“เซี่ยเว่ยหลง…จริงๆ ข้าเสียดายไม่น้อย” น้ำเสียงหวานเอ่ยแผ่วเบาแฝงความเหนื่อยล้าเอาไว้อย่างชันเจน ไป๋เสี่ยวหรันลอบหายใจเฮือกหนึ่งคล้ายกลับกำลังอดกลั้นอารมณ์ที่ปะทุขึ้นคับแน่นอยู่ในอก
“ไป๋เสี่ยวหรัน…” เซี่ยเว่ยหลงส่ายหน้าไปมาปฏิเสธ เขาไม่ต้องการได้ยินถ้อยคำใดจากนางอีกแล้ว ฝ่ามือหนาคว้ามือของนางมากอบกุมไว้แน่นราวกับหวาดกลัวว่าสตรีตรงหน้าจะเลือนรางและหายจากไปตลอดกาล ท่าทางของเขาในยามนี้ไม่ต่างจากกำลังวิงวอนรั้งนางเอาไว้ สายตาคมกริบที่เคยแข็งกร้าวกลับอ่อนลงอย่างชัดเจน หากเป็นในยามปกติไป๋เสี่ยวหรันคงเผลอใจและหลงเชื่อในคำพูดของเขาแน่ แต่ยามนี้...บุรุษตรงหน้าเมามายอยู่มาก ใบหน้าหล่อเหล่าแดงก่ำจากฤทธิ์สุราทั้งยังมีกลิ่นฉุนโชยอยู่รอบกาย ไป๋เสี่ยวหรันไม่ดึงมือกลับ นางเพียงยืนนิ่งคล้ายกำลังตั้งสติ ภายในใจกลับสั่นไหวอยากเกินจะควบคุม คำพูดของเซี่ยเว่ยในยามนี้ก็เป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้น…มีหรือหทกเขามีสตรีดีจะกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมา! ใบหน้าคนงามปรากฏรอยยิ้มบางๆ สะท้อนแสงจันทราที่สะท้อนสาดส่องลงมาอย่างเย็นชา นัยน์ตาเมล็ดซิ่งของนางว่างเปล่าไร้ความรู้สึกใดๆ “ทว่าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่…ฝืนดันทุรังไปก็เท่านั้น” ไป๋เสี่ยวหรันกล่าวเสียงแผ่วเบาทว่ากลับชัดทุกถ้อยคำ แท้จริงแล้ว...ไม่ใช่เพราะเส้นด้ายแดงระหว่างเขากับนางขาดสะบั้นลงหากแต่...ไม่เคยมีอยู่ตั้งแต่แรก “…” เซี่ยเว่ยหลงนิ่งไปครู่หนึ่ง ฝ่ามือหนาที่กอบกุมนางไว้ค่อยๆ บีบรัดแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว หมายความว่าอย่างไรกัน…? เขาจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่งามอีกครั้งและสิ่งที่เห็นกลับมีเพียงความว่างเปล่า ไร้ซึ่งความผูกพันหรือความเกียจชัง จู่ๆ เซี่ยเว่ยหลงพลางหัวเราะร่อออกราวกับเป็นเรื่องตลกน่าขัน “หึ! หากไม่มีข้าแล้วจะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไรกันไป๋เสี่ยวหรัน” นางยืมเขาหายใจงั้นหรือ…!? ไม่เลย เขาก็ยังเป็นเขาทั้งเย่อหยิ่งและแข็งกระด้างไม่เคยเปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย! ไป๋เสี่ยวหรันสะบัดมือออกจากพันธะนั้นทันที แววตาสงบนิ่งแต่แน่วแน่อย่างเย็นยะเยือก “ในวันที่ข้าโดดเดี่ยวและสิ้นหวัง…ยามนั้นท่านอยู่ที่ใด...เซี่ยเว่ยหลง?” “…” เซี่ยเว่ยหลงพูดไม่ออกมา เมื่อได้ยินถ้อยคำเมื่อครู่ราวกับว่ามีหินก้อนใหญ่กระแทกเข้ากลางอกเต็มๆ พลันทำเอาจุกจนพูดไม่ออกมา “ไม่เคยเลย...