เหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่บริเวณนั้นต่างตัวแข็งทื่อราวกับหยุดหายใจไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินถ้อยคำเยือกเย็นเจือด้วยความรุนแรงของเซี่ยเว่ยหลง ไฉนพวกนางจะคาดคิดเล่าว่านายท่านจะกล้ากล่าววาจาเชือดเฉือนฮูหยินได้ถึงเพียงนี้โดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น
ช่างเห็นใจฮูหยินไม่น้อย! เมื่อก่อนนั้นแม้ว่านายท่านจะไม่ชอบฮูหยินแล้วอย่างไรกัน แต่ยังเห็นแก่มารดาอยู่ไม่น้อยทว่ายามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าได้จากไปแล้ว ภายในจวนหลังสกุลเซี่ยย่อมไม่มีผู้ใดกล้าออกหน้าปกป้องฮูหยินได้ และที่แย่ยิ่งกว่าคือ...ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาของผู้เป็นนายทั้งสองก็มิได้ลึกซึ้งเพียงนั้น ว่ากันตามตรงแล้วห่างเหินยิ่งกว่าคนแปลกหน้าเสียอีก! เช่นนั้นแล้ว หากไร้รัก…เหตุใดผู้เป็นนายจึงไม่รีบหย่าให้จบสิ้นเสียเล่า ไม่ใช่ว่าฮูหยินรวบรวมความกล้าเอ่ยปากขอหย่าแล้วมิใช่หรือไรกัน ยามนี้ในสายตาของเหล่าสาวใช้ทั้งหลายล้วนเต็มไปด้วยความเห็นใจและสงสารผู้เป็นนายหญิงไม่น้อย ไฉนนายท่านถึงใจร้ายได้ถึงเพียงนี้กัน! ไป๋เสี่ยวหรันยังคงระบายยิ้มกว้างราวกับไม่ได้รู้สึกอันใดแต่กลับเจือไปด้วยความขมขื่นอย่างชัดเจน นัยน์ตาเมล็ดซิ่งของสั่นไหวครู่หนึ่งก่อนจะกลับมานิ่งเฉยดังเดิม นางหัวเราะเยาะออกมาเล็กน้อยอย่างเย้ยหยันก่อนจะลุกขึ้นจากพื้นเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเซี่ยเว่ยหลงแทน ใบหน้าคนงามเชิดขึ้นเล็กน้อยพลันจ้องสบตาเข้ากับอีกฝ่ายพอดี ไป๋เสี่ยวหรันกล่าวเสียงหวานแฝงไปด้วยถ้อยคำเหน็บแนม “พอเห็นนายท่านเซี่ยเป็นเช่นนี้…ข้านึกอยากจะย้อนกลับไปวันนั้นแล้วปฏิเสธการแต่งงานไปเสียจริง” หากรู้เช่นนี้แต่แรก…มิสู้นางกระโดดทะเลสาบลึกไม่ดีกว่าหรือ…? อย่างไรชีวิตก็ไร้หนทางแล้ว “ไป๋เสี่ยวหรัน!” น้ำเสียงทุ้มตวาดดังลั่นพร้อมฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาใกล้ทันที สายตาคมกริบเพ่งมองสตรีตรงหน้าด้วยความเกรี้ยวกราด นางคิดว่าตนเองสูงส่งเป็นคุณหนูสูงศักดิ์งั้นหรือ…!? ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เซี่ยเว่ยหลงได้ยินประโยคนี้แล้วถึงได้รู้สึกราวกับว่าเขาเป็นคนบังคับให้นางยินยอมต้องโดยต้องแต่งงานด้วยไม่เต็มใจ…ทั้งที่ความจริงแล้ว เขาต่างหากที่ช่วยชีวิตนางเอาไว้ไม่ให้ได้เป็นสตรีบำเรอของบุรุษไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้วกระมัง! นี่นับว่าเป็นบุญคุณที่นางต้องตอบแทนเขามิใช่หรือไร…!? ยามนี้ภายในใจของเซี่ยเว่ยหลงเต็มไปด้วยโทสะ เขาพลางขบกรามแน่นจนขึ้นเป็นสัน