หยางเสี้ยวที่เดินมุ่งหน้าไปตรวจดูกับดักที่เขาวางเอาไว้ด้วยความเร่งรีบ ถึงแม้ว่าวันนี้เขาจะไม่พบของกินอย่างอื่นอีกนอกจากผักป่ากับเห็ดหูหนูดำ
แต่ในใจลึก ๆ เด็กน้อยหวังว่าจะมีไก่ฟ้าหรือกระต่ายป่ามาติดกับดักที่เขาวางเอาไว้บ้าง อย่างน้อย ๆ จะได้นำไปทำอาหารบำรุงร่างกาย เขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่กินเนื้อคือเมื่อไหร่
ความปรารถนาของหยางเสี้ยวในตอนนี้คือ มีอาหารมากพอให้กินอิ่มในทุกวัน และมีอาหารมากพอเพื่อเก็บสะสมเอาไว้เป็นเสบียงในฤดูหนาว ที่สำคัญหลังคาบ้านคงต้องทำการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน
เพราะดูจากสภาพของบ้านในตอนนี้คงอยู่ไม่พ้นฤดูหนาวแน่ พอหิมะตกลงมาหลังคาบ้านคงถล่มลงมาแน่ ๆ แค่คิดก็กลัวแทบแย่แล้ว ไหนจะเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่ต้องเตรียม เหมือนกับว่าเขาได้ทะลุมิติมาเพื่อทำภารกิจเอาชีวิตรอดในโลกคู่ขนานยังไงยังงั้น
“เฮ้อ ชาติที่แล้วว่ายากจนแล้ว ชาตินี้ยิ่งยากจนกว่า ไหน ๆ ก็มาแล้วก็คงต้องสู้กันสักตั้ง หวังว่าจะไม่ตายรอบสองหรอกนะ ทำไมไม่เหมือนที่เราคิดเอาไว้เลยล่ะ ไม่ใช่ชีวิตที่แล้วจน พอได้มีโอกาสได้เกิดใหม่จะต้องรวยหรือเปล่า ทำไมไม่เหมือนที่คิดเอาไว้เลยล่ะ ไม่เห็นเหมือนที่นิยายเขียนเอาไว้เลย แย่จริง ๆ หรือว่าแต้มบุญของเราไม่พอ ช่างมันเถอะ ช่างมัน ไม่ต้องคิดแล้วดีกว่า สิ่งที่ต้องคิดตอนนี้ทำยังไงถึงจะให้มีชีวิตรอดไปจนโตได้จะดีกว่า” หยางเสี้ยวพูดออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ
จะไม่ให้อัดอั้นตันใจได้ยังไงล่ะ อุตส่าห์แอบเข้ามาในป่าลึกแต่ไม่มีอะไรที่กินได้ติดไม้ติดมือกลับไปเลย นอกจากเห็ดหูหนูดำกับผักป่าเล็กน้อยเท่านั้น ไหนล่ะสมุนไพรล้ำค่า? ไหนล่ะโสมคน? ไหนล่ะเห็ดหลินจือ? นิยายทะลุมิติที่เพื่อนสมัยเรียนชอบอ่านและยังมาเล่ากรอกหูเขาทุกวัน ไม่ใช่บอกว่าในป่าเขาจะมีของพวกนี้อยู่เหรอ แต่ทำไมเขาไม่เห็นเจอสักต้นล่ะ
เดินบ่นมาตลอดทาง ไม่นานก็มาถึงจุดที่เขาได้สาวกับดักเอาไว้ หยางเสี้ยวรีบเดินเข้าไปตรวจดูกับดักที่เขาวางเอาไว้ทันที หวังว่าจะมีไก่ฟ้าหรือกระต่ายป่ามาติดกับดักของเขาสักตัวสองตัว กับดักที่เด็กชายวางเอาไว้ทั้งหมด 10 อัน เขาตรวจดูไปแล้ว 7 อัน ยังไม่มีเหยื่อมาติดแม้แต่ตัวเดียว
