เพราะความห้าวเกินตัวในคืนก่อน ทำให้เช้านี้ร่างบางรู้สึกปวดร้าวระบมไปหมด
เธอกับเขาฟัดกันมันหยดจริง ๆ บอกได้จากสภาพห้องสวีทที่เละเทะไปมากโข
เอ่อ...หรือจะบอกจากตัวตนที่ยังแช่ฝังอยู่ในกายเธอก็ได้
คนอะไรจะอึดถึงทนเอาดุเอวดีขนาดนี้
เธอถูกจับนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาร่างสูง ขาข้างหนึ่งก่ายเกยไว้บนเอวสอบ เปิดทางให้กลางกายใกล้ชิดสนิทสนมกันเต็มที่ เลยสามารถนอนมองคนหลับต่อไปได้โดยไม่ต้องขยับตัว แต่อาจมีเสียว ๆ แน่น ๆ อยู่บ้าง
อย่าไปโฟกัส ๆ มองข้ามเรื่องวาบหวิวไปดีกว่า
สิ่งที่เธอนึกออกตั้งแต่เห็นเขาครั้งแรกคือหล่อ แค่นั้นเลย ไม่ต้องอธิบายมาก
เอ้า อธิบายเพิ่มให้ก็ได้
แบบว่าหล่อมีเสน่ห์ตรงจริตเธอสุด ๆ โดยเฉพาะดวงตาแสนอ่อนโยนใจดีคู่นั้น แต่คิ้วหนากลับขมวดน้อย ๆ ชวนให้ดูเคร่งขรึมจริงจัง ยกเว้นยามที่แย้มยิ้มน่ามอง เลยดูขัดแย้งแต่น่าสนใจมาก
ไหนจะบางอย่างที่กระตุ้นความสงสัยนั่นอีก แต่เธออาจคิดไปเองก็ได้
ระหว่างที่พริมาคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เสียงโทรศัพท์ของห้องพักก็ดังขึ้น
พอเขาสะดุ้งตื่น แท่งร้อนก็กระดกงัดอยู่ในร่องชื้น จนต่างคนต้องสูดปากไล่ความเสียว
หญิงสาวจะขยับตัวหนีแต่ก็ถูกแขนยาวโอบรัดไว้แน่น แถมยังสามารถเอื้อมไปรับโทรศัพท์ได้อีก
จะยาวไปไหนนะพ่อคุณ หมายถึงแขนน่ะ
“ครับคุณแก้ม ใช่ครับ เอาไว้ที่หน้าห้องได้เลย ขอมื้อสายสองที่ด้วย ขอบคุณครับ”
พูดจบเขาก็วางสาย กดจูบกระหม่อมบางแล้วทำท่าจะหลับต่ออีกรอบ พริมาเลยต้องเรียกไว้
“คุณคะ ปล่อยก่อน พราวจะกลับห้อง”
“ไม่ต้อง”
“ไม่เอาค่ะ”
“พอเลิกครางแล้วดื้อเลยนะ” เขาบีบจมูกเล็กอย่างมันเขี้ยว “พี่ให้พนักงานโรงแรมเอาข้าวของขึ้นมาให้พราวแล้ว”
“แต่พราว...”