แม้แต่เพียงครั้งเดียว!” ดวงตาคู่งามของนางเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำสีใส น้ำเสียงหวานสั่นเครือเต็มไปด้วยความน้อยใจและเจือด้วยโทสะพร้อมกับความเจ็บปวดตลอดสามปีที่ผ่านมา “แม้แต่ในวันที่ข้ากำลังยืนอยู่ริมหน้าผา...ก็ยังเป็นท่าน! ที่ผลักข้าตกลงไปต่างหาก!” ความรู้สึกที่สะสมมาตลอดหลายปี...นางไม่อาจเก็บมันไว้ผู้เดียวได้อีกแล้ว ที่ผ่านมานางอดทนไม่ปริปากเอ่ยหรือร้องขอสิ่งใดเพียงเพราะคิดว่าสักวันเขาย่อมมองเห็นความสำคัญของนางบ้างแต่ทว่า ไม่เลย…บุรุษผู้นี้เห็นแก่ตัวเกินกว่าจะสนใจผู้ใดได้นอกจากตนเอง “ข้า…” กลับเป็นเซี่ยเว่ยหลงที่อ้ำอึ้งจะพูดไม่ออก เขาได้แต่จ้องมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บปวด เห็นนางเจ็บปวดไปด้วยอารมณ์ที่ท่วมท้นก่อนจะหลั่งน้ำตาออกมาราวกับสายฝนกระหน่ำตกหนัก หัวใจของเขา...บีบแน่นจนปวดหนึบอยู่ไม่น้อย!? เมื่อความรักที่ลึกซึ้งเปรียบดั่งดอกเหมยเบ่งบานอย่างงดงาม หากแต่พอรู้ตัวอีกที...กลับร่วงหล่นจากมือเสียแล้ว ไม่อาจไขว่คว้าคืนได้อีก ไป๋เสี่ยวหรันส่ายหน้าไปมาเบาๆ อย่างเหนื่อยล้า แม้ว่าใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้มจางๆ หากกลับว่างเปล่าไร้ซึ่งอารมณ์ “พอเถอะ เซี่ยเว่ยหลง...เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วข้าไม่ได้ต้องการสิ่งใดอีกนอกจากหนังสือหย่า” นางเหนื่อยเกินจะหวังสิ่งใดอีกต่อไป เซี่ยเว่ยหลงนิ่งไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยเสียงเรียบแต่เย็นชา “พรุ่งนี้ข้าจะลงนามหย่าให้” หากนี่คือสิ่งที่นางต้องการเขาก็ไม่อาจรั้งไว้ได้ ทว่า... “อาหยวนคือบุตรของข้า เป็นสายเลือดของตระกูลเซี่ย ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าพาเขาไปเด็ดขาด” !!! หมายความว่าอย่างไรกัน!? “เซี่ยเว่ยหลง!” ไป๋เสี่ยวหรันตวาดลั่น น้ำเสียงสั่นเครือด้วยความโกรธและตกใจ “แท้จริงแล้ว...ท่านต้องการสิ่งใดกันแน่!?” เซี่ยเว่ยหลงเพียงเอ่ยเสียงเรียบแต่กลับเย็นชาอย่างไร้หัวใจ “หากเจ้าปรารถนาเพียงหนังสือหย่า…ข้าย่อมมอบให้ได้แต่อาหยวนนั้นเขาคือคนของข้าและเป็นสายเลือดของตระกูลเซี่ย หากอยากไปก็ไปเสียเถิด” พอสิ้นสุดคำพูด เซี่ยเว่ยหลงก็หันหลังหมุนกายเดินจากไปไม่แม้แต่หันกลับมามองอีกเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อรั้งนางไว้ไม่ได้…เขาถึงคิดจะใช้วิธีนี้ผูกมัดนางเอาไว้อย่างงั้นหรือเซี่ยเว่ยหลง!? ไป๋เสี่ยวหรันกำมือแน่นด้วยความโกรธ “เซี่ยเว่ยหลงยอมหย่าให้เจ้าแล้วจริงหรือเสี่ยวหรัน!” น้ำเสียงหวานของเมิ่งซือซือดังขึ้นด้วยความตกใจ ไป๋เสี่ยวหรันได้สติกลับมา นางปรายตามองสหายตรงหน้า ก่อนจะระบายยิ้มจางๆ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา “อืม…เขารับปากว่ายินยอมลงนามในหนังสือหย่าให้ข้าแล้ว” เมิ่งซือซือได้ยินแล้วเบิกตากว้าง ยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ แต่ไม่นานนัก ใบหน้างดงามก็พลันหม่นลง “แล้วมันจะมีประโยชน์อันใด...ในเมื่ออาหยวนยังเป็นคนของตระกูลเซี่ย!” ไป์เสี่ยวหรันกล่าวออกมาอีกครั้ง ใบหน้าคนงามเจื่อนลงไปทันทีเจ็ดส่วน บุรุษผู้นั้นเจ้าเล่ห์ไม่น้อย! ใบหน้าของเมิ่งซือซือพลันขมวดมุ่นด้วยความงุนงงไม่เข้าใจ “หมายความว่าอย่างไรกัน” นางเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจก่อนจะเหลือบมองหลานชายที่กำลังเล่นสนุกอยู่กับสาวใช้อย่างร่าเริง แล้วจึงหันกลับมามองสหายอีกครั้ง “หากหย่าแล้วข้าไม่สามารถนำสิ่งใดไปได้แม้แต่อาหยวน” !!! เมิ่งซือซือได้ยินแล้วยิ่งขมวดคิ้วมุ่นยุ่งเหยิงกว่าเดิม...บุรุษเยี่ยงเซี่ยเว่ยหลงยังกล้ากล่าวเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร ในเมื่อแม้แต่จะมองบุตรตัวเองยังแทบไม่เคยทำ ช่างทึ่มทื่อนัก! ได้อย่างไรกัน!? “ขากถุ้ย! คิดว่ามารดาจะกล้าทอดทิ้งบุตรได้อย่างไรกัน!” เมิ่งซือซือสบถออกมาด้วยความโมโหทันที ยามนี้ภายในใจนางเต็มไปด้วยโทสะที่ปะทุขึ้นคับอก เมิ่งหานเฟิ่งปรายตามองน้องสาวเพียงแวบหนึ่งก่อนจะถอนหายใจยาวพลางเอ่ยเสียงเรียบ “ใจเย็นก่อนเถอะซือซือ…” เหตุใดน้องสาวผู้นี้จึงใจร้อนนัก!? “เหอะ! เมิ่งหานเฟิ่ง…ท่านยังจะให้ข้าใจเย็นได้อยู่อีกรึ?” เมิ่งซือซือยกมือขึ้นกอดอก ใบหน้าเชิดขึ้นอย่างไม่พอใจ “เห็นหรือไม่ว่าสิ่งที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น…ไม่ได้เกินเลยแม้แต่น้อย!” เมิ่งซือซือจ้องสบตาพี่ชายไม่ลดละ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งเต็มไปด้วยความแน่วแน่ “ไป๋เสี่ยวหรันคือสหายข้า! ที่ผ่านมานางไม่เคยได้รับความยุติธรรมเลยสักครั้ง…และไม่ว่าอย่างไรท่านต้องช่วยนางให้ถึงที่สุด!” น้ำเสียงหวานเอ่ยอย่างดื้อรั้นไม่ยอมลดละแม้แต่น้อย เมิ่งหานเฟิ่งได้ยินดังนั้นก็เพียงส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เขาได้ยินเมิ่งซือซือกล่าวถึงสหายผู้นี้อยู่บ่อยครั้งและจนกระทั่งวันนี้…เป็นครั้งแรกที่ได้พบไป๋เสี่ยวหรันเสียที แน่นอนว่า…เพียงแรกเห็น เขาก็ตกตะลึงในความงดงามของนางอยู่ครู่หนึ่ง ผู้ใดเลยจะคิดเล่าว่าสตรีที่งดงามถึงเพียงนี้กลับไม่อาจมัดใจสามีตนได้…!? “ข้าเป็นเพียงขุนนางผู้หนึ่งในราชสำนักเท่านั้น...