ยามไฮ่ (21.00 – 23.00 น.)
จางเหวินเจอเซี่ยเว่ยหลงอีกครั้ง เขาก็สังเกตได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ ไม่เช่นนั้นเจ้าคนผู้นั้นจะเอาแต่นั่งดื่มสุราจอกแล้วจอกอย่างเงียบงันโดยไม่ปริปากเอ่ยอันใดออกมาได้อย่างไรตลอดหลายชั่วยามที่ผ่านมา! “เหอะ!” เขาแค่นเสียงออกมา สายตาจ้องมองอีกฝ่ายนิ่งๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ดอกเหมยร่วงหล่นปลิวไปกับสายลม...ต่อให้ยื่นมือออกคว้าก็เกินกว่าจะรั้งไว้ได้อีกแล้ว” !!! ปัง! เสียงจอกสุรากระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรงจนดังสะท้อนไปทั่วทั้งห้องบ่งบอกอารมณ์ขุ่นมัวของเซี่ยเว่ยหลงได้ชัดเจน มุมปากหนาเหยียดยิ้มเยาะเล็กน้อย เซี่ยเว่ยหลงพลางเอ่ยออกมาเสียงเรียบราวกับมิได้ต้องการคำตอบอันใด “ย่อมเคยรักงั้นหรือ…ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ใจของนางเริ่มเปลี่ยนไปเป็นอื่น” หมายความว่าอย่างไรกัน…!? จางเหวินได้ยินแล้วพลันขมวดคิ้วมุ่นอย่างงุนงงทันที เขาไม่รู้ว่าเซี่นเว่ยหลงกำลังกล่าวถึงสิ่งใดอยู่หรือแท้จริงแล้วเพียงแค่เมามายจนสติเลอะเลือนไปแล้วอย่างงั้นหรือ…? จางเหวินหรี่สายตาสังเกตอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดออกมา “หึ! อวดดี...คำพูดร้ายกาจแต่การกระทำลับหลังกลับน่าสมเพช” เขาหรือน่าสมเพช!? เซี่ยเว่ยหลงเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตาคมกริบเริ่มแดงก่ำจากฤทธิ์สุรากระทบกับแสงตะเกียงสลัวพลันปรากฏความปวดใจออกอย่างปิดไม่มิด เขาหัวเราะในลำคออย่างแผ่วเบาก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ “สมเพชหรือ…” เซี่ยเว่ยหลงเลิกคิ้วเชิงเอ่ยถาม “นางต่างหากที่น่าสมเพชทำตัวเรียกร้องความสนใจจากข้ามิต่างจากสุนัขรอคอยเจ้าของ” “บัดซบเถอะเซี่ยเว่ยหลง!” ไม่ทันจะสิ้นสุดคำพูด จางเหวินได้ยินแล้วสบถออกมาด้วยความโมโหทันที “เมาจนสภาพย่ำแย่ยิ่งกว่าสุนัขขี้เรื้อนแล้วยังริอาจกล้าไปพูดจาดูแคลนผู้อื่นอีก!” ปากดีไม่เลิก! เกรงว่าเจ้าคนผู้นี้ หากไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ จางเหวินพลางกัดฟันกรอดถลึงตามองเซี่ยเว่ยหลงอย่างโกรธเคืองปนด้วยความโกรธ หากจะต้องแตกหักก็ช่างเถอะ…เขาไม่เห็นด้วยกับคนผู้นี้จริงๆ เซี่ยเว่ยหลงชะงัก ดวงตาคมกริบแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธฉายออกมาทันทีไป เขาดึงกระชากคอเสื้อของจางเหวินขึ้นทันควัน น้ำเสียงทุ้มของเขาขุ่นเคืองไม่พอใจอย่างชัดเจน “เจ้ากล้าหาข้าว่าเป็นสุนัขขี้เรื้อนงั้นหรือจางเหวิน!” จางเหวินหาได้เกรงกลัวอันใด มุมปากหนาเหยียดยิ้มเยาะ ก่อนจะสวนกลับโดยไม่หลบสายตา “แล้วมิใช่รึ…!?” เขาพูดอันใดผิดกัน จางเหวินเอียงใบหน้าเล็กน้อยท่าทางคล้ายกำลังยั่วยุอารมณ์อีกฝ่าย “นายท่านเซี่ยทอดทิ้งภรรยา ทำราวกับว่านางไร้ค่าไม่มีสิ่งใดสำคัญแล้วเหตุใดยามนี้กลับนั่งร่ำสุราโอดครวญคล้ายกับเป็นผู้เคราะห์ร้ายเสียเอง…เห็นแล้วน่าสมเพชนัก!” !!! เดิมทีเซี่นเว่ยหลงหาได้มีความอดทนมากนัก มิหนำซ้ำยามนี้ยังดื่มสุราไปหลายไหจนนับไม่ถ้วน…แม้ไม่ได้เมามายจนขี้เรื้อนแต่ก็ไร้สติขาดความคิดยับยั้งอยู่ หมัดของเซี่ยเว่ยหลงยกขึ้นกลางอากาศก่อนจะหยุดชะงัก…และอยู่ห่างจากใบหน้าของอีกฝ่ายเพียงแค่ครึ่งส่วน เซี่นเว่ยหลงกัดฟันกรอด นิ้วมือสั่นระริกด้วยอารมณ์ที่ปะทุขึ้นคับอกก่อนที่ จู่ๆ จะหัวเราะเยาะออกมาอย่างเย็นชา สายตาคมกริบดูลุ่มลึกคล้ายกับน้ำในทะเลสาบ “เวลาเปลี่ยนไปเป็นเมื่อวาน…ความรักที่นางมีต่อข้าก็จางหายไปเช่นกันงั้นหรือ” พอวันเวลาเปลี่ยนไป…นางก็เปลี่ยนไปอย่างงั้นหรือ!? เหตุใดคนผู้นี้จึงมิรู้เลยว่าตนทำสิ่งใดผิด…? จางเหวินปรายตามองฝ่ามือหนาที่กำแน่นอยู่ตรงหน้าห่างกันเพียงแค่คืบเท่านั้นทว่าหาได้รู้สึกเกรงกลัวแม้แต่น้อย เขาแค่นเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ “หึ! ไม่ว่าอย่างไร…เป็นภรรยาย่อมต้องการได้รับความรักจากสามีมิใช่ความเฉยชาเย็นยะเยือกอย่างไร้หัวใจ เช่นนี้ เกรงว่านายท่านเซี่ยคงไม่รู้กระมังว่าไม่มีผู้ใดทนได้ตลอด” แล้วอย่างไรกัน…!? ไม่ว่าเซี่ยเว่ยหลงฟังอย่างไรก็ไม่กระจ่างแจ้ง หัวคิ้วของเขาพลันขมวดคิ้วมุ่น “เช่นนั้น…เหตุใดที่ผ่านมานางถึงทนมาได้ตลอดโดยไม่ร้องขอสิ่งใด” เพ่ย! ทึ่มทื่อโง่งมยิ่งนัก! จางเหวินสบถด่าในใจพลางส่ายหัวไปมาอย่างเอือมระอา “บัดซบเถอะเซี่ยเว่ย! เจ้าโง่งมถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” ณ จวนสกุลเซี่ย อีกไม่กี่ชั่วยามก็จะถึงเช้าวันใหม่แต่ทว่าไป๋เสี่ยวหรันยังคงลืมตาอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัด ไม่ว่านางจะพยายามข่มตาหลับ หรือพลิกกายไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า…สุดท้ายก็จำต้องลุกขึ้นนั่งอย่างจำใจไร้ทางเลือก ความคิดและจิตใจของนางปั่นป่วนราวคลื่นน้ำในทะเลสาบเสมือนว่ายิ่งพยายามทำให้สงบกลับยิ่งวุ่นวายกว่าเดิม ไป๋เสี่ยวหรันถอนหายใจหนักอึ้งราวมีหินพันชั่งถ่วงเอาไว้ ไม่อาจคลายหรือวางได้แม้เพียงเสี้ยวลมหายใจ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งทอดมองจันทราที่ค่อยๆ เลือนรางหายลับไปในม่านเมฆอย่างเหม่อลอย แท้จริงแล้ว...