ยามไฮ่ (21.00 – 23.00 น.)
จางเหวินเจอเซี่ยเว่ยหลงอีกครั้ง เขาก็สังเกตได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ ไม่เช่นนั้นเจ้าคนผู้นั้นจะเอาแต่นั่งดื่มสุราจอกแล้วจอกอย่างเงียบงันโดยไม่ปริปากเอ่ยอันใดออกมาได้อย่างไรตลอดหลายชั่วยามที่ผ่านมา! “เหอะ!” เขาแค่นเสียงออกมา สายตาจ้องมองอีกฝ่ายนิ่งๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ดอกเหมยร่วงหล่นปลิวไปกับสายลม...ต่อให้ยื่นมือออกคว้าก็เกินกว่าจะรั้งไว้ได้อีกแล้ว” !!! ปัง! เสียงจอกสุรากระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรงจนดังสะท้อนไปทั่วทั้งห้องบ่งบอกอารมณ์ขุ่นมัวของเซี่ยเว่ยหลงได้ชัดเจน มุมปากหนาเหยียดยิ้มเยาะเล็กน้อย เซี่ยเว่ยหลงพลางเอ่ยออกมาเสียงเรียบราวกับมิได้ต้องการคำตอบอันใด “ย่อมเคยรักงั้นหรือ…ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ใจของนางเริ่มเปลี่ยนไปเป็นอื่น” หมายความว่าอย่างไรกัน…!? จางเหวินได้ยินแล้วพลันขมวดคิ้วมุ่นอย่างงุนงงทันที เขาไม่รู้ว่าเซี่นเว่ยหลงกำลังกล่าวถึงสิ่งใดอยู่หรือแท้จริงแล้วเพียงแค่เมามายจนสติเลอะเลือนไปแล้วอย่างงั้นหรือ…? จางเหวินหรี่สายตาสังเกตอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดออกมา “หึ! อวดดี...คำพูดร้ายกาจแต่การกระทำลับหลังกลับน่าสมเพช” เขาหรือน่าสมเพช!? เซี่ยเว่ยหลงเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตาคมกริบเริ่มแดงก่ำจากฤทธิ์สุรากระทบกับแสงตะเกียงสลัวพลันปรากฏความปวดใจออกอย่างปิดไม่มิด เขาหัวเราะในลำคออย่างแผ่วเบาก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ “สมเพชหรือ…” เซี่ยเว่ยหลงเลิกคิ้วเชิงเอ่ยถาม “นางต่างหากที่น่าสมเพชทำตัวเรียกร้องความสนใจจากข้ามิต่างจากสุนัขรอคอยเจ้าของ” “บัดซบเถอะเซี่ยเว่ยหลง!” ไม่ทันจะสิ้นสุดคำพูด จางเหวินได้ยินแล้วสบถออกมาด้วยความโมโหทันที “เมาจนสภาพย่ำแย่ยิ่งกว่าสุนัขขี้เรื้อนแล้วยังริอาจกล้าไปพูดจาดูแคลนผู้อื่นอีก!” ปากดีไม่เลิก! เกรงว่าเจ้าคนผู้นี้ หากไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ จางเหวินพลางกัดฟันกรอดถลึงตามองเซี่ยเว่ยหลงอย่างโกรธเคืองปนด้วยความโกรธ หากจะต้องแตกหักก็ช่างเถอะ…เขาไม่เห็นด้วยกับคนผู้นี้จริงๆ เซี่ยเว่ยหลงชะงัก ดวงตาคมกริบแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธฉายออกมาทันทีไป เขาดึงกระชากคอเสื้อของจางเหวินขึ้นทันควัน น้ำเสียงทุ้มของเขาขุ่นเคืองไม่พอใจอย่างชัดเจน “เจ้ากล้าหาข้าว่าเป็นสุนัขขี้เรื้อนงั้นหรือจางเหวิน!” จางเหวินหาได้เกรงกลัวอันใด มุมปากหนาเหยียดยิ้มเยาะ ก่อนจะสวนกลับโดยไม่หลบสายตา “แล้วมิใช่รึ…!?” เขาพูดอันใดผิดกัน จางเหวินเอียงใบหน้าเล็กน้อยท่าทางคล้ายกำลังยั่วยุอารมณ์อีกฝ่าย “นายท่านเซี่ยทอดทิ้งภรรยา ทำราวกับว่านางไร้ค่าไม่มีสิ่งใดสำคัญแล้วเหตุใดยามนี้กลับนั่งร่ำสุราโอดครวญคล้ายกับเป็นผู้เคราะห์ร้ายเสียเอง…เห็นแล้วน่าสมเพชนัก!” !!! เดิมทีเซี่นเว่ยหลงหาได้มีความอดทนมากนัก มิหนำซ้ำยามนี้ยังดื่มสุราไปหลายไหจนนับไม่ถ้วน…แม้ไม่ได้เมามายจนขี้เรื้อนแต่ก็ไร้สติขาดความคิดยับยั้งอยู่ หมัดของเซี่ยเว่ยหลงยกขึ้นกลางอากาศก่อนจะหยุดชะงัก…และอยู่ห่างจากใบหน้าของอีกฝ่ายเพียงแค่ครึ่งส่วน เซี่นเว่ยหลงกัดฟันกรอด นิ้วมือสั่นระริกด้วยอารมณ์ที่ปะทุขึ้นคับอกก่อนที่ จู่ๆ จะหัวเราะเยาะออกมาอย่างเย็นชา สายตาคมกริบดูลุ่มลึกคล้ายกับน้ำในทะเลสาบ “เวลาเปลี่ยนไปเป็นเมื่อวาน…ความรักที่นางมีต่อข้าก็จางหายไปเช่นกันงั้นหรือ” พอวันเวลาเปลี่ยนไป…นางก็เปลี่ยนไปอย่างงั้นหรือ!? เหตุใดคนผู้นี้จึงมิรู้เลยว่าตนทำสิ่งใดผิด…? จางเหวินปรายตามองฝ่ามือหนาที่กำแน่นอยู่ตรงหน้าห่างกันเพียงแค่คืบเท่านั้นทว่าหาได้รู้สึกเกรงกลัวแม้แต่น้อย เขาแค่นเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ “หึ! ไม่ว่าอย่างไร…เป็นภรรยาย่อมต้องการได้รับความรักจากสามีมิใช่ความเฉยชาเย็นยะเยือกอย่างไร้หัวใจ เช่นนี้ เกรงว่านายท่านเซี่ยคงไม่รู้กระมังว่าไม่มีผู้ใดทนได้ตลอด” แล้วอย่างไรกัน…!? ไม่ว่าเซี่ยเว่ยหลงฟังอย่างไรก็ไม่กระจ่างแจ้ง หัวคิ้วของเขาพลันขมวดคิ้วมุ่น “เช่นนั้น…เหตุใดที่ผ่านมานางถึงทนมาได้ตลอดโดยไม่ร้องขอสิ่งใด” เพ่ย! ทึ่มทื่อโง่งมยิ่งนัก! จางเหวินสบถด่าในใจพลางส่ายหัวไปมาอย่างเอือมระอา “บัดซบเถอะเซี่ยเว่ย! เจ้าโง่งมถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” ณ จวนสกุลเซี่ย อีกไม่กี่ชั่วยามก็จะถึงเช้าวันใหม่แต่ทว่าไป๋เสี่ยวหรันยังคงลืมตาอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัด ไม่ว่านางจะพยายามข่มตาหลับ หรือพลิกกายไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า…สุดท้ายก็จำต้องลุกขึ้นนั่งอย่างจำใจไร้ทางเลือก ความคิดและจิตใจของนางปั่นป่วนราวคลื่นน้ำในทะเลสาบเสมือนว่ายิ่งพยายามทำให้สงบกลับยิ่งวุ่นวายกว่าเดิม ไป๋เสี่ยวหรันถอนหายใจหนักอึ้งราวมีหินพันชั่งถ่วงเอาไว้ ไม่อาจคลายหรือวางได้แม้เพียงเสี้ยวลมหายใจ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งทอดมองจันทราที่ค่อยๆ เลือนรางหายลับไปในม่านเมฆอย่างเหม่อลอย แท้จริงแล้ว...