บทที่ ๒ : ดึงดูดอัปสร
ตลอดทั้งสามวันฉัตรเกล้าใช้เวลาช่วงเช้าจนถึงเย็นอยู่ที่โรงอาหารของเรือนจำแห่งเดิมไม่คิดไปไหน สองวันแรกนักโทษจากแดนสิบมากินข้าวที่โรงอาหารเพียงช่วงเที่ยงเท่านั้น แต่วันสุดท้ายพวกเขามาช่วงเย็นด้วย
วันนี้ฉัตรเกล้าจึงได้เห็นหน้าเขาคนนั้นก่อนจะต้องจากกัน
ความรู้สึกวูบวาบไร้ที่มาที่ไปยังคงเกิดขึ้นทุกครั้งที่ได้พบร่างสูงใหญ่
“ขอบใจ” คำพูดที่เอื้อนเอ่ยให้ได้ยินเป็นประจำยามรับอาหารจากเขา
ตึก ตึก ตึก
และเสียงหัวใจเต้นระรัวแทบทะลุออกจากอกของตน
ฉัตรเกล้า ไพศาลภิรมย์รักษ์ ไม่ใช่คนตัวเล็กบอบบางแม้ร่างกายจะแตกต่างจากเพศชายทั่วไป ด้วยส่วนสูง 175 เซนติเมตร ไม่ได้ผอมแห้งแบนราบ แต่ไม่ได้เจ้าเนื้อแต่อย่างใด เขาเป็นชายงามที่มีรูปร่างสมส่วนเลยทีเดียว หากแต่เมื่ออยู่ต่อหน้านักโทษแดนสิบคนนั้นกลับดูตัวเล็กไปถนัดตา คิดคร่าว ๆ คงสูงไม่ต่ำกว่า 190 เป็นแน่
“เป็นอย่างไรบ้างตาฉัตร” เสียงทุ้มดูใจดีเอ่ยทักจากด้านหลัง
“คุณพ่อ?” ฉัตรเกล้าละสายตาออกจากคนนั่งทานข้าวเงียบ ๆ หันไปมองตามเสียงของบิดาอย่างแปลกใจ
“ดูทำหน้าเข้า ตกใจอะไรกัน” คุณชนายังคงมีรอยยิ้มใจดีประดับที่มุมปาก
“มาได้อย่างไรครับ”
“พ่อมาทำธุระแถวนี้พอดี เลยแวะมาหาลูกน่ะ”
“งั้นหรือครับ” ชายหนุ่มยิ้มรับ เป็นยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตาเพราะแปลกใจและสังหรณ์บางอย่างจะไม่ใช่แค่มาหาเขา
“แล้วเป็นอย่างไร เรียบร้อยดีไหม” คุณชนาถามย้ำเมื่อเห็นบุตรชายเงียบไป
“…เรียบร้อยแล้วครับ เดี๋ยวรอพวกเขาทานเสร็จก็จะเก็บของกลับแล้ว” ฉัตรเกล้าตอบ
“จะกลับบ้านเลยหรือแวะเที่ยวก่อนล่ะ”
เพราะเรือนจำแห่งนี้ไม่ได้อยู่เขตพระนคร การที่ฉัตรเกล้ามาที่นี่ เขาจึงต้องนอนพักที่โรงแรมของครอบครัวแทนที่จะกลับบ้านให้เสียเวลา
“คงกลับเลยครับ ค่อยหาโอกาสมาเที่ยวทีหลัง”
“ก็ดี มาผ่อนคลายเสียบ้าง”
“ครับคุณพ่อ”
คุณชนายิ้มละมุน มือหนายกขึ้นลูบศีรษะลูกชายคนเล็กเบา ๆ เขาทักทายฉัตรเกล้าได้แค่นั้น ก่อนคนของเขาจะเข้ามากระซิบอะไรบางอย่าง นักธุรกิจหนุ่มใหญ่จึงเดินเลี่ยงออกไป
ทิ้งท้ายว่าให้เจอกันที่บ้านเลย
ฉัตรเกล้ามองตามบิดาของตนที่เดินไปด้านในของเรือนจำด้วยการนำทางของพัศดีคนหนึ่ง คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างคนคิดหนัก
บิดาของเขามีธุระอะไรที่เรือนจำ ?
“คงมาหาเพื่อนเก่าน่ะครับคุณหนู” ทิวาเอ่ยบอก
“เพื่อน?”
