LOGINบทที่ ๔
เชิญหลี่กงกงถามไถ่
“ถวายพระพรชินอ๋องเพคะ”
เมื่อโดนหญิงสาวจับได้แล้วไม่มีประโยชน์ที่จะต้องหลบซ่อนอยู่อีกต่อไป เท้าใหญ่ก้าวออกจากที่หลบซ่อน เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่บอกอารมณ์
“ไม่ต้องมากพิธี”
จิ่วเหลียนฮวาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มองหน้าจินเทียนหลุนด้วยสายตาสงสัยมากกว่าจะเป็นสำรวจ
“องครักษ์ของเปิ่นหวางกำชับทุกอย่างที่ควรกำชับแล้ว ขอตัว”
จินเทียนหลุนไม่อาจบอกว่าตนมาที่นี่เพราะสัมผัสได้ถึงพลังบริสุทธิ์ ดังนั้นจึงอ้างเรื่องชุดที่มีรอยขาดจากดาบ
จิ่วเหลียนฮวาเองที่รู้ตัวว่าตนไม่มีสิทธิ์รั้งบุรุษที่สูงศักดิ์กว่าได้อยู่แล้วจึงทำเพียงย่อกายคารวะเท่านั้น
“น้อมส่งท่านอ๋อง”
เมื่อเจ้านายไม่อยู่แล้ว เฉียวเหอก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องอยู่ที่นี่ต่อ พื้นที่ลานซักล้างจึงกลับมาเงียบสงบอีกครั้งหนึ่ง
“เฮ้อ~เกือบไปแล้วจิ่วเหลียนฮวา”
จิ่วเหลียนฮวาถอนหายใจอย่างโล่งออก แต่โล่งใจได้ไม่นานก็ต้องรับมือกับนางกำนัลที่เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่
“เสี่ยวจิ่ว! ท่านอ๋องเสด็จมาที่นี่หรือ ท่านอ๋องมาหาเจ้าหรือ มาหาด้วยเรื่องใด หรือท่านอ๋องสนใจในตัวเจ้า”
“ไม่ใช่ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”
“จะไม่ใช่ได้อย่างไร เมื่อครู่ข้าเห็นชัดเต็มสองตา ท่านอ๋องเดินเข้ามาพูดกับเจ้า ว่าแต่พูดเรื่องใดหรือ”
สีหน้าอยากรู้อยากเห็นของสหายนางกำนัลทำให้จิ่วเหลียนฮวาคิดอะไรออก นางเดินไปนั่งซักผ้า แสดงสีหน้าแฝงเลศนัย สหายนางกำนัลที่อยากรู้เหตุการณ์เมื่อครู่จึงมาหย่อนก้นลงนั่งข้าง ๆ ช่วยจิ่วเหลียนฮวาซักผ้าเพราะอยากนำสารที่ตนได้รับไปกระจายต่อ
“ข้าช่วยเจ้าซักดีกว่า”
“เอาสิ”
จิ่วเหลียนฮวาไม่ห้าม ยกพระภูษาไปตากโดยมีสายตาสหายนางกำนัลมองตาม
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้รับความรู้สึกของการเป็นต่อ ผู้เปิดประสบการณ์นี้ให้นางโดยไม่รู้ตัวก็คือเจ้าของตำหนักแห่งนี้ แล้วเรื่องที่สหายนางกำนัลอยากล้วงความลับจากนางแล้วล่ะก็…
ฝันไปเถอะ ช่วยซักผ้าให้จนเสร็จข้าก็ไม่บอกเจ้า
ทางด้านจินเทียนหลุน…
เมื่อกลับมายังเรือนใหญ่ของตนเองก็ให้องครักษ์ทำแผลจากการลอบสังหารของกลุ่มกบฏ ไม่เรียกหมอหลวงเพราะไม่อยากให้เรื่องนี้ถึงหูไทเฮาผู้เป็นพระมารดา
“จะไม่ให้เรียกหมอหลวงจริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“แผลไม่ลึกมาก เจ้าทำก็พอแล้ว”
แผลไม่ลึกมากแต่ก็ไม่ได้แค่โดนถาก ๆ ทว่าในตอนที่เฉียวเหอเหยาะสมุนไพรใส่แผลเขาไม่แม้แต่จะแสดงสีหน้าเจ็บปวดเลยสักนิด ความอดทนเป็นเลิศยิ่ง
เมื่อใส่ยาเสร็จแล้วก็กระชับชุดที่แหวกออกเพียงหัวไหล่แล้วรัดเข็มขัดหยกให้แน่น หยกที่แสดงถึงฐานะและตำแหน่งแม้ชุดที่ปักจะไม่ใช่ลายมังกร
“แต่เรื่องกบฏอย่างไรก็ต้องถวายรายงานฝ่าบาท ช่วงเช้าเปิ่นหวางยังไม่ได้ทูลฝ่าบาทเรื่องนี้…ฝนหมึก!”
