บทที่ ๑
ต้องตามประสงค์ ๑๐ ปีต่อมา ช่วงสายยามพระอาทิตย์ขึ้นตรงเหนือหัว บรรยากาศรอบข้างไม่ได้เงียบสงบเสียทีเดียว จอแจด้วยเสียงคนมากหน้าหลายตา ยืนต่อแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยรอรับอาหาร แดนสามที่เป็นเขตโรงอาหารกำลังวุ่นวายมือประวิง มีคณะคนกลุ่มหนึ่งถูกนำทางด้วยเจ้าหน้าที่ในชุดสีกากีอันเป็นเอกลักษณ์ของผู้คุมเรือนจำ เดินเลียบเคียงเข้าไปที่ตึกสองชั้นอันเป็นที่ตั้งของสำนักงาน เรือนจำแบ่งเป็นหลายเขตหลายแดน แดนหนึ่งแรกรับ แดนสองให้ญาติเยี่ยม แดนสามเป็นโรงอาหารและสำหรับทำกิจกรรม แดนสี่เป็นต้นไปถึงสิบเป็นแดนกักขังนักโทษ เริ่มจากเบาสุดไปหาหนักสุด และพวกที่อยู่ร่วมกับนักโทษทั่วไปไม่ได้ ก็คือแดนสิบ แดนที่รวมพวกมากวิชาอาคม จอมขมังเวทย์ไว้ในแดนนี้หมดแล้ว การมาเยือนเรือนจำผู้ต้องโทษร้ายแรงในเวลานี้ ถ้าหากไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรง ผู้ที่สามารถเข้าถึงนักโทษระดับนี้ได้ก็คงยศใหญ่หรือเส้นสายใหญ่ไม่น้อย คณะเดินทางนั้นมาหยุดที่ห้องหนึ่ง ร่างภูมิฐานแต่งกายดูดีกว่าใครเดินองอาจเข้าไปในห้อง ด้านในมีคนรออยู่ก่อนแล้ว “ไม่ใช่เรื่องง่ายนะท่าน หากเบื้องบนรู้เข้าล่ะซวยแน่” คนในห้องหน้าเครียดขึง คิ้วขมวดแน่น “พูดอะไรอย่างนั้นท่านมนตรี ก็ท่านไม่ใช่หรือครับที่เขาเรียกกันว่าเบื้องบน” คนมาใหม่หย่อนตัวนั่งเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน “แต่นี่..” “ถ้ามีเขา งานของเราจะสบายขึ้นมาก ท่านก็รู้ไม่ใช่หรือ” “ถ้านายใหญ่รู้…” “ไม่เอาน่าท่าน ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ไม่มีหนทางให้หันกลับแล้วล่ะ ฉันจะรอฟังข่าวดีนะ” ไม่สนหรอกว่านายใหญ่ที่ว่าจะหมายถึงใคร ใหญ่มากแค่ไหน เขาแค่ต้องการและจะทำทุกวิถีทางให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการเท่านั้น แสงแดดยามเช้าของเมืองสยามสดชื่นและมีชีวิตชีวาไม่แพ้เมืองใดในโลก อากาศที่บริสุทธิ์ชวนให้หายใจเข้าลึก ๆ เอามวลเวหาก้อนใหญ่เข้าสู่ร่างกาย ท้องฟ้าในวันนี้ปลอดโปร่งเป็นพิเศษด้วยไม่มีหมู่เมฆบดบังสีครามกว้างใหญ่ ฉัตรเกล้าในวัยยี่สิบสาม จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในอังกฤษ เป็นเจ้าของเกียรตินิยมอันดับหนึ่งไว้เชิดชูเกียรติศรีให้แก่วงศ์ตระกูล เจ้าตัวผิวขาวนวลผ่องใสเสียจนผู้คนรอบข้างเหลียวมอง เส้นผมหนานุ่มสุขภาพดีและมุมปากที่ยกขึ้นตลอดเวลาขับให้ใบหน้าดูอ่อนโยนนุ่มนวล ช่างดูเป็นคนที่มีจิตใจดีในขณะเดียวกันก็สุภาพเรียบร้อยเหลือเกิน “ตาฉัตร” สองจ้อกแจ้กจอแจของคนรอบข้างด้วยความวุ่นวายไม่อาจกลบเสียงหวานละไมที่เอ่ยเรียกชื่อเขาได้เลย เสียงอันคุ้นเคยที่ไม่ได้ยินมาหลายปีทำให้ฉัตรเกล้าหันไปมองในทันที คุณหญิงแก้วตาควงคู่มากับคุณชนาสามีของเธอ ด้านหลังมีลุงหมายที่มีหน้าที่ขับรถให้กับตระกูล ขาเรียวยาวพาร่างกายสมส่วนดูดีเข้าไปกอดมารดาด้วยแสนคิดถึง ตามด้วยกอดบิดาที่รอท่าอยู่เหมือนกัน “กลับมาแล้วครับ” เสียงนุ่มทุ้มตามแบบฉบับของเจ้าตัวเอ่ยบอก ปากอิ่มเป็นกระจับเผยรอยยิ้มกว้างชวนมอง บ้านตระกูลไพศาลภิรมย์รักษ์เป็นคฤหาสน์หลังใหญ่สีขาวนวลทั้งหลัง มรดกตกทอดมาจากบิดาของคุณหญิงแก้วตาที่เป็นถึงหม่อมเจ้า ส่วนคุณชนามาจากครอบครัวที่ทำธุรกิจร้านอาหารและที่พัก ตอนแรกไม่ได้ใหญ่โตมากมายนัก จนทั้งสองครอบครัวเกี่ยวดองกัน ซึ่งนั่นทำให้ธุรกิจเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น จนปัจจุบันไพศาลภิรมย์รักษ์มั่งคั่งด้วยเงินทองและอำนาจมีชื่อเสียงไปทั้งสยามประเทศ เจ้านายของบ้านมีด้วยกันทั้งหมดสี่คน ประกอบไปด้วยคุณท่านชนา คุณหญิงแก้วตา คุณปกเกล้าลูกชายคนโต และคุณฉัตรเกล้าลูกชายคนเล็ก บ่าวไพร่นับสิบชีวิตหลับนอนอยู่ในเรือนด้านหลังของคฤหาสน์ เรือนไม้สองชั้นถูกกั้นห้องเป็นส่วนตัวให้คนงานหญิงอาศัย ส่วนคนงานชายปลูกเรือนไม้ชั้นเดียวแยกอยู่ด้านหลังลึกเข้าไปอีก สวนทางเข้าบ้านกว้างใหญ่และสวยงาม เนื่องด้วยคุณหญิงแก้วตาชื่นชอบพืชพันธุ์ จึงจัดสวนและให้คนดูแลอย่างดีมาโดยตลอด ทุกอย่างยังคงเหมือนกับวันที่ชายหนุ่มกลับมาครั้งล่าสุดเมื่อตอนจบไฮสกูล เพียงแต่เงื่อนไขของกาลเวลาที่หมุนไปไม่มีวันหยุด เป็นสิ่งเดียวที่บอกกับฉัตรเกล้าว่าทุกสิ่งกำลังเติบโตในทางของมัน นักเรียนนอกดีกรีเกียรตินิยมเปิดประตูห้องนอนบานใหญ่ กลิ่นสะอาดเป็นเอกลักษณ์ลอยเข้าจมูก บ่งบอกว่าแม้คนไม่อยู่แต่ห้องหับก็ถูกดูแลมาอย่างดี “มาเหนื่อย ๆ เข้าไปพักก่อนนะลูก ช่วงเย็นแม่จะให้คนมาปลุกแล้วเราออกไปทานข้าวข้างนอกกัน” คุณหญิงแก้วตามองลูกชายคนเล็กตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาภาคภูมิใจ มือข้างหนึ่งของเธอแตะเบา ๆ ที่แขนชายหนุ่ม ฉัตรเกล้าได้โครงหน้าและดวงตามาจากคุณหญิงแก้วตาราวจับวาง ใบหน้ามนสวยและดวงตาคมทว่ากลมโต ชวนมองไม่น้อย ส่วนปากอิ่มกระจับได้มาจากคุณชนาผู้เป็นพ่อ จมูกได้มาจากคุณย่าที่บัดนี้ล่วงลับไปแล้ว โดยรวมฉัตรเกล้าเป็นบุคคลที่ใบหน้ามีความโดดเด่นและดึงดูดสายตาได้ทั้งหญิงและชายเลยทีเดียว “ครับคุณแม่ แล้วนี่พี่ปกไปไหนหรือครับ” ถามถึงพี่ชายตนที่ไม่ได้เจอนานหลายปี แม้กระทั่งการกลับมาครั้งที่แล้วเจ้าพี่ชายที่อายุมากกว่าห้าปีก็ไม่เคยอยู่ให้เห็นหน้าสักที “ตาปกน่ะหรือ ป่านนี้ก็คงไปเที่ยวสนุกตามประสานั่นแหละ แต่แม่บอกไว้แล้วว่าลูกกลับมาถึงวันนี้ อย่างไรตอนเย็นก็คงมา” คุณหญิงแก้วกล่าวด้วยคิ้วขมวดเล็กน้อย ก็เพราะลูกคนโตไม่ค่อยจะเอาไหน เรียนจบมาก็ผลาญเงินครอบครัวไปวัน ๆ “ครับคุณแม่” ฉัตรเกล้าสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าแม่ของตนไม่ค่อยพอใจกับพฤติกรรมไม่เอาอ่าวนี้เพียงใด ชายหนุ่มอมลมไว้ในปากด้วยติดนิสัยมาตั้งแต่ยังเด็กและปล่อยออกย่างรวดเร็วเมื่อรู้ตัว “ยังแก้ไม่หายหรือลูกที่ชอบอมลมจนแก้มตุ้ยเนี่ย” คุณหญิงแก้วตาเอ่ยแหย่ “ขอโทษครับ” เอ่ยกับมารดาเสียค่อย คุณหญิงแก้วตาส่ายหน้ายิ้ม ๆ มองฉัตรเกล้าด้วยเอ็นดูเป็นอย่างมาก “พักผ่อนสักหน่อย ไว้แม่ให้คนมาเรียก” คุณหญิงเธอจากไป ฉัตรเกล้าจึงหันหลังเดินเข้าห้อง ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงสี่เสาหลังใหญ่สีขาวกลางห้อง หันมองรอบข้างกับบรรยากาศที่คุ้นเคยและผูกพัน ไล่สายตาไปเรื่อย ๆ จนสะดุดกับชั้นหนังสือที่ติดกับผนังห้อง บุษบารอรักจากชาตรี ห่างนทีไกลลับไม่กลับหวน เคยชื่นมื่นอิงแอบหอมรัญจวน ต้องคร่ำครวญเดียวดายพี่หายไป ชะตาช้ำนำรักไม่สุขสม ทุกข์ระทมจมปลักแสนอ่อนไหว อันคิดถึงสุดคำนึงจ้าวดวงใจ อยู่แห่งใดใคร่รู้พ่อแก้วตา บทกลอนที่เด็กชายฉัตรเกล้า ไพศาลภิรมย์รักษ์ได้เรียบเรียงขึ้นเมื่อสิบปีก่อน ในช่วงฤดูปลายฝนต้นหนาว ความรู้สึกบางอย่างกระตุ้นให้เด็กชายเขียนกวีที่แสดงถึงการจากลาอย่างไม่มีวันหวนกลับ แม้จะรู้สึกถึงความเศร้าแต่ในใจยังมีความอบอุ่นที่หล่อหลอมจากความทรงจำวัยเด็ก ช่วงห้าโมงเย็นฉัตรเกล้าเดินลงมาจากห้องโดยไม่ต้องรอให้ใครไปเรียกหลังจากตื่นนอน พ่อแม่ลูกจึงได้นั่งรถแอสตัน มาร์ติน ดีบีโฟร์ออกไปทานอาหารที่เรสเตอรองหรูซึ่งถือเป็นร้านประจำของครอบครัว คุณหญิงแก้วตาจัดการสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะเพื่อเอาใจลูกชายคนเล็กโดยเฉพาะ อาหารไทยมากมายจึงอยู่ตรงหน้าฉัตรเกล้าให้ได้อิ่มอร่อย “ไปอยู่เมืองนอกเมืองนาเสียนานคงไม่ค่อยได้ทานอาหารไทย กลับมาแล้วก็ทานเยอะ ๆ นะลูก” คุณหญิงแก้วตาตักแกงกะทิหอมกรุ่นด้วยเครื่องเทศจัดจ้านเป็นเอกลักษณ์พร้อมด้วยหมูโสร่งให้ลูกของเธอตามลำดับ “ขอบคุณครับคุณแม่” “ข่าวว่ามีพายุฝนฟ้าคะนอง คิดว่าเครื่องบินที่ลูกนั่งจะต้องจอดพักที่ไหนเสียอีก คุณแม่เขาเป็นห่วงมาก” คุณชนาว่าบ้าง เพราะสภาพอากาศแปรปรวน จึงอดห่วงลูกไม่ได้ “กลับมาแล้วก็อยู่ที่นี่ไม่ต้องเดินทางไกลไปไหนแล้ว” เธอเป็นห่วงลูกทุกครั้งที่ต้องเดินทางไกล อุบัติเหตุหรือก็มากเสียจนหวาดหวั่นว่าหากวันหนึ่งเป็นข่าวจากเครื่องที่ลูกเธอนั่ง เธอจะทำอย่างไร “ครับ” ฉัตรเกล้ายิ้มรับและเริ่มตักอาหารเข้าปากตามบิดามารดา “ตาปกนี่ยังไง น้องกลับมาแท้ ๆ ไม่คิดจะมาหาบ้าง” คุณหญิงแก้วตาบ่น เมื่อทานไปได้สักพักแต่ปกเกล้าก็ยังไม่มาเสียที “แบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่คุณ คงต้องจัดการจริงจังกับตาปกเสียหน่อยแล้ว” ก่อนจะหันมาบอกสามี “ลูกคนนั้นมันกะล่อน อยู่ไม่เป็นที่ ถึงแม้งานดูแลกิจการจะช่วยผมไม่ได้แต่อย่างอื่นมันถนัดนัก” คุณชนายิ้มพราวและพูดด้วยน้ำเสียงที่ฉัตรเกล้าไม่ค่อยได้ยินบ่อยนัก ฟังดูเจ้าเล่ห์อย่างไรชอบกล “อย่างไรคะ” “ได้ข่าวว่าพักนี้ตาปกไปเกี้ยวหนูหลิน ลูกสาวเฒ่าแก่ซ่งเจ้าของห้างดาวกระจายอยู่น่ะ” “คุณหมายถึง?” “มีทั้งห้างและอสังหาอื่น ๆ ในครอบครองเชียวคุณ ดีไม่น้อยเลยล่ะถ้าตาปกได้ตบแต่งกับหนูหลิน” “จะได้แต่งแน่หรือคะ ตาปกเกี้ยวผู้หญิงไปทั่วทั้งพระนครขนาดนี้” “แต่ไม่มีใครร่ำรวยเท่าครอบครัวซ่งแล้วนะคุณหญิง ถ้าได้แต่งไพศาลภิรมย์รักษ์ของเราจะต้องมีบารมีและยิ่งใหญ่กว่าคู่แข่งแน่นอนเชียว” เท่านี้ก็ยังไม่พอหรือ เท่าที่มีตอนนี้ก็มากกว่าคนอื่นไม่รู้กี่เท่าแล้ว “ต้องให้ตาปกแต่งนี่แหละคุณ ให้ตาฉัตรแต่งไปอย่างไรก็คงได้ไปอยู่บ้านผัว ยิ่งถ้าตาฉัตรท้องขึ้นมาจริง ๆ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น” ฉัตรเกล้าชะงักเมื่อได้ยินประโยคของบิดา มือข้างที่กำลังตักข้าวเข้าปากนั่งค้างกลางอากาศ “คุณคะ ลูกฟังอยู่นะคะ” คุณหญิงแก้วตาเอ่ยปรามสามีเมื่อสังเกตเห็นท่าทีของชายหนุ่ม “ผมไม่เป็นไรครับ” ฉัตรเกล้าวางช้อนก่อนยิ้มละไม ฉัตรเกล้า ไพศาลภิรมย์รักษ์ เพศชายที่ถูกวินิจฉัยว่ามีฮอร์โมนเพศหญิงอยู่ในตัวสูงกว่าปกติ อาจเพราะเชื้อพันธ์ที่ผิดประเภททำให้ตอนก่อร่างเป็นทารกในครรภ์ดันสร้างมดลูกของผู้หญิงมาในตัวด้วยหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้ แม้กระทั่งคุณหมอยังให้คำตอบไม่ได้ รู้เพียงหากหลับนอนกับผู้ชายและหลั่งใน ตัวฉัตรเกล้ามีโอกาสท้องถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์และเพราะถือเป็นกรณีแรก ๆ ในไทยทุกอย่างจึงถูกเก็บเป็นความลับ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้นอกจากครอบครัว “ฉัตรเกล้าเป็นผู้ชายค่ะคุณ วันหนึ่งก็ต้องแต่งงานกับผู้หญิง สร้างครอบครัวเหมือนคนอื่น อย่าพูดให้ลูกคิดมากสิคะ” “…เอาล่ะ พ่อพูดไม่คิดเอง กินเยอะ ๆ นะลูก” พูดด้วยรู้ตัวว่าเผลอกล่าวคำที่อาจทำร้ายจิตใจลูกชายคนเล็กเข้าจึงได้ตักอาหารโปรดของลูกให้ถึงจาน “…คุณพ่อคุณแม่ครับ” ครู่เดียวชายหนุ่มก็เรียกบิดามารดาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หือ ว่าไงลูก” “ฉัตรอยากไปเลี้ยงอาหารคนยากไร้น่ะครับ” คุณชนาและคุณหญิงแก้วตามองหน้ากัน “ดีสิลูก แม่เห็นด้วย” ก่อนเธอจะหันมามองลูกชายที่นับวันยิ่งสง่างาม “ทำเลยตาฉัตร พ่อให้ลูกคุมงาน งบเท่าไหร่ค่อยมาคุยกับพ่อ” คุณชนาเองก็สนับสนุน ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นโอกาสดีให้ลูกชายสร้างชื่อเสียงให้ตนเองและตระกูล ปูทางไปสู่อนาคตได้เป็นอย่างดี “ขอบคุณมากนะครับ” “แล้วลูกคิดไว้หรือยังว่าจะไปเลี้ยงอาหารที่ไหนบ้าง” “คิดไว้บ้างแล้วครับ มีสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า สถานช่วยเหลือคนชรา คนยากไร้ที่ห่างไกลและเรือนจำ” ตอบอย่างฉะฉานเพราะคิดโครงการนี้มาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว “…” “เรือนจำหรือลูก” คุณหญิงแก้วตาถามซ้ำราวไม่แน่ใจ “ครับคุณแม่” ฉัตรเกล้ามองหน้ามารดา เธอทำหน้าลำบากใจไม่น้อยก่อนหันไปหาสามี “คนที่คู่ควรจะได้รับน้ำใจของลูกมีตั้งมากมาย ทำไมถึงมีพวกในคุกในตารางมาด้วยล่ะตาฉัตร” เป็นคุณชนาที่เอ่ยถาม “น้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ครับคุณพ่อ แบ่งให้พวกเขาบ้าง” ฉัตรเกล้าตอบ “พวกมันเป็นคนชั่วนะลูก ไม่สมควรได้รับน้ำใจจากใครหรอก” คุณหญิงแก้วตาพูด “ผมอยากทำให้ทั่วถึงน่ะครับ ส่วนใหญ่ในสังคมมักจะลืมพวกเขาเหล่านั้นไป