หน้าหลัก / วาย / หลงมนต์พยัคฆ์ (Mpreg) / บทที่ 2 ดึงดูดอัปสร

แชร์

บทที่ 2 ดึงดูดอัปสร

ผู้เขียน: Somoon
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-14 21:47:06

บทที่ ๒ : ดึงดูดอัปสร

ตลอดทั้งสามวันฉัตรเกล้าใช้เวลาช่วงเช้าจนถึงเย็นอยู่ที่โรงอาหารของเรือนจำแห่งเดิมไม่คิดไปไหน สองวันแรกนักโทษจากแดนสิบมากินข้าวที่โรงอาหารเพียงช่วงเที่ยงเท่านั้น แต่วันสุดท้ายพวกเขามาช่วงเย็นด้วย

วันนี้ฉัตรเกล้าจึงได้เห็นหน้าเขาคนนั้นก่อนจะต้องจากกัน

ความรู้สึกวูบวาบไร้ที่มาที่ไปยังคงเกิดขึ้นทุกครั้งที่ได้พบร่างสูงใหญ่

“ขอบใจ” คำพูดที่เอื้อนเอ่ยให้ได้ยินเป็นประจำยามรับอาหารจากเขา

ตึก ตึก ตึก

และเสียงหัวใจเต้นระรัวแทบทะลุออกจากอกของตน

ฉัตรเกล้า ไพศาลภิรมย์รักษ์ ไม่ใช่คนตัวเล็กบอบบางแม้ร่างกายจะแตกต่างจากเพศชายทั่วไป ด้วยส่วนสูง 175 เซนติเมตร ไม่ได้ผอมแห้งแบนราบ แต่ไม่ได้เจ้าเนื้อแต่อย่างใด เขาเป็นชายงามที่มีรูปร่างสมส่วนเลยทีเดียว หากแต่เมื่ออยู่ต่อหน้านักโทษแดนสิบคนนั้นกลับดูตัวเล็กไปถนัดตา คิดคร่าว ๆ คงสูงไม่ต่ำกว่า 190 เป็นแน่

“เป็นอย่างไรบ้างตาฉัตร” เสียงทุ้มดูใจดีเอ่ยทักจากด้านหลัง

“คุณพ่อ?” ฉัตรเกล้าละสายตาออกจากคนนั่งทานข้าวเงียบ ๆ หันไปมองตามเสียงของบิดาอย่างแปลกใจ

“ดูทำหน้าเข้า ตกใจอะไรกัน” คุณชนายังคงมีรอยยิ้มใจดีประดับที่มุมปาก

“มาได้อย่างไรครับ”

“พ่อมาทำธุระแถวนี้พอดี เลยแวะมาหาลูกน่ะ”

“งั้นหรือครับ” ชายหนุ่มยิ้มรับ เป็นยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตาเพราะแปลกใจและสังหรณ์บางอย่างจะไม่ใช่แค่มาหาเขา

“แล้วเป็นอย่างไร เรียบร้อยดีไหม” คุณชนาถามย้ำเมื่อเห็นบุตรชายเงียบไป

“…เรียบร้อยแล้วครับ เดี๋ยวรอพวกเขาทานเสร็จก็จะเก็บของกลับแล้ว” ฉัตรเกล้าตอบ

“จะกลับบ้านเลยหรือแวะเที่ยวก่อนล่ะ”

เพราะเรือนจำแห่งนี้ไม่ได้อยู่เขตพระนคร การที่ฉัตรเกล้ามาที่นี่ เขาจึงต้องนอนพักที่โรงแรมของครอบครัวแทนที่จะกลับบ้านให้เสียเวลา

“คงกลับเลยครับ ค่อยหาโอกาสมาเที่ยวทีหลัง”

“ก็ดี มาผ่อนคลายเสียบ้าง”

“ครับคุณพ่อ”

คุณชนายิ้มละมุน มือหนายกขึ้นลูบศีรษะลูกชายคนเล็กเบา ๆ เขาทักทายฉัตรเกล้าได้แค่นั้น ก่อนคนของเขาจะเข้ามากระซิบอะไรบางอย่าง นักธุรกิจหนุ่มใหญ่จึงเดินเลี่ยงออกไป

ทิ้งท้ายว่าให้เจอกันที่บ้านเลย

ฉัตรเกล้ามองตามบิดาของตนที่เดินไปด้านในของเรือนจำด้วยการนำทางของพัศดีคนหนึ่ง คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างคนคิดหนัก

บิดาของเขามีธุระอะไรที่เรือนจำ ?

“คงมาหาเพื่อนเก่าน่ะครับคุณหนู” ทิวาเอ่ยบอก

“เพื่อน?”