“ครับ ได้ยินมาว่าเพื่อนเก่าคุณท่านเป็นผ.อ.อยู่ที่นี่น่ะครับ” ทิวาตอบฉะฉาน
คิ้วขมวดมุ่นราวกำลังคิดอะไรบางอย่างเมื่อได้ฟัง สุดท้ายรู้สึกว่ายิ่งคิดยิ่งเลอะเลือนไปใหญ่ หนุ่มนักเรียนนอกจึงเลิกสนใจ เขาหันสายตาไปหาที่ประจำของร่างสูงใหญ่ผู้นั้น ก่อนจะพบว่าบุคคลที่ตนลอบมองมาตลอดสามวันไม่นั่งอยู่ที่โต๊ะเสียแล้ว
“ไปไหนแล้วนะ” หันซ้ายทีขวาทีเพื่อค้นหาว่าเขาอยู่ที่ไหน
ก่อนจะเจอร่างสูงใหญ่กำลังล้างถาดอาหารของตนอยู่ด้านนอกของอาคาร
คุณชายเล็กของบ้านไพศาลภิรมย์รักษ์ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งว่าจะเดินเข้าไปหาดีหรือไม่ ด้วยคำนึงถึงความเหมาะสมต่าง ๆ แต่สุดท้ายความต้องการอย่างแรงกล้าภายในใจก็ชนะเหตุผลทั้งปวง
ขาทั้งสองข้างจึงก้าวเดินไปหาคนผู้นั้นอย่างไม่ลังเลอีกต่อไป
“อาหารถูกปากหรือเปล่า” ฉัตรเกล้าเดินมาหยุดที่ด้านหลังของคนตัวใหญ่กว่าที่กำลังนั่งล้างถาดอาหารของตนอยู่
เขาไม่ได้ตอบในทันที และท่าทางไม่ได้ใส่ใจคำถามเท่าไหร่นัก แต่ครู่ต่อมากลับหยุดมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นในระดับสายตาของเขาเอง
คิ้วเข้มทั้งสองข้างเลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะขมวดเข้าหากันนิดหน่อย แน่นอนว่าท่าทางนี้ฉัตรเกล้าที่ยืนอยู่ด้านหลังไม่มีทางได้เห็น
‘จริง ๆ นะจ๊ะพ่อ ฉันได้กลิ่นเลือดมาจากเขา‘
“งั้นหรือ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยในลำคอ
‘พ่อก็รู้สึกได้ใช่ไหมจ๊ะ ฉันว่าเจ้าหนุ่มคนนี้แปลก ๆ อย่างไรไม่รู้’
เด็กน้อยราวสี่ถึงห้าขวบพูดเจื้อยแจ้วข้างหูแม้ร่างโปร่งแสงจะล่องลอยอยู่ในอากาศราวเห็นราวไม่เห็นก็ตาม
“คุณว่าอะไรนะครับ” ฉัตรเกล้าได้ยินไม่ชัด เหมือนเขาจะพูดอะไรบางอย่างแต่คล้ายเป็นเสียงที่อยู่ในลำคอราวพึมพำมากกว่า
และเขาไม่ตอบคำถาม ทำเพียงล้างถาดอาหารของตนไปเงียบ ๆ จนเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยลุกขึ้น
ส่วนสูงที่ว่าต่างกันแล้ว ขนาดลำตัวกลับต่างยิ่งกว่า ฉัตรเกล้าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นักว่าอยู่ในคุกทั้งวันทั้งคืนแต่กลับมีรูปร่างเช่นนี้ได้อย่างไร
คนหนุ่มกว่าสะบัดหน้าเรียกสติที่ไหลไปไกลให้กลับมาจดจ่อตรงหน้า
“ว่าไงครับ อาหารถูกปากหรือเปล่า” เลือกถามย้ำอีกครั้งก่อนที่เขาจะเดินหนี เท้าทั้งสองข้างของชายตัวสูงชะงัก สายตาคมกริบหันมองฉัตรเกล้าเล็กน้อย แล้วหลุบต่ำตามเดิม
อีกแล้ว
ขนทั่วร่างลุกชัน รู้สึกหนาวสั่นแม้อากาศจะอบอ้าวก็ตาม
“อืม” เขาขานรับในลำคอ
“ชอบเมนูไหนที่สุดหรือครับ” เป็นฉัตรเกล้าที่ต่อบทสนทนา