“ถ้ายังดื้อจะจับทำต่อ” ว่าแล้วก็ป้าบ ๆ เป็นตัวอย่างสักหน่อย
“โอเคค่ะ ๆ”
“หมายถึงทำต่ออ่ะเหรอ”
“ก็ใช่ เอ้ย พราวจะพักอยู่ที่ห้องนี้กับคุณก็ได้ พอใจหรือยังคะ”
“ยัง ไหนเรียกพี่ภูให้ฟังหน่อย”
คนตัวโตจับจ้องไม่วางตา กดดันจนปากเล็กต้องเอ่ยเรียก
“พี่ภู”
“ดีมากครับ”
“ดีแล้วไม่ทำต่อล่ะคะ”
“ใครบอกว่าไม่ทำล่ะ”
“อ้ะ” พริมาเอามือดันแผงอกกว้าง ขาข้างที่เกี่ยวเอวสอบอยู่ถูกยกขึ้นอ้ากว้าง เปิดทางให้อีกคนกระแทกได้สะดวกโยธิน
“คุณ โอ้ย พี่ภู เอาขนาดนี้ของพราวช้ำหมดแล้วมั้ง”
“เราปลุกพี่เองนะ”
“พราวไม่ได้ปลุกสักหน่อย ก็พี่ภูเล่นเสียบคาไว้แบบนี้”
“เมื่อคืนพี่ถูกพราวทิ้งกันไปก่อนไง จู่ ๆ ก็หลับคาอกเฉยเลย” คนตัวโตกัดฟันกรอด ขนาดเช้า ๆ ยังตอดเก่งดีนัก แบบนี้ต้องเอาให้เข็ด “เสร็จรอบนี้เดี๋ยวทายาให้ครับ”
“ฮือ เบาก่อนเลยนะ”
“ไหนพูดยังไง”
“ที่รักเบาหน่อยค่ะ พราวเจ็บไปหมดแล้ว”
พอเจอเสียงหวานออดอ้อนแต่เช้าเขาเลยต้องตามใจ ยอมผ่อนจังหวะลงเป็นเนิบช้าแต่หนักเน้นแทน รอจนใกล้ทนไม่ไหวค่อยรัวถี่ยิบจนจบ
“อา...อืม อยู่กับพราวนี่พี่เอาได้ไม่พักจริง ๆ”
“ยังดีที่รู้ตัว” ร่างบางบ่นพลางค้อนเข้าให้ “ปล่อยค่ะ พราวจะไปอาบน้ำแล้ว”
“ว่าไงนะ”
“ที่รักปล่อยหน่อยคะ พราวจะไปอาบน้ำ นะคะ ๆ น้ำเหนียวเต็มตัวไปหมดแล้ว”
ด้วยความกลัวว่าเขาจะไม่ยอมปล่อย เธอเลยแถมจุ๊บปากให้ทีหนึ่ง
“ที่รักเองก็นอนต่ออีกหน่อยนะคะ พออาหารมาส่งแล้วพราวจะปลุกมากินด้วยกัน ดีไหมคะ”
“โอเคครับ” คนตัวโตยอมปล่อยไปก่อน เพราะอย่างไรเขาก็ต้องได้กินเธออีกแน่ ๆ
ชายหนุ่มนอนมองร่างบางที่เดินสะบัดก้นเข้าห้องน้ำไป ถ้าไม่สงสารที่เธอต้องรับศึกหนักมาทั้งคืนแล้ว เขาคงตามเข้าไปอาบน้ำด้วยแน่
แต่ไว้คืนนี้ค่อยลองลงอ่างด้วยกันก็ได้
ร่างสูงคลี่ยิ้มกว้างอย่างชอบใจ พอได้ยินเสียงเคาะประตูก็ลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมแล้วเดินออกไปดู
ตอนที่พริมาออกมาจากห้องน้ำ ก็เห็นกระเป๋าเดินทางของตัวเองวางอยู่ในห้องแล้ว ส่วนคนตัวโตนั่งกดโทรศัพท์อยู่บนเตียงกว้าง เธอถึงนึกขึ้นได้ว่าต้องโทรหาเพื่อนสนิทสักหน่อย
ร่างบางคว้ากระเป๋าถือใบเล็กเดินออกไปที่ระเบียง กดต่อสายหาอิงฤดี รออยู่ครู่ใหญ่ถึงมีคนตอบรับด้วยเสียงงัวเงีย
“ฮาโหล นั่นคราย”
“จำเบอร์เพื่อนไม่ได้เหรอ”
“อ้อ พราว เอ้อ เอ่อ”
อิงฤดีดูเหมือนจะถูกใบ้รับประทานไปชั่วขณะ พริมาเลยพูดต่อ
“ขอโทษนะที่ฉันไม่ได้กลับห้อง”
“อะไรนะ อ๋อ ไม่เป็นไร ๆ แล้วนี่แกไปอยู่ที่ไหน อย่าบอกนะว่ากลับไปนอนห้องไอ้พี่เปลว ฉันไม่ยอมนะยายพราว”
“เปล่า ๆ ไม่ใช่ คือฉันมากับ...”
