลียนฮวาที่เพียงมองหน้ามู่หมัวมัวนิ่ง ๆ
นางไม่กลัวการถูกลงโทษไม่กลัวถูกตำหนิ อีกทั้งมิใช่คนงอมืองอเท้า มีข้ออ้างมากมายมายันกับมู่หมัวมัว
“ขออภัยเจ้าค่ะมู่หมัวมัว”
“ข้าให้เจ้าไปเอาอุปกรณ์ทำความสะอาด หากมาช้ากว่านี้ข้าจะไปตามแล้ว”
“อุปกรณ์ทำความสะอาดได้มาแล้วเจ้าค่ะ แต่ก็ต้องมีคนใช้อุปกรณ์ด้วย ข้ารอเสี่ยวจิ่วซักผ้าอยู่ก็เลยช้าเจ้าค่ะ”
ไม่ได้เกินที่จิ่วเหลียนฮวาคาดการณ์เอาไว้ อาฉู่จะต้องโยนความผิดให้นางแน่ แต่ที่จิ่วเหลียนฮวาไม่คิดก็คืออาฉู่จะส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากนางด้วย
โยนความผิดให้กันไม่พอยังมาขอให้นางดึงความผิดมาที่ตัวเองด้วย
หน้าไม่อาย
จิ่วเหลียนฮวาคิดเช่นนั้นในใจ หากเป็นเวลาปรกตินางต้องรีบออกตัวรับผิดเพราะกลัวไม่มีสหายให้พูดคุยด้วย กลัวทุกคนตั้งตนเป็นศัตรูกับตน
แต่ตอนนี้นางไม่อยากทำแบบนั้นแล้ว ความผิดของใครคนนั้นก็รับไป!
“ข้าซักผ้าเสร็จก็รีบมาที่นี่ตามคำสั่งมู่หมัวมัว กลัวที่นี่ขาดคนช่วยงาน แม้แต่น้ำสักอึกก็ยังไม่ได้ดื่ม หมัวมัวจะให้ข้าทำอะไรบ้างเจ้าคะ”
มู่หมัวมัวมองมือจิ่วเหลียนฮวาที่ตอนนี้ซีดขาวและย่นเพราะแช่น้ำนานเกินไป
ชั่วขณะนั้นรู้สึกใช้งานจิ่วเหลียนฮวาไม่ลง แต่หากไม่ใช้เลยก็กลัวจะเกิดเสียงวิจารณ์
“เช่นนั้นเจ้าขัดแจกันก็แล้วกัน เอามาวางรวมกันไว้ที่เรือนรับรองแขกแล้ว”
“เจ้าค่ะหมัวมัว”
จิ่วเหลียนฮวารับคำอย่างว่าง่ายแล้วตวัดสายตาไปมองอาฉู่ รอดูว่านางจะได้รับหน้าที่ใด
“แล้วข้าเล่าเจ้าคะ”
อาฉู่ถามย้ำหน้าที่ของตัวเองอีกครั้ง เพราะไม่อยากไปเช็ดหน้าต่างที่ฝุ่นหนาเตอะแล้ว เทียบกันแล้วนางอยากเช็ดแจกันมากกว่า
“ก่อนหน้าข้าแบ่งหน้าที่เจ้าให้เช็ดหน้าต่างแล้วมิใช่หรือ ไปจัดการสิ!”
มู่หมัวมัวขึ้นเสียงใส่สาวน้อยจนนางสะดุ้งเฮือก รีบไปทำหน้าที่ของตนเองในทันที
“เช่นนั้นข้าขอตัวไปทำงานก่อนนะเจ้าคะ”
จิ่วเหลียนฮวาเอ่ยขอตัวกับนางกำนัลอาวุโสก็ได้รับการพยักหน้ารับเบา ๆ
ลับร่างจิ่วเหลียนฮวาได้ไม่นาน ร่างเล็กป้อมของหลี่กงกงก็กุลีกุจอเดินเข้ามาหามู่หมัวมัว
“มู่หมัวมัว”
ใบหน้าผ่านกาลเวลาฉายแววกังวลใจเมื่อเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของหลี่กงกง
“เกิดอันใดขึ้นหลี่กงกง”
“คนนั้น แฮ่ก ๆ หม่าจิ่วเหลียนฮวา…นางอยู่ที่ใด!”