“ครับ ได้ยินมาว่าเพื่อนเก่าคุณท่านเป็นผ.อ.อยู่ที่นี่น่ะครับ” ทิวาตอบฉะฉาน

คิ้วขมวดมุ่นราวกำลังคิดอะไรบางอย่างเมื่อได้ฟัง สุดท้ายรู้สึกว่ายิ่งคิดยิ่งเลอะเลือนไปใหญ่ หนุ่มนักเรียนนอกจึงเลิกสนใจ เขาหันสายตาไปหาที่ประจำของร่างสูงใหญ่ผู้นั้น ก่อนจะพบว่าบุคคลที่ตนลอบมองมาตลอดสามวันไม่นั่งอยู่ที่โต๊ะเสียแล้ว

“ไปไหนแล้วนะ” หันซ้ายทีขวาทีเพื่อค้นหาว่าเขาอยู่ที่ไหน

ก่อนจะเจอร่างสูงใหญ่กำลังล้างถาดอาหารของตนอยู่ด้านนอกของอาคาร

คุณชายเล็กของบ้านไพศาลภิรมย์รักษ์ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งว่าจะเดินเข้าไปหาดีหรือไม่ ด้วยคำนึงถึงความเหมาะสมต่าง ๆ แต่สุดท้ายความต้องการอย่างแรงกล้าภายในใจก็ชนะเหตุผลทั้งปวง

ขาทั้งสองข้างจึงก้าวเดินไปหาคนผู้นั้นอย่างไม่ลังเลอีกต่อไป

“อาหารถูกปากหรือเปล่า” ฉัตรเกล้าเดินมาหยุดที่ด้านหลังของคนตัวใหญ่กว่าที่กำลังนั่งล้างถาดอาหารของตนอยู่

เขาไม่ได้ตอบในทันที และท่าทางไม่ได้ใส่ใจคำถามเท่าไหร่นัก แต่ครู่ต่อมากลับหยุดมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นในระดับสายตาของเขาเอง

คิ้วเข้มทั้งสองข้างเลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะขมวดเข้าหากันนิดหน่อย แน่นอนว่าท่าทางนี้ฉัตรเกล้าที่ยืนอยู่ด้านหลังไม่มีทางได้เห็น

‘จริง ๆ นะจ๊ะพ่อ ฉันได้กลิ่นเลือดมาจากเขา‘

“งั้นหรือ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยในลำคอ

‘พ่อก็รู้สึกได้ใช่ไหมจ๊ะ ฉันว่าเจ้าหนุ่มคนนี้แปลก ๆ อย่างไรไม่รู้’

เด็กน้อยราวสี่ถึงห้าขวบพูดเจื้อยแจ้วข้างหูแม้ร่างโปร่งแสงจะล่องลอยอยู่ในอากาศราวเห็นราวไม่เห็นก็ตาม

“คุณว่าอะไรนะครับ” ฉัตรเกล้าได้ยินไม่ชัด เหมือนเขาจะพูดอะไรบางอย่างแต่คล้ายเป็นเสียงที่อยู่ในลำคอราวพึมพำมากกว่า

และเขาไม่ตอบคำถาม ทำเพียงล้างถาดอาหารของตนไปเงียบ ๆ จนเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยลุกขึ้น

ส่วนสูงที่ว่าต่างกันแล้ว ขนาดลำตัวกลับต่างยิ่งกว่า ฉัตรเกล้าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นักว่าอยู่ในคุกทั้งวันทั้งคืนแต่กลับมีรูปร่างเช่นนี้ได้อย่างไร

คนหนุ่มกว่าสะบัดหน้าเรียกสติที่ไหลไปไกลให้กลับมาจดจ่อตรงหน้า

“ว่าไงครับ อาหารถูกปากหรือเปล่า” เลือกถามย้ำอีกครั้งก่อนที่เขาจะเดินหนี เท้าทั้งสองข้างของชายตัวสูงชะงัก สายตาคมกริบหันมองฉัตรเกล้าเล็กน้อย แล้วหลุบต่ำตามเดิม

อีกแล้ว

ขนทั่วร่างลุกชัน รู้สึกหนาวสั่นแม้อากาศจะอบอ้าวก็ตาม

“อืม” เขาขานรับในลำคอ

“ชอบเมนูไหนที่สุดหรือครับ” เป็นฉัตรเกล้าที่ต่อบทสนทนา

หางตาเริ่มเห็นผู้คุมและคนของเขาเองมองมา พัศดีคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาเขาทั้งคู่

“ข้าไม่เลือกกิน” ยกเว้นของแสลงผิดสำแดง

เสียงทุ้มแต่ดูเย็นเยียบเอ่ยตอบ ฉัตรเกล้ารู้สึกว่าเขาราวเป็นต้นไม้ใหญ่ริมน้ำที่ตั้งตระหง่านยืนต้นลำพัง เป็นต้นไม้ใหญ่อยู่ท่ามกลางความมืดและความหนาวเย็น