หางตาเริ่มเห็นผู้คุมและคนของเขาเองมองมา พัศดีคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาเขาทั้งคู่
“ข้าไม่เลือกกิน” ยกเว้นของแสลงผิดสำแดง
เสียงทุ้มแต่ดูเย็นเยียบเอ่ยตอบ ฉัตรเกล้ารู้สึกว่าเขาราวเป็นต้นไม้ใหญ่ริมน้ำที่ตั้งตระหง่านยืนต้นลำพัง เป็นต้นไม้ใหญ่อยู่ท่ามกลางความมืดและความหนาวเย็น
“ไม่มีของที่ชอบหรือครับ” ฉัตรเกล้าถามต่อและลอบมองใบหน้าหล่อเหลานั้นด้วย หน้าตาดีไม่น้อยเลยทีเดียว ผมเผ้าปิดหน้าก็ไม่อาจกลบความคมคร้ามได้เลย
“ไม่มี” เขาตอบ
“แล้วของที่อยากกินล่ะครับ”
คราวนี้ใบหน้าที่ก้มตลอดเวลาเงยขึ้นเพียงนิด สายตาที่หลุบต่ำชำเลืองมาทางร่างโปร่ง ก่อนคิ้วเข้มจะขมวดเข้าหากันจนคนที่ถูกมองสังเกตเห็น
“อะไรหรือ” เอ่ยถามพร้อมเอียงใบหนาเล็กน้อย
“เอ็งรีบออกไปจากที่นี่เถอะ”
คุณชายเล็กงงงวย แบบนี้คือโดนไล่หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก
“อะ…”
“กลับเข้าไปรวมกลุ่ม” ก่อนที่ฉัตรเกล้าจะได้พูดอะไรต่อ พัศดีคนที่เคยพูดจาแปลก ๆ ก็มาถึง เขาพูดกับนักโทษระดับพระกาฬในความดูแลของตนและนักโทษผู้นั้นก็ไม่มีท่าทีอิดออด รับคำโดยง่ายก่อนเดินจากไป พัศดีคนเดิมหันมามองฉัตรเกล้าด้วยแววตาตำหนิจนรู้สึกได้
“ระวังตัวไว้หน่อย” น้ำเสียงที่ใช้พูดก็เข้มไม่น้อยเลยทีเดียว
“…เขาดูไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนี่ครับ อีกอย่างคนอื่นอยู่กันเต็มไปหมด” ฉัตรเกล้ารู้แน่ชัดว่านี่ไม่สมควรเท่าไหร่นัก แน่นอนว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ หากว่านักโทษคลุ้มคลั่งหรืออาศัยจังหวะจับเขาเป็นตัวประกันขึ้นมาจะวุ่นวายกันหมด แต่อะไรบางอย่างก็บอกกับเขาว่าคนผู้นั้นจะไม่มีวันทำเช่นนั้นแน่ ฉัตรเกล้าถึงได้กล้าเสี่ยงเดินตามออกมา
“แค่เพราะคุณไม่รู้จักเขามากกว่า” พัศดีหนุ่มใหญ่ยังส่งสายตาตำหนิมาไม่หยุด ใบหน้ามีริ้วรอยเครียดขรึม คิ้วขมวดไม่พอใจ
“คุณฉัตรครับ คุณท่านเรียกพบครับ” พอดีกับทิวาเดินมาบอกว่าคุณพ่อเรียกหา ฉัตรเกล้ามองพัศดีคนนั้นเล็กน้อยก่อนโค้งกายให้และเดินจากไป
เรือนจำกลับมาอยู่ในความสงบอีกครั้งหลังจากคณะของฉัตรเกล้ากลับไปจนหมด เวลาพลบค่ำของแดนสิบเป็นอะไรที่เงียบเชียบและวังเวงเสียจนน่าขนหัวลุก แต่ทั้งนักโทษและผู้คุมของแดนนี้กลับชาชินกับมันไปเสียแล้ว
ก็คงไม่มีคนธรรมดาที่ไหนหลงมาอยู่ในดงของระดับพระกาฬกระมัง
ร่างสูงใหญ่เดินไปตามทาง เสียงลากโซ่ลงอาคมที่คล้องเท้าทั้งสองข้างกระทบพื้นดังสนั่นทั่วโถงทางเดิน พวกนักโทษแดนสิบอยู่เป็นห้องขังเดี่ยว พากันยื่นหน้าออกมามองลอดช่องประตู