ร่างหนาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเดินไปยังโต๊ะทำงานเตรียมเขียนฎีกาถวายเรียงร้อยถ้อยความให้เป็นสำนวน
จินเทียนหลุนเก่งทั้งบู๊และบุ๋น ตัวอักษรที่ปรากฏหลังปลายขนพู่กันบ่งบอกนิสัยที่มีความหนักแน่น ยึดมั่นในความถูกต้อง
ในเวลาที่เขาเขียนหนังสือหรืออ่านตำราจะมีสมาธิไม่ว่อกแว่ก แต่ในตอนนั้นเองที่ใบหน้าซีดขาวแววตาหม่นเศร้าแวบเข้ามาในหัว
“เฉียวเหอ…”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง” เฉียวเหอที่พร้อมสนองโอษฐ์อยู่แล้วรีบขยับเข้ามาหานายตน
“เชิญหลี่กงกงมานี่ที เปิ่นหวางมีเรื่องจะถามเขา”
เฉียวเหอยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้นายตน
“ติดใจใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ภาพสาวงามในสภาพร่างกายอ่อนแอ”
ชิ่ง!
สิ้นประโยคนี้ก็ได้รับสายตาเชือดเฉือนจากบุรุษผู้เป็นเจ้านายและพี่ชายในทันที
“เจ้ากลายเป็นคนสู่รู้ตั้งแต่เมื่อไร”
เฉียวเหอยกมือปิดปาก รีบไปทำงานที่ได้รับมอบหมาย จนกระทั่งเดินออกมาจากห้องทำงานของจินเทียนหลุนแล้วถึงได้เอ่ยคำที่อยู่ในใจ
“ข้าไม่ได้สู่รู้เสียหน่อย ท่านอ๋องปากแข็งไม่ยอมรับ เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าสงสาร”
เฉียวเหอไปไม่นานก็เดินเข้ามาในห้องหนังสือพร้อมหลี่กงกง หัวหน้าขันทีผู้ดูแลตำหนักเทียนหลุนจือเล่อมาสอบถามเรื่องที่ติดอยู่ในใจเขาจริง ๆ
“ถวายพระพรท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“หลี่กงกงไม่ต้องมากพิธี เปิ่นหวางมีเรื่องอยากจะสอบถามเจ้าเกี่ยวกับ…”
จินเทียนหลุนเว้นจังหวะการพูดตวัดสายตาไปมองเฉียวเหอที่กลั้นยิ้มรอแล้ว แต่เมื่อโดนถลึงตาใส่เขาก็กลับมาทำหน้าเคร่งขรึม
“เชิญท่านอ๋องตรัสถาม เกี่ยวกับผู้คนหรือเรื่องราวในวังหลวง หากกระหม่อมทราบกระหม่อมจะเผยโดยไม่ปิดบัง แต่หากกระหม่อมไม่ทราบก็จะสืบมาให้จงได้”
เห็นสีหน้าจริงจังของหลี่กงกงแล้วจินเทียนหลุนเริ่มรู้สึกว่าการจะกล่าวคำพูดนี้ออกไปยากเย็นนัก
แต่เมื่อภาพของจิ่วเหลียนฮวาวกกลับเข้ามาในหัวอีกครั้งจึงไม่เหลือความลังเลใจ
“ชีวิตหม่าจิ่วเหลียนฮวาตอนที่เปิ่นหวางไม่อยู่เป็นอย่างไรบ้าง”
“หม่าจิ่วเหลียนฮวาหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่กงกงนิ่งไปครู่หนึ่งเพราะไม่คิดว่าเจ้านายจะเอ่ยนามนี้ออกมา เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยได้ยินมาว่าจินเทียนหลุนให้ความสนใจจิ่วเหลียนฮวาเลย