ก็จริงที่ว่าเขาทำผิดจึงต้องไปอยู่ในคุก แต่ถ้าเขาพ้นโทษออกมาแต่คนข้างนอกไม่ต้อนรับ พวกเขาจะไปอยู่ไหนล่ะครับ ถ้าเราผลักเขาออกจากวงสังคม ไม่เหลียวแล ไม่ช่วยเหลือ ไม่ให้โอกาสทั้งที่เขาเองก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน” “…” “พวกเขากำลังชดใช้ความผิดที่ได้ทำไปอยู่ครับ แล้วถ้าคนผิดสำนึกเราจะไม่ให้โอกาสเขาเลยหรือ” “แต่พวกที่พ้นโทษออกมาแล้วยังทำชั่วแบบเดิมซ้ำ ๆ ก็มีเกลื่อนไปนะลูก” สิ่งที่ลูกเธอว่ามาก็มีส่วนจริง แต่คนคุกชั่วช้าที่ออกมาแล้วยังทำแบบเดิมซ้ำ ๆ ล่ะ พวกมันยังสมควรได้รับโอกาสหรือ ไหนจะเหยื่อผู้โชคร้าย ผู้ที่ได้รับความเจ็บปวดอย่างไม่อาจเยียวยาได้ตลอดกาล คนน่าสงสารเหล่านั้นจะให้โอกาสพวกมันหรือ พวกมันที่พรากความสุขจากไปอย่างไม่อาจหวนกลับ “…เอาล่ะคุณ ลูกอยากทำก็ให้ลูกทำ ตาฉัตร…” “ครับ” “ไปคิดมานะว่าจะเลี้ยงอะไรอย่างไรบ้าง ทำงบมาเสนอพ่อดู” “ได้ครับ พรุ่งนี้ลูกจะเข้าไปคุยด้วยนะครับ” “หืม? เร็วขนาดนี้เชียว” “ทำไว้มากแล้วน่ะครับ” “ฮ่าฮ่าฮ่า ดีมาก” “คุณคะ…” คุณหญิงแก้วตายังคงไม่เห็นด้วยนัก “เอาน่าคุณหญิง ในคุกน่ะส่วนใหญ่เป็นคนชั่วตัวเล็กตัวน้อยที่ทางการตามจับได้ แต่อย่าลืมว่าด้านนอกก็มีคนเลว ๆ นับไม่ถ้วนที่ทางการจับไม่ได้และไม่กล้าจับอีกเยอะเชียวล่ะ” “…” “เผลอ ๆ นะคุณหญิง สังคมข้างนอกมีคนชั่วคนเลวมากกว่าในคุกเสียอีก” สามสัปดาห์ต่อมาหน้าหนังสือพิมพ์และเสียงวิทยุตามสายรวมถึงรายการโทรทัศน์ลงเล่นข่าวการสร้างกุศลครั้งใหญ่ของตระกูลผู้มีอิทธิพลอย่างไพศาลภิรมย์รักษ์ ข่าวว่าลูกชายคนเล็กอย่างคุณฉัตรเกล้า ไพศาลภิรมย์รักษ์สำเร็จการศึกษาจากอังกฤษ กลับมาถึงไทยก็ได้คิดทำทานบริจาคอาหารให้ผู้ยากไร้มากมาย ฉัตรเกล้าส่งของไปบริจาคหลายที่ในประเทศเท่าที่กำลังของเขาจะไหว ทั้งเดินทางไปด้วยตัวเองและทั้งส่งตัวแทนไป ของที่บริจาคมีทั้งข้าวสารอาหารแห้ง เสื้อผ้าและสำหรับเด็ก ๆ ยากไร้จะเพิ่มทุนเพื่อการศึกษา สำหรับคนชราไร้ที่พึ่งจะเพิ่มผ้าห่มและปัจจัยไว้ให้ดำรงชีวิตจำนวนหนึ่ง อีกทั้งมีการทำโรงทานเลี้ยงข้าวปลาอาหารอยู่สามวันเต็ม ที่บ้านตระกูลไพศาลภิรมย์รักษ์วุ่นวายไม่น้อยและถึงกับต้องเปิดใช้โกดังเก็บของที่พึ่งสร้างเสร็จเพื่อจัดเตรียมข้าวของมากมายเหล่านั้นเลยทีเดียว ผู้คนนับไม่ถ้วนที่อยากร่วมทำบุญหรือแม้กระทั่งอยากได้หน้าได้ตาแวะเวียนเอาของบริจาคมาให้ทุกวัน และแม้จะยุ่งกับการตระเตรียมมากเพียงใด ฉัตรเกล้าก็สังเกตเห็นว่ามีบุคคลไม่คุ้นเคยเข้านอกออกในห้องทำงานของคุณพ่อไม่น้อยเลยทีเดียว สถานที่สุดท้ายที่ฉัตรเกล้าเลือกบริจาคทานคือเรือนจำ ซึ่งมีทั้งหมดหลายแห่งทั่วพระนครและพื้นที่ข้างเคียง โดยตัวของฉัตรเกล้าเลือกที่จะไปเรือนจำที่จังหวัดข้างเคียงด้วยตัวเอง เป็นเรือนจำขนาดกลางแห่งหนึ่ง นักโทษมีอยู่เกือบพันชีวิต แบ่งเขตแดนอย่างชัดเจนอยู่สิบแดน กิจกรรมการบริจาคสิ่งของจัดขึ้นที่แดนสามอันเป็นสถานที่จัดกิจกรรมต่าง ๆ และถือเป็นโรงอาหารไปในตัว