“ไม่มีของที่ชอบหรือครับ” ฉัตรเกล้าถามต่อและลอบมองใบหน้าหล่อเหลานั้นด้วย หน้าตาดีไม่น้อยเลยทีเดียว ผมเผ้าปิดหน้าก็ไม่อาจกลบความคมคร้ามได้เลย

“ไม่มี” เขาตอบ

“แล้วของที่อยากกินล่ะครับ”

คราวนี้ใบหน้าที่ก้มตลอดเวลาเงยขึ้นเพียงนิด สายตาที่หลุบต่ำชำเลืองมาทางร่างโปร่ง ก่อนคิ้วเข้มจะขมวดเข้าหากันจนคนที่ถูกมองสังเกตเห็น

“อะไรหรือ” เอ่ยถามพร้อมเอียงใบหนาเล็กน้อย

“เอ็งรีบออกไปจากที่นี่เถอะ”

คุณชายเล็กงงงวย แบบนี้คือโดนไล่หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก

“อะ…”

“กลับเข้าไปรวมกลุ่ม” ก่อนที่ฉัตรเกล้าจะได้พูดอะไรต่อ พัศดีคนที่เคยพูดจาแปลก ๆ ก็มาถึง เขาพูดกับนักโทษระดับพระกาฬในความดูแลของตนและนักโทษผู้นั้นก็ไม่มีท่าทีอิดออด รับคำโดยง่ายก่อนเดินจากไป พัศดีคนเดิมหันมามองฉัตรเกล้าด้วยแววตาตำหนิจนรู้สึกได้

“ระวังตัวไว้หน่อย” น้ำเสียงที่ใช้พูดก็เข้มไม่น้อยเลยทีเดียว

“…เขาดูไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนี่ครับ อีกอย่างคนอื่นอยู่กันเต็มไปหมด” ฉัตรเกล้ารู้แน่ชัดว่านี่ไม่สมควรเท่าไหร่นัก แน่นอนว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ หากว่านักโทษคลุ้มคลั่งหรืออาศัยจังหวะจับเขาเป็นตัวประกันขึ้นมาจะวุ่นวายกันหมด แต่อะไรบางอย่างก็บอกกับเขาว่าคนผู้นั้นจะไม่มีวันทำเช่นนั้นแน่ ฉัตรเกล้าถึงได้กล้าเสี่ยงเดินตามออกมา

“แค่เพราะคุณไม่รู้จักเขามากกว่า” พัศดีหนุ่มใหญ่ยังส่งสายตาตำหนิมาไม่หยุด ใบหน้ามีริ้วรอยเครียดขรึม คิ้วขมวดไม่พอใจ

“คุณฉัตรครับ คุณท่านเรียกพบครับ” พอดีกับทิวาเดินมาบอกว่าคุณพ่อเรียกหา ฉัตรเกล้ามองพัศดีคนนั้นเล็กน้อยก่อนโค้งกายให้และเดินจากไป

เรือนจำกลับมาอยู่ในความสงบอีกครั้งหลังจากคณะของฉัตรเกล้ากลับไปจนหมด เวลาพลบค่ำของแดนสิบเป็นอะไรที่เงียบเชียบและวังเวงเสียจนน่าขนหัวลุก แต่ทั้งนักโทษและผู้คุมของแดนนี้กลับชาชินกับมันไปเสียแล้ว

ก็คงไม่มีคนธรรมดาที่ไหนหลงมาอยู่ในดงของระดับพระกาฬกระมัง

ร่างสูงใหญ่เดินไปตามทาง เสียงลากโซ่ลงอาคมที่คล้องเท้าทั้งสองข้างกระทบพื้นดังสนั่นทั่วโถงทางเดิน พวกนักโทษแดนสิบอยู่เป็นห้องขังเดี่ยว พากันยื่นหน้าออกมามองลอดช่องประตู

บางคนอยากรู้อยากเห็น บางคนแลบลิ้นยิ้มกว้างดูน่ากลัว บางคนมองนิ่งแต่ปากกลับขยับมุบมิบไปมา

‘เก่งนักหรอมึง จะแน่สักแค่ไหนวะ’ กระแสจิตอาฆาตมาดร้ายพวยพุ่งมาหาไม่หยุดหย่อน จะว่าชินชาก็ไม่เกินจริงนัก

‘ให้ฉันจัดการเลยไหมจ๊ะ’ กุมารเด็กที่เลี้ยงไว้มานานเกินสิบปีกระซิบถาม มันได้ยินเสียงท่องคาถามาสักพักแล้ว หากแต่พ่อมันกลับนิ่งไม่สั่งการอะไรสักอย่าง เรียกได้ว่าไม่เคยตอบโต้เลยสักครั้ง