“ว่าอย่างไรหลี่กงกง”
เฉียวฉือยังคงใบหน้าเรียบเฉยไว้ได้ เมื่อเห็นหลี่กงกงเงียบไปก็เอ่ยเสียงเข้ม
“เอ่อ หม่าจิ่วเหลียนฮวาคนนี้มิค่อยมีปากมีเสียงพ่ะย่ะค่ะ นางกำนัลคนอื่นมีแกล้งนางบ้าง แต่ไม่ถึงขั้นตบตีกัน”
หลี่กงกงเริ่มหวั่นใจเพราะคิดว่าชินอ๋องผู้ที่ไม่เคยดุด่าว่ากล่าวจิ่วเหลียนฮวาเพราะเห็นนางเป็นลูกหลานกบฏจะเอาความที่ปล่อยให้สตรีที่เขาทูลขอจากฝ่าบาทให้มาประจำอยู่ตำหนักเทียนหลุนจือเล่อได้รับการกลั่นแกล้ง
“เปิ่นหวางขอให้นางมาอยู่ที่นี่เพราะเวทนาที่นางเกิดวันเดียวกับเปิ่นหวาง ไม่ได้รู้เรื่องที่บรรพบุรุษกระทำเอาไว้ ย้ายไปอยู่จวนจือเล่อเมื่อไรอย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกเป็นอันขาด”
หลี่กงกงหน้าซีด รีบโค้งตัวลงต่ำขอประทานอภัย ทั้งยังให้คำสัญญาว่าจะไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีก
ในขณะเดียวกันก็อดคิดไม่ได้ว่าจิ่วเหลียนฮวาไปเรียกร้องความยุติธรรมต่อหน้าพระพักตร์หรือไม่
“เป่ินหวางเห็นลานซักผ้ามีชุดเต็มไปหมด ไยมีนางซักผ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น”
จนกระทั่งได้ยินประโยคนี้จากปากจินเทียนหลุน หัวใจสะท้านเมื่อทราบว่าอ๋องหนุ่มไปเยือนที่นั่นด้วยตนเองโดยที่ไม่มีใครคาบข่าวไปฟ้อง
“เอ่อ นางมีหน้าที่ซักผ้าพ่ะย่ะค่ะ งานอื่น ๆ กระหม่อมไม่เคยเรียกใช้งานเลยสักครั้ง อีกอย่าง…”
คำพูดของหลี่กงกงหยุดอยู่เพียงเท่านั้นเมื่อได้ยินเสียงนางกำนัลเรียกนามของจิ่วเหลียนฮวาดังไม่ไกลจากห้องหนังสือมากนัก
“เสี่ยวจิ่ว ซักผ้าเสร็จแล้วใช่หรือไม่ ไปช่วยข้าเช็ดหน้าต่างที่จวนจือเล่อเร็วเข้า ฝุ่นหนามาก”
“เสร็จแล้ว แต่ข้าขอพักก่อนมิได้หรืออาฉู่ เพิ่งตากม่านเสร็จก็ตรงมานี่เลย น้ำสักอึกยังไม่ได้ดื่ม”
“ไม่ทันแล้ว ข้าเสียเวลามาตามเจ้าในวัง หากข้าออกจากวังไปจวนจือเล่อเพียงคนเดียวข้าก็ทำความสะอาดคนเดียวไม่เสร็จแน่ ถึงเวลานั้นหลี่กงกงตำหนิข้าขึ้นมาจะทำอย่างไร ไหนจะมู่หมัวมัวอีก”
“ก็ได้ เช่นนั้นเราจะออกจากวังกันเลยหรือไม่”
“ไปตอนนี้เลย”
เสียงของสตรีทั้งสองหายไปแล้ว สีหน้าหลี่กงกงซีดขาวราวกับกระดาษ ร่างสั่นสะท้านเมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตจากนายเหนือหัว
“ดูท่านางกำนัลขันที 20 คนในตำหนักจะทำงานกันไม่ถ้วนทั่ว”
ตุบ!
