ชาวบ้านที่รวมกลุ่มกันเข้าป่าล่าสัตว์พวกเขาเข้าป่ามาหลายวันแล้วแต่เดิมสมควรจะกลับออกจากป่าได้แล้ว เพียงแต่ว่าการเข้าป่ามาครั้งนี้ยังล่าสัตว์ใหญ่อย่างหมูป่าไม่ได้เลยสักตัว
หากยังไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปไม่นับว่ามาเสียเที่ยวหรอกหรือ เพราะความเป็นอยู่ของครอบครัวล้วนยากจน การรวมกลุ่มเข้าป่าล่าสัตว์วันนี้ทุกคนพกความหวังมาเต็มเปี่ยม หากกลับไปมือเปล่าไม่เท่ากับว่าคว้าน้ำเหลวหรอกหรือ
เพราะเป็นแบบนี้คนทั้งกลุ่มได้ตัดสินใจเข้าไปในป่าลึกกว่าที่เคยมา การรวมกลุ่มกันออกมาล่าสัตว์ในครั้งนี้ กินเวลาไปหลายวันกว่าทุกครั้ง หากว่าอีกสองวันยังคงล่าอะไรไม่ได้เลย พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะออกจากป่ากลับบ้านทันที
“พี่ใหญ่ พวกเราออกจากบ้านมาหลายวันแล้วข้ารู้สึกใจคอไม่ดีเลย ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือไม่ วันที่พวกเราเดินทางมาเสี้ยวเอ๋อร์มีไข้ ตัวร้อนมาก” หยางเทียน
“น้องรองอย่าคิดมากเลย ไม่มีอะไรหรอก ทำใจให้สบายเถอะ ไม่แน่ว่าตอนนี้เสี้ยวเอ๋อร์อาจจะหายดีแล้วก็เป็นได้” หยางเทาได้แต่ปลอบน้องชาย
“ถ้าหากว่าสองวันนี้ยังล่าอะไรไม่ได้อีก ข้าจะกลับบ้านแล้วล่ะ อีกอย่างข้าไม่อยากจะเข้าป่าไปลึกมากกว่านี้แล้วพี่ใหญ่เห็นด้วยหรือไม่”
“อืม ข้าเห็นด้วย”
“พวกเจ้าพี่น้องบ้านหยางน่ะ คิดเห็นยังไงถ้าหากว่าพวกเราจะแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มละ 4 คนออกล่า เพราะถ้าพวกเรายังรวมกันกลุ่มใหญ่แบบนี้ ส่วนแบ่งยิ่งจะน้อยลงไปอีก” หวงจิ่ง หนึ่งในชาวบ้านที่เข้าป่ามาด้วยกัน
“พวกเราพี่น้องไม่ขัดข้องหรอกนะ เดิมทีข้ากับน้องชายก็ตัดสินใจแล้วว่าหากภายในสองวันนี้ยังล่าอะไรไม่ได้พวกเราก็จะออกจากป่ากลับบ้านแล้วล่ะ” หยางเทา
“ใช่ ข้าเป็นห่วงที่บ้าน ร่างกายของภรรยาข้าไม่ใคร่จะดี วันที่พวกเราเดินทางมาลูกชายข้าก็ป่วยไข้ จิตใจข้าไม่สงบเอาเสียเลย” หยางเทียน
“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้ข้าจะได้ไปบอกคนอื่น ๆ ที่เหลือ ส่วนพวกเจ้าจะจับกลุ่มกับใครก็แล้วแต่การตัดสินใจของพวกเจ้าพี่น้อง ข้าไปล่ะ”
หลังจากหวงจิ่งนำคำพูดของผู้นำกลุ่มมาบอกกล่าวแก่ทุกคนเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นก็มีการแบ่งกลุ่มกันขึ้นโดยที่พี่น้องบ้านหยางทั้งสองคนอยู่กลุ่มเดียวกับพี่น้องบ้านลู่ที่มีความสนิทสนมกันดี ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรวมกลุ่มเข้าป่าล่าสัตว์กันอยู่ประจำ แต่ว่าชาวบ้านที่เข้าป่ามาด้วยกันก็ไม่ได้มีความสนิทชิดเชื้อกันไปเสียทุกคน