เซี่ยเว่ยหลงต้องการสิ่งใดจากนางกันแน่? ‘ข้าถามว่าเจ้ารักข้าหรือไม่’ เหตุใดเขาถึงเอ่ยถามเช่นนั้นกัน…ถ้อยคำนี้ยังคงดังวนเวียนซ้ำๆ อยู่ในความคิดของนางราวกับกำลังตอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในใจอย่างไม่รู้จบ ทั้งที่ตลอดมาเขาไม่เคยแม้แต่เหลียวแลสนใจความรู้สึกของนางเลยแม้เพียงน้อย แท้จริงแล้วบุรุษผู้นั้นกำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่!? ไป๋เสี่ยวหรันถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ช่างเถอะ…ยามนี้จะมีสิ่งใดสำคัญไปกว่าอาหยวนอีกเล่า !!! จู่ ๆ ท่ามกลางความเงียบสงบกลางดึก ไป๋เสี่ยวหรันได้ยินเสียงฝีเท้าหนักแน่นกลับดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ โดยไม่ทันตั้งตัวและด้วยสัญชาตญาณ นางรีบถอยกรูดไปข้างหลังก่อนจะคว้าแจกันใบใหญ่ใกล้มือมาถือแน่น ดึกดื่นป่านนี้ ผู้ใดกัน...? โจรงั้นหรือ! ดวงตาของนางจับจ้องไปยังบานประตูที่ปิดสนิทก่อนที่จะถูกผลักเปิดออกอย่างแรงในชั่วพริบตา… เซี่ยเว่ยหลง! แสงจันทราสลัวที่ลอดผ่านเข้ามาเผยให้เห็นเงาร่างสูงใหญ่คุ้นตาและเพียงชั่วอึดใจนั้น ไป๋เสี่ยวหรันพลันเบือนใบหน้าหนีทันที กลิ่นสุรารุนแรงโชยมาแตะจมูกจนต้องขมวดคิ้วมุ่น บุรุษผู้นี้เมามายอย่างงั้นหรือ…!? เซี่ยเว่ยหลงชะงักฝีเท้าไปเล็กน้อย ดวงตาคมกริบเพ่งมองสตรีตรงหน้าอย่างละเอียด ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวทันที เหตุใดยังไม่นอนหรือนางคิดจะหนีอย่างงั้นรึ! เขาแค่นเสียงเย้ยหยัน มุมปากหนายกยิ้มเหยียดเย็นชา “ดึกดื่นถึงเพียงนี้…ไฉนฮูหยินยังไม่หลับไม่นอนอีกเล่า” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยแผ่วเบาทว่าเจือความเยาะเย้ย เซี่ยเว่ยหลงก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า กลิ่นสุรารุนแรงอบอวลไปทั่ว “หรือแท้จริงแล้ว...กำลังวางแผนสิ่งใดอยู่หรือ” เห็นได้ชัดว่าบุรุษตรงหน้าเมามายไม่น้อยจริงๆ ไป๋เสี่ยวหรันพลางเดินถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัวด้วยสัญชาตญาณ นางเบือนหน้าหนีพร้อมยกมือขึ้นบีบจมูกแน่นเพราะกลิ่นสุรารุนแรงจนแทบสำลัก “ดูแล้ว...