เซี่ยเว่ยหลงต้องการสิ่งใดจากนางกันแน่? ‘ข้าถามว่าเจ้ารักข้าหรือไม่’ เหตุใดเขาถึงเอ่ยถามเช่นนั้นกัน…ถ้อยคำนี้ยังคงดังวนเวียนซ้ำๆ อยู่ในความคิดของนางราวกับกำลังตอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในใจอย่างไม่รู้จบ ทั้งที่ตลอดมาเขาไม่เคยแม้แต่เหลียวแลสนใจความรู้สึกของนางเลยแม้เพียงน้อย แท้จริงแล้วบุรุษผู้นั้นกำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่!? ไป๋เสี่ยวหรันถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ช่างเถอะ…ยามนี้จะมีสิ่งใดสำคัญไปกว่าอาหยวนอีกเล่า !!! จู่ ๆ ท่ามกลางความเงียบสงบกลางดึก ไป๋เสี่ยวหรันได้ยินเสียงฝีเท้าหนักแน่นกลับดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ โดยไม่ทันตั้งตัวและด้วยสัญชาตญาณ นางรีบถอยกรูดไปข้างหลังก่อนจะคว้าแจกันใบใหญ่ใกล้มือมาถือแน่น ดึกดื่นป่านนี้ ผู้ใดกัน...? โจรงั้นหรือ! ดวงตาของนางจับจ้องไปยังบานประตูที่ปิดสนิทก่อนที่จะถูกผลักเปิดออกอย่างแรงในชั่วพริบตา… เซี่ยเว่ยหลง! แสงจันทราสลัวที่ลอดผ่านเข้ามาเผยให้เห็นเงาร่างสูงใหญ่คุ้นตาและเพียงชั่วอึดใจนั้น ไป๋เสี่ยวหรันพลันเบือนใบหน้าหนีทันที กลิ่นสุรารุนแรงโชยมาแตะจมูกจนต้องขมวดคิ้วมุ่น บุรุษผู้นี้เมามายอย่างงั้นหรือ…!? เซี่ยเว่ยหลงชะงักฝีเท้าไปเล็กน้อย ดวงตาคมกริบเพ่งมองสตรีตรงหน้าอย่างละเอียด ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวทันที เหตุใดยังไม่นอนหรือนางคิดจะหนีอย่างงั้นรึ! เขาแค่นเสียงเย้ยหยัน มุมปากหนายกยิ้มเหยียดเย็นชา “ดึกดื่นถึงเพียงนี้…ไฉนฮูหยินยังไม่หลับไม่นอนอีกเล่า” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยแผ่วเบาทว่าเจือความเยาะเย้ย เซี่ยเว่ยหลงก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า กลิ่นสุรารุนแรงอบอวลไปทั่ว “หรือแท้จริงแล้ว...กำลังวางแผนสิ่งใดอยู่หรือ” เห็นได้ชัดว่าบุรุษตรงหน้าเมามายไม่น้อยจริงๆ ไป๋เสี่ยวหรันพลางเดินถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัวด้วยสัญชาตญาณ นางเบือนหน้าหนีพร้อมยกมือขึ้นบีบจมูกแน่นเพราะกลิ่นสุรารุนแรงจนแทบสำลัก “ดูแล้ว...