“ที่รักตอบเพื่อนไปสิครับ”
เสียงทุ้มพูดใส่โทรศัพท์ ปลายสายกรี๊ดดังลั่นทันที
“ตายแล้วเพื่อนฉัน ๆ”
“ยังไม่ตายสักหน่อย” แค่จุก ๆ เท่านั้น แต่เธอไม่บอกหรอก
“โสดได้แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็หาผู้ใหม่ได้แล้ว ไหนใครว่าแกไม่แซบยะ” อิงฤดีใส่อารมณ์สุดฤทธิ์ “ขอแค่แกไม่กลับไปคบกับไอ้พี่เปลว อยากจะวันไนท์กับใครก็เชิญเลยจ้า ใช้หนุ่มคนนั้นฮีลใจซะนะ พอกลับกรุงเทพฯ ค่อยเลิกโอเคป่ะ”
“ผมว่าไม่นะครับ เพราะถ้ารวมคืนนี้ด้วยก็ทูไนท์แล้ว”
“คุณ! เลิกพูดมั่วซั่วได้แล้ว”
“ใครมั่ว พี่พูดจริงทุกคำ วางสายแล้วไปพิสูจน์ไหมล่ะ”
“โอ้ยตาย ท่าจะได้ผู้ดีเสียด้วย ตามสบายนะจ๊ะเพื่อนรัก ฉัน...ว้าย แค่นี้ก่อนนะ ๆ”
ขาดคำอิงฤดีก็วางสายไป พริมาจ้องหน้าจอที่ค่อย ๆ ดับลงอย่างไม่แน่ใจนัก เมื่อครู่เหมือนเธอได้ยินเสียงสวบสาบแปลก ๆ
คนตัวโตก้มลงหอมแก้มนุ่ม ก่อนโอบเอวคอดเดินกลับเข้าไปด้านใน
“ไปกินข้าวกันเถอะครับ เดี๋ยวอาหารจะเย็นหมด”
ต่ำลงไปที่ชั้นหก อิงฤดีกำลังเอาหมอนฟาดร่างสูงโปร่งของบางคนรัว ๆ
“ทำบ้าอะไรของพี่ อิงคุยกับยายพราวอยู่นะ ล้วงมาได้ยังไง”
“ก็ล้วงแบบนี้ไง” ต่อให้โดนฟาดแค่ไหน มือหนาก็ยังไม่ยอมหลุดออกจากแพนตี้ตัวบาง “จะคุยอะไรกันนักหนา ได้ยินเสียงผู้ชายหน่อยเป็นไม่ได้”
“ก็อิงอยากรู้ว่ายายพราวจะโดนหลอกหรือเปล่า โอ้ย เจ็บนะ”
เขาจับหมอนที่เธอถืออยู่ แล้วออกแรงดึงจนร่างบางถลาลงไปกองบนอกกว้าง
“ตกลงว่าใครโทรมา”
“ก็ยายพราวไงจะมีใครได้” อิงฤดีพยายามดิ้นหนี “ตื่นแล้วก็กลับห้องตัวเองไปสิ”
“นี่ห้องพี่”
“อ้าว” เออว่ะ พอมองให้ดี ๆ ถึงรู้ว่าเขาพูดถูก ดีนะที่เพื่อนเธอก็ไม่ได้กลับห้องเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นได้ความแตกแน่
เดี๋ยวนะ... “พี่อย่าบี้ได้ไหม”
“ไม่ได้ พี่อยากทำ”
“เอาแต่ใจ”
“ถ้าตามใจเราพี่ก็ไม่ได้เอาสิ” เขาจับเธอพลิกลงนอนบนเตียงแต่พลิกกายขึ้นคร่อมทับไว้ “พราวมีคนคอยดูแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก เรามาต่อกันดีกว่า”
“พี่ทำมาทั้งคืนแล้วนะคะ ยังไม่พออีกเหรอ”
อิงฤดีลองเปลี่ยนไปใช้วิธีอ้อนดูบ้างแต่ก็ไม่ได้ผล อีกคนจับท่อนลำพร้อมรบถูไถกับช่องทางรักของเธอแล้ว
“ไม่พอ เพราะถ้ากลับไปเราก็ใจร้ายกับพี่อีก”
“แต่...อื้อ...ก็...อ้า...”
“พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
ขาดคำมือพิฆาตก็ฟาดเปรี้ยงเข้าที่ต้นแขนล่ำ
“ก็เล่นกระแทกขนาดนี้ใครจะไปพูดได้ ซี้ด ถ้าอยากมากนักก็ไปทำกับพี่ชมสิคะ เห็นยั่วกันอยู่ทุกวัน”
“แล้วยั่วขึ้นไหมล่ะ” คนตัวโตขบไหล่เล็กสั่งสอนย้ำ ๆ ก่อนกระซิบเสียงแหบพร่า “ยังไม่รู้อีกเหรอว่าพี่ขึ้นกับเราคนเดียว”
เจอประโยคนี้เข้าไปอิงฤดีก็ชักจะใจอ่อน ยอมกางขาอ้ากว้างให้อีกคนกระแทกกระทั้นได้ถนัดถนี่ขึ้น
นึกไม่ถึงเลยว่าหัวหน้าจอมเย็นชาที่ชอบทำหน้าดุจะเอวดุด้วย แถมยังขี้อ้อนเหลือเกิน พอได้อยู่ด้วยกันตามลำพังทีไรเป็นต้องเข้ามาเบียดกระแซะตลอด
ถ้ารู้แต่แรกวันนั้นเธอคงไม่ซื้ออาหารไปเยี่ยมไข้ตามคำขอหรอก สุดท้ายเลยถูกจอมมารลวงล่อจนต้องยอมคล้อยตามมาถึงทุกวันนี้
“อิง ตอดอีก”
“พี่ก็ทำแรง ๆ สิ”
“ท้าเหรอ จุกอย่ามาว่ากันนะ”
เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่นไปทั่วห้องพัก คู่นี้ออกจะหนักหน่วงกว่าห้องบนบนอีก เพราะไม่มีเว้นวรรคพักกินข้าวกินปลากันบ้างเลย
ก็ใครใช้ให้เธอไม่ยอมเปิดเผยว่าเป็นแฟนเขากันเล่า พอได้โอกาสนิธินันท์เลยต้องตักตวงไว้ให้ได้มากที่สุด จะได้ไม่เผลอลากแฟนสาวไปกินในห้องทำงานเข้าสักวัน
กว่าศึกครั้งล่าสุดจะผ่านพ้นไปก็กินเวลาเป็นชั่วโมง ชายหนุ่มก้มพรมจูบใบหน้าของคนในอ้อมแขนอย่างรักใคร่
ตอนแรกว่าจะพาออกไปกินข้าวที่ร้านอาหารข้างนอกสักหน่อย แต่โดนไปแค่สองน้ำติดยายตัวแสบก็สลบคาอกไปแล้ว ดูท่าคงต้องสั่งรูมเซอร์วิสอีกตามเคย
ว่าแต่ก็นึกเป็นห่วงลูกน้องอีกคนอยู่เหมือนกัน
ถ้าเพื่อนของบอสจริงจังกับพริมาก็คงจะดี เพราะเด็กนั่นไร้เดียงสาเกินไป จนเขากลัวว่าอาจถูกผู้ชายเลว ๆ หลอกอีกก็ได้
“รู้ไหมว่าเธอน่ะโชคดีแค่ไหนที่ได้คบกับพี่”
นิธินันท์กระซิบบอกแฟนสาวที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร พลางไล้ปลายนิ้วยาวไปตามกรอบหน้าเรียวอย่างทะนุถนอม
“พี่รักอิงนะครับ”
ภูดิศใจร้อนมาก พอเข้าเช้าวันจันทร์ก็พาแฟนสาวไปจดทะเบียนสมรส เปลี่ยนสถานะเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายให้เรียบร้อยแต่คาดไม่ถึงว่าจะได้เจอนิธินันท์กับอิงฤดีที่นั่นด้วย ในมือถือเอกสารไว้ไม่ต่างกันเลย“อ้าว”“อุ้ย คือ...คุณภูขอให้เรามาเป็นพยาน...”