ดวงตาคมกริบดุจเปลวเพลิงที่พร้อมจะแผดเผาทุกสิ่งตรงหน้า “หึ! หากย้อนกลับไปปฏิเสธข้า…เกรงว่าปานนี้ฮูหยินคงกลายเป็นหญิงคณิกาอยู่หอนางโลมสักแห่งแล้วกระมัง” เพราะเช่นนี้อย่างไร…ในสายตาของเขานั้น นางไร้ค่ายิ่งกว่าเสียสิ่งใด พอได้ยินถ้อยคำดูแคลนเช่นนี้มีผู้ใดไม่โมโหบ้าง…!? ไป๋เสี่ยวหรันเงียบไปครู่หนึ่ง ใบหน้ายังคงระบายยิ้มจางๆ แต่น้ำเสียงที่ออกมากลับเย็นยะเยือกราวกับก้อนน้ำแข็ง “เช่นนั้นก็ดี...อย่างน้อยหากข้าเป็นหญิงคณิกายังสามารถเลือกได้ว่าอยากต้อนรับผู้ใด มิใช่ถูกจับโยนเข้าเรือนหอพอหลังจากค่ำคืนวสันต์แล้วก็ถูกทอดทิ้งราวของไร้ค่า” !!! ใบหน้าของเซี่ยเว่ยหลงยิ่งเขียวคล้ำย่ำแย่เต็มไปด้วยความโกรธอย่างชัดเจน เขาพลางถอนหายใจฮึดฮัด มีหรือเขาจะยอมง่ายๆ! เซี่ยเว่ยหลงกัดฟันกรอด ฝ่ามือกำแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นเด่นชัด “เผยนิสัยที่แท้จริงของมาแล้วหรือไป๋เสี่ยวหรัน…นับว่ามีความอดทนไม่น้อย” น้ำเสียงทุ้มที่เอ่ยออกมาอย่างดูแคลน เขาละสายตาจากนางก่อนจะไล่มองตั้งแต่บนลงล่างราวกับว่ากำลังสังเกตหรือครุ่นคิดอะไรบางอย่าง รอยยิ้มบนใบหน้าคนงามพลันเจื่อนลงทันที พร้อมกับความรู้สึกมากมายที่อัดอั้นอยู่ต่างปะทุขึ้นอก ไป๋เสี่ยวหรันทั้งรู้สึกโมโห โกรธและน้อยเนื้อต่ำใจไปพร้อมๆ กันจนยากจะบรรยายออก มาเป็นถ้อยคำได้ ในเมื่อสุดท้ายแล้ว…นางและเขาก็เปรียบเสมือนเส้นด้ายแดงที่ขาดสะบั่น ดังนั้น ไม่มีอันใดต้องถนอมกันอีกแล้ว นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “เหอะ! เกรงว่าสามีที่ไม่เคยสนใจเหลียวแลภรรยาแม้แต่น้อยคงไม่ทันได้สังเกตกระมัง...ว่าข้ามีนิสัยเช่นไร เอาเถิด…หากท่านรังเกียจสตรีเข่นนี้ก็จงรีบเขียนหนังสือหย่าและลงนามเสียที!” อวดดี! นางกล้าดีอย่างไรกัน! เขาย่อมรู้สึกหงุดหงิดและโมโหอยู่มากคล้ายกับว่ากำลังจะสูญเสียของในมือไปอีกครั้ง ดังนั้น…ภายในใจเดือดปุดๆ ยิ่งกว่าน้ำต้มในกา มุมปากหนาค่อยๆ เหยียดยิ้มขึ้นมา “ไป๋เสี่ยวหรัน! ข้าย้ำเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย…หากยังอยากมีที่อยู่ซุกหัวนอนก็ทำตัวสงบเสงี่ยมอย่าได้ริอาจแสดงท่าทางเช่นนี้กลับอีก!” “หยุดเหยียบย่ำข้าสักทีได้หรือไม่เซี่ยเว่ยหลง...” น้ำเสียงหวานสั่นเครือแฝงไปด้วยความเหนื่อยล้า ไป๋เสี่ยวหรันยังคงจ้องสบตากับอีกฝ่ายไม่ลดละโดยไร้ความเกรงกลัว มือทั้งสองข้างของนางกำแน่นด้วยความโกรธ หากมิใช่เพราะอาหยวน…นางคงไม่ฝืนทนมานานจนป่านนี้ เซี่ยเว่ยหลงได้ยินแล้วพลันแค่นเสียงออกมาอย่างเย้ยหยัน “อวดดีเช่นนี้…ข้าอยากจะรู้นักว่า เมื่อก้าวเท้าออกไปจากสกุลเซี่ยแล้วจะมีสภาพเป็นอย่างไร” ไป๋เสี่ยวหรันแค่นเสียงออกมา