หลี่กงกงร้อนใจจนลืมนามของจิ่วเหลียนฮวาไปชั่วขณะ มู่หมัวมัวจึงร้อนใจตาม
“ข้าใช้ไปเช็ดแจกันแล้ว เกิดอันใดขึ้นหรือ”
หลี่กงกงกำลังจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้สหายฟัง แต่หางตาสังเกตเห็นนางกำนัลสองคนกำลังเช็ดพื้นอยู่ใกล้ ๆ แต่กลับหูผึ่งรอฟังเรื่องราวอยู่จึงดึงแขนมู่หมัวมัวไปยังศาลาแปดเหลี่ยม ท่าทางเช่นนี้ยิ่งเพิ่มความสงสัยให้แก่นางกำนัลทั้งสองที่จับตามองอยู่
“ลับ ๆ ล่อ ๆ ต้องมีอะไรแน่”
“นั่นสิ ข้าอยากเป็นจิ้งจกบนศาลาแปดเหลี่ยมยิ่งนัก ความอยากรู้ช่างทำร้ายใจคนอย่างพวกเรา”
จิ่วเหลียนฮวาได้ยินเสียงนางกำนัลทั้งสองกระซิบกระซาบกันจึงยื่นหน้าออกมาทางหน้าต่างดวงตาจับจ้องไปยังศาลาแปดเหลี่ยม ในใจคิด…
น่าสงสัยจริงด้วย กงกงที่หยิ่งในศักดิ์ศรีเช่นเขาก็มีวันนี้ด้วยสินะ
จิ่วเหลียนฮวาเก็บท่าทางสงสัยนี้เอาไว้แล้วทำงานของตนเองต่อ ทางด้านหลี่กงกงนั้น…
“ว่าอย่างไร ท่านอ๋องตำหนิอันใดท่านหรือ ไยหน้าผากถึงเป็นรอยแดงเช่นนี้”
หลี่กงกงจับหน้าผากตนเอง เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องทรงอักษรให้มู่หมัวมัวฟังโดยไม่ปิดบัง
หลังจากได้ฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว มู่หมัวมัวก็ทาบมือกับอกตนเองในเชิงโล่งใจ
“โชคดีเหลือเกินที่เมื่อครู่ข้าใช้งานนางเบา ๆ มิเช่นนั้นได้หน้าผากแดงเช่นท่านแน่”
หากจินเทียนหลุนเอาความนาง ไม่แคล้วนางจะโขกศีรษะขอความเมตตาเช่นหลี่กงกง
“ข้าให้สัญญากับท่านอ๋องแล้วว่าจะแบ่งหน้าที่โดยเท่าเทียมกัน ต่อไปนี้ต้องจัดนางกำนัลไปช่วยนางซักผ้า ท่านอ๋องอยู่เมืองหลวงครั้งนี้อีกนาน ใกล้พระเนตรพระกรรณเช่นนี้จะมองข้ามเหมือนก่อนหน้าไม่ได้”
“หากนางกำนัลคนอื่นกลั่นแกล้งนางเล่า”
“เรื่องนี้ข้าจะกำชับพวกนางไว้ก่อน แต่หากพวกนางรั้นจะแกล้งให้ได้ก็อยู่ที่ชะตาพวกนางแล้วว่าแข็งเพียงใด”
หลี่กงกงนึกถึงไอสังหารของจินเทียนหลุนแล้วเผลอลูบแขนขึ้นลงเบา ๆ
“ต่อไปนี้เราต้องทำดีกับจิ่วเหลียนฮวามากขึ้นหรือไม่ ท่านอ๋องเริ่มเห็นความสำคัญของนางเช่นนี้ หรือเกิดต้องตานางขึ้นมา”
“ตอนนั้นท่านอ๋องอ้างเรื่องความยุติธรรม ทรงทนไม่ได้ที่เห็นหม่าจิ่วเหลียนฮวาได้รับความอยุติธรรม ต่อไปเราไม่ต้องถึงกับประคบประหงมนางก็ได้ แต่อย่าให้นางได้รับความอยุติธรรมเป็นพอ”
“ข้าจะเป็นหูเป็นตาช่วยท่านก็แล้วกัน”