วันแรกที่ฉัตรเกล้าไปได้มีการมอบข้าวสารอาหารแห้งและอุปกรณ์สร้างอาชีพต่าง ๆ ให้กับทางเรือนจำ ช่วงเที่ยงของวันนั้นมีการเริ่มตั้งอาหาร โดยผู้คุมจะนำตัวนักโทษมาตามลำดับของแดนต่าง ๆ และตั้งแต่เขตแดนที่แปดขึ้นไปการคุ้มกันก็ยิ่งแน่นหนามากขึ้น พวกเขาสวมเพียงเสื้อและกางเกงสีเดียวกัน เนื้อผ้าดูหยาบไม่นุ่มสบาย ในมือถือถาดอาหารต่อแถวอย่างมีระเบียบ จนกระทั่งผ่านไปพักใหญ่และมีนักโทษกลุ่มใหม่เข้ามา “ขอบคุณนะจ๊ะคนสวย” นักโทษคนหนึ่งโพล่งขึ้นมาตอนที่ฉัตรเกล้าตักแกงจืดให้เขา ชายหนุ่มเงยหน้ามองในทันที คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันน้อย ๆ “เห้ย ไอ้โชติเอ็งนี่ก็พูดไปเรื่อย ดูคุณเขาสิ ผิวขาว ๆ แดงหมดแล้ว คงจะเขินสิท่า” นักโทษด้านหลังว่าเพื่อนมันเสียงไม่เบาเลย ก่อนจะหันสายตามองฉัตรเกล้าตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างโลมเลีย จนเขาเริ่มรู้สึกลมหายใจติดขัด “ผิวขาว ๆ อย่างนี้ มันน่าตีให้แดงจัดเสียจริงว่าไหมไอ้ยิ่ง” พูดคุกคามอย่างไม่ไว้หน้ากัน ทั้งที่ฉัตรเกล้าเป็นผู้ชายเหมือนกัน หากเป็นสตรีจะทำขนาดไหนเล่า “จะตีทำไมว้า เสียดายของ คนสวยอย่าไปฟังไอ้โชติมันนะจ๊ะ มันน่ะโรคจิตคิดจะตีผิวเนื้อพ่อให้แดงฉาน เป็นฉันนะผิวสวยขนาดนี้จะดอมดมทั้งวันทั้งคืนเลยจ้ะ” พูดไม่พอมันยังแลบลิ้นเลียปากอีกด้วย ฉัตรเกล้าเผลอก้าวถอยหลังยามได้ยิน ดวงตากลมสั่นเล็ก ๆ จากกิริยาต่ำทรามที่โดนมันสองคนคุกคามแบบโต้ง ๆ แถมมันทั้งคู่ยังหัวเราะชอบใจที่เห็นท่าทางหวาดหวั่นจากเขาด้วยซ้ำ คำพูดของมารดาก่อนหน้าแล่นซ้ำในหัว คนชั่วช้าที่ทำผิดแล้วไม่สำนึก “เดินเสียที” เสียงเข้มทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านหลังของไอ้ยิ่งและไอ้โชติ น้ำเสียงที่พวกมันคุ้นเคยเป็นอย่างดีทำให้พวกมันรีบสาวเท้าออกจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว “ขอโทษจ้ะพี่” เสียงที่ตอบกลับไปแกว่งแปลก ๆ จนชวนสงสัย เป็นไอ้โชติที่หันไปพูดก่อนเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ฉัตรเกล้ายืนนิ่ง แม้จะงงงวยไม่น้อยกับท่าทางราวหวาดกลัวอะไรบางอย่างจากทั้งสอง แม้ใจยังสั่นกลัวกับพฤติกรรมคุกคาม แต่เสียงเมื่อครู่ที่ได้ยินกลับดึงดูดเหลือเกิน ดวงตาเรียวสวยเงยหน้าขึ้น จึงได้เห็นเจ้าของเสียงทุ้มต่ำเมื่อครู่นั้น หนุ่มจบนอกชะงักงัน หัวใจเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง เจ้าของร่างสูงใหญ่ ใบหน้าที่มีผมปิดบังยังพอมองเห็นดวงตาคมกล้ารำไร ดวงตาคู่คมนั้นมองสบกับฉัตรเกล้าเพียงแวบเดียวก็กลับไปหลุบต่ำตามเดิม ขนทั่วร่างพากันลุกชันอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขาพยายามตั้งสติ แม้ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง แต่ฉัตรเกล้าไม่อาจละสายตาจากชายตรงหน้าได้เลย “คุณฉัตรครับ” มองค้างอยู่นานไม่น้อยขนาดที่คุณทิวา ผู้ช่วยเลขาของคุณชนาที่มากับฉัตรเกล้าต้องสะกิดเรียก “อะ…” แรงเขย่าที่แขนจากทิวาทำให้คุณชายร่างสูงโปร่งได้สติขึ้นมาบ้าง ชายหนุ่มจึงยกมือที่สั่นอย่างเห็นได้ชัดบรรจงตักแกงจืดในหม้อใหญ่ให้คนตรงหน้า “ข้าไม่กินฟัก” นักโทษคนนั้นกล่าวเสียงต่ำเบา ๆ ราวกระซิบแต่ทว่าหนักแน่น “อ้อ ขะขอโทษครับ…งั้นเอาแกงเทโพแทนนะครับ” “ขอบใจ” ฉัตรเกล้าเหมือนได้ยินเสียงวิ้งในสมองของเขา เพียงไม่กี่คำที่หลุดจากปากหยัก ราวกับชายหนุ่มถูกมนต์สสะกดก็ไม่ปาน ดวงตากลมมองตามแผ่นหลังกว้างจนเห็นเขาไปนั่งที่โต๊ะ น่าแปลกที่ไม่มีใครนั่งกับเขา และนักโทษบริเวณโดยรอบดูหลีกเลี่ยงชายผู้นั้นอย่างมาก “นักโทษแดนสิบน่ะคุณ มีแต่ระดับพระกาฬทั้งนั้น มันคงจะกวนคุณสินะ” พัศดีคนหนึ่งที่ดูมีอายุสักหน่อยเดินมาคุยกับฉัตรเกล้า เมื่อนักโทษคนสุดท้ายได้รับอาหารแล้ว นักโทษคนสุดท้าย ก็เจ้าของร่างสูงใหญ่คนนั้น “งั้นหรือครับ” ฉัตรเกล้าหันมาตอบรับก่อนจะหันหลังไปมองเจ้าของแผ่นหลังกว้างดังก่อนหน้า “ไม่บ่อยหรอกนะที่พวกแดนสิบจะได้ออกมากินข้าวรวมกันแบบนี้ พวกมันน่ะร้ายกาจ ไม่มีใครคุมได้” พัศดีคนเดิมหันมามองชายหนุ่มและเอ่ยบอก ก่อนเขาจะหันไปมองตามสายตาของฉัตรเกล้า “ถึงขนาดต้องขอให้นักโทษช่วย…เขาเลยได้เป็นหัวหน้าของนักโทษแดนนั้นแหละ” “…” “เขาเป็นบุคคลที่ไม่มีใครอยากยุ่งด้วยนะคุณ” ก่อนจะหันมาจ้องเขม็งที่ร่างโปร่งจนเจ้าตัวต้องละสายตามามองตอบ “หมายถึงอะไรครับ” ฉัตรเกล้าถามกลับเสียงนิ่ง “คนที่คุณมองอยู่น่ะ” พัศดีมากประสบการณ์ไม่อ้อมค้อม “…” “อย่ายุ่งกับเขาจะเป็นการดีกับคุณ” ดวงตาที่ชายตรงหน้ามองมาทำให้คุณชายเล็กรู้สึกแปลกไม่น้อย ราวเขาล่วงรู้อะไรหลาย ๆ อย่างโดยที่ไม่ได้เอ่ยบอก “อย่าพูดอะไรไม่เข้าท่าแบบนั้นสิคุณพัศดี คุณฉัตรเกล้าเป็นถึงลูกคุณหญิงแก้วตาและคุณชนา ครอบครัวมีอิทธิพลระดับประเทศ คิดหรือว่าคนคุกคนตารางจะมีสิทธิ์มาคบค้ากับคุณเขาน่ะ” ฉัตรเกล้ายังไม่ทันได้เอ่ยคำใด ทิวาที่ยืนอยู่ข้างกันก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงติดไม่พอใจเล็ก ๆ “เช่นนั้นก็ดีแล้วล่ะครับ” ผู้คุมร่างใหญ่คนเดิมพูด มองฉัตรกล้าด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะเดินเลี่ยงไปตรวจตราสถานที่ “อะไรของเขา” โดยมีเสียงของทิวาว่าตามหลัง TBCบทที่ ๒ : ดึงดูดอัปสรตลอดทั้งสามวันฉัตรเกล้าใช้เวลาช่วงเช้าจนถึงเย็นอยู่ที่โรงอาหารของเรือนจำแห่งเดิมไม่คิดไปไหน สองวันแรกนักโทษจากแดนสิบมากินข้าวที่โรงอาหารเพียงช่วงเที่ยงเท่านั้น แต่วันสุดท้ายพวกเขามาช่วงเย็นด้วยวันนี้ฉัตรเกล้าจึงได้เห็นหน้าเขาคนนั้นก่อนจะต้องจากกันความรู้สึกวูบวาบไร้ที่มาที่ไปยังคงเกิดขึ้นทุกครั้งที่ได้พบร่างสูงใหญ่“ขอบใจ” คำพูดที่เอื้อนเอ่ยให้ได้ยินเป็นประจำยามรับอาหารจากเขาตึก ตึก ตึกและเสียงหัวใจเต้นระรัวแทบทะลุออกจากอกของตนฉัตรเกล้า ไพศาลภิรมย์รักษ์ ไม่ใช่คนตัวเล็กบอบบางแม้ร่างกายจะแตกต่างจากเพศชายทั่วไป ด้วยส่วนสูง 175 เซนติเมตร ไม่ได้ผอมแห้งแบนราบ แต่ไม่ได้เจ้าเนื้อแต่อย่างใด เขาเป็นชายงามที่มีรูปร่างสมส่วนเลยทีเดียว หากแต่เมื่ออยู่ต่อหน้านักโทษแดนสิบคนนั้นกลับดูตัวเล็กไปถนัดตา คิดคร่าว ๆ คงสูงไม่ต่ำกว่า 190 เป็นแน่“เป็นอย่างไรบ้างตาฉัตร” เสียงทุ้มดูใจดีเอ่ยทักจากด้านหลัง“คุณพ่อ?” ฉัตรเกล้าละสายตาออกจากคนนั่งทานข้าวเงียบ ๆ หันไปมองตามเสียงของบิดาอย่างแปลกใจ“ดูทำหน้าเข้า ตกใจอะไรกัน” คุณชนายังคงมีรอยยิ้มใจดีประดับที่มุมปาก“มาได้อย่างไรครับ”“พ่อมาทำ