“อ๊ากกกกกก”

พูดว่าไม่จำเป็นต้องตอบโต้ดีกว่า เพราะของอะไรที่พวกมันส่งมาไม่เคยแรงพอจะทำอะไรพ่อมันได้ มีแต่โดนสะท้อนกลับเข้าตัวมันเองเสียทุกราย

ก็ยังไม่เคยจำ

ตายตกเพราะหาเรื่องใส่ตัวแท้ ๆ

‘กูจะกินมัน มึงช่วยมันทำไม’ เสียงกระซิบแหบพร่าของหญิงสาวที่ระบุอายุไม่ได้ดังขึ้น คราวนี้ไม่ได้ดังข้างหูแต่ดังในหัวของร่างสูงเอง

ชายหนุ่มยังคงนิ่งเงียบ เท้าทั้งสองเดินลากโซ่ลงอาคมที่ไม่สามารถสะกดอันใดได้อย่างมั่นคงไปตามทางเดินมืดทึบ

‘มึงกล้าขวางกู ไม่กลัวกูทำให้มึงฉิบหายงั้นหรือ ฮี่ฮี่ฮี่’

“หุบปาก”

‘กูจะกินมัน เลือดมันหอม กูอยากกิน กูอยากกิน กูอยากกิน’

“อยากถูกกูฆ่าอีกรอบหรือ” ทีนี้เสียงของเขาเย็นเยียบอย่างที่หาได้ไม่บ่อยนัก ผู้คุมที่เดินนำหน้าชะงักเล็กน้อยก่อนจะเดินต่อราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น

บรรดาผีที่เลี้ยงไว้เร้นกายหายไปและรู้สึกได้ว่าบริวารตนหนึ่งที่อยู่ด้วยกันมานานกำลังร้อนรุ่ม ราวตื่นเต้นดีใจที่จะได้สำแดงเดช

เสียงแหบพร่าของสตรีไม่ระบุอายุเงียบหาย พักหนึ่งอารมณ์ร้อนในกายก็ทุเลาลงไปด้วย

พอดีกับที่ผู้คุมพาเดินมาถึงห้องหนึ่ง ห้องของคนที่เขาเรียกกันว่านายใหญ่

“ท่านรออยู่ข้างใน ได้ข่าวว่ามีเรื่องวานให้เอ็งทำ” คนที่พามาหยุดอยู่หน้าห้องเอ่ยบอกพร้อมกับลอบมองท่าทีของนักโทษระดับพระกาฬ

“…”

“ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเอ็งหรอก หากสำเร็จก็ถือว่าเป็นคุณประโยชน์แก่ชาติบ้านเมือง ลดโทษให้เอ็งได้อีกเยอะเชียว” ถึงแม้มันจะติดคุกมาเป็นสิบปีแล้วก็ตาม

ทองดีเป็นเด็กชายตัวเล็ก ตายเมื่อหลายสิบปีก่อนหรืออาจจะเกือบร้อยปีแล้วกระมัง เด็กน้อยถูกสะกดวิญญาณเอามาทำเป็นผีรับใช้อยู่นาน เปลี่ยนมือมาเรื่อย ๆ จนได้มาอยู่กับอดีตเสือมากวิชาผู้เก่งกาจของชุมโจรแห่งหนึ่ง ที่บัดนี้เหลือแต่ชื่อไว้ให้เล่าขาน

เด็กตัวเล็กแต่ฤทธิ์เดชไม่น้อยด้วยอานิสงส์จากคนที่เลี้ยงดูมันอยู่ตอนนี้ลอยล่องในอากาศมองพ่อมันที่ก้มหน้านิ่ง ไม่ชอบสบตาใคร

ด้วยกลัวมนต์เสน่ห์ของตนจะทำให้ใครต่อใครหลงใหลหรือไม่ก็โดนเขย่าขวัญจนขวัญหนีดีฝ่อ

‘แปลก’ อยู่ดี ๆ ก็นึกไปถึงช่วงบ่ายแก่ ที่พ่อมันไปกินอาหารกับชาวบ้านเขาเจ้าหนุ่มตัวขาวที่เข้ามาคุยกับพ่อเสือถอดเล็บที่ไม่มีใครในเรือนจำกล้ายุ่ง ยกเว้นจะลอบเสกของมาใส่

ความแปลกอยู่ที่กลิ่นอายของผู้ชายคนนั้นมันผิดปกติขนาดมันยังรู้สึกได้ มีหรือพ่อมันที่มองเขาเสียหลายรอบจะไม่รู้สึก แต่ก็อธิบายไม่ถูกว่าแปลกอย่างไร รู้แค่มันแปลก