“ไม่ต้องหาเรื่องแก้ตัวเลยย่ะ เปิดตัวได้สักทีนะเรา”พริมากอดแขนเพื่อนสนิทพากันเดินเข้าไปในสำนักงานเขต ทิ้งให้สองหนุ่มยืนมองคุมเชิงกันไปมาแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่ทั้งคู่รับรู้ตรงกันว่าการแข่งขันได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้วเย็นนี้ต้องรีบกลับไปผลิตทายาททันทีต่างคนต่างเซ็นเป็นพยานให้อีกคู่หนึ่ง เพียงไม่นานธุระก็เสร็จเรียบร้อย พอดีกับที่อธิปโทรตามให้รีบเข้าบริษัท“ไปไหนกันมา ทำไมที่แผนกบัญชีมีใครสักคน”บอสหนุ่มยืนกอดอกจ้องมองคนทั้งสี่ที่ดูมีพิรุธชอบกล“กูพาเมียไปจดทะเบียนสมรสมา”ภูดิศกอดคอพริมา ทำท่าทางอวดว่านี่คือภรรยาของตน อธิปเบะปากใส่เพื่อนก่อนหันไปหาหัวหน้าแผนกบัญชี“คู่นี้ก็เลยไปจดบ้างว่างั้น”“เปล่านะคะ ๆ” อิงฤดีรีบปฏิเสธพัลวัน“เราตั้งใจไปจดของเรากันเองครับ ไม่ได้แข่งกับใครจริง ๆ”นิธินันท์เอ่ยตอบแทน แต่นั่นกลับทำให้สีหน้าบอสหนุ่มยิ่งเคร่งข
พอปรับความเข้าใจกับแฟนสาวเรียบร้อย ภูดิศก็ขึ้นไปคุยกับน้องสาวบ้าง แต่กลับเจออธิปอยู่ในห้องทำงานเพียงลำพัง“อ้าว เดมี่ล่ะ”“กูสั่งให้ลงไปช่วยเก็บกวาดที่ห้องบัญชี”“เออ ให้แก้ไขปัญหาด้วยตัวเองก็ดี จะได้รู้ว่าไม่ควรทำ”“มึงไม่กลัวเธอลงไปทะเลาะกับพราวเหรอ”“ไม่หรอก กูคุยกับพราวเข้าใจแล้ว” ภูดิศทิ้งตัวลงนั่งไขว่ห้างที่โซฟา “กูห่วงเดมี่มากกว่า สงสัยจะทะเลาะกับแม่มาอีกแล้ว คงต้องให้หลบอยู่ที่ไทยสักระยะ”อธิปพับกระดาษใบหนึ่งเก็บใส่ลิ้นชักชั้นบนสุด ตาแอบมองเพื่อนสนิทที่นั่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวด“กูจะให้น้องมึงมาเป็นผู้ช่วย”“จริงเหรอ ถ้าได้อย่างนั้นก็ดีสิ”“มึงจะไม่ถามเหรอว่ากูทำไปทำไม”“ไม่ล่ะ ถ้ามึงยอมช่วยเดมี่กูก็พอใจแล้ว”“แต่งานผู้ช่วยของกูมันหนักนะเว้ย เลิกงานก็ไม่เป็นเวลา ต้องตามกูไปทุกที่ ขนาดผู้ชายยังลาออกกันไปหมด”“ก็ลองให้เธอทำดูก่อน ถ้าไม่ไหวค่อยเลิก มึงโอเคไหมล่ะ”“ถ้างั้นก็ตกลงตามนี้”“เออ ขอบใจมึงมาก”สีหน้าภูดิศสบายใจขึ้นเยอะ เพราะตอนอยู่ต่างประเทศก็มีอธิปนี่แหละที่เดมี่ดูจะเกรงใจบ้าง คงพอช่วยอบรมสั่งสอนได้อยู่“ถ้าเดมี่ทำตัวงอแงมึงก็ลงโทษได้เลยนะ”“มึงพูดเองนะ”อธิปถามย้ำ ภูดิศจึ