หาได้มีอำนาจล้นฟ้าเช่นฮ่องเต้” เมิ่งหานเฟิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ เขาเกรงว่าเมิ่งซือซือคงล้ำเส้นเกินไปแล้ว นี่เป็นเรื่องในจวนสกุลเซี่ย…จะไปก้าวก่ายได้อย่างไรกัน!? “แม้ท่านไม่มีอำนาจเยี่ยงฮ่องเต้ ข้ารู้…ว่าท่านสามารถช่วยสหายของข้าได้แน!” เมิ่งซือซือยืนกราน ดวงตาคู่งามฉายแววแน่วแน่ไม่ลดละ ไป๋เสี่ยวหรันเห็นท่าทางของสหายแล้วพลันหลุดหัวเราะเบาๆ อย่างอดไม่ได้ รอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนใบหน้าคนงามก่อนจะพูดออกมา “พอเถอะ ซือซือ…” นางเอ่ยเสียงหวาน “ความหวังดีของเจ้า…ข้ารับไว้ในใจเท่านี้ก็เพียงพอ” นางไม่ได้ต้องการให้ใครต้องลำบากอีกต่อไปแล้ว… “รบกวนอันใดกันเล่า เสี่ยวหรัน!” เมิ่งซือซือสวนกลับทันที ดวงตาคู่งามฉายแววเอาแต่ใจอย่างแน่วแน่ “เจ้าเป็นสหายรักของข้า! และเด็กชายผู้นั้นก็เป็นหลานของข้าเช่นกัน!” !!! เสียงโวยวายที่ศาลาริมสระบัวดังสนั่นลั่นไปทั่วทั้งจวนจนเหล่าสาวใช้บริเวณนั้นต่างแอบย่องมาดูอย่างสนอกสนใจ เกรงว่าคงจะเกิดเรื่องราวใหญ่โตเข้าเสียแล้ว ชู่ว์… “เบาเสียงของเจ้าลงหน่อยได้หรือไม่ซือซือ!” เมิ่งหานเฟิ่งถอนหายใจอย่างหมดปัญญา สายตาคมกริบไปจ้องน้องสาวพลางส่ายหน้าเอือมระอาอย่างปิดไม่มิดจากนั้นจึงหันกลับมามองสตรีอีกคนแทน “เอาเถิด…เช่นนั้นฮูหยินมีสิ่งใดให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่…” น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่ง หากแต่แฝงไว้ด้วยความจริงจัง อย่างไรเสีย…เมิ่งซือซือก็คือน้องสาวของเขา เมิ่งหานเฟิ่งย่อมรู้ดีว่านางมีนิสัยเป็นเช่นไร เกรงว่าหากเขาไม่ยอมรับปาก นางก็คงไม่มีทางหยุดโวยวายเป็นแน่ เมิ่งหานเฟิ่งสบตากับไป๋เสี่ยวหรันและเพียงชั่วอึดใจนั้น…เขาพลันตกตะลึงกับความงดงามของนางอีกครั้ง “ข้าไม่รับกวน…” ไป๋เสี่ยวหรันปฏิเสธอย่างเกรงใจ “ฮูหยินของข้ามีเรื่องลำบากใจอันใดกันถึงขั้นต้องรบกวนยื่นมือขอความช่วยเหลือจากคุณชายผู้นี้อย่างงั้นหรือ…” !!! น้ำเสียงทุ้มคุ้นหูเช่นนี้…!? เซี่นเว่ยหลง!“เซี่ยเว่ยหลง…จริงๆ ข้าเสียดายไม่น้อย” น้ำเสียงหวานเอ่ยแผ่วเบาแฝงความเหนื่อยล้าเอาไว้อย่างชันเจน ไป๋เสี่ยวหรันลอบหายใจเฮือกหนึ่งคล้ายกลับกำลังอดกลั้นอารมณ์ที่ปะทุขึ้นคับแน่นอยู่ในอก“ไป๋เสี่ยวหรัน…” เซี่ยเว่ยหลงส่ายหน้าไปมาปฏิเสธ เขาไม่ต้องการได้ยินถ้อยคำใดจากนางอีกแล้ว ฝ่ามือหนาคว้ามือของนางมากอบกุมไว้แน่นราวกับหวาดกลัวว่าสตรีตรงหน้าจะเลือนรางและหายจากไปตลอดกาลท่าทางของเขาในยามนี้ไม่ต่างจากกำลังวิงวอนรั้งนางเอาไว้ สายตาคมกริบที่เคยแข็งกร้าวกลับอ่อนลงอย่างชัดเจนหากเป็นในยามปกติไป๋เสี่ยวหรันคงเผลอใจและหลงเชื่อในคำพูดของเขาแน่ แต่ยามนี้...