‘คิดอะไร หน้านิ่วคิ้วขมวด’

เสียงหญิงสาววัยสะพรั่งดังขึ้น แม้จะฟังดูเย็น ๆ แต่กลับให้ความรู้สึกอ่อนโยน ใบบัว ผีสาวชุดขาวผมยาวกลางหลัง อายุหลายร้อยปี เป็นประเภทวิญญาณอาฆาตด้วยถูกกระทำหนักหนาจนตายตก

นับว่าเจ้าหล่อนเฮี้ยนที่สุดในบรรดาผีเลี้ยงของฟ้าคราม

ฟ้าคราม หรือเสือคราม นักโทษระดับพระกาฬ อดีตเสือร้ายคนดียวที่ยังมีชีวิตจากเหตุการณ์บุกทลายชุมเสือแหวนเมื่อสิบปีก่อน

‘พี่เห็นผู้ชายที่เข้ามาคุยกับพ่อไหมจ๊ะ เมื่อตอนกลางวัน’

‘เห็น ทำไมหรือ’

‘พ่อให้ไอ้ทองดำตามเขาไป’

ทองดำคือเด็กชายตัวดำมะเมื่อมแทบจะไม่มีส่วนใดเป็นสีขาว กุมารเด็กอีกตัวที่ถูกเลี้ยงไว้ ฤทธิ์เดชแก่กล้าเสียยิ่งกว่าทองดีและใบบัว อนึ่งเพราะอยู่มานานและบำเพ็ญสะสมฤทธิ์เดชได้มาก

‘ตามไปทำไมหรือ’ ใบบัวถาม

‘ไปคุ้มกันจ้ะ’

‘อ้อ’

‘ก็เขาเข้ามาคุยกับพ่อนี่ พี่ก็รู้ว่าคนที่นี่จ้องจะเล่นงานพ่อ แต่พวกมันรู้ว่าทำอะไรพ่อไม่ได้’

มีความเป็นไปได้ที่พวกมันจะปล่อยของไปใส่คุณชายผู้นั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

‘เช่นนั้นก็ไม่แปลกหากพ่อจะส่งทองดำไปคุ้มกันเขา’

ฉัตรเกล้ารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวมาตั้งแต่อยู่ที่เรือนจำ เมื่อมาถึงบ้านจึงได้ทานยากันไว้เผื่อเป็นไข้ขึ้นมา ชายหนุ่มตัวขาวเดินขึ้นห้องของตนด้วยความอ่อนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รู้สึกล้าเหลือเกิน

อีกทั้งตอนนั่งรถกลับเขาดันหลับและฝันเห็นอะไรบางอย่างที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก สะดุ้งขึ้นมาอยู่หลายครั้งและก็พบว่าการสะดุ้งตื่นของเขาแต่ละครั้งเป็นเพียงความฝันเท่านั้น

ความรู้สึกยังติดกับความดำมืดและเย็นเยียบในฝันก่อนจะสะดุ้งตัวอย่างแรงวนไปไม่รู้กี่สิบรอบ ครั้งสุดท้ายจำได้ว่ามีมือปริศนายื่นมาตรงหน้า แหวกผ่านความดำมืดข้างกาย แม้เห็นเพียงส่วนแขนและมือแต่ฉัตรเกล้าไม่ลังเลเลยที่จะยื่นมือของตนออกไปคว้าจับไว้

และนั่นทำให้ความฝันประหลาดนี้จบลง

คุณชายเล็กเตรียมอุปกรณ์อาบน้ำ เขาว่าจะอาบน้ำก่อนให้ร่างกายสดชื่นขึ้นมาบ้าง

“อะ…”

ยามที่ก้าวเดิน ความรู้สึกเปียกแฉะไม่สบายตัวก็เกิดขึ้นที่ช่วงล่างของลำตัว ฉัตรเกล้าหน้าตื่น รีบก้าวเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

“ไม่นะ..”

ถอดกางเกงด้วยความเร่งรีบ ก่อนจะพบว่าที่เป้ากางเกงชั้นในเต็มไปด้วยสีแดงฉานของเลือด น้ำโลหิตหลั่งไหลออกมาเปรอะเปื้อนขาเรียวทั้งสองข้าง และไหลนองเต็มพื้นห้องน้ำ

ฉัตรเกล้ารู้ตัวเองดีว่าในทุก ๆ เดือน จะมีสิ่งนี้เกิดขึ้นกับเขาเหมือนผู้หญิงคนอื่น แต่ทว่าครั้งนี้มันแตกต่าง เลือดสีแดงที่ไหลออกมาราวก๊อกรั่วมันมากเกินไป