นายท่านเซี่ยคงจะดื่มมามากไม่น้อย หากเช่นนั้นแล้ว มิสู้กลับเรือนไปพักเสียเถิดจะได้ไม่ต้องรบกวนผู้อื่นกลางดึก” “หึ!” เซี่ยเว่ยหลงแค่นเสียง ดวงตาคมกริบจับจ้องสตรีตรงหน้าไม่วางตา เขาก้าวเข้าหาอย่างเชื่องช้าคล้ายกับกำลังไล่ต้อนกระต่ายน้อยให้จนมุม “ฮูหยินของข้าอยู่ที่นี่…เจ้ายังกล้าไล่ข้าไปที่อื่นอีกหรือ” “…” นางชะงักไปชั่วขณะ คำพูดนั้นทำให้นางไม่อาจคาดเดาความคิดของบุรุษตรงหน้าได้เลย หากแต่เขาเมามายจนเสียสติเพียงนี้…ต่อให้นางเอ่ยสิ่งใดออกไปก็คงไร้ความหมายอยู่ดี เสียงหัวเราะแผ่วเบาๆ ดังขึ้นในลำคอของเซี่ยเว่ยหลง แววตาคมลึกคู่นั้นมองนางอย่างไม่อาจหยั่งถึงความคิดของอีกฝ่ายได้ “เจ้าต้องการหย่าข้าถึงเพียงนี้เลยหรือ…ไป๋เสี่ยวหรัน” ถ้อยคำที่เปล่งออกมาแม้จะเรียบนิ่งไร้อารมณ์ทว่าภายในใจของนางกลับปั่นป่วนราวกับคลื่นน้ำ ไป๋เสี่ยวหรันถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเอ่ยเบาๆ “เรื่องนี้เอาไว้ค่อยพูดกันในเวลาที่เหมาะสมเถิด” เวลาที่เหมาะสมอย่างงั้นหรือ…แล้วตอนนี้ไม่เหมาะอย่างไร “หึ! เหตุใดข้าจะพูดไม่ได้กันหรือเจ้ากลัวว่าข้าจะรู้ความลับบางอย่างที่ไม่ควรรู้งั้นหรือ” เซี่ยเว่ยหลงเลิกคิ้วถาม น้ำเสียงทุ้มต่ำเจือความเย้ยหยันและขุ่นเคือง ในใจเขาอดไม่ได้ที่จะคิด…หรือแท้จริงแล้วในใจของนางมีบุรุษอื่นอยู่แล้ว!? “…” ไป๋เสี่ยวหรันเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาคู่งามสั่นไหว พร้อมกับความอึดอัดถาโถมทับเข้ามาจนแทบหายใจไม่ออก ไม่ว่าเมื่อใด…เขาก็ไม่เคยพูดกับนางด้วยถ้อยคำอ่อนโยนเลยสักครั้ง ไม่เคยเลยแม้เพียงครั้งเดียว แล้วยิ่งกว่านั้นยามนี้ เขากลับกล่าวคำกล่าวหาเช่นนั้นในขณะที่เมามายจนไร้สติ… ไป๋เสี่ยวหรันหลุบตาลงต่ำ ก่อนกล่าวเสียงเรียบ “เช่นนั้น…ท่านก็เชื่อในสิ่งที่อยากเชื่อเถิด ข้าไม่มีสิ่งใดจะพูดทั้งนั้น” น้ำเสียงของไป๋เสี่ยวหรันเยือกเย็นแต่กลับบาดลึกยิ่งกว่าคำตำหนิด่าทอใด เซี่ยเว่ยหลงนิ่งงันไปชั่วขณะ ดวงตาคมกริบที่เคยแข็งกร้าวกลับสั่นไหวเล็กน้อย เขาเอ่ยออกมาเบาๆ ราวกับเสียงกระซิบจากความรู้สึกลึกๆ ในใจ “ไป๋เสี่ยวหรัน…อย่าทิ้งข้าได้หรือไม่” ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขามักเป็นฝ่ายถูกทิ้งเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในความสัมพันธ์แบบใดก็ตามทั้งที่เฝ้าถนุถนอมกอบกุมเอาไว้แน่น… สุดท้ายกลับกลายเป็นเพียงเงาเลือนรางที่คว้าไม่ถึงเท่านั้นผู้ใดจะคาดคิดเล่าว่า…เมิ่งหานเฟิ่งผู้เป็นพี่ชายของนางจะตกหลุมรักไป๋เสี่ยวหรันเข้าอย่างจังเมิ่งซือซือทอดสายตาจ้องแผ่นหลังกว้างของเมิ่งหานเฟิ่งอยู่นานครู่หนึ่ง นางไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเพียงแค่มองเงียบๆ พลันปล่อยให้ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัวไปมาอย่างไม่อาจควบคุมแต่ทว่าเมิ่งหานเฟิ่งกลับนิ่งราวกับรูปปั้น