นายท่านเซี่ยคงจะดื่มมามากไม่น้อย หากเช่นนั้นแล้ว มิสู้กลับเรือนไปพักเสียเถิดจะได้ไม่ต้องรบกวนผู้อื่นกลางดึก” “หึ!” เซี่ยเว่ยหลงแค่นเสียง ดวงตาคมกริบจับจ้องสตรีตรงหน้าไม่วางตา เขาก้าวเข้าหาอย่างเชื่องช้าคล้ายกับกำลังไล่ต้อนกระต่ายน้อยให้จนมุม “ฮูหยินของข้าอยู่ที่นี่…เจ้ายังกล้าไล่ข้าไปที่อื่นอีกหรือ” “…” นางชะงักไปชั่วขณะ คำพูดนั้นทำให้นางไม่อาจคาดเดาความคิดของบุรุษตรงหน้าได้เลย หากแต่เขาเมามายจนเสียสติเพียงนี้…ต่อให้นางเอ่ยสิ่งใดออกไปก็คงไร้ความหมายอยู่ดี เสียงหัวเราะแผ่วเบาๆ ดังขึ้นในลำคอของเซี่ยเว่ยหลง แววตาคมลึกคู่นั้นมองนางอย่างไม่อาจหยั่งถึงความคิดของอีกฝ่ายได้ “เจ้าต้องการหย่าข้าถึงเพียงนี้เลยหรือ…ไป๋เสี่ยวหรัน” ถ้อยคำที่เปล่งออกมาแม้จะเรียบนิ่งไร้อารมณ์ทว่าภายในใจของนางกลับปั่นป่วนราวกับคลื่นน้ำ ไป๋เสี่ยวหรันถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเอ่ยเบาๆ “เรื่องนี้เอาไว้ค่อยพูดกันในเวลาที่เหมาะสมเถิด” เวลาที่เหมาะสมอย่างงั้นหรือ…แล้วตอนนี้ไม่เหมาะอย่างไร “หึ! เหตุใดข้าจะพูดไม่ได้กันหรือเจ้ากลัวว่าข้าจะรู้ความลับบางอย่างที่ไม่ควรรู้งั้นหรือ” เซี่ยเว่ยหลงเลิกคิ้วถาม น้ำเสียงทุ้มต่ำเจือความเย้ยหยันและขุ่นเคือง ในใจเขาอดไม่ได้ที่จะคิด…หรือแท้จริงแล้วในใจของนางมีบุรุษอื่นอยู่แล้ว!? “…” ไป๋เสี่ยวหรันเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาคู่งามสั่นไหว พร้อมกับความอึดอัดถาโถมทับเข้ามาจนแทบหายใจไม่ออก ไม่ว่าเมื่อใด…เขาก็ไม่เคยพูดกับนางด้วยถ้อยคำอ่อนโยนเลยสักครั้ง ไม่เคยเลยแม้เพียงครั้งเดียว แล้วยิ่งกว่านั้นยามนี้ เขากลับกล่าวคำกล่าวหาเช่นนั้นในขณะที่เมามายจนไร้สติ… ไป๋เสี่ยวหรันหลุบตาลงต่ำ ก่อนกล่าวเสียงเรียบ “เช่นนั้น…ท่านก็เชื่อในสิ่งที่อยากเชื่อเถิด ข้าไม่มีสิ่งใดจะพูดทั้งนั้น” น้ำเสียงของไป๋เสี่ยวหรันเยือกเย็นแต่กลับบาดลึกยิ่งกว่าคำตำหนิด่าทอใด เซี่ยเว่ยหลงนิ่งงันไปชั่วขณะ ดวงตาคมกริบที่เคยแข็งกร้าวกลับสั่นไหวเล็กน้อย เขาเอ่ยออกมาเบาๆ ราวกับเสียงกระซิบจากความรู้สึกลึกๆ ในใจ “ไป๋เสี่ยวหรัน…อย่าทิ้งข้าได้หรือไม่” ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขามักเป็นฝ่ายถูกทิ้งเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในความสัมพันธ์แบบใดก็ตามทั้งที่เฝ้าถนุถนอมกอบกุมเอาไว้แน่น… สุดท้ายกลับกลายเป็นเพียงเงาเลือนรางที่คว้าไม่ถึงเท่านั้น“เซี่ยเว่ยหลง…จริงๆ ข้าเสียดายไม่น้อย” น้ำเสียงหวานเอ่ยแผ่วเบาแฝงความเหนื่อยล้าเอาไว้อย่างชันเจน ไป๋เสี่ยวหรันลอบหายใจเฮือกหนึ่งคล้ายกลับกำลังอดกลั้นอารมณ์ที่ปะทุขึ้นคับแน่นอยู่ในอก“ไป๋เสี่ยวหรัน…” เซี่ยเว่ยหลงส่ายหน้าไปมาปฏิเสธ เขาไม่ต้องการได้ยินถ้อยคำใดจากนางอีกแล้ว ฝ่ามือหนาคว้ามือของนางมากอบกุมไว้แน่นราวกับหวาดกลัวว่าสตรีตรงหน้าจะเลือนรางและหายจากไปตลอดกาลท่าทางของเขาในยามนี้ไม่ต่างจากกำลังวิงวอนรั้งนางเอาไว้ สายตาคมกริบที่เคยแข็งกร้าวกลับอ่อนลงอย่างชัดเจนหากเป็นในยามปกติไป๋เสี่ยวหรันคงเผลอใจและหลงเชื่อในคำพูดของเขาแน่ แต่ยามนี้...