โดยปกติแล้วเขาไม่ได้เป็นเยอะมากมายเพียงนั้น มีฤดูแค่หนึ่งถึงสองวันด้วยปริมาณน้อยร่างกายก็กลับมาปกติ

ชายหนุ่มเริ่มหายใจแรงและรู้สึกวิงเวียน ภาพตรงหน้าพร่าเบลอ

‘ฮี่ฮี่ฮี่’

เขาขยับไม่ได้ ราวข้อเท้าทั้งสองข้างถูกมือใครบางคนยึดเอาไว้ ตามพื้นที่เปื้อนเลือดเหมือนมีบางอย่างยั้วเยี้ยน่าขยะแขยง

รู้สึกถึงความชื้นแฉะราวกำลังถูกเลียโดยลิ้นสาก ๆ ที่ต้นขา ตามรอยเลือดที่ไหลไม่หยุด ก่อนสติทุกอย่างจะดับวูบไป

ฉัตรเกล้าไม่รับรู้อะไรอีกเลย

ช่วงดึกของบ้านตระกูลไพศาลภิรมย์รักษ์วุ่นวายเสียยกใหญ่ มีบ่าวคนหนึ่งได้ยินเสียงดังตึงในห้องน้ำชั้นบนของเจ้านาย เธอจึงไปตามคุณหญิงแก้วตาและคุณชนามาตรวจสอบดู

ช่วยกันออกแรงพังประตูอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้พบว่าฉัตรเกล้านอนฟุบหน้านิ่งอยู่ที่พื้นด้วยเนื้อตัวซีดเซียวและไม่มีแม้แต่คราบสีแดงฉานของเลือดก่อนหน้า

บุตรชายคนเล็กของคุณหญิงแก้วตาและคุณชนาป่วยหนักหลังจากทำบุญใหญ่ นอนโรงพยาบาลอยู่หนึ่งสัปดาห์และกลับมาพักฟื้นที่บ้านเกือบหนึ่งเดือนจึงสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อย่างเดิม

การป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุนี้สร้างความหวาดกลัวให้กับพ่อแม่ของเขาเป็นอย่างมากโดยเฉพาะคุณหญิงแก้วตา

เธอกลัวเหลือเกินว่าลูกชายจะเป็นอะไร ถึงขนาดเชื้อเชิญพระเกจิชื่อดังมาทำพิธีสู่ขวัญต่อชะตา แม้ไม่อยากเชื่อเรื่องราวของไสยศาสตร์มากมายนัก แต่ขนาดคุณชนานักธุรกิจหนุ่มใหญ่ที่หัวสมัยใหม่พอสมควรยังเชื่อว่ามีคนทำของใส่ฉัตรเกล้า คนเป็นพ่อเป็นแม่หรือจะยอมเห็นลูกเจ็บป่วย

‘ฉันพยายามช่วยแล้วจ้ะพ่อ ลำพังของจากพวกคนในเรือนจำน่ะไม่คณามือฉันหรอก แต่ว่า…ของจากตัวพ่อฉันสู้ไม่ไหวจ้ะ เจ้าหนุ่มนั่นก็เลยป่วยหนักอย่างนั้น’ คำบอกเล่าจากทองดำที่กลับมาหลังจากหายไปนานหลายสัปดาห์ด้วยทำตามคำสั่งของพ่อมันว่าให้ไปคุ้มกันผู้ชายคนหนึ่ง

‘แต่เจ้าหนุ่มนั่นจะว่าแปลกก็แปลกนะพ่อ ข้าไม่เคยเห็นบุรุษที่ไหนมีเลือดไหลออกมาจากทวารมากมายปานนั้น’ เสียงยังไม่แตกหนุ่มดีของเด็กชายร่างกายสีดำมะเมื่อมบอก

‘พี่ทองดำก็รู้สึกเหมือนฉันใช่ไหมจ๊ะ’ ทองดีที่ยืนอยู่ใกล้ถาม

คนเป็นทำเพียงนั่งฟังบริวารสนทนากันไปมา

ในขณะที่กุมารเด็กที่เลี้ยงไว้กำลังครุ่นคิด จะว่าแปลก ก็รู้สึกได้ว่าแปลกตั้งแต่เห็นวันแรกแล้ว ด้วยสัมผัสส่วนตัวและเห็นวิญญาณทารกมันเรียกร้องอยากจะไปเกิดกับเจ้าหนุ่มคนนั้น

มีดวงของบุรุษและนารีตีกันยุ่งเหยิงจนแทบแยกไม่ออก

“ว่าอย่างไรไอ้คราม คุณท่านเขาเห็นความสามารถในตัวมึง เขาจะเอาไปอยู่ด้วย” เสียงหนึ่งดังแทรกความคิดในหัว