มิได้ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยและดูจากท่าทางแล้ว…เขาคงไม่รู้เสียด้วยซ้ำกระมังว่านางกำลังยืนมองอยู่หลายวันแล้วที่บรรยากาศในจวนสกุลเมิ่งเงียบสงบเกินควรและยิ่งไปกว่านั้น เมิ่งหานเฟิ่งกลับมีทีท่าซึมลงในแต่ละวัน เงียบงันจนคนในจวนเริ่มสังเกตเป็นกังวลอยู่มาก“เข้าไปดูอาการพี่ชายเจ้าหน่อยเถอะซือซือ” น้ำเสียงแผ่วเบาของเมิ่งฮูหยินกล่าวขึ้นอย่างหนักใจ นางละสายตาจากบุตรชายก่อนจะปรายหันมามองบุตรสาวข้างกายอย่างวิงวอนนับตั้งแต่ไป๋เสี่ยวหรันและอาหยวนตัดสินใจกลับไป…ไม่ว่าผู้ใดในจวนต่างรู้สึกใจหายทั้งสิ้นทว่าบุตรชายของนางดูเหมือนจะมากไปเสียหน่อย…เมิ่งฮูหยินมองแวบเดียวก็สามารถหยั่งรู้ถึงจิตใจของอีกฝ่ายได้แล้วว่า…มีใจรักใคร่ลึกซึ้งต่อแม่นางไป๋เสี่ยวหรันแน่เมิ่งซือซือพยักหน้าหงึกๆ พลางถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจ
บรรยากาศภายในจวนสกุลเซี่ยเงียบงันอึมครึมไร้ชีวิตชีวานานหลายวันนับตั้งแต่ฮูหยินและคุณชายน้อยได้จากไปพร้อมกับหนังสือหย่า...ภายหลังจากนั้นมาอารมณ์ของนายท่านก็แปรปรวนยิ่งกว่าฟ้าฝนปลายฤดูใบไม้ผลิเสียอีกเหล่าสาวใช้ในจวนต่างอยู่กันหายใจไม่ทั่วท้อง ไม่มีผู้ใดกล้าเอื้อนเอ่ยวาจาใดออกไปแม้แต่สักครึ่งคำราวกับว่าสวรรค์ยังเมตตา...ยามนี้ฮูหยินและคุณชายน้อยปรากฏอยู่ตรงหน้าในจวนอีกครั้ง พวกนางมองเห็นแล้วล้วนแต่ตื่นตระหนกตกใจกันทั้งสิ้นทว่ากลับไม่มีผู้ใดเอ่ยถ้อยคำใดออกมา นอกเสียต่างพากันถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอกคล้ายก้อนหินที่ทับอยู่ในอกมานานถูกยกออกแท้จริงแล้ว…นายท่านเซี่ยก็หาได้เย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งหรือไร้หัวใจไม่รู้สึกอันใด เพียงแต่ไม่รู้จักวิธีถนอมสตรีเท่านั้น…จนกระทั่งสูญเสียไปจึงค่อยรู้ความสำคัญของฮูหยินว่ากันตามตรงแล้ว พวกนางต่างพากันคาดไม่ถึงจริงๆ ว่านายท่านจะตามฮูหยินและคุณชายน้อยกลับมาจนได้ฮูหยินถึงขั้นตัดสินใจหนีออกไปอย่างแน่วแน่เช่นนี้…มองดูแล้วคงไม่ง่ายแน่ทว่าวันนี้…นานท่านเซี่ยพาคนทั้งคู่กลับมาได้แล้วไป๋เสี่ยวหรันหวนกลับมายังจวนสกุลเซี่ยอีกครั้ง ใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มจางๆ สา