บางคนอยากรู้อยากเห็น บางคนแลบลิ้นยิ้มกว้างดูน่ากลัว บางคนมองนิ่งแต่ปากกลับขยับมุบมิบไปมา
‘เก่งนักหรอมึง จะแน่สักแค่ไหนวะ’ กระแสจิตอาฆาตมาดร้ายพวยพุ่งมาหาไม่หยุดหย่อน จะว่าชินชาก็ไม่เกินจริงนัก
‘ให้ฉันจัดการเลยไหมจ๊ะ’ กุมารเด็กที่เลี้ยงไว้มานานเกินสิบปีกระซิบถาม มันได้ยินเสียงท่องคาถามาสักพักแล้ว หากแต่พ่อมันกลับนิ่งไม่สั่งการอะไรสักอย่าง เรียกได้ว่าไม่เคยตอบโต้เลยสักครั้ง
“อ๊ากกกกกก”
พูดว่าไม่จำเป็นต้องตอบโต้ดีกว่า เพราะของอะไรที่พวกมันส่งมาไม่เคยแรงพอจะทำอะไรพ่อมันได้ มีแต่โดนสะท้อนกลับเข้าตัวมันเองเสียทุกราย
ก็ยังไม่เคยจำ
ตายตกเพราะหาเรื่องใส่ตัวแท้ ๆ
‘กูจะกินมัน มึงช่วยมันทำไม’ เสียงกระซิบแหบพร่าของหญิงสาวที่ระบุอายุไม่ได้ดังขึ้น คราวนี้ไม่ได้ดังข้างหูแต่ดังในหัวของร่างสูงเอง
ชายหนุ่มยังคงนิ่งเงียบ เท้าทั้งสองเดินลากโซ่ลงอาคมที่ไม่สามารถสะกดอันใดได้อย่างมั่นคงไปตามทางเดินมืดทึบ
‘มึงกล้าขวางกู ไม่กลัวกูทำให้มึงฉิบหายงั้นหรือ ฮี่ฮี่ฮี่’
“หุบปาก”
‘กูจะกินมัน เลือดมันหอม กูอยากกิน กูอยากกิน กูอยากกิน’
“อยากถูกกูฆ่าอีกรอบหรือ” ทีนี้เสียงของเขาเย็นเยียบอย่างที่หาได้ไม่บ่อยนัก ผู้คุมที่เดินนำหน้าชะงักเล็กน้อยก่อนจะเดินต่อราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น
บรรดาผีที่เลี้ยงไว้เร้นกายหายไปและรู้สึกได้ว่าบริวารตนหนึ่งที่อยู่ด้วยกันมานานกำลังร้อนรุ่ม ราวตื่นเต้นดีใจที่จะได้สำแดงเดช
เสียงแหบพร่าของสตรีไม่ระบุอายุเงียบหาย พักหนึ่งอารมณ์ร้อนในกายก็ทุเลาลงไปด้วย
พอดีกับที่ผู้คุมพาเดินมาถึงห้องหนึ่ง ห้องของคนที่เขาเรียกกันว่านายใหญ่
“ท่านรออยู่ข้างใน ได้ข่าวว่ามีเรื่องวานให้เอ็งทำ” คนที่พามาหยุดอยู่หน้าห้องเอ่ยบอกพร้อมกับลอบมองท่าทีของนักโทษระดับพระกาฬ
“…”
“ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเอ็งหรอก หากสำเร็จก็ถือว่าเป็นคุณประโยชน์แก่ชาติบ้านเมือง ลดโทษให้เอ็งได้อีกเยอะเชียว” ถึงแม้มันจะติดคุกมาเป็นสิบปีแล้วก็ตาม
ทองดีเป็นเด็กชายตัวเล็ก ตายเมื่อหลายสิบปีก่อนหรืออาจจะเกือบร้อยปีแล้วกระมัง เด็กน้อยถูกสะกดวิญญาณเอามาทำเป็นผีรับใช้อยู่นาน เปลี่ยนมือมาเรื่อย ๆ จนได้มาอยู่กับอดีตเสือมากวิชาผู้เก่งกาจของชุมโจรแห่งหนึ่ง ที่บัดนี้เหลือแต่ชื่อไว้ให้เล่าขาน
เด็กตัวเล็กแต่ฤทธิ์เดชไม่น้อยด้วยอานิสงส์จากคนที่เลี้ยงดูมันอยู่ตอนนี้ลอยล่องในอากาศมองพ่อมันที่ก้มหน้านิ่ง ไม่ชอบสบตาใคร
ด้วยกลัวมนต์เสน่ห์ของตนจะทำให้ใครต่อใครหลงใหลหรือไม่ก็โดนเขย่าขวัญจนขวัญหนีดีฝ่อ