บุรุษตรงหน้าเมามายอยู่มาก ใบหน้าหล่อเหล่าแดงก่ำจากฤทธิ์สุราทั้งยังมีกลิ่นฉุนโชยอยู่รอบกายไป๋เสี่ยวหรันไม่ดึงมือกลับ นางเพียงยืนนิ่งคล้ายกำลังตั้งสติ ภายในใจกลับสั่นไหวอยากเกินจะควบคุมคำพูดของเซี่ยเว่ยในยามนี้ก็เป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้น…มีหรือหทกเขามีสตรีดีจะกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมา!ใบหน้าคนงามปรากฏรอยยิ้มบางๆ สะท้อนแสงจันทราที่สะท้อนสาดส่องลงมาอย่างเย็นชา นัยน์ตาเมล็ดซิ่งของนางว่างเปล่าไร้ความรู้สึกใดๆ“ทว่าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่…ฝืนดันทุรังไปก็เท่านั้น
ยามไฮ่ (21.00 – 23.00 น.)จางเหวินเจอเซี่ยเว่ยหลงอีกครั้ง เขาก็สังเกตได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ ไม่เช่นนั้นเจ้าคนผู้นั้นจะเอาแต่นั่งดื่มสุราจอกแล้วจอกอย่างเงียบงันโดยไม่ปริปากเอ่ยอันใดออกมาได้อย่างไรตลอดหลายชั่วยามที่ผ่านมา!“เหอะ!” เขาแค่นเสียงออกมา สายตาจ้องมองอีกฝ่ายนิ่งๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ดอกเหมยร่วงหล่นปลิวไปกับสายลม...ต่อให้ยื่นมือออกคว้าก็เกินกว่าจะรั้งไว้ได้อีกแล้ว”!!!ปัง!เสียงจอกสุรากระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรงจนดังสะท้อนไปทั่วทั้งห้องบ่งบอกอารมณ์ขุ่นมัวของเซี่ยเว่ยหลงได้ชัดเจน มุมปากหนาเหยียดยิ้มเยาะเล็กน้อยเซี่ยเว่ยหลงพลางเอ่ยออกมาเสียงเรียบราวกับมิได้ต้องการคำตอบอันใด “ย่อมเคยรักงั้นหรือ…ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ใจของนางเริ่มเปลี่ยนไปเป็นอื่น”หมายความว่าอย่างไรกัน…!?จางเหวินได้ยินแล้วพลันขมวดคิ้วมุ่นอย่างงุนงงทันทีเขาไม่รู้ว่าเซี่นเว่ยหลงกำลังกล่าวถึงสิ่งใดอยู่หรือแท้จริงแล้วเพียงแค่เมามายจนสติเลอะเลือนไปแล้วอย่างงั้นหรือ…?จางเหวินหรี่สายตาสังเกตอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดออกมา “หึ! อวดดี...คำพูดร้ายกาจแต่การกระทำลับหลังกลับน่าสมเพช”เขาหรือน่า
เหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่บริเวณนั้นต่างตัวแข็งทื่อราวกับหยุดหายใจไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินถ้อยคำเยือกเย็นเจือด้วยความรุนแรงของเซี่ยเว่ยหลง ไฉนพวกนางจะคาดคิดเล่าว่านายท่านจะกล้ากล่าววาจาเชือดเฉือนฮูหยินได้ถึงเพียงนี้โดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้นช่างเห็นใจฮูหยินไม่น้อย!เมื่อก่อนนั้นแม้ว่านายท่านจะไม่ชอบฮูหยินแล้วอย่างไรกัน แต่ยังเห็นแก่มารดาอยู่ไม่น้อยทว่ายามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าได้จากไปแล้ว ภายในจวนหลังสกุลเซี่ยย่อมไม่มีผู้ใดกล้าออกหน้าปกป้องฮูหยินได้ และที่แย่ยิ่งกว่าคือ...ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาของผู้เป็นนายทั้งสองก็มิได้ลึกซึ้งเพียงนั้นว่ากันตามตรงแล้วห่างเหินยิ่งกว่าคนแปลกหน้าเสียอีก!เช่นนั้นแล้ว หากไร้รัก…เหตุใดผู้เป็นนายจึงไม่รีบหย่าให้จบสิ้นเสียเล่า ไม่ใช่ว่าฮูหยินรวบรวมความกล้าเอ่ยปากขอหย่าแล้วมิใช่หรือไรกันยามนี้ในสายตาของเหล่าสาวใช้ทั้งหลายล้วนเต็มไปด้วยความเห็นใจและสงสารผู้เป็นนายหญิงไม่น้อยไฉนนายท่านถึงใจร้ายได้ถึงเพียงนี้กัน!ไป๋เสี่ยวหรันยังคงระบายยิ้มกว้างราวกับไม่ได้รู้สึกอันใดแต่กลับเจือไปด้วยความขมขื่นอย่างชัดเจน นัยน์ตาเมล็ดซิ่งของสั่นไหวครู่หนึ่งก่อนจะกลับมานิ่งเฉยดังเดิม
“มารดามันเถอะ! เซี่ยเว่ยหลง”พอได้ยินประโยคนั้นแล้ว จางเหวินตวาดดังลั่นพลางสูดลมหายใจลึกคล้ายกับกำลังตั้งสติและระงับโทสะที่เดือดพล่านอยู่ในอก สายตาคมกริบหรี่มองเซี่ยเว่ยหลงด้วยความไม่พอใจ “นางคือภรรยาของเจ้า…หาใช่สิ่งของที่จะชั่งน้ำหนักหากำไรหรือขาดทุน!”ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ จางเหวินคิดว่าอยากจะจับมือคนผู้นี้ขึ้นมาเขียนหนังสือหย่าและลงนามให้รู้แล้วรู้รอดจริงๆหากหลานชายของเขาต้องเติบโตโดยไร้บิดา…ก็ช่างมันเถิด!บุรุษเช่นนี้…หากไม่ให้เกียรติต่อภรรยาได้ก็อยู่ผู้เดียวไปตลอดชีวิตจนผมขาวโพลนเถอะ!“…” เซี่ยเว่ยหลงเงียบไม่เอื้อนเอ่ยคำใด สายตาคมกริบดูลุ่มลึกคล้ายกำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่หลายปีมานี้ เซี่ยเว่ยหลงยอมรับว่า เขามิได้มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อไป๋เสี่ยวหรัน นางเป็นเพียงภาระที่เขาต้องแบกรับไว้ด้วยความจำยอมเพราะความปรารถนาของมารดาแม้ว่านางสงบเสงี่ยม อ่อนน้อมและไม่เคยแม้แต่จะโต้แย้ง คำพูดจากปากเขาสิบประโยคแต่นางตอบกลับเพียงหนึ่งเท่านั้นแต่ไฉน วันนั้นกลับกล้าถึงขั้นเอ่ยปากขอหย่ากัน…!?พอเห็นบุรุษตรงหน้านิ่งไป คล้ายกับว่ากระตุ้นโทสะในอกของจางเหวินให้ปะทุขึ้นมา แม้ว่านี่จะไม่ใช่