หยางเสี้ยวได้แต่หวังว่าอีกสามอันนั้นจะมีอะไรมาติดบ้าง ไม่อย่างนั้นวันนี้คงต้องคว้าน้ำเหลวแล้ว ตอนนี้น้ำในลำธารลดระดับลงไปมาก เขาภาวนาว่าอย่าให้เกิดภัยแล้งขึ้นมาอีกเลย แค่ลำพังไม่ประสบภัยทางธรรมชาติ ครอบครัวของเขาก็แทบจะไม่มีอะไรกินอยู่แล้ว ชีวิตในแต่ละวันผ่านไปอย่างยากลำบาก ท่านพ่อที่เขาไม่เคยเห็นหน้าผู้นั้นก็รวมกลุ่มกับชาวบ้านไปล่าสัตว์ ป่านนี้ยังไม่กลับมา หวังว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย
กับดักสามอันสุดท้ายที่หยางเสี้ยวฝากความหวังเอาไว้ ก็ไม่ได้ทำลายความหวังของเด็กชายไปเสียทีเดียว เมื่อเขาเดินมาถึงกับดักอันที่แปด ก็พบว่ามีไก่ฟ้าตัวใหญ่ติดอยู่ ด้วยความดีใจเด็กชายรีบปลดไก่ฟ้าออกจากกับดักแล้วเดินไปตรวจดูกับดักอันที่เก้าทันที
เมื่อเดินมาถึงกับดักอันที่เก้าเด็กน้อยถึงกับยิ้มแฉ่งเพราะกับดักอันนี้ก็มีไก่ป่ามาติดอยู่เช่นเดียวกัน เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับวันนี้ นับว่าการเข้าป่าลึกของเขาไม่ได้ล้มเหลวอย่างน้อยยังมีไก่ฟ้าสองตัว สามารถแบ่งให้บ้านท่านปู่ได้หนึ่งตัวให้ท่านย่าต้มน้ำแกงบำรุงร่างกายคนในครอบครัว
ท่านปู่เองก็ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ทั้งยังต้องทำงานในไร่นา ป้าสะใภ้เองสภาพร่างกายไม่ต่างจากท่านแม่ของเขาเท่าไหร่ แรงงานในบ้านจึงมีเพียงท่านพ่อและท่านลุงที่เป็นแรงงานหลัก ส่วนพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของเขาอายุมากกว่าเขา 2 ปี เด็กอายุ 10 ขวบในที่แห่งนี้ถือว่าเป็นเด็กที่โตพอจะช่วยงานในไร่นาได้แล้ว
ถึงแม้จะเป็นแบบนั้นแต่เด็ก 10 ขวบจะสามารถทำอะไรมากมายได้เท่าไหร่กันเชียว อย่างมากก็ช่วยหาบน้ำ เก็บฟืนและช่วยงานในไร่นาเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น สำหรับหยางเสี้ยวผู้ที่อายุรวมกันสองชาติแล้วได้ 30 ปีผู้นี้ ไม่คิดจะพึ่งพาไร่นาในการเลี้ยงปากท้องอย่างเดียวแน่ จำต้องหาหนทางเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีในวันข้างหน้า