นางก้าวเดินไปข้างหน้าและอยู่ห่างจากเซี่ยเว่ยหลงเพียงแค่คืบเท่านั้น นัยน์ตาเมล็ดซิ่งสบเข้ากับดวงตาคมกริบ ก่อนจะกล่าวออกมาเสียงเรียบ “นายท่านเซี่ยวางใจเถิดเจ้าค่ะ อย่าได้กังวล…หากไร้เงาของท่านและสกุลเซี่ยแล้ว ข้าก็มิได้จนตรอกไร้ที่ซุกหัวนอนเฉกเช่นขอทานหรอกกระมัง” “ไป๋เสี่ยวหรัน!” เซี่ยเว่ยหลงกัดฟันกรอด เหตุใดสตรีผู้นี้ถึงกล้ายั่วยวนโทสะเขาเช่นนี้! “รังเกียจข้าเพียงนี้ก็รีบลงนามในหนังสือหย่าให้ข้าเสีย” นางเอ่ยเสียงแผ่วเบาจากนั้นจึงละสายตาหันหนีปรายไปมองทางอื่นแทนทันที จู่ๆ ยิ่งพอเห็นแววตาและท่าทางแน่วแน่เด็ดขาดของนาง หัวใจแกร่งของเซี่ยเว่ยหลงพลันกระตุกวูบอย่างไร้สาเหตุ เพราะเหตุใดนางถึงได้เปลี่ยนไปราวกับคนละคน…!? “เจ้ามีใจรักข้ามิใช่หรือไป๋เสี่ยวหรัน” เซี่ยเว่ยหลงเลิกคิ้วเอ่ยถามน้ำเสียงเรียบไร้อารมณ์โกรธหรือความขุ่นเคืองใจใดๆ “ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!” ไป๋เสี่ยวหรันได้ยินแล้วพลันหัวเราะร่อออกมาทันทีอย่างประชดประชัน บุรุษผู้นี้เป็นอันใดไปเสียแล้ว…เหตุใดถึงได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมากัน นางเลิกคิ้วถามกลับ “เหตุใดยามนี้กลับกลายเป็นนายท่านเซี่ยเอ่ยถามหาความรักลึกซึ้งจากข้ากันเล่า” “…” เซี่ยเว่ยหลงเงียบไม่ตอบอันใดออกมา สายตาคมกริบมองลึกเข้าไปในนัยน์ตาเมล็ดซิ่งก่อนจะพบกับความว่างเปล่า เหตุใดถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ไปได้ เซี่ยเว่ยหลงรู้สึกคันยุบยิบในอกอย่างบอกไม่ถูก ไป๋เสี่ยวหรันมองบุรุษตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง พอเห็นเขายังคงแน่นิ่งไม่ปริปากพูดอันใดออกมา นางจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เช่นนั้น…เพราะเหตุใดนายท่านเซี่ยอยากรู้หรือไม่” นางเคยรักเขาอยู่มาก…จนกระทั่งหลงลืมตัวเองไปชั่วขณะ แม้ว่ารักแล้วอย่างไร…หากไร้วาสนาฝืนโชคชะตาดันทุรังไปก็เท่านั้น นางกล่าวเสียงเรียบไร้อารมณ์หรือความเสียใจใดๆ ออกมา “ตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งถึงยามนี้…ตอนที่อยู่ด้วยกัน ข้ากลับรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวยิ่งนัก สายตาที่ท่านมองข้าหรือถ้อยคำที่เอ่ยออกมาราวกับว่าเป็นข้ากำลังเรียกร้องอย่างน่าสมเพช” โลกนี้หาได้ยุติธรรมไม่…หากมีวาสนา แม้ห่างไกลนับพันลี้ก็ย่อมไขว่คว้ามาครอบครองได้ หากแต่มีบุพเพแล้วไร้วาสนานั้น…แม้ว่าจะฝืนโชคชะตาก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี ยามนี้ไป๋เสี่ยวหรันเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้ว นางทนมาสามปีเพราะความโง่งมหลงคิดว่า แม้ไม่รักใคร่ย่อมต้องรู้สึกผูกพันกันบ้าง