หลี่กงกงคุกเข่าแนบศีรษะลงกับพื้นในทันที
“ท่านอ๋อง กระหม่อมขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไม่ให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นอีกแล้ว ได้โปรดให้โอกาสกระหม่อมจัดการเรื่องนี้…”
บทที่ ๙๐ความทรงจำที่สวยงามไม่มีลืมเลือนทุกชาติห้าปีผ่านไป…จิ่วเหลียนฮวาชีวิตสนุกมากเมื่อมีลูกน้อยทั้งหลายมาคอยล้อมหน้าล้อมหลัง แม้แต่จินเทียนหลุนยังเข้าไม่ถึงตัวนาง เพราะเช่นนี้เขาถึงฝากลูกไปเลี้ยงกับคนนั้นที คนนี้ทีเพื่อจะได้ใช้เวลาส่วนตัวกับชายารักบ้างเสี่ยวกั่วกัวท่านหญิงใหญ่ถูกฝากเลี้ยงกับหยางเซียงยี่ เสี่ยวน่ายน่ายถูกนางกำนัลของไทเฮามารับตัวไปเล่นในวังเกือบทุกวัน เช่นเดียวกับเสี่ยวน่ายกัวที่แทบจะกินนอนอยู่ที่ห้องทรงอักษรของฮ่องเต้จินจิ่นฟู่จวิ้นอ๋องที่อยากอยู่กับหลานเช่นกันแต่ไม่มีโอกาสนั้นเลยถึงกับออกปากกับหลานชายว่าให้เขามีหลานให้อีกสักสองคนจะได้ครบกันหนึ่งปีต่อจากคลอดแฝดสาม จิ่วเหลียนฮวาก็ตั้งครรภ์อีกครั้งเป็นแฝดชายหญิง ชื่อเล่นเสี่ยวผิงผิงและเสี่ยวปิงปิงบุตรชายเสี่ยวผิงผิงตกเป็นของจวิ้นอ๋อง บุตรสาวเสี่ยงปิงปิงตกเป็นของจื่อเจี่ยนเฉิงจวิ้นอ๋องและจื่อเจี่ยนเฉิงยังมีแรงพอจะสร้างทายาท ทว่าพวกเขากลับไม่คิดแต่งงานหรือ
บทที่ ๘๙พระนัดดารุ่นแรกของราชวงศ์เก้าเดือนแห่งการตั้งครรภ์แฝดสามไม่ง่าย!ดีว่าจิ่วเหลียนฮวามีพลังเทพปกป้อง ทั้งยังมีคนดูแลอย่างดีทั้งคนจากไทเฮา สมุนไพรบำรุงครรภ์จากคลังหลวง สภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นพิษอย่างหยางเซียงยี่และการดูแลที่ดีจากสวามีในยามค่ำคืนจินเทียนหลุนมีตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญ กลางวันว่ายุ่งจากการทำงานแล้ว แต่กลางคืนก็ยังมาปรนนิบัติพระชายาช่วยนวดเท้าให้นางกลางคืนเมื่อยามที่เกิดอาการเหน็บชานางจึงผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้จนกระทั่งมาถึงวันที่น้ำคร่ำแตก!“น้องรองไม่ต้องกังวล หมอที่เก่งที่สุดอยู่ในนั้นแล้ว”ฮ่องเต้จินจิ่นฟู่ที่เสด็จมาจวนจือเล่อเอ่ยปลอบอนุชาที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องคลอดแม้คนปลอบจะใจไม่สงบเช่นเดียวกันก็ตาม!“นั่นสิหลุนเอ๋อร์ เจ้าเดินไปเดินมาจนแม่ลายตาแล้ว นั่งลงก่อน มีเทพโอสถอยู่ทั้งคนยังจะกังวลเพียงนี้”ไทเฮาก็เอ่ยปลอบโอรสด้วยคน คลอดแฝดสามเดิมทีน่าเป็นห่วง