บุรุษตรงหน้าเมามายอยู่มาก ใบหน้าหล่อเหล่าแดงก่ำจากฤทธิ์สุราทั้งยังมีกลิ่นฉุนโชยอยู่รอบกายไป๋เสี่ยวหรันไม่ดึงมือกลับ นางเพียงยืนนิ่งคล้ายกำลังตั้งสติ ภายในใจกลับสั่นไหวอยากเกินจะควบคุมคำพูดของเซี่ยเว่ยในยามนี้ก็เป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้น…มีหรือหทกเขามีสตรีดีจะกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมา!ใบหน้าคนงามปรากฏรอยยิ้มบางๆ สะท้อนแสงจันทราที่สะท้อนสาดส่องลงมาอย่างเย็นชา นัยน์ตาเมล็ดซิ่งของนางว่างเปล่าไร้ความรู้สึกใดๆ“ทว่าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่…ฝืนดันทุรังไปก็เท่านั้น
ยามไฮ่ (21.00 – 23.00 น.)จางเหวินเจอเซี่ยเว่ยหลงอีกครั้ง เขาก็สังเกตได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ ไม่เช่นนั้นเจ้าคนผู้นั้นจะเอาแต่นั่งดื่มสุราจอกแล้วจอกอย่างเงียบงันโดยไม่ปริปากเอ่ยอันใดออกมาได้อย่างไรตลอดหลายชั่วยามที่ผ่านมา!“เหอะ!” เขาแค่นเสียงออกมา สายตาจ้องมองอีกฝ่ายนิ่งๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ดอกเหมยร่วงหล่นปลิวไปกับสายลม...ต่อให้ยื่นมือออกคว้าก็เกินกว่าจะรั้งไว้ได้อีกแล้ว”!!!ปัง!เสียงจอกสุรากระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรงจนดังสะท้อนไปทั่วทั้งห้องบ่งบอกอารมณ์ขุ่นมัวของเซี่ยเว่ยหลงได้ชัดเจน มุมปากหนาเหยียดยิ้มเยาะเล็กน้อยเซี่ยเว่ยหลงพลางเอ่ยออกมาเสียงเรียบราวกับมิได้ต้องการคำตอบอันใด “ย่อมเคยรักงั้นหรือ…ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ใจของนางเริ่มเปลี่ยนไปเป็นอื่น”หมายความว่าอย่างไรกัน…!?จางเหวินได้ยินแล้วพลันขมวดคิ้วมุ่นอย่างงุนงงทันทีเขาไม่รู้ว่าเซี่นเว่ยหลงกำลังกล่าวถึงสิ่งใดอยู่หรือแท้จริงแล้วเพียงแค่เมามายจนสติเลอะเลือนไปแล้วอย่างงั้นหรือ…?จางเหวินหรี่สายตาสังเกตอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดออกมา “หึ! อวดดี...คำพูดร้ายกาจแต่การกระทำลับหลังกลับน่าสมเพช”เขาหรือน่า
เหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่บริเวณนั้นต่างตัวแข็งทื่อราวกับหยุดหายใจไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินถ้อยคำเยือกเย็นเจือด้วยความรุนแรงของเซี่ยเว่ยหลง ไฉนพวกนางจะคาดคิดเล่าว่านายท่านจะกล้ากล่าววาจาเชือดเฉือนฮูหยินได้ถึงเพียงนี้โดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้นช่างเห็นใจฮูหยินไม่น้อย!เมื่อก่อนนั้นแม้ว่านายท่านจะไม่ชอบฮูหยินแล้วอย่างไรกัน แต่ยังเห็นแก่มารดาอยู่ไม่น้อยทว่ายามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าได้จากไปแล้ว ภายในจวนหลังสกุลเซี่ยย่อมไม่มีผู้ใดกล้าออกหน้าปกป้องฮูหยินได้ และที่แย่ยิ่งกว่าคือ...ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาของผู้เป็นนายทั้งสองก็มิได้ลึกซึ้งเพียงนั้นว่ากันตามตรงแล้วห่างเหินยิ่งกว่าคนแปลกหน้าเสียอีก!เช่นนั้นแล้ว หากไร้รัก…เหตุใดผู้เป็นนายจึงไม่รีบหย่าให้จบสิ้นเสียเล่า ไม่ใช่ว่าฮูหยินรวบรวมความกล้าเอ่ยปากขอหย่าแล้วมิใช่หรือไรกันยามนี้ในสายตาของเหล่าสาวใช้ทั้งหลายล้วนเต็มไปด้วยความเห็นใจและสงสารผู้เป็นนายหญิงไม่น้อยไฉนนายท่านถึงใจร้ายได้ถึงเพียงนี้กัน!ไป๋เสี่ยวหรันยังคงระบายยิ้มกว้างราวกับไม่ได้รู้สึกอันใดแต่กลับเจือไปด้วยความขมขื่นอย่างชัดเจน นัยน์ตาเมล็ดซิ่งของสั่นไหวครู่หนึ่งก่อนจะกลับมานิ่งเฉยดังเดิม
“มารดามันเถอะ! เซี่ยเว่ยหลง”พอได้ยินประโยคนั้นแล้ว จางเหวินตวาดดังลั่นพลางสูดลมหายใจลึกคล้ายกับกำลังตั้งสติและระงับโทสะที่เดือดพล่านอยู่ในอก สายตาคมกริบหรี่มองเซี่ยเว่ยหลงด้วยความไม่พอใจ “นางคือภรรยาของเจ้า…หาใช่สิ่งของที่จะชั่งน้ำหนักหากำไรหรือขาดทุน!”ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ จางเหวินคิดว่าอยากจะจับมือคนผู้นี้ขึ้นมาเขียนหนังสือหย่าและลงนามให้รู้แล้วรู้รอดจริงๆหากหลานชายของเขาต้องเติบโตโดยไร้บิดา…ก็ช่างมันเถิด!บุรุษเช่นนี้…หากไม่ให้เกียรติต่อภรรยาได้ก็อยู่ผู้เดียวไปตลอดชีวิตจนผมขาวโพลนเถอะ!“…” เซี่ยเว่ยหลงเงียบไม่เอื้อนเอ่ยคำใด สายตาคมกริบดูลุ่มลึกคล้ายกำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่หลายปีมานี้ เซี่ยเว่ยหลงยอมรับว่า เขามิได้มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อไป๋เสี่ยวหรัน นางเป็นเพียงภาระที่เขาต้องแบกรับไว้ด้วยความจำยอมเพราะความปรารถนาของมารดาแม้ว่านางสงบเสงี่ยม อ่อนน้อมและไม่เคยแม้แต่จะโต้แย้ง คำพูดจากปากเขาสิบประโยคแต่นางตอบกลับเพียงหนึ่งเท่านั้นแต่ไฉน วันนั้นกลับกล้าถึงขั้นเอ่ยปากขอหย่ากัน…!?พอเห็นบุรุษตรงหน้านิ่งไป คล้ายกับว่ากระตุ้นโทสะในอกของจางเหวินให้ปะทุขึ้นมา แม้ว่านี่จะไม่ใช่