สุดท้ายกลับไร้ประโยชน์สิ้นดี… ช่างน่าสมเพชนัก! จู่ๆ บรรยากาศภายในห้องโถงพลันตกอยู่ในความเงียบงัน คำพูดของนายหญิงทำเอาเหล่าสาวใช้ที่แอบยืนฟังอยู่ด้านหลังพลันรู้สึกน้ำตารื้นด้วยความเห็นใจ เกรงว่าที่ผ่านมานายหญิงคงอดทนไม่น้อยจนกระทั่ง…ยามนี้ได้ขาดสะบั่นจนไม่หลงเหลือความรู้สึกใดๆ อีกแล้ว “ไป๋เสี่ยวหรง...” เซี่ยเว่ยหลงขึ้นเสียงเรียบ ภายในอกของเขาพลันบีบรัดแน่นคล้ายรู้สึกหายใจติดขัดไปชั่วขณะหนึ่ง “…” “ข้าถามว่าเจ้ารักข้าหรือไม่” ในเมื่อที่ผ่านสตรีผู้นี้อดทนมาได้ตลอดแล้วไฉนยามนี้ถึงได้เฉยชาไร้เยื่อใย หากมิใช่เพราะในใจของนางมีบุรุษอื่นไปแล้ว “ย่อมเคยรัก” ไป๋เสี่ยวหรันตอบกลับเสียงเรียบ นางสบตากับเขาครู่หนึ่งก่อนปรายไปมองทางอื่นจากนั้นจึงเดินจากไปทันทีราวกับว่าไม่ได้รู้สึกอันใด นางเหนื่อยเหลือเกิน...เหนื่อยจนไม่มีแม้แต่แรงจะรักเขา แม้ว่าจะไม่ได้มีการตะโกนด่าทอเสียงดังลั่นไปทั่วทั้งจวนแต่ทว่ายามนี้แล้ว ภายในจวนมีผู้ใดไม่รู้บ้างว่านายหญิงเด็ดขาดถึงขั้นจะหย่ากลับนายท่านให้จงได้…ไม่ว่าอย่างไรแล้วก็ผู้ที่น่าสงสารที่สุดก็คงเป็นคุณชายน้อยกระมัง ไป๋เสี่ยวหรันสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ นางพยายามอดกลั้นไม่หลั่งน้ำตาหรือร้องไห้ออกมาตลอดทาง…จนกระทั่งสายตาของนางมองเห็นอ่หยวนกำลังหยอกล้อเล่นกลับเหล่าสาวใช้ หัวใจของนางกระตุกวูบจากนั้นพลันบีบรัดแน่นจนรู้สึกปวดหนึบแทบจะหายใจไม่ออก ไป๋เสี่ยวหรันเม้มริมฝีปากแน่น นัยน์ตาเมล็ดซิ่งสั่นระริกและเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำสีใส “ฮูหยินเจ้าคะ…” ซือหรูเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ห้องบรรพชนนั้น นางรู้สึกสงสารเห็นใจฮูหยินไม่น้อย นายท่านช่างใจร้ายไม่น้อย! แม้นางจะไม่ได้ติดตามอีกฝ่ายมาจากบ้านเดิมแล้วอย่างไรและเป็นคนของสกุลเซี่ยมาตั้งแต่แรกแล้ว ทว่านับตั้งแต่วันที่นางเอ่ยปากว่าจะเป็นสาวใช้ข้างกาย…ความรู้สึกที่มีย่อมเต็มไปด้วยความจริงใจทั้งสิ้น ไป๋เสี่ยวหรันยังคงยืนแน่นิ่ง สายตาเพ่งมองบุตรชายเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกมากมายที่เอ่อล้นขึ้นมาในใจ อาหยวน…แม่ขอโทษ เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ มิใช่ว่านางพูดออกไปแล้วเป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้น… ตอนที่นางตัดสินใจว่าพอแล้ว…หัวใจของนางพลันเบาหวิวคล้ายกลับหยุดเต้นไปชั่วขณะแต่ทว่าต่อให้จะต้องแตกสลายจนวิญญาดับหายไปหรือสูญเสียทุกอย่าง ขอเพียงปกป้องอาหยวนไว้ได้ก็เพียงพอแล้ว ไป๋เสี่ยวหรันกล่าว “เตรียมตัวเถอะซือหรู…หากเซี่ยเว่ยหลงไม่ยอมลงนามหนังสืออย่า