บทที่ ๘๘สตรีคลอดบุตรไม่ต่างจากก้าวเข้าประตูปากผีเมืองฮั่นหลินเกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องขึ้น!เพื่อไม่ให้ตนมัวแต่จมปลักอยู่กับความรักที่ไม่อาจร่วมทางไปกับคนรักได้จนสุดฝั่ง จินหลี่จินจึงขอฮ่องเต้ไปสืบคดีนี้ด้วยตนเอง ฮ่องเต้อนุญาตเพราะคิดว่าการทำงานหนักอาจทำให้อีกฝ่ายไม่มีเวลาฟุ้งซ่านส่วนจินเทียนหลุนนั้น ยามนี้ได้รับตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญ รับหน้าที่เป็นแม่ทัพพิทักษ์เมืองหลวงต่อจากท่านตาของจินหลี่จินเดิมทีตำแหน่งนี้ฮ่องเต้จินจิ่นฟู่อยากมอบให้จินหลี่จิน แต่อีกฝ่ายรักอิสระ อยากทำหน้าที่ที่ไม่กังขังตนเอาไว้เพียงในเมืองหลวง เขาจึงได้รับหน้าที่พิเศษเป็นฑูตประจำแคว้น ทำหน้าที่เจริญสัมพันธไมตรีระหว่างแคว้น เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ได้สะดวกสมกับที่ไม่มีครอบครัวส่วนจินเทียนหลุนที่มีชายาที่ท้องโตขึ้นทุกวันรอที่จวนอยู่แล้ว เช้ามาเข้ากองทัพฝึกทหาร ค่ำกลับจวนอยู่เป็นเพื่อนชายาและแนบหูคุยกับลูกน้อยทุกคืนแม้เด็กในท้องจะไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับเพราะเพิ
บทที่ ๘๗ความรักระหว่างมนุษย์เหมือนลมสายหนึ่งยามนี้เทพโอสถกำลังยืนอยู่บนกลางท้องฟ้า ใต้เท้าเป็นสัตตบงกชแห่งการเคลื่อนย้าย ด้านซ้ายมีหวงผิงที่ยืนอยู่บนปุยเมฆมองการแต่งงานของไช่จงซินในมุมสูงสีหน้าของเขาเรียบเฉยต่างกับเทพโอสถที่ฉายแววปวดใจ เมื่อคนที่กำลังเดินเคียงคู่กับไช่จงซินเข้าไปในโถงทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินมิใช่คนที่มีใจต้องกัน“ข้าเป็นคนนอก มองดูแล้วยังปวดใจเพียงนี้ พวกเขาสองคนก็คงปวดใจจนหายใจไม่ออก ร้องไห้ก็ไม่ได้ จุกลิ้นปี่ตรงนี้”หวงผิงหันมามองนิ้วมือเรียวที่ชี้จุดตรงลิ้นปี่ที่อยู่ตรงกลางด้านล่างอกเหนือกระเพาะอาหาร“ท่านเจ็บเพราะจิ้มแรงเกินไป”คนที่กำลังคล้อยไปกับเรื่องราวไม่สมหวังของคู่รักมนุษย์ตวัดสายตามามองหวงผิง แต่เมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายยังไม่เข้าใจความรู้สึกนี้จริง ๆ ก็ไม่โทษเขา“เอาเถอะ! เรื่องยังไม่เกิดกับตนจะเข้าใจได้อย่างไร ลองจินตนาการดู หากเจ้าเป็นไช่จงซินหรือจินหลี่จินจะไม่รู้สึกอันใด