‘แปลก’ อยู่ดี ๆ ก็นึกไปถึงช่วงบ่ายแก่ ที่พ่อมันไปกินอาหารกับชาวบ้านเขาเจ้าหนุ่มตัวขาวที่เข้ามาคุยกับพ่อเสือถอดเล็บที่ไม่มีใครในเรือนจำกล้ายุ่ง ยกเว้นจะลอบเสกของมาใส่
ความแปลกอยู่ที่กลิ่นอายของผู้ชายคนนั้นมันผิดปกติขนาดมันยังรู้สึกได้ มีหรือพ่อมันที่มองเขาเสียหลายรอบจะไม่รู้สึก แต่ก็อธิบายไม่ถูกว่าแปลกอย่างไร รู้แค่มันแปลก
‘คิดอะไร หน้านิ่วคิ้วขมวด’
เสียงหญิงสาววัยสะพรั่งดังขึ้น แม้จะฟังดูเย็น ๆ แต่กลับให้ความรู้สึกอ่อนโยน ใบบัว ผีสาวชุดขาวผมยาวกลางหลัง อายุหลายร้อยปี เป็นประเภทวิญญาณอาฆาตด้วยถูกกระทำหนักหนาจนตายตก
นับว่าเจ้าหล่อนเฮี้ยนที่สุดในบรรดาผีเลี้ยงของฟ้าคราม
ฟ้าคราม หรือเสือคราม นักโทษระดับพระกาฬ อดีตเสือร้ายคนดียวที่ยังมีชีวิตจากเหตุการณ์บุกทลายชุมเสือแหวนเมื่อสิบปีก่อน
‘พี่เห็นผู้ชายที่เข้ามาคุยกับพ่อไหมจ๊ะ เมื่อตอนกลางวัน’
‘เห็น ทำไมหรือ’
‘พ่อให้ไอ้ทองดำตามเขาไป’
ทองดำคือเด็กชายตัวดำมะเมื่อมแทบจะไม่มีส่วนใดเป็นสีขาว กุมารเด็กอีกตัวที่ถูกเลี้ยงไว้ ฤทธิ์เดชแก่กล้าเสียยิ่งกว่าทองดีและใบบัว อนึ่งเพราะอยู่มานานและบำเพ็ญสะสมฤทธิ์เดชได้มาก
‘ตามไปทำไมหรือ’ ใบบัวถาม
‘ไปคุ้มกันจ้ะ’
‘อ้อ’
‘ก็เขาเข้ามาคุยกับพ่อนี่ พี่ก็รู้ว่าคนที่นี่จ้องจะเล่นงานพ่อ แต่พวกมันรู้ว่าทำอะไรพ่อไม่ได้’
มีความเป็นไปได้ที่พวกมันจะปล่อยของไปใส่คุณชายผู้นั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
‘เช่นนั้นก็ไม่แปลกหากพ่อจะส่งทองดำไปคุ้มกันเขา’
ฉัตรเกล้ารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวมาตั้งแต่อยู่ที่เรือนจำ เมื่อมาถึงบ้านจึงได้ทานยากันไว้เผื่อเป็นไข้ขึ้นมา ชายหนุ่มตัวขาวเดินขึ้นห้องของตนด้วยความอ่อนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รู้สึกล้าเหลือเกิน
อีกทั้งตอนนั่งรถกลับเขาดันหลับและฝันเห็นอะไรบางอย่างที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก สะดุ้งขึ้นมาอยู่หลายครั้งและก็พบว่าการสะดุ้งตื่นของเขาแต่ละครั้งเป็นเพียงความฝันเท่านั้น
ความรู้สึกยังติดกับความดำมืดและเย็นเยียบในฝันก่อนจะสะดุ้งตัวอย่างแรงวนไปไม่รู้กี่สิบรอบ ครั้งสุดท้ายจำได้ว่ามีมือปริศนายื่นมาตรงหน้า แหวกผ่านความดำมืดข้างกาย แม้เห็นเพียงส่วนแขนและมือแต่ฉัตรเกล้าไม่ลังเลเลยที่จะยื่นมือของตนออกไปคว้าจับไว้
และนั่นทำให้ความฝันประหลาดนี้จบลง
คุณชายเล็กเตรียมอุปกรณ์อาบน้ำ เขาว่าจะอาบน้ำก่อนให้ร่างกายสดชื่นขึ้นมาบ้าง
“อะ…”
ยามที่ก้าวเดิน ความรู้สึกเปียกแฉะไม่สบายตัวก็เกิดขึ้นที่ช่วงล่างของลำตัว ฉัตรเกล้าหน้าตื่น รีบก้าวเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
“ไม่นะ..”