ในตอนที่หยางเสี้ยวเดินมาถึงกับดักอันที่สิบ เด็กชายก็ต้องขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อเห็นว่ากับดักของตัวเองมีอะไรติดอยู่ มันไม่ใช่ทั้งกระต่ายหรือไก่ แต่มันคือลูกหมาสีขาวตัวอ้วนกลมหนึ่งตัว ที่ไม่รู้ว่าเดินไม่ดูตาม้าตาเรือหรืออย่างไรถึงได้มาติดกับดักของเขาเสียได้ แล้วทำไมเจ้าตัวเล็กนี่ถึงได้มาอยู่แถวนี้ตัวเดียว พ่อแม่และครอบครัวของเจ้าตัวเล็กนี่ไปไหน
“เฮ้อ ซุกซนจนได้เรื่องแล้วไหมล่ะ อยู่นิ่ง ๆ ข้าจะปลดกับดักออกให้ ดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บมาก แล้วนี่พ่อแม่พี่น้องของแกไปไหน ทำไมถึงได้ออกมาวิ่งเพ่นพ่านอยู่ตัวเดียว ดีเท่าไหร่แล้วไม่เจอสัตว์ป่าดุร้าย ไม่เช่นนั้นชีวิตน้อย ๆ ของแกก็ไม่เหลือแล้ว เอ้า กลับบ้านไปได้แล้ว ทีหลังหัดดูทางเสียบ้าง จะได้ไม่ไปติดกับดักของผู้ใดอีก”
“หงิง หงิง” เจ้าหมาเอาหัวมาถูไถกับขากางเกงของหยางเสี้ยวอย่างออดอ้อน
“อะไร อะไร กลับบ้านของเจ้าไปเถอะ ข้าเองก็ต้องกลับบ้านของข้าแล้ว” พอหยางเสี้ยวพูดจบเจ้าหมาก็ทำหูลู่หางตกครางหงิง ๆ อยู่แบบนั้น หยางเสี้ยวเข้าใจว่ามันคงไม่มีครอบครัวแล้วหรืออาจจะพลัดหลงมา ถ้าปล่อยเอาไว้ในป่าก็กลัวจะโดนสัตว์ป่าดุร้ายกัดเอา เด็กชายทำได้แค่เพียงพามันกลับบ้านไปด้วย
“ไม่ต้องทำหน้าเศร้าแล้ว ไป ๆ กลับบ้านไปกับข้านี่ล่ะ ไปอยู่บ้านข้าก่อน ที่บ้านข้ามีน้องชายหนึ่งคน เขาคงชอบที่ได้เจอเจ้า ต่อไปนี้เจ้าชื่อเสี่ยวไป๋ก็แล้วกัน ข้าจะโดนท่านแม่ด่าหรือไม่ ขนาดคนยังไม่มีข้าวจะกิน ยังต้องเก็บหมามาเลี้ยงอีก ไปถึงบ้านข้าแล้วเจ้าต้องทำตัวดี ๆ ล่ะเข้าใจไหม”
“โฮ่ง โฮ่ง”
“เข้าใจก็ดีแล้ว”
หยางเสี้ยวแบกตะกร้าที่ใส่ไก่ฟ้าเอาไว้สองตัวเห็ดหูหนูดำและผักป่าอีกนิดหน่อย สองมืออุ้มเจ้าเสี่ยวไป๋มุ่งหน้ากลับบ้านทันที เพราะวันนี้เข้าไปในเขตภูเขาอู๋หลงจึงทำให้ใช้เวลาในการเดินทางมากกว่าปกติ เด็กชายกลับมาถึงบ้านก็พบว่าน้องชายได้ออกมานั่งรออยู่ที่ลานหน้าบ้าน หยางเสี้ยวมองดูน้องชายที่นั่งหันหน้าหันหลังคอยเขาอยู่ก็ยกยิ้มด้วยความเอ็นดู
“อ๊ะ พี่ใหญ่ท่านกลับมาแล้ว ทำไมวันนี้ถึงไปนานขนาดนี้ล่ะ รีบเข้าบ้านเร็วท่านแม่เป็นห่วงจะแย่แล้ว”
“อย่าวิ่ง ระวังเดี๋ยวจะหกล้มเอาได้ ค่อย ๆ เดิน ไม่ใช่ว่าพี่กลับมาแล้วหรือยังไง ไม่ต้องร้อนใจไป”
“ข้าเป็นห่วงพี่ใหญ่นี่ขอรับ พี่ใหญ่ขึ้นเขาไปคนเดียวข้ากับท่านแม่อดห่วงไม่ได้”