หลี่กงกงสบายใจขึ้นเมื่อได้ระบายเรื่องนี้กับใคร ทั้งสองปรึกษากันเรื่องแจกจ่ายงานอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้แยกย้ายกันไปตามหานางกำนัลที่แอบอู้งาน
การกลับมาเมืองหลวงของจินเทียนหลุนในครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งในอดีตที่กลับเมืองหลวงมาชั่วคราวแล้วก็กลับไปชายแดนต่อ
ทั้งสี่แคว้นใหญ่ฝู เหลียง จิน จู ไม่มีเหตุการณ์รบกันเพราะทำสัญญาสงบศึกโดยใช้สำนักศึกษากลางเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ สถานการณ์แคว้นจินในยามนี้มีเพียงกลุ่มกบฏที่เกิดจากการกวาดล้างไม่สิ้นในช่วงสามสิบปีก่อนก่อนฮ่องเต้จินเกาฉายพระบิดาของฮ่องเต้จินจิ่นฟู่ขึ้นครองราชย์
จินเทียนหลุนถูกลอบสังหารในครั้งนี้ทำให้เขาทราบว่ากลุ่มกบฏยังคงแฝงตัวอยู่!
บทที่ ๘๘สตรีคลอดบุตรไม่ต่างจากก้าวเข้าประตูปากผีเมืองฮั่นหลินเกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องขึ้น!เพื่อไม่ให้ตนมัวแต่จมปลักอยู่กับความรักที่ไม่อาจร่วมทางไปกับคนรักได้จนสุดฝั่ง จินหลี่จินจึงขอฮ่องเต้ไปสืบคดีนี้ด้วยตนเอง ฮ่องเต้อนุญาตเพราะคิดว่าการทำงานหนักอาจทำให้อีกฝ่ายไม่มีเวลาฟุ้งซ่านส่วนจินเทียนหลุนนั้น ยามนี้ได้รับตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญ รับหน้าที่เป็นแม่ทัพพิทักษ์เมืองหลวงต่อจากท่านตาของจินหลี่จินเดิมทีตำแหน่งนี้ฮ่องเต้จินจิ่นฟู่อยากมอบให้จินหลี่จิน แต่อีกฝ่ายรักอิสระ อยากทำหน้าที่ที่ไม่กังขังตนเอาไว้เพียงในเมืองหลวง เขาจึงได้รับหน้าที่พิเศษเป็นฑูตประจำแคว้น ทำหน้าที่เจริญสัมพันธไมตรีระหว่างแคว้น เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ได้สะดวกสมกับที่ไม่มีครอบครัวส่วนจินเทียนหลุนที่มีชายาที่ท้องโตขึ้นทุกวันรอที่จวนอยู่แล้ว เช้ามาเข้ากองทัพฝึกทหาร ค่ำกลับจวนอยู่เป็นเพื่อนชายาและแนบหูคุยกับลูกน้อยทุกคืนแม้เด็กในท้องจะไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับเพราะเพิ
บทที่ ๘๗ความรักระหว่างมนุษย์เหมือนลมสายหนึ่งยามนี้เทพโอสถกำลังยืนอยู่บนกลางท้องฟ้า ใต้เท้าเป็นสัตตบงกชแห่งการเคลื่อนย้าย ด้านซ้ายมีหวงผิงที่ยืนอยู่บนปุยเมฆมองการแต่งงานของไช่จงซินในมุมสูงสีหน้าของเขาเรียบเฉยต่างกับเทพโอสถที่ฉายแววปวดใจ เมื่อคนที่กำลังเดินเคียงคู่กับไช่จงซินเข้าไปในโถงทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินมิใช่คนที่มีใจต้องกัน“ข้าเป็นคนนอก