เมื่อตอนเช้าตรู่วันนี้ ไป๋เสี่ยวหรันยังนอนหลับอยู่บนเตียง ทว่าเสียงเรียกอย่างร้อนรนของสาวใช้ดังขึ้นหน้าห้องพลันทำให้นางสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจก่อนจะรีบผุดลุกขึ้นทันที หัวใจเต้นระส่ำ คิดไปก่อนแล้วว่าอาจเกิดเรื่องร้ายกับอาหยวนแน่แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น…ซือหรูสาวใช้คนสนิทของนางกล่าวรายงานด้วยใบหน้าตื่นตระหนกว่ามีคนจากเรือนของเซี่ยเว่ยหลงนำหนังสือหย่ามาส่งให้แม้ว่าไป๋เสี่ยวหรันยังงัวเงียเพราะเพิ่งตื่นแต่มว่าพอได้ยินว่า หนังสือหย่า…นางรู้สึกตื่นเต็มตาขึ้นมาทันทีก่อนจะรีบก้าวลงจากเตียงแล้วตรงเข้าไปหยิบกระดาษมาเปิดดูอย่างรวดเร็วเมื่อคืนที่ผ่าน เซี่ยเว่ยหลงรับปากว่าจะปล่อยนางไปพร้อมกับเขียนหนังสือหย่าและลงนามให้แต่แล้วอย่างไรกลับมีข้อแม้ปรากฏชัดเจนบนหน้ากระดาษหากต้องการจากไปก็ให้ไปได้เพียงแต่ตัวเท่านั้น ห้ามนำสิ่งใดติดออกไปจากจวนเซี่ย…แม้กระทั่งบุตรชาย!นางเป็นมารดาจะกล้าทิ้งบุตรชายได้อย่างไร!แท้จริงแล้วเซี่ยเว่ยหลงไม่ได้เมามายจนไร้สติหรอกหรือ…!?พอนึกถึงตรงนี้ หัวใจของไป๋เสี่ยวหรันกระวูบรู้สึกโกรธเคืองอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย นางไม่อาจเข้าใจได้เลยว่า…เซี่ยเว่ยหลงต้องการรั้งนางไว้เพราะ
เซี่ยเว่ยหลงเดินเอามือไพล่หลัง ตรงไปยังศาลาริมสระบัว ใบหน้าหล่อเหล่านิ่งเฉยไร้อารมณ์ทว่าดวงตาคมกริบกลับฉายแววไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจนนึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเพียงแค่เขาก้าวเท้าออกจากจวนไปยังไม่ทันไร นางก็เชิญทั้งบุรุษและสหายมาพูดจาโอ้อวดว่าตนเองหย่ากับเขาแล้วอย่างงั้นรึ…!?หางตาของเซี่ยเว่ยหลงกระตุกริกๆ มาตลอด มิหนำซ้ำภายในใจยังเต็มไปด้วยความหงุดหงิดจากเหตุการณ์เมื่อคืนและพอยิ่งเดินเข้ามาใกล้ เสียงร้องโวยวายของสตรีและน้ำเสียงทุ้มของบุรุษที่ไม่คุ้นหูก็ยิ่งกระตุ้นความไม่พอใจให้เดือดดาลยิ่งขึ้นไปอีกเซี่ยเว่ยหลงปรายสายตาเย็นชามองอดีตภรรยาหมาดๆ เพียงครู่หนึ่ง ก่อนที่มุมปากกระตุกโค้งเหยียดยิ้มเล็กน้อยจากนั้นจึงเอ่ยออกมาเสียงเรียบทว่ากลับเต็มไปด้วยถ้อยคำเหน็บแนมทั้งสิ้น “หึ! เพิ่งหย่ากับข้าไม่ทันไรก็พาบุรุษอื่นเข้าจวนมาอวดกันถึงที่แล้วงั้นหรือ”จางเหวินเดินตามหลังมาติดๆ แต่พอได้ยินถ้อยคำนี้แล้ว เขาขมวดคิ้วหันขวับมองอีกฝ่ายตาขวางทันทีบุรุษผู้นี้…เอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาได้อย่างไรกัน!“เซี่ยเว่ยหลง!” จางเหวินขึ้นเสียงดังทันทีท่าทางขุ่นเคืองที่เหมือนถูกทอดทิ้งมาตลอดทั้งวันของอีกฝ่ายพลันหายหมดไปสิ้น