“พี่รู้แล้ว ขอบใจเสียนเอ๋อร์ที่เป็นห่วงพี่นะ พี่ไม่เป็นไร ปลอดภัยดีมาก นี่ดูสิพี่มีอะไรมาให้เสียนเอ๋อร์ด้วย” หยางเสี้ยวยื่นเสี่ยวไป๋ให้น้องชาย
“โอ๊ะ ลูกหมานี่นา พี่ใหญ่ ท่านไปเอาเจ้าตัวเล็กนี่มาจากไหนขอรับ มันน่ารักมากเลย พวกเราเลี้ยงมันเอาไว้ได้หรือไม่ขอรับ”
“พี่เองก็ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน มันวิ่งมาติดกับดักที่พี่วางเอาไว้ เพราะเห็นว่ามันยังเป็นแค่ลูกหมากลัวว่าถ้าปล่อยมันทิ้งไว้ในป่าก็คงได้โดนสัตว์ตัวอื่นรังแกเอา อีกอย่างมันก็อยากจะตามพี่กลับมาด้วย น่าจะพลัดหลงกับพ่อแม่หรืออาจจะเหลือแค่มันตัวเดียว พี่เลยคิดว่าพามันกลับมาจะดีกว่า พี่ตั้งชื่อให้มันว่าเสี่ยวไป๋ เอาล่ะ เข้าบ้านกันเถอะ”
“ขอรับ ท่านแม่ ท่านแม่ ออกมาดูนี่เร็ว พี่ใหญ่กลับมาแล้ว พี่ใหญ่มีของฝากมาให้ข้าด้วยล่ะ”
“เสียนเอ๋อร์อย่าวิ่ง ระวังจะชนข้าวของในบ้าน” หยางเสี้ยวได้แต่เตือนน้องชายที่วิ่งตึงตังเข้าไปในบ้านในมือมีเจ้าเสี่ยวไป๋อยู่
“มีอะไรเสียนเอ๋อร์ พี่ชายของลูกกลับมาแล้วยังงั้นเหรอ ไหนมาให้แม่ดูพี่ชายมีอะไรมาฝากลูก ถึงได้ดีใจขนาดนี้”
“นี่ขอรับท่านแม่ พี่ชายเอาเสี่ยวไป๋มาฝาก”
“ตายจริง ลูกหมาป่านี่ เสี้ยวเอ๋อร์ไปเอามาจากไหน พ่อแม่มันจะไม่ตามหาหรือ แม่ว่าเอากลับไปคืนดีกว่าไหม ถ้าหากว่าหมาป่าบุกมาถึงบ้านเราจะทำยังไง”
“ท่านแม่ขอรับ เจ้านี่ไม่มีพ่อแม่หรอกขอรับ หรือมันอาจจะพลัดหลงอีกอย่างเสี่ยวไป๋เองก็อยากจะตามลูกมาด้วย คิดว่ามันคงอยู่ตัวเดียวในป่าขอรับ อีกอย่างบ้านของเรากับภูเขาอู๋หลงอยู่ห่างกันมาก หมาป่าไม่มีทางออกจากป่าลึกมาหรอกขอรับ ท่านแม่วางใจได้”
“ถ้าลูกแน่ใจแล้วก็ตามใจลูกก็แล้วกัน”
“ท่านแม่ขอรับ ให้เสี่ยวไป๋นอนกับข้าได้หรือไม่ขอรับ”
“แต่พี่ว่าพามันไปอาบน้ำให้สะอาดก่อนดีกว่านะ ส่วนที่นอนของเสี่ยวไป๋พี่จะทำให้เอง แล้วค่อยวางเอาไว้ข้างเตียงดีหรือไม่ หากให้เสี่ยวไป๋ไปนอนบนเตียงด้วยคงไม่ดีเท่าไหร่”
“ขอรับพี่ใหญ่ ถ้าอย่างนั้น ท่านแม่ข้าจะอาบน้ำ เสี่ยวไป๋ก็จะอาบด้วย ท่านแม่ช่วยต้มน้ำให้หน่อยได้หรือไม่ขอรับ”
“ได้สิ เจ้ารอประเดี๋ยว เสี้ยวเอ๋อร์ลูกจะอาบน้ำด้วยหรือไม่ แม่จะได้ต้มน้ำให้มากหน่อย”