มองดูแล้วยังปวดใจเพียงนี้ พวกเขาสองคนก็คงปวดใจจนหายใจไม่ออก ร้องไห้ก็ไม่ได้ จุกลิ้นปี่ตรงนี้”หวงผิงหันมามองนิ้วมือเรียวที่ชี้จุดตรงลิ้นปี่ที่อยู่ตรงกลางด้านล่างอกเหนือกระเพาะอาหาร“ท่านเจ็บเพราะจิ้มแรงเกินไป”คนที่กำลังคล้อยไปกับเรื่องราวไม่สมหวังของคู่รักมนุษย์ตวัดสายตามามองหวงผิง แต่เมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายยังไม่เข้าใจความรู้สึกนี้จริง ๆ ก็ไม่โทษเขา“เอาเถอะ! เรื่องยังไม่เกิดกับตนจะเข้าใจได้อย่างไร ลองจินตนาการดู หากเจ้าเป็นไช่จงซินหรือจินหลี่จินจะไม่รู้สึกอันใด
บทที่ ๘๖เมื่อรักและหน้าที่ไปด้วยกันไม่ได้การมาเยือนแคว้นฝูครั้งนี้ จินเทียนหลุนคิดว่าคุ้มค่าที่สุด ไม่ต้องไปถามวิธีการดูแลบุตรจากหมอหลวงที่ไม่เคยตั้งครรภ์ แต่ได้ความรู้จากเหล่าฮูหยินทั้งหลายที่ต่อไปจะกลายเป็นฮูหยินผู้เฒ่าสตรีมีครรภ์จะเป็นเหน็บชา ต้องหมั่นนวดเท้า เรื่องอาหารการกิน งดดื่มสุรา รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่จะมีผลต่ออารมณ์และอย่างสุดท้ายที่สำคัญสำหรับชีวิตคู่คือการร่วมหลับนอนระหว่างสามีภรรยา“เสี่ยวจิ่ว เปิ่นหวางถามฮูหยินทั้งสามแล้ว เรายังเข้าหอกันได้ตามปรกติ เว้นเพียงช่วงนี้กับช่วงใกล้คลอด ขอแค่เปิ่นหวางระวังไม่เน้นท่าโลดโผน ค่ำคืนของเราก็ยังคงเร่าร้อนได้เหมือนเคย”จิ่วเหลียนฮวาหน้าร้อนฉ่า ไม่คิดว่าสวามีของนางจะกล้าพูดเสียงดังต่อหน้าบ่าวในจวนตระกูลไช่ที่กำลังทำความสะอาดอยู่ด้านนอกนางดึงแขนเขาเข้าไปด้านในเรือนทันทีเพราะปั้นสีหน้าไม่ถูกแล้ว“ท่านอ๋อง! กล่าวเช่นนี้ต่อหน้าคนอื่นไม่ได้เพคะ”“ขออ
บทที่ ๘๕เจ้าจะไม่ตายไปจากใจข้าสองหนุ่มใหญ่จ้องหน้ากันนิ่ง จิ่วเหลียนฮวาเห็นเช่นนั้นก็มองหน้าจินเทียนหลุน ไม่กล้าหายใจแรงเพราะกลัวว่าเสียงหายใจของตนจะไปขัดจังหวะคนทั้งคู่“ยายหนูจิ่ว ขนมของที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง”ไช่จงซินถอนสายตาจากจินหลี่จินก่อน เดินไปนั่งตำแหน่งประมุขตระกูล รอคำตอบจากจิ่วเหลียนฮวาอย่างใจเย็น คำอวยพรจากจินหลี่จินเมื่อครู่ทำให้เขาไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายอีก ด้วยกลัวจะพรั่งพรูความรู้สึกต่อหน้าทุกคน“อร่อยเจ้าค่ะท่านประมุข”“เรียกข้าว่าท่านอาจารย์ตามเจ้าหนูหลุนเถิด”จิ่วเหลียนฮวาพยักหน้ารับ “เจ้าค่ะ ขนมอร่อยมากเจ้าค่ะท่านอาจารย์ หากใจไม่ห้ามเอาไว้ ข้าอยากทานแทนอาหารสามมื้อ”ไช่จงซินหลุดหัวเราะเกือบสำลักน้ำชา“เสี่ยวจิ่วมีอารมณ์ขันแล้ว สตรีวัยเจ้าที่ทานมาก ส่วนใหญ่จะเป็นสตรีมีครรภ์ทั้งนั้น หรือเจ้ากำลังมีครรภ์”ไช่จงซินถามโดยไม่คิดอันใด ไม่คิดว่าทุกคนจะเงียบ เขามองหน้าจินเทียนหลุนสลั