“พ่อ!”นิ้วมือเล็กอวบของเด็กน้อยชี้ไปยังบุรุษผู้หนึ่งที่นั่งอยู่กลางห้องโถงใหญ่ระหว่างทางเดิน ใบหน้าเล็กแย้มยิ้มกว้างเสียจนตาหยี ทั้งยังเปล่งเสียงใสเรียกอีกฝ่ายด้วยความดีใจเกินจะกักเก็บไว้ “พ่อ!”“พ่อ!”ชู่ว์~~“อาหยวน...เบาเสียงลงหน่อยได้หรือไม่” ไป๋เสี่ยวหรันเอ่ยพลางลูบหลังลูกชายเบาๆ หวังกล่อมให้เจ้าตัวน้อยสงบเสียงลง“ป๋อ! พ่อ!!”!!!ทว่าสุดท้ายกลับไร้ประโยชน์…ไป๋เสี่ยวหรันถึงกับสะดุ้งอีกครั้ง ราวกับว่ายิ่งนางห้ามปราม บุตรชายในอ้อมแขนก็ยิ่งส่งเสียงดังยิ่งกว่าเดิมจนดังก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณ เหล่าสาวใช้ต่างปรายสายตาหันมามองเป็นตาเดียวกันเซี่ยเจิ้นหยวนในอ้อมกอดมารดาพลันหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดีด้วยความสนุกสนาน “พ่อๆ!”นางหันไปมองบุตรชายด้วยสายตาเอ็นดูแฝงความหนักใจเล็กน้อย ก่อนจะโน้มใบหน้าลงกระซิบใกล้หูอาหยวนด้วยน้ำเสียงหวานพลางข่มขู่ “หากเจ้าเอาแต่ร้องเสียงดังเช่นนี้...แม่เกรงว่าบิดาของเจ้าคงจะไม่พอใจเอาได้ พอถึงตอนนั้นแม่ก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้แน่อาหยวน”ใบหน้าเล็กของเด็กน้อยขมวดคิ้วมุ่นไม่พอใจคล้ายกำลังถูกขัดใจ ทั้งแววตาและนิ้วมือยังคงยืนยันหนักแน่นชี้ไปยังบุรุษในห้องโถงใหญ่อย่างไม่ลด
“ข้าเอ่ยปากขอหย่ากับเขาแล้ว”!!!น้ำเสียงหวานเอ่ยออกมาราบเรียบแต่ทว่าเมิ่งซือซือฟังแล้วกลับต้องชะงัก ดวงตาคู่งามเบิกโพลงกว้างด้วยความตกใจทันที คาดว่าคงเป็นนางที่แก่เลอะเลือนหูฝาดได้ยินผิดเพี้ยนไปเองกระมัง“เจ้าว่าอย่างไรกันเสี่ยวหรัน!”เมิ่งซือซือขมวดคิ้วมุ่นหรี่สายตาเพ่งมองสตรีตรงหน้าราวกับต้องการคาดเค้นความจริงออกจากปากอีกฝ่ายให้ได้ไป๋เสี่ยวหรันพลางระบายยิ้มจางๆ กล่าวออกมาอีกครั้งราวกับว่าหาใช่ใหญ่อันใด “ข้าเอ่ยปากจะหย่ากับเซี่ยเว่ยหลงแล้ว…รอเพียงแต่เขาเขียนหนังสือหย่าและลงนามให้เท่านั้น”เมิ่งซือซือได้ยินอีกครั้งถึงกลับชะงักถอยหลังออกห่างคล้ายกับว่ากำลังหวาดกลัว นางถอนหายใจด้วยความหนักอึ้ง พอตั้งสติได้จึงเร่งรีบเดินเข้ามากุมมือของสตรีตรงหน้าเอาไว้ “รู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังพูดอะไรออกมา” สายตาของนางแลมองซ้ายขวาท่าทางราวกับหวาดระแวงสิ่งใด น้ำเสียงหวานเอ่ยอย่างแผ่วเบา“หย่าสามี…นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรนำมาล้อเล่น!”ไป๋เสี่ยวหรันยังคงสงบนิ่งและเย็นยะเยือกในคราเดียวกัน ใบหน้าคนงามปรากฏรอยยิ้มจางๆ แต่งแต้มอยู่ทว่านัยน์ตาเมล็ดซิ่ง กลับดูหม่นแสงลงเล็กน้อย “เรื่องนี้ข้าย่อมหมายความว่าเช่นนั้น