ถอดกางเกงด้วยความเร่งรีบ ก่อนจะพบว่าที่เป้ากางเกงชั้นในเต็มไปด้วยสีแดงฉานของเลือด น้ำโลหิตหลั่งไหลออกมาเปรอะเปื้อนขาเรียวทั้งสองข้าง และไหลนองเต็มพื้นห้องน้ำ
ฉัตรเกล้ารู้ตัวเองดีว่าในทุก ๆ เดือน จะมีสิ่งนี้เกิดขึ้นกับเขาเหมือนผู้หญิงคนอื่น แต่ทว่าครั้งนี้มันแตกต่าง เลือดสีแดงที่ไหลออกมาราวก๊อกรั่วมันมากเกินไป
โดยปกติแล้วเขาไม่ได้เป็นเยอะมากมายเพียงนั้น มีฤดูแค่หนึ่งถึงสองวันด้วยปริมาณน้อยร่างกายก็กลับมาปกติ
ชายหนุ่มเริ่มหายใจแรงและรู้สึกวิงเวียน ภาพตรงหน้าพร่าเบลอ
‘ฮี่ฮี่ฮี่’
เขาขยับไม่ได้ ราวข้อเท้าทั้งสองข้างถูกมือใครบางคนยึดเอาไว้ ตามพื้นที่เปื้อนเลือดเหมือนมีบางอย่างยั้วเยี้ยน่าขยะแขยง
รู้สึกถึงความชื้นแฉะราวกำลังถูกเลียโดยลิ้นสาก ๆ ที่ต้นขา ตามรอยเลือดที่ไหลไม่หยุด ก่อนสติทุกอย่างจะดับวูบไป
ฉัตรเกล้าไม่รับรู้อะไรอีกเลย
ช่วงดึกของบ้านตระกูลไพศาลภิรมย์รักษ์วุ่นวายเสียยกใหญ่ มีบ่าวคนหนึ่งได้ยินเสียงดังตึงในห้องน้ำชั้นบนของเจ้านาย เธอจึงไปตามคุณหญิงแก้วตาและคุณชนามาตรวจสอบดู
ช่วยกันออกแรงพังประตูอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้พบว่าฉัตรเกล้านอนฟุบหน้านิ่งอยู่ที่พื้นด้วยเนื้อตัวซีดเซียวและไม่มีแม้แต่คราบสีแดงฉานของเลือดก่อนหน้า
บุตรชายคนเล็กของคุณหญิงแก้วตาและคุณชนาป่วยหนักหลังจากทำบุญใหญ่ นอนโรงพยาบาลอยู่หนึ่งสัปดาห์และกลับมาพักฟื้นที่บ้านเกือบหนึ่งเดือนจึงสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อย่างเดิม
การป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุนี้สร้างความหวาดกลัวให้กับพ่อแม่ของเขาเป็นอย่างมากโดยเฉพาะคุณหญิงแก้วตา
เธอกลัวเหลือเกินว่าลูกชายจะเป็นอะไร ถึงขนาดเชื้อเชิญพระเกจิชื่อดังมาทำพิธีสู่ขวัญต่อชะตา แม้ไม่อยากเชื่อเรื่องราวของไสยศาสตร์มากมายนัก แต่ขนาดคุณชนานักธุรกิจหนุ่มใหญ่ที่หัวสมัยใหม่พอสมควรยังเชื่อว่ามีคนทำของใส่ฉัตรเกล้า คนเป็นพ่อเป็นแม่หรือจะยอมเห็นลูกเจ็บป่วย