บทที่ ๑ต้องตามประสงค์๑๐ ปีต่อมาช่วงสายยามพระอาทิตย์ขึ้นตรงเหนือหัว บรรยากาศรอบข้างไม่ได้เงียบสงบเสียทีเดียว จอแจด้วยเสียงคนมากหน้าหลายตา ยืนต่อแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยรอรับอาหารแดนสามที่เป็นเขตโรงอาหารกำลังวุ่นวายมือประวิง มีคณะคนกลุ่มหนึ่งถูกนำทางด้วยเจ้าหน้าที่ในชุดสีกากีอันเป็นเอกลักษณ์ของผู้คุมเรือนจำ เดินเลียบเคียงเข้าไปที่ตึกสองชั้นอันเป็นที่ตั้งของสำนักงานเรือนจำแบ่งเป็นหลายเขตหลายแดน แดนหนึ่งแรกรับ แดนสองให้ญาติเยี่ยม แดนสามเป็นโรงอาหารและสำหรับทำกิจกรรม แดนสี่เป็นต้นไปถึงสิบเป็นแดนกักขังนักโทษ เริ่มจากเบาสุดไปหาหนักสุด และพวกที่อยู่ร่วมกับนักโทษทั่วไปไม่ได้ ก็คือแดนสิบ แดนที่รวมพวกมากวิชาอาคม จอมขมังเวทย์ไว้ในแดนนี้หมดแล้วการมาเยือนเรือนจำผู้ต้องโทษร้ายแรงในเวลานี้ ถ้าหากไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรง ผู้ที่สามารถเข้าถึงนักโทษระดับนี้ได้ก็คงยศใหญ่หรือเส้นสายใหญ่ไม่น้อยคณะเดินทางนั้นมาหยุดที่ห้องหนึ่ง ร่างภูมิฐานแต่งกายดูดีกว่าใครเดินองอาจเข้าไปในห้อง ด้านในมีคนรออยู่ก่อนแล้ว“ไม่ใช่เรื่องง่ายนะท่าน หากเบื้องบนรู้เข้าล่ะซวยแน่” คนในห้องหน้าเครียดขึง คิ้วขมวดแน่น“พูดอะ
บทนำ“ไอ้ชาติชั่ว มึงทำได้อย่างไร!”“กรี๊ดดดดดดดด”“อ๊ากกก”บุษบารอรักจากชาตรี ห่างนทีไกลลับไม่กลับหวน“กูขอสาปแช่งให้ชีวิตมึงฉิบหาย! ไอ้ตัวอัปมงคล!”เคยชื่นมื่นอิงแอบหอมรัญจวน ต้องคร่ำครวญเดียวดายพี่หายไป“ข้าขอโทษนะพ่อ แต่พ่อหยุดสร้างเวรสร้างกรรมเถอะนะ”“ไม่ต้องมาเรียกกูว่าพ่อ! คนอย่างมึงกูน่าจะปล่อยให้นอนตายอยู่ข้างถนน ไม่น่าเอาเดรัจฉานอย่างมึงมาเลี้ยงเลย!” “…มอบตัวเถอะพ่อ โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา”“มึงเอาไอ้พวกขี้ครอกมาจับพี่จับน้อง มึงกล้าได้ยังไงไอ้คราม!!” ชะตาช้ำนำรักไม่สุขสม ทุกข์ระทมจมปลักแสนอ่อนไหวปัง ปัง ปัง“กรี๊ดดดด พี่แหวน! ยะอย่านะอย่าฆ่าผัวฉัน ครามช่วยพ่อสิลูก เอ็งกลับมาช่วยพวกเราใช่ไหม จัดการพวกมันเลยลูก ฆ่าพวกมันให้หมด ฮึก”“แม่ตรี…”“อึก…มะไม่จริง เอ็งไม่ได้เป็นคนพาพวกตำรวจมาใช่ไหม”“ข้าขอโทษ…”อันคิดถึงสุดคำนึงจ้าวดวงใจ อยู่แห่งใดใคร่รู้พ่อแก้วตา************“…ตามคำแถลงการณ์ของผู้บัญชาการ พลตำรวจโทปรมะ สุเมธเมธิน การทะลวงจับชุมโจรในคืนที่ผ่านมาถือว่าเป็นคดีประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ค่ะ โดยชุมโจรเสือแหวนแห่งหมู่บ้านผาพยัคฆ์เป็นที่เล่าขานว่าโหดเหี้ยม เก่งกล้าวิชาอาค