“มาอยู่กับฉันเถอะพ่อคราม ฉันให้โอกาสกลับตัวกลับใจไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสังคม ไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ คอยปล้นฆ่าอย่างเมื่อก่อน” ท่าทางภูมิฐานไม่น้อยเอ่ยเสียงจริงใจ รอยยิ้มเมตตาอารีถูกหยิบยื่นมาให้

ฟ้าคราม อดีตเสือแห่งชุมโจรผาพยัคฆ์เงยหน้าสบตาคนพูด

คำว่าไม่ต้องคอยปล้นฆ่าอย่างเมื่อก่อนกระตุ้นเขาได้ถึงจิตวิญญาณส่วนลึกด้านใน ความมืดมนที่กัดกินเขามาเกือบทั้งชีวิต หากทิ้งมันไป คงไม่ถือว่าเห็นแก่ตัวหรอกกระมัง

“จะให้ข้าออกไปทำอะไร” เสียงทุ้มต่ำแฝงความเย็นเยียบถามออกไป

“ที่บ้านฉันน่ะขาดคนดูแลสวน ถ้าหากได้พ่อครามไปช่วยดูตรงนี้ก็น่าจะกำจัดพวกมดพวกงูให้ได้สบายเชียว ครั้นจะให้แม่ครัวแม่บ้านไปทำก็กระไรอยู่ สาว ๆ พวกนั้นลุกก็โอยนั่งก็โอยแล้ว” คุณท่านที่นายเรือนจำเรียกขานยังคงเอ่ยด้วยความโอบอ้อมอารี

“งั้นหรือ” ฟ้าครามมองรอยยิ้มละไมบนใบหน้านั้น ในหัวก็คิดเรื่องราวมากมายไปด้วย

‘พ่อจ้ะ’ ทองดีเรียกพ่อมันเสียงเบาหวิว ราวล่วงรู้ว่าพ่อพยัคฆาจะตัดสินอย่างไร

“หากให้ข้าออกไป ข้าคงต้องถอดอาคมบางส่วนไว้…”

“ฮ่าฮ่าฮ่า กระผมบอกแล้วคุณชนา ว่าอย่างไรไอ้ครามก็อยากไปอยู่กับท่าน คนใหญ่คนโตถึงกับเอ่ยปากทั้งทีมันจะปฏิเสธทำไม…”

TBC

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • หลงมนต์พยัคฆ์ (Mpreg)    บทที่ 2 ดึงดูดอัปสร

    บทที่ ๒ : ดึงดูดอัปสรตลอดทั้งสามวันฉัตรเกล้าใช้เวลาช่วงเช้าจนถึงเย็นอยู่ที่โรงอาหารของเรือนจำแห่งเดิมไม่คิดไปไหน สองวันแรกนักโทษจากแดนสิบมากินข้าวที่โรงอาหารเพียงช่วงเที่ยงเท่านั้น แต่วันสุดท้ายพวกเขามาช่วงเย็นด้วยวันนี้ฉัตรเกล้าจึงได้เห็นหน้าเขาคนนั้นก่อนจะต้องจากกันความรู้สึกวูบวาบไร้ที่มาที่ไปยังคงเกิดขึ้นทุกครั้งที่ได้พบร่างสูงใหญ่“ขอบใจ” คำพูดที่เอื้อนเอ่ยให้ได้ยินเป็นประจำยามรับอาหารจากเขาตึก ตึก ตึกและเสียงหัวใจเต้นระรัวแทบทะลุออกจากอกของตนฉัตรเกล้า ไพศาลภิรมย์รักษ์ ไม่ใช่คนตัวเล็กบอบบางแม้ร่างกายจะแตกต่างจากเพศชายทั่วไป ด้วยส่วนสูง 175 เซนติเมตร ไม่ได้ผอมแห้งแบนราบ แต่ไม่ได้เจ้าเนื้อแต่อย่างใด เขาเป็นชายงามที่มีรูปร่างสมส่วนเลยทีเดียว หากแต่เมื่ออยู่ต่อหน้านักโทษแดนสิบคนนั้นกลับดูตัวเล็กไปถนัดตา คิดคร่าว ๆ คงสูงไม่ต่ำกว่า 190 เป็นแน่“เป็นอย่างไรบ้างตาฉัตร” เสียงทุ้มดูใจดีเอ่ยทักจากด้านหลัง“คุณพ่อ?” ฉัตรเกล้าละสายตาออกจากคนนั่งทานข้าวเงียบ ๆ หันไปมองตามเสียงของบิดาอย่างแปลกใจ“ดูทำหน้าเข้า ตกใจอะไรกัน” คุณชนายังคงมีรอยยิ้มใจดีประดับที่มุมปาก“มาได้อย่างไรครับ”“พ่อมาทำ