“ไม่ได้ขอรับ! นายท่านได้โปรดกลับไปเถอะ” น้ำเสียงทุ้มของคนงานชายเอ่ยขึ้นด้วยความหนักใจอยู่มาก แท้จริงแล้วเขาไม่รู้ว่านายท่านเซี่ยผู้นี้มีเรื่องเร่งด่วนอันใดถึงได้เร่งเร้าให้เปิดประตูจวนอยากจะเข้าไปนัก เขาเองก็ลำบากใจอยู่มาก…หากผู้เป็นนายไม่ออกคำสั่ง เขาจะทำอันใดได้ เซี่ยเว่ยหลงยืนนิ่ง สายตาคมกริบเพ่งมองบานประตูจวนที่ยังคงปิดสนิท เขาพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แต่หาใช่เพราะความโกรธทว่ากลับเป็นความเหนื่อยล้าในใจ นึกไม่ถึงว่าหลังจากวันนั้นที่เขาถูกขับไล่ออกมา…ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าพอหวนกลับมาอีกครั้ง จวนสกุลเมิ่งจะปิดประตูสนิทต่อให้มีเรื่องเร่งด่วนเพียงใดก็ให้คุณชายเมิ่งเป็นผู้ตัดสินใจ เหอะ! หากรอให้บุรุษผู้นั้นตัดสินใจ เขาไม่ผมหงอกหัวขาวโพลนไปทั้งหัวหรอกหรือ…!? “ข้ามาตามภรรยา…” เซี่ยเว่ยหลงเอ่ยออกมาเสียงเรียบ สายตาคมกริบยังคงจ้องมองบานประตูจวนที่ปิดสนิท เขาคิดว่าอย่างไรแล้ว…นางคงอยู่ข้างหลังไม่ยอมออกมาเป็นแน่ “อย่างไรก็ไม่ได้ขอรับ!” ทว่าคนงานผู้นั้นยังคงตอบเสียงหนักแน่นและแน่วแน่ เดิมทีเซี่ยเว่ยหลงไม่ได้มีความอดทนมากนัก หากไม่มีเรื่องสำคัญอันใด เขาก็คงไม่ต้องแบกหน้าอดทนรอคอยอย่างใจเย็
ยามพลบค่ำ จู่ๆ ฝนกลับตกกระหน่ำลงมาอย่างหนักโดยไม่ได้บอกกล่าวราวกับว่าพายุห่าใหญ่ได้แผ่ไปทั่วผืนฟ้า ทั้งที่ตลอดวันยังมีแสงแดดยังส่องสาดส่องไปทั่วบริเวณจนอากาศอบอ้าวแทบหายใจไม่ทั่วท้องแต่เพียงชั่วพริบตา…ท้องฟ้ากลับถูกเมฆครึ้มบดบังจนไร้แสงอาทิตย์ สายลมเย็นเฉียบพัดโชยมาพร้อมกลิ่นฝนที่เคล้าโชยมากับหยาดน้ำสีใสนับพันสายไป๋เสี่ยวหรันยืนอยู่ใต้ชายคา เงยหน้ามองหยาดเม็ดฝนที่รินไหลลงเทจากขอบหลังคาอย่างเหม่อลอย นัยน์ตาคู่งามดูราบเรียบแต่กลับแฝงความเศร้าและหม่นหมองเอาไว้อย่างปิดไม่มิดนี่ก็ผ่านมาแล้วสองสามวัน…นับตั้งแต่เซี่ยเว่ยหลงบุกมานางถึงจวนสกุลเมิ่งโดยไม่ทันตั้งตัวแม้ว่านางจะเป็นฝ่ายขับไล่เขาไปแล้วอย่างไร แต่ภายในใจของไป๋เสี่ยวหรันกลับปั่นป่วนเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่ยากจะสลัดทิ้งไปได้…น้ำเสียงทุ้มแผ่วเบาแฝงด้วยความอ่อนโยนและเจือไปด้วยความรู้สึกผิดยังคงวนเวียนดังก้องอยู่ในหูของนางซ้ำๆเพื่อนางแล้ว…เซี่ยเว่ยหลงยินยอมทำเพียงนี้เลยหรือ!?“เสี่ยวหรัน…”“…”“ไป๋เสี่ยวหรัน!” น้ำเสียงของเมิ่งซือซือดังขึ้นกว่าเดิมแข่งกับเสียงฝน นางยื่นมือออกไปแตะไหล่ของไป๋เสี่ยวหรันอย่างแผ่วเบาพลันทำให้อีกฝ่าย