“ว่าไงนะ”“คุณภูพูดขอยายพราวแต่งงานแล้ว อิงก็เลยคิดว่าในเมื่อคู่ที่เพิ่งคบกันแค่เดือนกว่ายังคิดไปถึงขั้นนั้นได้ แล้วทำไมพวกเราถึงจะก้าวไปอีกขั้นไม่ได้”นิธินันท์รีบตบไฟเลี้ยวเข้าจอดข้างทาง ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วเอี้ยวตัวไปกอดแฟนสาวไว้แน่น“ขอบคุณครับที่คิดฝากชีวิตไว้กับพี่ พี่สัญญาว่าจะดูแลเราให้ดีที่สุด”“อิงต่างหากที่ต้องขอบคุณ นอกจากพี่นันท์แล้วคงไม่มีใครทนกินไข่เจียวกรอบในไหม้นอกของอิงหรอกค่ะ”“พูดถึงเรื่องนี้...พราวยังเปิดคอร์สสอนเราทำกับข้าวอยู่ไหม”“พี่นันท์!”“ตัวพี่น่ะไม่เท่าไหร่หรอก สงสารก็แต่ลูก”“นี่คิดไปถึงไหนแล้วคะ”“ถึงตอนทำลูกไงครับ”“คนหื่น!”ร่างบางเอ็ดเข้าให้อีกรอบ แต่คนตัวโตก็หาได้เกรงกลัว กดจูบกดหอมจนน้ำลายเปียกหน้าแฟนสาวไปหมด“ถ้าอิงอยากจัดงานแต่งแบบไหนก็บอกได้เลยนะ พี่อาจทำได้ไม่หรูหราอะไรนัก แต่พี่ก็ตั้งใจว่าจะไม่ทำให้เราต้องอายใคร”“ไม่ต้องหรอกค่ะ เราจดทะเบียนกันเฉย ๆ ก็ได้ เก็บเงินค่าจัดงานไว้เลี้ยงลูกดีกว่า”“ไปถามพ่อแม่ก่อนไหม พี่อยากให้เกียรติเราเต็มที่ เพราะชาตินี้พี่จะแต่งงานแค่ครั้งเดียว”“อิงเคยถามแล้ว พ่อกับแม่บอกว่าให้พี่ไปผูกข้อมือที่บ้านก็พอ ไม่ต้องใ
คนป่วยรู้สึกตัวตื่นตอนเช้ามืดวันถัดมา ความรู้สึกแรกคือคันปากยิบ ๆ และหายใจไม่สะดวกเท่าไรนัก แต่ก็ยังดีกว่าตอนก่อนจะหมดสติไปภูดิศกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เห็นเสาน้ำเกลือก็แน่ใจแล้วว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาล ดังนั้นเงาตะคุ่ม ๆ ที่ฟุบอยู่ข้างเตียงก็ต้องเป็นสุดที่รักของเขาแน่นอนไม่รู้ว่าพริมาได้หลับไปตอนกี่โมง ภูดิศจึงปล่อยให้เธอนอนพักผ่อนไปดวงตาคมจ้องมองคนหลับสนิทไม่วางตา เจ้าของดวงหน้าหวานที่เขาแอบชอบมาตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อหนุ่ม ต่อให้ย้ายไปอยู่ต่างประเทศมาหลายปีก็ยังไม่ลืม เพราะไม่มีใครทำให้ใจเขาเต้นแรงได้เท่าเด็กแว่นข้างบ้านคนนี้อีกแล้วนึกไปก็น่าขำ ที่เขาฝึกเล่นกีต้าร์ก็เพื่อเรียกร้องความสนใจจากน้องน้อย แต่ดันได้ความรำคาญมาเสียอย่างนั้นยังดีที่อย่างน้อยมันก็ทำให้เธอจดจำเขาได้เช่นกันตอนนั้นเองอีกคนก็รู้สึกตัวตื่น พอเห็นว่าเขานอนลืมตาอยู่ก็รีบควานหาแว่นมาสวมก่อนลุกขึ้นยื่นหน้าเข้าไปดูใกล้ ๆ“พี่ภูฟื้นแล้ว ดีจังค่ะ”“เด็กขี้แย พี่ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” ภูดิศยกมือจะช่วยเช็ดน้ำตาให้คนรัก แต่เธอกลับจับมือเขาไปกุมไว้“พี่ทำให้พราวตกใจมากเลย ทำไมถึงดื่มแอลกอฮอล์ล่ะคะ”“มีคนสลับแก้วของพี่น่ะ ไ