บทที่ ๘๖เมื่อรักและหน้าที่ไปด้วยกันไม่ได้การมาเยือนแคว้นฝูครั้งนี้ จินเทียนหลุนคิดว่าคุ้มค่าที่สุด ไม่ต้องไปถามวิธีการดูแลบุตรจากหมอหลวงที่ไม่เคยตั้งครรภ์ แต่ได้ความรู้จากเหล่าฮูหยินทั้งหลายที่ต่อไปจะกลายเป็นฮูหยินผู้เฒ่าสตรีมีครรภ์จะเป็นเหน็บชา ต้องหมั่นนวดเท้า เรื่องอาหารการกิน งดดื่มสุรา รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่จะมีผลต่ออารมณ์และอย่างสุดท้ายที่สำคัญสำหรับชีวิตคู่คือการร่วมหลับนอนระหว่างสามีภรรยา“เสี่ยวจิ่ว เปิ่นหวางถามฮูหยินทั้งสามแล้ว เรายังเข้าหอกันได้ตามปรกติ เว้นเพียงช่วงนี้กับช่วงใกล้คลอด ขอแค่เปิ่นหวางระวังไม่เน้นท่าโลดโผน ค่ำคืนของเราก็ยังคงเร่าร้อนได้เหมือนเคย”จิ่วเหลียนฮวาหน้าร้อนฉ่า ไม่คิดว่าสวามีของนางจะกล้าพูดเสียงดังต่อหน้าบ่าวในจวนตระกูลไช่ที่กำลังทำความสะอาดอยู่ด้านนอกนางดึงแขนเขาเข้าไปด้านในเรือนทันทีเพราะปั้นสีหน้าไม่ถูกแล้ว“ท่านอ๋อง! กล่าวเช่นนี้ต่อหน้าคนอื่นไม่ได้เพคะ”“ขออ
บทที่ ๘๕เจ้าจะไม่ตายไปจากใจข้าสองหนุ่มใหญ่จ้องหน้ากันนิ่ง จิ่วเหลียนฮวาเห็นเช่นนั้นก็มองหน้าจินเทียนหลุน ไม่กล้าหายใจแรงเพราะกลัวว่าเสียงหายใจของตนจะไปขัดจังหวะคนทั้งคู่“ยายหนูจิ่ว ขนมของที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง”ไช่จงซินถอนสายตาจากจินหลี่จินก่อน เดินไปนั่งตำแหน่งประมุขตระกูล รอคำตอบจากจิ่วเหลียนฮวาอย่างใจเย็น คำอวยพรจากจินหลี่จินเมื่อครู่ทำให้เขาไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายอีก ด้วยกลัวจะพรั่งพรูความรู้สึกต่อหน้าทุกคน“อร่อยเจ้าค่ะท่านประมุข”“เรียกข้าว่าท่านอาจารย์ตามเจ้าหนูหลุนเถิด”จิ่วเหลียนฮวาพยักหน้ารับ “เจ้าค่ะ ขนมอร่อยมากเจ้าค่ะท่านอาจารย์ หากใจไม่ห้ามเอาไว้ ข้าอยากทานแทนอาหารสามมื้อ”ไช่จงซินหลุดหัวเราะเกือบสำลักน้ำชา“เสี่ยวจิ่วมีอารมณ์ขันแล้ว สตรีวัยเจ้าที่ทานมาก ส่วนใหญ่จะเป็นสตรีมีครรภ์ทั้งนั้น หรือเจ้ากำลังมีครรภ์”ไช่จงซินถามโดยไม่คิดอันใด ไม่คิดว่าทุกคนจะเงียบ เขามองหน้าจินเทียนหลุนสลั