อวิ๋นเออร์เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ของเซี่ยเว่ยหลงแล้ว…นางพลันหยุดชะงักไปชั่วขณะคล้ายกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน รอยยิ้มบนใบหน้าคนงามเจื่อนลงทันที“ท่าน...หมายความว่าอย่างไรกันเว่ยหลง” น้ำเสียงหวานของนางสั่นเครือเจือไปด้วยความสับสนยามนี้นางไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าเหตุใดเซี่ยเว่ยหลงถึงเอ่ยถ้อยคำเช่นนั้นออกมาเขาสมควรจะยินดีใจมิใช่หรอกหรือ…!?นางละทิ้งทุกสิ่งและกำลังจะหย่าสามีเพื่อย้อนคืนมาหาเขา มายืนเคียงข้างเขาดังเช่นในอดีต แต่ว่าสิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงสายตาเย็นชาไร้ความรู้สึกเท่านั้นจางเหวินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเหลือบสายตาปรายมองเซี่ยเว่ยหลงที่ยืนนิ่งสงบ สายตาคมกริบเรียบเฉยไร้ความโกรธเกรี้ยวหรือยินดีแม้แต่น้อยเซี่ยเว่ยหลงทอดสายตามองผ่านสตรีตรงหน้าออกไปราวกับมองไม่เห็น เขาค่อยๆ ละสายตากลับมาก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาและหนักแน่น“ความหมายของข้านั้น…ฮูหยินได้โปรดกลับไปไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเสียก่อนเถิด เรื่องบางอย่างหากตัดสินใจลงไปแล้วย่อมไม่อาจย้อนคืนมาแก้ไขได้อีก” เซี่ยเว่ยหลงเข้าใจลึกซึ้งแล้ว…ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น อวิ๋นเออร์ก็ยิ่งขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “เซี่ยเว่ยหลง…ข้าและท่
เมิ่งหานเฟิ่งเดินเข้าไปใกล้ ฝ่ามือหนายื่นออกไปเกลี่ยเรือนผมที่พลิ้วปิดใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา ดวงตาคมกริบหลุบต่ำมองสตรีตรงหน้าด้วยความอ่อนโยนก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำเขาย่อมมองออกว่าสตรีตรงหน้ารู้สึกอย่างไรกันแน่“มีผู้ใดบ้างหากต้องการสิ่งใดแล้วจะไม่เห็นแก่ตัว” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบา “ข้าเองก็อยากจะเห็นแก่ตัวให้มากกว่านี้…อยากจะเหนี่ยวรั้งเจ้าเอาไว้ไม่ยอมให้กลับไปอีกไป๋เสี่ยวหรัน”หากเขาทำเช่นนั้น รั้งนางเอาไว้จะเห็นแก่ตัวมากไปหรือไม่เมิ่งหานเฟิ่งไม่ได้ตาบอดจนมองไม่ออกว่า…ข้างในหัวใจของไป๋เสี่ยวหรันนั้นยังคงมีเซี่ยเว่ยหลงอยู่เต็มเปี่ยม มิหนำซ้ำคนทั้งคู่ยังมีสายใยร่วมกันคือบุตรชายหนึ่งคนต่อให้ตัดใจก็ใช่ว่าจะตัดขาดได้จริงพอได้ยินถ้อยคำนั้น ไป๋เสี่ยวหรันก็เงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาคู่งามช้อนสบกับเมิ่งหานเฟิ่งพอดี “คุณชายเมิ่ง” นางย่อมมองออกว่าเมิ่งหานเฟิ่งรู้สึกอย่างไรแต่ทว่า…“ขอโทษเจ้าค่ะ” น้ำเสียงหวานเอื้อนเอ่ยเบาแฝงด้วยรู้สึกผิดไม่น้อยในใจของนางไม่อาจเปิดที่ว่างให้ผู้ใดได้อีกยกเว้นเพียงคนผู้นั้น…เซี่ยเว่ยหลง ทั้งที่เขาเคยใจร้ายถึงเพียงนั้นแต่ทว่าเหตุใดนางถึงยังตัดใจจากเขาไม่ได