  • หลงมนต์พยัคฆ์ (Mpreg)    บทที่ ๑ ต้องตามประสงค์

    บทที่ ๑ต้องตามประสงค์๑๐ ปีต่อมาช่วงสายยามพระอาทิตย์ขึ้นตรงเหนือหัว บรรยากาศรอบข้างไม่ได้เงียบสงบเสียทีเดียว จอแจด้วยเสียงคนมากหน้าหลายตา ยืนต่อแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยรอรับอาหารแดนสามที่เป็นเขตโรงอาหารกำลังวุ่นวายมือประวิง มีคณะคนกลุ่มหนึ่งถูกนำทางด้วยเจ้าหน้าที่ในชุดสีกากีอันเป็นเอกลักษณ์ของผู้คุมเรือนจำ เดินเลียบเคียงเข้าไปที่ตึกสองชั้นอันเป็นที่ตั้งของสำนักงานเรือนจำแบ่งเป็นหลายเขตหลายแดน แดนหนึ่งแรกรับ แดนสองให้ญาติเยี่ยม แดนสามเป็นโรงอาหารและสำหรับทำกิจกรรม แดนสี่เป็นต้นไปถึงสิบเป็นแดนกักขังนักโทษ เริ่มจากเบาสุดไปหาหนักสุด และพวกที่อยู่ร่วมกับนักโทษทั่วไปไม่ได้ ก็คือแดนสิบ แดนที่รวมพวกมากวิชาอาคม จอมขมังเวทย์ไว้ในแดนนี้หมดแล้วการมาเยือนเรือนจำผู้ต้องโทษร้ายแรงในเวลานี้ ถ้าหากไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรง ผู้ที่สามารถเข้าถึงนักโทษระดับนี้ได้ก็คงยศใหญ่หรือเส้นสายใหญ่ไม่น้อยคณะเดินทางนั้นมาหยุดที่ห้องหนึ่ง ร่างภูมิฐานแต่งกายดูดีกว่าใครเดินองอาจเข้าไปในห้อง ด้านในมีคนรออยู่ก่อนแล้ว“ไม่ใช่เรื่องง่ายนะท่าน หากเบื้องบนรู้เข้าล่ะซวยแน่” คนในห้องหน้าเครียดขึง คิ้วขมวดแน่น“พูดอะ

  • หลงมนต์พยัคฆ์ (Mpreg)    บทนำ

    บทนำ“ไอ้ชาติชั่ว มึงทำได้อย่างไร!”“กรี๊ดดดดดดดด”“อ๊ากกก”บุษบารอรักจากชาตรี ห่างนทีไกลลับไม่กลับหวน“กูขอสาปแช่งให้ชีวิตมึงฉิบหาย! ไอ้ตัวอัปมงคล!”เคยชื่นมื่นอิงแอบหอมรัญจวน ต้องคร่ำครวญเดียวดายพี่หายไป“ข้าขอโทษนะพ่อ แต่พ่อหยุดสร้างเวรสร้างกรรมเถอะนะ”“ไม่ต้องมาเรียกกูว่าพ่อ! คนอย่างมึงกูน่าจะปล่อยให้นอนตายอยู่ข้างถนน ไม่น่าเอาเดรัจฉานอย่างมึงมาเลี้ยงเลย!” “…มอบตัวเถอะพ่อ โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา”“มึงเอาไอ้พวกขี้ครอกมาจับพี่จับน้อง มึงกล้าได้ยังไงไอ้คราม!!” ชะตาช้ำนำรักไม่สุขสม ทุกข์ระทมจมปลักแสนอ่อนไหวปัง ปัง ปัง“กรี๊ดดดด พี่แหวน! ยะอย่านะอย่าฆ่าผัวฉัน ครามช่วยพ่อสิลูก เอ็งกลับมาช่วยพวกเราใช่ไหม จัดการพวกมันเลยลูก ฆ่าพวกมันให้หมด ฮึก”“แม่ตรี…”“อึก…มะไม่จริง เอ็งไม่ได้เป็นคนพาพวกตำรวจมาใช่ไหม”“ข้าขอโทษ…”อันคิดถึงสุดคำนึงจ้าวดวงใจ อยู่แห่งใดใคร่รู้พ่อแก้วตา************“…ตามคำแถลงการณ์ของผู้บัญชาการ พลตำรวจโทปรมะ สุเมธเมธิน การทะลวงจับชุมโจรในคืนที่ผ่านมาถือว่าเป็นคดีประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ค่ะ โดยชุมโจรเสือแหวนแห่งหมู่บ้านผาพยัคฆ์เป็นที่เล่าขานว่าโหดเหี้ยม เก่งกล้าวิชาอาค

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status