“เอาล่ะพวกเราจะแยกกันล่า แล้วอีกสองวันมาเจอกันที่ตรงนี้นะ ข้าขอเตือนพวกเจ้าอย่าได้เข้าไปในป่าลึกมากกว่านี้ เพราะถ้าเกิดว่าหลงเข้าไปในภูเขาอู๋หลงแล้วล่ะก็ความเป็นไปได้ที่จะมีชีวิตรอดกลับมานั้นแทบไม่มี ภูเขาอู๋หลงทางด้านนี้อันตรายกว่าทางด้านที่อยู่ติดกับหมู่บ้านของเรา อย่าได้เอาชีวิตไปเสี่ยงอันตราย พวกเจ้าอย่าลืมว่ายังมีครอบครัวที่รอการกลับไปของพวกเจ้าทุกคนอยู่” จางหยุนเทียน ผู้นำกลุ่มในการล่าสัตว์ครั้งนี้ บอกให้ทุกคนระวังตัวก่อนจะแยกย้ายกันไป
“พวกเราเข้าใจแล้วท่านลุงจาง ขอบคุณท่านมากขอรับ" หยางเทียน
หลังจากนั้นพวกหยางเทียนก็ได้แยกจากชาวบ้านคนอื่นไปกับพี่น้องลู่จื้อ ลู่คง ทั้งสี่คนช่วยกันวางกับดักจากนั้นก็หาถ้ำหรือโพรงไม้ที่สามารถเข้าไปพักอาศัยได้ การมาล่าสัตว์ครั้งนี้ นับว่าไม่ราบรื่นตั้งแต่แรก เมื่อส่วนแบ่งน้อยย่อมมีคนไม่พอใจและอยากแยกตัวออกไปล่าเพียงลำพัง โดยไม่คำนึงถึงอันตราย หากว่าไม่ได้ลุงจางเตือนสติเอาไว้คงแตกแยกกันไปนานแล้ว
“ข้าว่าเข้าป่ามาครั้งนี้แปลกมาก แม้แต่ไก่ฟ้ายังหาได้ยากเลย ลำพังในแต่ละวันสัตว์ป่าเล็ก ๆ ที่ล่ามาได้ก็กลายเป็นเสบียงของพวกเราไปแล้ว แบบนี้จะเหลืออะไรให้เอากลับบ้านไปได้กัน” ลู่คง
“ข้าเห็นด้วยกับอาคง ข้าเองก็รู้สึกว่ามันแปลกมาก ข้าสังหรณ์ใจไม่ดียังไงไม่รู้” หยางเทียน
“ข้าว่าพวกเราคงต้องระวังตัวให้มาก ขอแค่พวกเราปลอดภัยกลับไป ย่อมมีทางอื่นแน่นอน แต่ถ้าหากเอาชีวิตไปเสี่ยงอันตรายเกิดบาดเจ็บขึ้นมาจะกลายเป็นภาระครอบครัวเสียเปล่า ๆ แบบนั้นข้าว่าคงจะไม่ดีแน่” หยางเทา
“ข้าเห็นด้วยกับอาเทานะ” ลู่จื้อ
“ข้าอยากเตือนพวกเจ้าสักหน่อย อย่าได้วางใจคนบ้านเฟิง เมื่อสักครู่พวกเจ้าไม่เห็นสายตาที่เฟิงเล่ยมองมาทางพวกเราหรือ ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคนบ้านนี้จงเกลียดจงชังอะไรพวกเจ้าสองพี่น้อง” ลู่คง
“ก็จะอะไรเสียอีก ใครไม่รู้บ้างว่าก่อนที่เสิ่นซื่อจะแต่งให้กับอาเทียนเฟิงเล่ยเองก็หมายตาเสิ่นซื่ออยู่เพียงแต่ครอบครัวของเสิ่นซื่อพอใจในตัวของอาเทียนถึงได้ตกลงให้มีการแต่งงานเกิดขึ้น เฟิงเล่ยเลยไม่ชอบหน้าอาเทียนมาตั้งแต่ตอนนั้นน่ะสิ” ลู่จื้อ
“เรื่องนี้มันก็นานมากแล้วนะ ต่างคนต่างแต่งภรรยาของตัวเองมาแล้ว ทำไมยังผูกใจเจ็บอยู่อีก ครั้งก่อนก็ล่อหมาป่ามา ถึงจะบอกว่าไม่ได้เจตนาแต่ข้าว่าคิดดีไม่ได้เลย โชคดีที่ลุงจางฝีมือเก่งกาจ หาไม่แล้วพวกเราได้แย่แน่ ๆ” หยางเทา