ข้าก็ไม่สนใจสิ่งใดแล้ว” ปล. อิพี่ปากแจ๋วขนาดนี้แล้วยัยน้องจะทนอยู่ทำไมผู้ใดจะคาดคิดเล่าว่า…เมิ่งหานเฟิ่งผู้เป็นพี่ชายของนางจะตกหลุมรักไป๋เสี่ยวหรันเข้าอย่างจังเมิ่งซือซือทอดสายตาจ้องแผ่นหลังกว้างของเมิ่งหานเฟิ่งอยู่นานครู่หนึ่ง นางไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเพียงแค่มองเงียบๆ พลันปล่อยให้ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัวไปมาอย่างไม่อาจควบคุมแต่ทว่าเมิ่งหานเฟิ่งกลับนิ่งราวกับรูปปั้น มิได้ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยและดูจากท่าทางแล้ว…เขาคงไม่รู้เสียด้วยซ้ำกระมังว่านางกำลังยืนมองอยู่หลายวันแล้วที่บรรยากาศในจวนสกุลเมิ่งเงียบสงบเกินควรและยิ่งไปกว่านั้น เมิ่งหานเฟิ่งกลับมีทีท่าซึมลงในแต่ละวัน เงียบงันจนคนในจวนเริ่มสังเกตเป็นกังวลอยู่มาก“เข้าไปดูอาการพี่ชายเจ้าหน่อยเถอะซือซือ” น้ำเสียงแผ่วเบาของเมิ่งฮูหยินกล่าวขึ้นอย่างหนักใจ นางละสายตาจากบุตรชายก่อนจะปรายหันมามองบุตรสาวข้างกายอย่างวิงวอนนับตั้งแต่ไป๋เสี่ยวหรันและอาหยวนตัดสินใจกลับไป…ไม่ว่าผู้ใดในจวนต่างรู้สึกใจหายทั้งสิ้นทว่าบุตรชายของนางดูเหมือนจะมากไปเสียหน่อย…เมิ่งฮูหยินมองแวบเดียวก็สามารถหยั่งรู้ถึงจิตใจของอีกฝ่ายได้แล้วว่า…มีใจรักใคร่ลึกซึ้งต่อแม่นางไป๋เสี่ยวหรันแน่เมิ่งซือซือพยักหน้าหงึกๆ พลางถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจ
บรรยากาศภายในจวนสกุลเซี่ยเงียบงันอึมครึมไร้ชีวิตชีวานานหลายวันนับตั้งแต่ฮูหยินและคุณชายน้อยได้จากไปพร้อมกับหนังสือหย่า...ภายหลังจากนั้นมาอารมณ์ของนายท่านก็แปรปรวนยิ่งกว่าฟ้าฝนปลายฤดูใบไม้ผลิเสียอีกเหล่าสาวใช้ในจวนต่างอยู่กันหายใจไม่ทั่วท้อง ไม่มีผู้ใดกล้าเอื้อนเอ่ยวาจาใดออกไปแม้แต่สักครึ่งคำราวกับว่าสวรรค์ยังเมตตา...ยามนี้ฮูหยินและคุณชายน้อยปรากฏอยู่ตรงหน้าในจวนอีกครั้ง พวกนางมองเห็นแล้วล้วนแต่ตื่นตระหนกตกใจกันทั้งสิ้นทว่ากลับไม่มีผู้ใดเอ่ยถ้อยคำใดออกมา นอกเสียต่างพากันถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอกคล้ายก้อนหินที่ทับอยู่ในอกมานานถูกยกออกแท้จริงแล้ว…นายท่านเซี่ยก็หาได้เย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งหรือไร้หัวใจไม่รู้สึกอันใด เพียงแต่ไม่รู้จักวิธีถนอมสตรีเท่านั้น…จนกระทั่งสูญเสียไปจึงค่อยรู้ความสำคัญของฮูหยินว่ากันตามตรงแล้ว พวกนางต่างพากันคาดไม่ถึงจริงๆ ว่านายท่านจะตามฮูหยินและคุณชายน้อยกลับมาจนได้ฮูหยินถึงขั้นตัดสินใจหนีออกไปอย่างแน่วแน่เช่นนี้…มองดูแล้วคงไม่ง่ายแน่ทว่าวันนี้…นานท่านเซี่ยพาคนทั้งคู่กลับมาได้แล้วไป๋เสี่ยวหรันหวนกลับมายังจวนสกุลเซี่ยอีกครั้ง ใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มจางๆ สา