“ท่านแม่ เดี๋ยวลูกค่อยอาบขอรับ ลูกจะเอาไก่ฟ้าแบ่งไปให้บ้านท่านปู่ก่อน”
“อะไรนะ ไก่ฟ้าหรือ นี่ลูกเข้าป่าไปลึกแค่ไหนกัน”
“ไม่ลึกขอรับ วันนี้มีไก่ฟ้ามาติดกับดักสองตัว ส่วนตัวที่สามกลับเป็นเจ้าเสี่ยวไป๋ไปเสียได้”
“เย้ ๆ วันนี้มีเนื้อไก่กินล่ะ เสี่ยวไป๋เดี๋ยวเราจะมีเนื้อไก่กินแล้วนะ ดีใจหรือไม่ เนื้อไก่อร่อยมากเลย ข้าเคยกินเมื่อนานมาแล้ว ถึงตอนนี้ข้าจำรสชาติไม่ได้แล้ว รู้แค่เพียงว่ามันอร่อยมากล่ะ”
เสิ่นซื่อที่ได้ยินลูกชายพูดแบบนั้นนางก็อดที่จะสงสารลูกและโทษตัวเองที่ร่างกายอ่อนแอไม่ได้ เพราะครอบครัวยากจน นางเองร่างกายอ่อนแอ สามีเป็นแรงงานหลักของบ้านทำงานหนักทุกอย่าง แต่ยังไม่สามารถเติมเต็มอาหารให้กับครอบครัวได้มากนัก
การเก็บเกี่ยวปีที่แล้วได้ผลผลิตน้อย อีกทั้งครอบครัวมีที่นาเพียงแค่สามหมู่เท่านั้น บ้านใหญ่เองก็มีที่ดินเพียง 5 หมู่ จากเดิมที่เคยมี 8 หมู่ ตอนน้องสาวคนเล็กแต่งออกไป บ้านใหญ่ตัดสินใจขายที่นา 3 หมู่ เพื่อนำเงินมาใช้ซื้อสินเดิมและใช้ในการแต่งงานของน้องสามี
“ท่านแม่ วันนี้ได้ไก่มา 2 ตัว บ้านเรากินเสียหนึ่งตัว อีกตัวข้าจะเอาไปให้บ้านท่านปู่ ท่านแม่ไม่ต้องประหยัดนะขอรับ น้ำแกงไก่สามารถบำรุงสุขภาพของท่านได้ ท่านแม่กินให้มากหน่อย พรุ่งนี้ลูกจะไปตรวจดูกับดักที่วางเอาไว้อีกที หากจะรอท่านพ่อกลับมาก็คงจะไม่ได้”
“แม่รู้ ขอบใจลูกมาก หากไม่ได้เงินขายปลาจากลูกเมื่อวันก่อน บ้านเราคงไม่มีข้าวกินแล้วล่ะ ลูกรีบเอาไก่ไปให้บ้านท่านปู่เถอะ จะได้รีบมาอาบน้ำ”
“ขอรับท่านแม่”
หยางเสี้ยวเอาไก่ฟ้าใส่ตะกร้าไม้ไผ่ เห็ดหูหนูดำ และผักป่า จากนั้นก็ยกตะกร้าขึ้นสะพายหลังเดินมุ่งหน้าไปบ้านท่านปู่ทันที เสิ่นซื่อรู้สึกว่าลูกชายของนางเปลี่ยนไปมากหลังจากที่หายป่วยครั้งนี้ ทั้งยังมีความรู้มากมาย นิสัยก็เปลี่ยนไปมากเช่นเดียวกัน แต่เดิมลูกชายของนางไม่ค่อยชอบพูดจา ไม่ได้ร่าเริงอย่างเช่นตอนนี้
ดูเหมือนว่าตอนนี้ลูกชายของนางจะเติบโตขึ้นแล้วจริง ๆ คนเป็นแม่เมื่อเห็นลูกเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นย่อมดีใจเป็นอย่างมาก ที่สำคัญตอนนี้ลูกชายของนางยังสามารถล่าสัตว์เล็ก ๆ น้อยและหาเงินเข้าบ้านได้แล้ว เสิ่นซื่อรู้สึกว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่บ้าง