“แกทำอะไรผัวฉัน”พอได้ยินแบบนั้นอธิปถึงเข้าไปดูสภาพเพื่อนให้ดี ๆ ก่อนจะรีบโทรตามรถพยาบาลโดยด่วนให้ตายสิ ลืมเช็กเรื่องนี้ไปได้อย่างไร นี่ถ้าไอ้ภูเป็นอะไรขึ้นมาชาตินี้เขาคงไม่มีทางให้อภัยตัวเองเป็นแน่ส่วนปภาดาที่ถูกตบถึงกับนิ่งอึ้งไปนาน เพราะคราวก่อนไม่เห็นว่ายายเด็กนี่จะทำอะไรเลย ขนาดนั่นเป็นผู้ชายที่คบกันมาตั้งหลายปี เธอจึงคิดว่ากับคนที่เพิ่งคบกันไม่กี่เดือนคงไม่หวงถึงขั้นลงไม้ลงมืออย่างนี้อัคคีเองก็ตกใจไม่แพ้กัน พอเห็นสายตาของเพื่อนร่วมงานก็ยิ่งหงุดหงิด ทำไมต้องมองเหมือนเขาเป็นคนถูกทิ้งด้วยระหว่างที่ยังไม่มีใครตั้งสติได้ พริมาก็ตบคู่กรณีเข้าอีกฉาด คราวนี้ปภาดารู้สึกตัวแล้ว“นังนี่ ผัวแกเมาแล้วข่มขืนฉันนะ”“ยังจะพูดพล่อย ๆ เอาอีกสักฉาดไหม”พริมาง้างมือจะตบอีกรอบจริง ๆ แต่อธิปเข้ามาห้ามไว้“พอแล้วพราว มาดูไอ้ภูก่อนดีกว่า”“รถฉุกเฉินยังมาไม่ถึงอีกเหรอคะ”พอเธอถามแบบนั้นอธิปจึงแยกไปดูให้ ส่วนร่างบางย่อตัวลงข้างชายหนุ่มที่นอนหมดสติอยู่บนโซฟา มือก็ช่วยจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยขึ้นหน่อย“เดี๋ยวสิยะ แกต้องเคลียร์กับฉันก่อน จะเอาตัวคุณภูไปทั้งแบบนี้ไม่ได้”ปภาดากระชากไหล่คนตัวเล็กอย่างแรงให
เวลาที่ปิดโปรเจคอะไรได้ ทีมงานมักรวมตัวไปสังสรรค์กันที่ร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริษัทมากนักภูดิศในฐานะคนคุมโปรเจคย่อมปฏิเสธไม่ได้ อีกอย่างอธิปก็บอกว่าอยากให้มารู้จักกับเจ้าของร้านเอาไว้ด้วย เผื่อพาลูกค้ามาคุยงานที่นี่จะได้สะดวกหน่อย“นี่คุณวีรกร ส่วนนี้ไอ้ภูดิศ เพื่อนสนิทผมเองครับ”“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมได้ยินคุณเอสพูดถึงคุณอยู่บ่อย ๆ”วีรกรจับมือกับชายหนุ่ม อีกฝ่ายก็ส่งยิ้มกลับไป“ยินดีเช่นกันครับ”“เชิญตามสบายนะครับ อยากได้อะไรก็บอกเด็ก ๆ ได้เลย”“ขอเป็นม็อกเทลให้เพื่อนผมนะครับ”อธิปกำชับเจ้าของร้าน ก่อนที่จะเดินไปร่วมวงกับคนอื่น ๆ ที่เปิดโต๊ะรออยู่ก่อนแล้ว เขาไม่ใช่คนเรื่องมากอะไร ยิ่งงานเลี้ยงอย่างนี้ก็ยิ่งปล่อยตามสบายภูดิศนั่งลงบนเก้าอี้ถัดจากเพื่อนสนิทได้ไม่นาน ก็มีคนมานั่งตรงเก้าอี้ข้าง ๆ“คุณภูอยากดื่มอะไรไหมคะ เดี๋ยวดาชงให้”ปภาดาขยับเก้าอี้เข้าใกล้ร่างสูงมากขึ้น เอียงหน้าเข้าไปพูดคุยราวกับกลัวอีกฝ่ายไม่ได้ยิน ทั้งที่ดนตรีเพิ่งเริ่มเล่นคลอเบา ๆ เท่านั้น ท่าทางไม่ได้เกรงใจอัคคีที่นั่งอยู่ไม่ไกลเลย“ผมไม่ดื่ม”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบพร้อมขยับเก้าอี้ออกห่าง