“ไม่ได้ขอรับ! นายท่านได้โปรดกลับไปเถอะ” น้ำเสียงทุ้มของคนงานชายเอ่ยขึ้นด้วยความหนักใจอยู่มาก แท้จริงแล้วเขาไม่รู้ว่านายท่านเซี่ยผู้นี้มีเรื่องเร่งด่วนอันใดถึงได้เร่งเร้าให้เปิดประตูจวนอยากจะเข้าไปนัก เขาเองก็ลำบากใจอยู่มาก…หากผู้เป็นนายไม่ออกคำสั่ง เขาจะทำอันใดได้ เซี่ยเว่ยหลงยืนนิ่ง สายตาคมกริบเพ่งมองบานประตูจวนที่ยังคงปิดสนิท เขาพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แต่หาใช่เพราะความโกรธทว่ากลับเป็นความเหนื่อยล้าในใจ นึกไม่ถึงว่าหลังจากวันนั้นที่เขาถูกขับไล่ออกมา…ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าพอหวนกลับมาอีกครั้ง จวนสกุลเมิ่งจะปิดประตูสนิทต่อให้มีเรื่องเร่งด่วนเพียงใดก็ให้คุณชายเมิ่งเป็นผู้ตัดสินใจ เหอะ! หากรอให้บุรุษผู้นั้นตัดสินใจ เขาไม่ผมหงอกหัวขาวโพลนไปทั้งหัวหรอกหรือ…!? “ข้ามาตามภรรยา…” เซี่ยเว่ยหลงเอ่ยออกมาเสียงเรียบ สายตาคมกริบยังคงจ้องมองบานประตูจวนที่ปิดสนิท เขาคิดว่าอย่างไรแล้ว…นางคงอยู่ข้างหลังไม่ยอมออกมาเป็นแน่ “อย่างไรก็ไม่ได้ขอรับ!” ทว่าคนงานผู้นั้นยังคงตอบเสียงหนักแน่นและแน่วแน่ เดิมทีเซี่ยเว่ยหลงไม่ได้มีความอดทนมากนัก หากไม่มีเรื่องสำคัญอันใด เขาก็คงไม่ต้องแบกหน้าอดทนรอคอยอย่างใจเย็
ยามพลบค่ำ จู่ๆ ฝนกลับตกกระหน่ำลงมาอย่างหนักโดยไม่ได้บอกกล่าวราวกับว่าพายุห่าใหญ่ได้แผ่ไปทั่วผืนฟ้า ทั้งที่ตลอดวันยังมีแสงแดดยังส่องสาดส่องไปทั่วบริเวณจนอากาศอบอ้าวแทบหายใจไม่ทั่วท้องแต่เพียงชั่วพริบตา…ท้องฟ้ากลับถูกเมฆครึ้มบดบังจนไร้แสงอาทิตย์ สายลมเย็นเฉียบพัดโชยมาพร้อมกลิ่นฝนที่เคล้าโชยมากับหยาดน้ำสีใสนับพันสายไป๋เสี่ยวหรันยืนอยู่ใต้ชายคา เงยหน้ามองหยาดเม็ดฝนที่รินไหลลงเทจากขอบหลังคาอย่างเหม่อลอย นัยน์ตาคู่งามดูราบเรียบแต่กลับแฝงความเศร้าและหม่นหมองเอาไว้อย่างปิดไม่มิดนี่ก็ผ่านมาแล้วสองสามวัน…นับตั้งแต่เซี่ยเว่ยหลงบุกมานางถึงจวนสกุลเมิ่งโดยไม่ทันตั้งตัวแม้ว่านางจะเป็นฝ่ายขับไล่เขาไปแล้วอย่างไร แต่ภายในใจของไป๋เสี่ยวหรันกลับปั่นป่วนเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่ยากจะสลัดทิ้งไปได้…น้ำเสียงทุ้มแผ่วเบาแฝงด้วยความอ่อนโยนและเจือไปด้วยความรู้สึกผิดยังคงวนเวียนดังก้องอยู่ในหูของนางซ้ำๆเพื่อนางแล้ว…เซี่ยเว่ยหลงยินยอมทำเพียงนี้เลยหรือ!?“เสี่ยวหรัน…”“…”“ไป๋เสี่ยวหรัน!” น้ำเสียงของเมิ่งซือซือดังขึ้นกว่าเดิมแข่งกับเสียงฝน นางยื่นมือออกไปแตะไหล่ของไป๋เสี่ยวหรันอย่างแผ่วเบาพลันทำให้อีกฝ่าย