“เซี่ยเว่ยหลง…จริงๆ ข้าเสียดายไม่น้อย” น้ำเสียงหวานเอ่ยแผ่วเบาแฝงความเหนื่อยล้าเอาไว้อย่างชันเจน ไป๋เสี่ยวหรันลอบหายใจเฮือกหนึ่งคล้ายกลับกำลังอดกลั้นอารมณ์ที่ปะทุขึ้นคับแน่นอยู่ในอก“ไป๋เสี่ยวหรัน…” เซี่ยเว่ยหลงส่ายหน้าไปมาปฏิเสธ เขาไม่ต้องการได้ยินถ้อยคำใดจากนางอีกแล้ว ฝ่ามือหนาคว้ามือของนางมากอบกุมไว้แน่นราวกับหวาดกลัวว่าสตรีตรงหน้าจะเลือนรางและหายจากไปตลอดกาลท่าทางของเขาในยามนี้ไม่ต่างจากกำลังวิงวอนรั้งนางเอาไว้ สายตาคมกริบที่เคยแข็งกร้าวกลับอ่อนลงอย่างชัดเจนหากเป็นในยามปกติไป๋เสี่ยวหรันคงเผลอใจและหลงเชื่อในคำพูดของเขาแน่ แต่ยามนี้...บุรุษตรงหน้าเมามายอยู่มาก ใบหน้าหล่อเหล่าแดงก่ำจากฤทธิ์สุราทั้งยังมีกลิ่นฉุนโชยอยู่รอบกายไป๋เสี่ยวหรันไม่ดึงมือกลับ นางเพียงยืนนิ่งคล้ายกำลังตั้งสติ ภายในใจกลับสั่นไหวอยากเกินจะควบคุมคำพูดของเซี่ยเว่ยในยามนี้ก็เป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้น…มีหรือหทกเขามีสตรีดีจะกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมา!ใบหน้าคนงามปรากฏรอยยิ้มบางๆ สะท้อนแสงจันทราที่สะท้อนสาดส่องลงมาอย่างเย็นชา นัยน์ตาเมล็ดซิ่งของนางว่างเปล่าไร้ความรู้สึกใดๆ“ทว่าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่…ฝืนดันทุรังไปก็เท่านั้น
ยามไฮ่ (21.00 – 23.00 น.)จางเหวินเจอเซี่ยเว่ยหลงอีกครั้ง เขาก็สังเกตได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ ไม่เช่นนั้นเจ้าคนผู้นั้นจะเอาแต่นั่งดื่มสุราจอกแล้วจอกอย่างเงียบงันโดยไม่ปริปากเอ่ยอันใดออกมาได้อย่างไรตลอดหลายชั่วยามที่ผ่านมา!“เหอะ!” เขาแค่นเสียงออกมา สายตาจ้องมองอีกฝ่ายนิ่งๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ดอกเหมยร่วงหล่นปลิวไปกับสายลม...ต่อให้ยื่นมือออกคว้าก็เกินกว่าจะรั้งไว้ได้อีกแล้ว”!!!ปัง!เสียงจอกสุรากระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรงจนดังสะท้อนไปทั่วทั้งห้องบ่งบอกอารมณ์ขุ่นมัวของเซี่ยเว่ยหลงได้ชัดเจน มุมปากหนาเหยียดยิ้มเยาะเล็กน้อยเซี่ยเว่ยหลงพลางเอ่ยออกมาเสียงเรียบราวกับมิได้ต้องการคำตอบอันใด “ย่อมเคยรักงั้นหรือ…ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ใจของนางเริ่มเปลี่ยนไปเป็นอื่น”หมายความว่าอย่างไรกัน…!?จางเหวินได้ยินแล้วพลันขมวดคิ้วมุ่นอย่างงุนงงทันทีเขาไม่รู้ว่าเซี่นเว่ยหลงกำลังกล่าวถึงสิ่งใดอยู่หรือแท้จริงแล้วเพียงแค่เมามายจนสติเลอะเลือนไปแล้วอย่างงั้นหรือ…?จางเหวินหรี่สายตาสังเกตอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดออกมา “หึ! อวดดี...คำพูดร้ายกาจแต่การกระทำลับหลังกลับน่าสมเพช”เขาหรือน่า
เหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่บริเวณนั้นต่างตัวแข็งทื่อราวกับหยุดหายใจไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินถ้อยคำเยือกเย็นเจือด้วยความรุนแรงของเซี่ยเว่ยหลง ไฉนพวกนางจะคาดคิดเล่าว่านายท่านจะกล้ากล่าววาจาเชือดเฉือนฮูหยินได้ถึงเพียงนี้โดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้นช่างเห็นใจฮูหยินไม่น้อย!เมื่อก่อนนั้นแม้ว่านายท่านจะไม่ชอบฮูหยินแล้วอย่างไรกัน แต่ยังเห็นแก่มารดาอยู่ไม่น้อยทว่ายามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าได้จากไปแล้ว ภายในจวนหลังสกุลเซี่ยย่อมไม่มีผู้ใดกล้าออกหน้าปกป้องฮูหยินได้ และที่แย่ยิ่งกว่าคือ...ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาของผู้เป็นนายทั้งสองก็มิได้ลึกซึ้งเพียงนั้นว่ากันตามตรงแล้วห่างเหินยิ่งกว่าคนแปลกหน้าเสียอีก!เช่นนั้นแล้ว หากไร้รัก…เหตุใดผู้เป็นนายจึงไม่รีบหย่าให้จบสิ้นเสียเล่า ไม่ใช่ว่าฮูหยินรวบรวมความกล้าเอ่ยปากขอหย่าแล้วมิใช่หรือไรกันยามนี้ในสายตาของเหล่าสาวใช้ทั้งหลายล้วนเต็มไปด้วยความเห็นใจและสงสารผู้เป็นนายหญิงไม่น้อยไฉนนายท่านถึงใจร้ายได้ถึงเพียงนี้กัน!ไป๋เสี่ยวหรันยังคงระบายยิ้มกว้างราวกับไม่ได้รู้สึกอันใดแต่กลับเจือไปด้วยความขมขื่นอย่างชัดเจน นัยน์ตาเมล็ดซิ่งของสั่นไหวครู่หนึ่งก่อนจะกลับมานิ่งเฉยดังเดิม
“มารดามันเถอะ! เซี่ยเว่ยหลง”พอได้ยินประโยคนั้นแล้ว จางเหวินตวาดดังลั่นพลางสูดลมหายใจลึกคล้ายกับกำลังตั้งสติและระงับโทสะที่เดือดพล่านอยู่ในอก สายตาคมกริบหรี่มองเซี่ยเว่ยหลงด้วยความไม่พอใจ “นางคือภรรยาของเจ้า…หาใช่สิ่งของที่จะชั่งน้ำหนักหากำไรหรือขาดทุน!”ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ จางเหวินคิดว่าอยากจะจับมือคนผู้นี้ขึ้นมาเขียนหนังสือหย่าและลงนามให้รู้แล้วรู้รอดจริงๆหากหลานชายของเขาต้องเติบโตโดยไร้บิดา…ก็ช่างมันเถิด!บุรุษเช่นนี้…หากไม่ให้เกียรติต่อภรรยาได้ก็อยู่ผู้เดียวไปตลอดชีวิตจนผมขาวโพลนเถอะ!“…” เซี่ยเว่ยหลงเงียบไม่เอื้อนเอ่ยคำใด สายตาคมกริบดูลุ่มลึกคล้ายกำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่หลายปีมานี้ เซี่ยเว่ยหลงยอมรับว่า เขามิได้มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อไป๋เสี่ยวหรัน นางเป็นเพียงภาระที่เขาต้องแบกรับไว้ด้วยความจำยอมเพราะความปรารถนาของมารดาแม้ว่านางสงบเสงี่ยม อ่อนน้อมและไม่เคยแม้แต่จะโต้แย้ง คำพูดจากปากเขาสิบประโยคแต่นางตอบกลับเพียงหนึ่งเท่านั้นแต่ไฉน วันนั้นกลับกล้าถึงขั้นเอ่ยปากขอหย่ากัน…!?พอเห็นบุรุษตรงหน้านิ่งไป คล้ายกับว่ากระตุ้นโทสะในอกของจางเหวินให้ปะทุขึ้นมา แม้ว่านี่จะไม่ใช่