“อย่าคิดมากเลย ข้าคิดว่าเฟิงเล่ยคงไม่กล้าทำอะไรโจ่งแจ้งนักหรอก อย่างมากก็คงเล่นลูกไม้เล็ก ๆ น้อย ๆ พวกเราแค่ระวังตัวให้ดีก็พอแล้ว ปีนี้เห็นว่าบ้านเฟิงเองก็เก็บเกี่ยวได้ผลผลิตไม่มากเท่าไหร่ คนในบ้านเยอะย่อมทุกข์ใจเรื่องอาหารการกินอยู่แล้ว ข้าคิดว่าเฟิงเล่ยเองคงไม่มีเวลามาคิดแค้นเคืองข้ามากนักหรอก” หยางเทียน
“ก็ไม่แน่หรอก คนบ้านเฟิงหาดีไม่ได้ ระวังเอาไว้หน่อยก็ดี”
“อืม ข้าจะระวัง ตอนนี้พวกเรารีบพักผ่อนกันเถอะ”
ชาวบ้านส่วนใหญ่นั้นล้วนแต่เป็นคนจิตใจดี แต่ในหมู่คนที่จิตใจดีเหล่านี้ย่อมมีคนไม่ดีปะปนอยู่ มีทั้งอิจฉาริษยา อีกทั้งพวกที่ทนเห็นคนอื่นได้ดีมีความสุขไม่ได้ต้องหาทางปัดแข้งปัดขาเสียหน่อยถึงจะดี
หลังจากแต่ละกลุ่มแยกย้ายเพื่อหาเป้าหมายของตัวเอง จางหยุนเทียนเองก็จับตามองสี่พี่น้องบ้านเฟิงอยู่ตลอด เพราะเขาไม่รู้ว่าคนพวกนี้จะก่อเรื่องอะไรอีก
ครั้งที่แล้วก็ล่อหมาป่าเข้ามาในกลุ่มชาวบ้าน โชคดีที่มีเพียงตัวเดียวเท่านั้น หากมากันทั้งฝูงยังไม่แน่ว่าจะมีใครได้รับบาดเจ็บหรือไม่ หาว่าพวกเขาไม่คิดทำอะไรโง่ ๆ คงจะดีไม่น้อย
ทางด้านหยางเสี้ยวนั้นในทุก ๆ วันจะเข้าป่าเพื่อหาผักป่าหรือและตรวจดูกับดัก น้องชายอย่างหยางเสียนตอนนี้มีเจ้าเสี่ยวไป๋เล่นเป็นเพื่อนแล้วและไม่ต้องการตามพี่ชายเข้าป่าอีก ทำให้หยางเสี้ยวดีใจมาก เพราะถ้าหากน้องชายไปกับเขาด้วย เขาก็ไม่สามารถที่จะแอบเข้าไปในภูเขาอู๋หลงได้ แบบนั้นไม่เท่ากับว่าความลับที่เขาเข้าป่าลึกจะถูกเปิดเผยหรือ
บ้านใหญ่หยาง ตอนนี้อาหารการกินนับว่าไม่ลำบากมาก หลานชายเอาอาหารมาแบ่งให้ทุกครั้ง คนเป็นปู่เป็นย่าทั้งทุกข์ใจและสุขใจ สุขใจที่หลานกตัญญู ทุกข์ใจที่ครอบครัวพวกเขาล้วนยากจน การที่หยางเสี้ยวนำปลาและไก่ฟ้ามาให้บ่อย ๆ นั้น คนเป็นปู่เป็นย่าอยากให้เด็กชายนำไปขายเพื่อหาเงินเข้าบ้านมากกว่า
แต่หยางเสี้ยวกลับบอกว่าคนเราจะทำงานหนักได้ต้องมีร่างกายที่แข็งแรงก่อน ถ้าเกิดว่าร่างกายอ่อนแอเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา นอกจากจะต้องจ่ายค่าหมอค่ายาแล้วยังไม่สามารถทำงานได้ ถึงเวลานั้นจะตกเป็นภาระคนผู้อื่นที่จะต้องมาดูแล เมื่อทั้งสองคนคิดตามที่หลานพูดมานับว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง
เพราะที่ผ่านมาอาหารการกินไม่พอ การที่จะมีเนื้อกินนั้นไม่ใช่ว่าจะมีโอกาสได้กินบ่อย ๆ สัตว์น้อยใหญ่ที่ล่ามาได้แต่ละครั้งล้วนแล้วแต่นำไปขายแลกเงินทั้งนั้น เมื่อย้อนกลับมามองดูเด็กเล็ก ๆในบ้านต่างก็ซูบผอมกันทั้งนั้น ทุกคนต่างคิดว่าหลังจากที่หยางเสี้ยวป่วยในครั้งนี้เด็กชายเปลี่ยนไปมาก
หยางเสี้ยวมีความคิดความอ่านที่รอบคอบเกินกว่าเด็กวัยแปดขวบทั่ว ๆ ไป แต่ไม่ว่าหลานจะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน คนเป็นปู่เป็นย่าย่อมดีใจที่เห็นหลานมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี อาจจะเพราะว่าครอบครัวของลูกชายคนรองมีเพียงหยางเทียนผู้เป็นพ่อที่เป็นแรงงานหลักของบ้าน
ทำให้หยางเสี้ยวพยายามโตเกินวัยเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของบิดา น้องชายยังเด็ก มารดาร่างกายไม่แข็งแรงเจ็บป่วยอยู่ตลอดเวลา การที่หยางเสี้ยวเปลี่ยนไปอาจจะมาจากสาเหตุนี้ก็ได้ ไม่มีใครคิดว่าหยางเสี้ยวตัวจริงได้ตายไปแล้ว ตอนนี้ไส้ในของหยางเสี้ยวคือมังกรที่มาจากมิติหนึ่ง อายุวิญญาณคือ 22 ไม่ใช่แปดขวบอย่างที่เป็น
“อาเสี้ยว อาเสี้ยวเจ้าอยู่บ้านหรือเปล่า” หยางเชวียนที่วันนี้ออกจากบ้านมาตั้งแต่เช้า เด็กชายตั้งใจว่าจะตามน้องชายลูกพี่ลูกน้องเข้าป่าด้วยกัน
“พี่ใหญ่เชวียน มาหาข้าแต่เช้า มีอะไรหรือเปล่าขอรับ แล้วนี้กินมื้อเช้ามาหรือยัง”
“ข้ากินมาแล้ว วันนี้ข้าจะเข้าป่าไปหาผักป่ากับเจ้าด้วย วันนี้ท่านปู่กับท่านย่าและท่านแม่ออกไปรดน้ำที่ทุ่งนากันหมด”
“ได้สิ รอข้าสักเดี๋ยวนะ ขอไปเตรียมของก่อน”
“บ๊อก บ๊อก” เจ้าเสี่ยวไป๋เห่าหยางเชวียนเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน
“เอ๋ เจ้าตัวเล็กนี่มาจากไหน อาเสียนเจ้าเอาลูกหมามาจากที่ใดกัน”
“พี่ใหญ่เก็บมาจากป่าขอรับ ท่านพี่เชวียน พี่ใหญ่เอามาให้เป็นเพื่อนเล่นของข้า ท่านพี่เชวียนดูสิมันน่ารักมากเลย พี่ใหญ่ตั้งชื่อให้มันว่า เสี่ยวไป๋”
“เป็นเช่นนั้นหรือ ดีจังเลยนะ ต่อไปเจ้าก็จะได้มีเพื่อนเล่นแล้ว ทำไมเจ้าไม่ไปเล่นกับอาอินที่บ้านของข้าล่ะ”
“ไปไม่ได้หรอกขอรับ หากข้าไปแล้วท่านแม่ก็ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน พี่ใหญ่ก็ต้องเข้าป่าหาของป่า ท่านพ่อก็ไม่อยู่ข้าเลยต้องอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ ช่วยท่านแม่ปลูกผักที่บ้านขอรับ”
“อาเสียนเป็นเด็กดีจริง ๆ”
“ข้าพร้อมแล้วเราไปกันเถอะ เสียนเอ๋อร์อยู่บ้านกับท่านแม่ดี ๆ ล่ะเข้าใจหรือไม่ เดี๋ยวพี่ใหญ่จะหาของอร่อย ๆ กลับมาฝาก”
“ขอรับพี่ใหญ่ ข้าจะรอกินนะขอรับ”