อวิ๋นเออร์เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ของเซี่ยเว่ยหลงแล้ว…นางพลันหยุดชะงักไปชั่วขณะคล้ายกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน รอยยิ้มบนใบหน้าคนงามเจื่อนลงทันที“ท่าน...หมายความว่าอย่างไรกันเว่ยหลง” น้ำเสียงหวานของนางสั่นเครือเจือไปด้วยความสับสนยามนี้นางไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าเหตุใดเซี่ยเว่ยหลงถึงเอ่ยถ้อยคำเช่นนั้นออกมาเขาสมควรจะยินดีใจมิใช่หรอกหรือ…!?นางละทิ้งทุกสิ่งและกำลังจะหย่าสามีเพื่อย้อนคืนมาหาเขา มายืนเคียงข้างเขาดังเช่นในอดีต แต่ว่าสิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงสายตาเย็นชาไร้ความรู้สึกเท่านั้นจางเหวินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเหลือบสายตาปรายมองเซี่ยเว่ยหลงที่ยืนนิ่งสงบ สายตาคมกริบเรียบเฉยไร้ความโกรธเกรี้ยวหรือยินดีแม้แต่น้อยเซี่ยเว่ยหลงทอดสายตามองผ่านสตรีตรงหน้าออกไปราวกับมองไม่เห็น เขาค่อยๆ ละสายตากลับมาก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาและหนักแน่น“ความหมายของข้านั้น…ฮูหยินได้โปรดกลับไปไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเสียก่อนเถิด เรื่องบางอย่างหากตัดสินใจลงไปแล้วย่อมไม่อาจย้อนคืนมาแก้ไขได้อีก” เซี่ยเว่ยหลงเข้าใจลึกซึ้งแล้ว…ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น อวิ๋นเออร์ก็ยิ่งขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “เซี่ยเว่ยหลง…ข้าและท่
เมิ่งหานเฟิ่งเดินเข้าไปใกล้ ฝ่ามือหนายื่นออกไปเกลี่ยเรือนผมที่พลิ้วปิดใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา ดวงตาคมกริบหลุบต่ำมองสตรีตรงหน้าด้วยความอ่อนโยนก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำเขาย่อมมองออกว่าสตรีตรงหน้ารู้สึกอย่างไรกันแน่“มีผู้ใดบ้างหากต้องการสิ่งใดแล้วจะไม่เห็นแก่ตัว” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบา “ข้าเองก็อยากจะเห็นแก่ตัวให้มากกว่านี้…อยากจะเหนี่ยวรั้งเจ้าเอาไว้ไม่ยอมให้กลับไปอีกไป๋เสี่ยวหรัน”หากเขาทำเช่นนั้น รั้งนางเอาไว้จะเห็นแก่ตัวมากไปหรือไม่เมิ่งหานเฟิ่งไม่ได้ตาบอดจนมองไม่ออกว่า…ข้างในหัวใจของไป๋เสี่ยวหรันนั้นยังคงมีเซี่ยเว่ยหลงอยู่เต็มเปี่ยม มิหนำซ้ำคนทั้งคู่ยังมีสายใยร่วมกันคือบุตรชายหนึ่งคนต่อให้ตัดใจก็ใช่ว่าจะตัดขาดได้จริงพอได้ยินถ้อยคำนั้น ไป๋เสี่ยวหรันก็เงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาคู่งามช้อนสบกับเมิ่งหานเฟิ่งพอดี “คุณชายเมิ่ง” นางย่อมมองออกว่าเมิ่งหานเฟิ่งรู้สึกอย่างไรแต่ทว่า…“ขอโทษเจ้าค่ะ” น้ำเสียงหวานเอื้อนเอ่ยเบาแฝงด้วยรู้สึกผิดไม่น้อยในใจของนางไม่อาจเปิดที่ว่างให้ผู้ใดได้อีกยกเว้นเพียงคนผู้นั้น…เซี่ยเว่ยหลง ทั้งที่เขาเคยใจร้ายถึงเพียงนั้นแต่ทว่าเหตุใดนางถึงยังตัดใจจากเขาไม่ได