‘ฉันพยายามช่วยแล้วจ้ะพ่อ ลำพังของจากพวกคนในเรือนจำน่ะไม่คณามือฉันหรอก แต่ว่า…ของจากตัวพ่อฉันสู้ไม่ไหวจ้ะ เจ้าหนุ่มนั่นก็เลยป่วยหนักอย่างนั้น’ คำบอกเล่าจากทองดำที่กลับมาหลังจากหายไปนานหลายสัปดาห์ด้วยทำตามคำสั่งของพ่อมันว่าให้ไปคุ้มกันผู้ชายคนหนึ่ง
‘แต่เจ้าหนุ่มนั่นจะว่าแปลกก็แปลกนะพ่อ ข้าไม่เคยเห็นบุรุษที่ไหนมีเลือดไหลออกมาจากทวารมากมายปานนั้น’ เสียงยังไม่แตกหนุ่มดีของเด็กชายร่างกายสีดำมะเมื่อมบอก
‘พี่ทองดำก็รู้สึกเหมือนฉันใช่ไหมจ๊ะ’ ทองดีที่ยืนอยู่ใกล้ถาม
คนเป็นทำเพียงนั่งฟังบริวารสนทนากันไปมา
ในขณะที่กุมารเด็กที่เลี้ยงไว้กำลังครุ่นคิด จะว่าแปลก ก็รู้สึกได้ว่าแปลกตั้งแต่เห็นวันแรกแล้ว ด้วยสัมผัสส่วนตัวและเห็นวิญญาณทารกมันเรียกร้องอยากจะไปเกิดกับเจ้าหนุ่มคนนั้น
มีดวงของบุรุษและนารีตีกันยุ่งเหยิงจนแทบแยกไม่ออก
“ว่าอย่างไรไอ้คราม คุณท่านเขาเห็นความสามารถในตัวมึง เขาจะเอาไปอยู่ด้วย” เสียงหนึ่งดังแทรกความคิดในหัว
“มาอยู่กับฉันเถอะพ่อคราม ฉันให้โอกาสกลับตัวกลับใจไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสังคม ไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ คอยปล้นฆ่าอย่างเมื่อก่อน” ท่าทางภูมิฐานไม่น้อยเอ่ยเสียงจริงใจ รอยยิ้มเมตตาอารีถูกหยิบยื่นมาให้
ฟ้าคราม อดีตเสือแห่งชุมโจรผาพยัคฆ์เงยหน้าสบตาคนพูด
คำว่าไม่ต้องคอยปล้นฆ่าอย่างเมื่อก่อนกระตุ้นเขาได้ถึงจิตวิญญาณส่วนลึกด้านใน ความมืดมนที่กัดกินเขามาเกือบทั้งชีวิต หากทิ้งมันไป คงไม่ถือว่าเห็นแก่ตัวหรอกกระมัง
“จะให้ข้าออกไปทำอะไร” เสียงทุ้มต่ำแฝงความเย็นเยียบถามออกไป
“ที่บ้านฉันน่ะขาดคนดูแลสวน ถ้าหากได้พ่อครามไปช่วยดูตรงนี้ก็น่าจะกำจัดพวกมดพวกงูให้ได้สบายเชียว ครั้นจะให้แม่ครัวแม่บ้านไปทำก็กระไรอยู่ สาว ๆ พวกนั้นลุกก็โอยนั่งก็โอยแล้ว” คุณท่านที่นายเรือนจำเรียกขานยังคงเอ่ยด้วยความโอบอ้อมอารี
“งั้นหรือ” ฟ้าครามมองรอยยิ้มละไมบนใบหน้านั้น ในหัวก็คิดเรื่องราวมากมายไปด้วย
‘พ่อจ้ะ’ ทองดีเรียกพ่อมันเสียงเบาหวิว ราวล่วงรู้ว่าพ่อพยัคฆาจะตัดสินอย่างไร
“หากให้ข้าออกไป ข้าคงต้องถอดอาคมบางส่วนไว้…”
“ฮ่าฮ่าฮ่า กระผมบอกแล้วคุณชนา ว่าอย่างไรไอ้ครามก็อยากไปอยู่กับท่าน คนใหญ่คนโตถึงกับเอ่ยปากทั้งทีมันจะปฏิเสธทำไม…”
TBC