บทที่ ๘๔คราวนี้ใครก็ดูถูกเจ้าไม่ได้แล้ววันเวลามาถึงวันที่จินเทียนหลุนเดินทางไปร่วมงานแต่งของท่านอาจารย์ตนที่แคว้นฝู ผู้ร่วมเดินทางประกอบไปด้วย จินหลี่จิน จินเทียนหลุน จิ่วเหลียนฮวา องครักษ์ของอ๋องทั้งสองและนางกำนัลคอยปรนนิบัติจิ่วเหลียนฮวาที่กำลังตั้งครรภ์ตอนนี้ผู้ทราบว่านางตั้งครรภ์มีเพียงฮ่องเต้ ไทเฮาและจินหลี่จินเท่านั้น อายุครรภ์เพิ่มขึ้นเมื่อไรจินเทียนหลุนจะประกาศเรื่องนี้ให้ทราบโดยทั่วกัน“พลังยายหนูจิ่วดีนัก มิเช่นนั้นเราต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะเดินทางถึง”ขบวนเดินทางไปร่วมงานมงคลยังไปไม่ถึงไหน แต่จิ่วเหลียนฮวาใช้พลังเทพเคลื่อนกายมาที่ปลายทางล่วงหน้าขบวนเดินทางมาก่อนแล้ว“จริงอย่างที่เสด็จอากล่าว เช่นนี้ดียิ่ง ครรภ์ของเจ้าจะได้ไม่เป็นอันตรายไปด้วย”จิ่วเหลียนฮวาพาเพียงสองหนุ่มราชวงศ์จินมาด้วยเท่านั้น เมื่อขบวนเดินทางใกล้เมืองหลวงแคว้นฝูเมื่อใดถึงค่อยกลับไปนั่งขบวนรถม้าอีกครั้ง“อีกหลาย
บทที่ ๘๓ไม่อยากได้รับคำแสดงความยินดีฉายาชายารองมือปราบมาร ตอนนี้ไม่ได้ลือกันในหมู่จวนขุนนางแล้วเท่านั้น แต่ยังเล่าลือกันไปทั้งเมืองหลวง ปากต่อปากรวดเร็ว เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือนก็แพร่ไปทั้งแผ่นดินใหญ่ แม้แต่ไช่จงซินที่อยู่เมืองหลวงแคว้นฝูยังได้ยิน“ยายหนูจิ่วมีชื่อเสียงใหญ่แล้ว คราวนี้เจ้าหนูหลุนได้กินน้ำส้มสายชูรายวันแน่”ไช่จงซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความสุข จนกระทั่งดวงตาเหลือบไปมองเทียบเชิญงานแต่งของตนกับคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวง ความเศร้าหมองก็มาแทนที่“นายท่านจะให้ข้าน้อยส่งเทียบเชิญเลยหรือไม่”ไช่จงซินยังไม่ตอบ หลับตาลงซ่อนเร้นความเศร้าหมอง จนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็พยักหน้ารับ แม้ไม่อยากให้คน ๆ นั้นมาร่วมงานด้วย…แต่หากไม่เชิญเลย เขาคงก็โดนอีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าไม่ให้ความสำคัญ!“ส่งเลย ขออภัยพวกเขาแทนข้าด้วยที่ไม่ได้มาเชิญด้วยตัวเอง”“ขอรับนายท่าน”