“พ่อ!”นิ้วมือเล็กอวบของเด็กน้อยชี้ไปยังบุรุษผู้หนึ่งที่นั่งอยู่กลางห้องโถงใหญ่ระหว่างทางเดิน ใบหน้าเล็กแย้มยิ้มกว้างเสียจนตาหยี ทั้งยังเปล่งเสียงใสเรียกอีกฝ่ายด้วยความดีใจเกินจะกักเก็บไว้ “พ่อ!”“พ่อ!”ชู่ว์~~“อาหยวน...เบาเสียงลงหน่อยได้หรือไม่” ไป๋เสี่ยวหรันเอ่ยพลางลูบหลังลูกชายเบาๆ หวังกล่อมให้เจ้าตัวน้อยสงบเสียงลง“ป๋อ! พ่อ!!”!!!ทว่าสุดท้ายกลับไร้ประโยชน์…ไป๋เสี่ยวหรันถึงกับสะดุ้งอีกครั้ง ราวกับว่ายิ่งนางห้ามปราม บุตรชายในอ้อมแขนก็ยิ่งส่งเสียงดังยิ่งกว่าเดิมจนดังก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณ เหล่าสาวใช้ต่างปรายสายตาหันมามองเป็นตาเดียวกันเซี่ยเจิ้นหยวนในอ้อมกอดมารดาพลันหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดีด้วยความสนุกสนาน “พ่อๆ!”นางหันไปมองบุตรชายด้วยสายตาเอ็นดูแฝงความหนักใจเล็กน้อย ก่อนจะโน้มใบหน้าลงกระซิบใกล้หูอาหยวนด้วยน้ำเสียงหวานพลางข่มขู่ “หากเจ้าเอาแต่ร้องเสียงดังเช่นนี้...แม่เกรงว่าบิดาของเจ้าคงจะไม่พอใจเอาได้ พอถึงตอนนั้นแม่ก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้แน่อาหยวน”ใบหน้าเล็กของเด็กน้อยขมวดคิ้วมุ่นไม่พอใจคล้ายกำลังถูกขัดใจ ทั้งแววตาและนิ้วมือยังคงยืนยันหนักแน่นชี้ไปยังบุรุษในห้องโถงใหญ่อย่างไม่ลด
“ข้าเอ่ยปากขอหย่ากับเขาแล้ว”!!!น้ำเสียงหวานเอ่ยออกมาราบเรียบแต่ทว่าเมิ่งซือซือฟังแล้วกลับต้องชะงัก ดวงตาคู่งามเบิกโพลงกว้างด้วยความตกใจทันที คาดว่าคงเป็นนางที่แก่เลอะเลือนหูฝาดได้ยินผิดเพี้ยนไปเองกระมัง“เจ้าว่าอย่างไรกันเสี่ยวหรัน!”เมิ่งซือซือขมวดคิ้วมุ่นหรี่สายตาเพ่งมองสตรีตรงหน้าราวกับต้องการคาดเค้นความจริงออกจากปากอีกฝ่ายให้ได้ไป๋เสี่ยวหรันพลางระบายยิ้มจางๆ กล่าวออกมาอีกครั้งราวกับว่าหาใช่ใหญ่อันใด “ข้าเอ่ยปากจะหย่ากับเซี่ยเว่ยหลงแล้ว…รอเพียงแต่เขาเขียนหนังสือหย่าและลงนามให้เท่านั้น”เมิ่งซือซือได้ยินอีกครั้งถึงกลับชะงักถอยหลังออกห่างคล้ายกับว่ากำลังหวาดกลัว นางถอนหายใจด้วยความหนักอึ้ง พอตั้งสติได้จึงเร่งรีบเดินเข้ามากุมมือของสตรีตรงหน้าเอาไว้ “รู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังพูดอะไรออกมา” สายตาของนางแลมองซ้ายขวาท่าทางราวกับหวาดระแวงสิ่งใด น้ำเสียงหวานเอ่ยอย่างแผ่วเบา“หย่าสามี…นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรนำมาล้อเล่น!”ไป๋เสี่ยวหรันยังคงสงบนิ่งและเย็นยะเยือกในคราเดียวกัน ใบหน้าคนงามปรากฏรอยยิ้มจางๆ แต่งแต้มอยู่ทว่านัยน์ตาเมล็ดซิ่ง กลับดูหม่นแสงลงเล็กน้อย “เรื่องนี้ข้าย่อมหมายความว่าเช่นนั้น